คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : สิ่งที่ต้องเจอ สิ่งที่พบพาล ต้องพรากพลัดจากรักไม่รู้เท่าไหร่
ไม่ใช่สุริยะเทพ แต่เป็น บุรุษผู้หนึ่ง หน้าตาหน้ากลัวเหมือนปีศาจ “ข้าชื่อ นรกานต์ ถ้าอยากได้แม่เจ้าคืน ก็ลงไปที่ใต้สุดขุมนรกสิ ที่ของพวกข้า อยู่ที่นั่น” นรกานต์พูด “ไปทำไม” ประกายเพลิงพูด “ก็เอาจตุรศัสตรา และจตุรธาตุในตัวเจ้าไปแลกไงหละ” นรกานต์พูดและหัวเราะก่อนจะหายตัวไป “นั่นมีผีชัดๆนี่นา” วรยุภัทรพูด “รู้ได้ไงว่าเป็นผี” ธารารักษ์พูด “ก็มันบอกว่ามาจากขุมนรก มันไม่ใช่ผีแล้วมันจะเป็นอะไร” ประกายเพลิงพูด “พอได้แล้ว เราจะเริ่มเดินทางกันเลยไหม” พสุธาวาทพูด “แล้วจะไปยังไง” วรยุภัทรพูด “พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนได้ไหม เราขอเอาตัวกินรีคนนี้ไปส่งที่ได้ไหม” วาตการณ์พูด “เดี๋ยว ก็เรายังไม่อยากกลับเลยนี่นา เรายังไม่ได้เที่ยวที่ไหนเลย” วรยุภัทรพูด “เราไม่มีอารมณ์พาเจ้าไปเที่ยวที่ไหนแล้วหละ วันหลังถ้าเราไม่ลืม จะไปรับมาก็แล้วกัน” วาตการณ์พูด “อย่างเจ้านาเหรอ อีกไม่นานก็คงลืม เราไม่ง้อเจ้าก็ได้ เราแอบหนีมาเองก็ได้... อ้อ. แล้วก็ไม่ต้องไปส่ง เพราะเรามีปีกมีหาง เราไปเอง” วรยุภัทรพูด “นี่เจ้าใช้ปีกบินไปไม่ได้นะ” วาตการณ์ร้องเตือน “ก็เราจะใช้ จะทำไม นี่มันในป่า ไม่มีใครจับเราได้หรอกถ้าไม่มีบ่วงนาคบาศ” วรยุภัทรพูด และเสกปีกกับหางออกมา ก่อนจะกระโดดขึ้นไป วาตการณ์ถอนหายใจ “ไปกันเถอะ เค้าว่านรกอยู่ใต้ดิน เราก็คงต้องไปทางใต้ดินหนะ” ธารารักษ์พูดและทุกคนก็หันไปมองพสุธาวาทอย่างไม่ได้นัดหมาย
พสุธาวาท ราชโอรสแห่งดิน พยายามใช้พลังในตัวเบิกทางลงใต้ดิน ท้องฟ้า และ สิ่งรอบด้านเริ่มสั่นไหว แผ่นดินเริ่มสะเทือน ทั้งวาตการณ์ ประกายเพลิง และ ธารารักษ์เองยังยืนไม่อยู่ ต้องเซๆ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนก่อนที่จะค่อยๆแยกออก และทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาพนิ่งดังเดิม ธารารักษ์ยิ้มกว้างทันที “แผ่นดินแยกแล้ว” ธารารักษ์พูด “เสด็จแม่ รออีกเดี๋ยวนะพระเจ้าข้า” พสุธาวาทพูด ประกายเพลิงยิ้มและหันมองหน้าพี่น้องแต่ละคนที่ยิ้มเช่นกัน วาตการณ์เองก็ดีใจไม่น้อยไปกว่านั้นเลย พสุธาวาทหันมองไปที่พี่น้องและก้าวเดินไปใกล้จุดที่ดินแยก และกระโดดลงไปเป็นคนแรก ธารารักษ์ยิ้มดีใจไม่หยุดรีบวิ่งไปกระโดดตามลงไปใต้ดินติดๆ ตามมาด้วยวาตการณ์ และ สุดท้ายประกายเพลิง
ใต้ดิน สี่พี่น้องแห่งจตุรธาตุเหาะเดินทางดำดิ่งลงไปให้ลึกที่สุด ลึกเท่าที่จะทำได้ ยิ่งใกล้ที่อยู่ของพวกมัน ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความน่ากลัว ซึ่งเด็กทั้งสี่คนอาจต้องหวาดหวั่นบ้าง “เริ่มเย็นๆแล้วสิ” ธารารักษ์พูด “คงใกล้ที่ของพวกมันแล้ว” ประกายเพลิงเสริม “นี่ถ้ามีภูตผีปีศาจอะไรซักอย่างโผล่มาตอนนี้ เราว่านะ เราต้องไม่ไหวแน่ๆเลย” ธารารักษ์เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว สีหน้ามุ่งมั่นของเด็กผู้ชายผู้คล่องแคล่วปานสายลมพัดผ่านเริ่มเปลี่ยนไปความมั่นใจเหมือนจะลดลงทุกที ธิดาน้อยอีกคนก็เริ่มใจเสียแต่งก็ยังสู้แข็งใจ ส่วนพสุธาวาทนั้น ไม่มีความหวาดหวั่นปรากฏออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิด
มุมหนึ่ง... ที่ถูกความมืดกลืนกิน มืดเหลือเกิน มืดจนมองไม่เห็นอะไร เป็นที่ของปีศาจ ช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้หนอ เสียงคำรามน่าเกรงขาม น่าหวาดกลัวดังขึ้นเป็นระยะๆ มเหสีมาลีรินทร์นั่งอยู่ภายใต้ความน่าหวาดกลัว สีหน้าตื่นกลัวเหลือเกิน มาลีรินทร์เหลียวมองไปมารอบด้าน ความมืดช่างน่ากลัว มาลีรินทร์ร้องไห้ และนั่งภาวนาอยู่แทบจะตลอดเวลา “ลูกเอ๋ย ลูกรักทุกคนของแม่ ขออย่าให้ลูกแม่มาถึงที่นี่เลย แม่ยอมตาย ยอมทุกอย่าง ขออย่าให้เจ้าต้องเข้ามาเสี่ยงอันตรายเพื่อแม่เลย ในนี้ช่างน่ากลัวนัก มีแต่ความมืด มีแต่เสียงอะไรน่ากลัวน่ากลัว แม่เห็นตั้งแต่ก้าวแรก มันช่างมีอันตรายแฝงอยู่มากมายเหลือเกิน อย่าได้เข้ามาช่วยแม่เลย ลูกรัก หากเจ้ามาแล้ว ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจเจ้าจงกลับไปเสียเถอะลูกเอย....” พูดไปก็ร่ำไห้ แม่ทุกคนรักลูก ดูแลฟูมฟักมาตลอดเวลา แต่กับมเหสีมาลีรินทร์แล้ว ทำได้เพียงร่ำไห้ อาลัยหาลูก เป็นห่วงลูก พระนางถูกพรากลูกไปเป็นเวลาหลายปี เหมือนถูกควักดวงใจออกไป และแล้ว โชคชะตาก็พาพระโอรส และ พระธิดากลับสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นของพระมารดา แต่ตอนนี้สิ ต่างคนต่างตกอยู่ในอันตราย มเหสีมาลีรินทร์ถูกจับมาเป็นองค์ประกัน ก็ทรงห่วงหาพระโอรส และ พระธิดาที่เดินทางมาช่วย พระโอรส และ พระธิดาทั้งสี่ก็เช่นกัน ไม่รู้ข่าวคราวพระมารดาเลย จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ซ้ำทางข้างหน้ายิ่งมีแต่... อันตราย
พระโอรส และ พระธิดาทั้งสี่แห่งจตุรธาตุ เดินทางดำดิ่งสู่ใต้ดิน เหนื่อยอ่อนล้ากันไปบ้างแต่ก็ยังต้องสู้ไปให้ถึงจุดหมาย ยิ่งใกล้ ยิ่งเริ่มใจเสีย มีไอเย็นพัดเยือกเข้ามา เย็นไปจนถึงจิตใจ พระโอรส และ พระธิดาทั้งสี่ต้องรีบโอบตัวเองไว้ พระธิดาประกายเพลิงเริ่มน้ำตาคลอแล้ว “เสด็จแม่ รอก่อนเถอะเพคะลูกใกล้ถึงแล้ว” ประกายเพลิงพูดเสียงสั่นเครือ “เสด็จแม่ พวกมาแล้วนะพระเจ้าข้า” วาตการณ์พูด “เสด็จแม่พระเจ้าข้า หากแต่เรามีบุญเกื้อกูลกัน ขอให้พวกเราสู้ฝ่าฟันอุปสรรคไปจนถึงที่ด้วย เสด็จแม่อย่าทรงห่วง ยังไงพวกเราก็ต้องไปให้ถึง” พสุธาวาทพูด “อีกไม่ไกลแล้ว ลูกไม่ขออะไร ขอแค่ให้ได้ถึง ขอแค่ให้ได้พบเจอ พวกมันจะต้องการอะไรลูกก็จะให้” ธารารักษ์เริ่มจะร้องไห้ ประกายเพลิงพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆพยายามกลั้นน้ำตาไว้ กอดตัวเอง เด็กทั้งสี่พยายามเหาะต้านไปอย่างถึงที่สุด ด้วยความมุ่งมั่น
และแล้ว.... ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ปราสาทตระหง่านอยู่ตรงหน้า เป็นปราสาทที่ใหญ่อยู่พอตัว คล้ายๆเวียงวังของเมืองในโลกมนุษย์ มืดเหลือเกิน แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ก็เข้าไม่ถึง อากาศหนาวเย็น มีแต่กลิ่นคาวของเลือด ทั้งสี่กระโดดลงมา “มืด มืดสนิท” พสุธาวาทพูด ประกายเพลิงเสกคบเพลิงออกมา “มีแต่กลิ่นคาวเลือดเต็มไปหมดเลย” ธารารักษ์พูด “รีบไปกันเถอะ” วาตการณ์พูด ทุกคนก้าวเดินออกไปเพียงก้าวเดียว แสงของคบเพลิงก็ดับลง ทุกคนตกใจ “คบเพลิงดับเหรอ... เป็นไปไม่ได้” ประกายเพลิงไม่ค่อยพอใจที่มีคนพยายามดับไฟที่ตนสร้างขึ้น ประกายเพลิงพยายามเรียกไฟอีก เรียกมา ไฟก็ดับไปเอง ประกายเพลิงโยนไม้คบเพลิงทิ้ง “โอ๊ย...อะไรกันนักหนาออกมาสิจะเอาอะไรแลกกับเสด็จแม่ก็บอกมา” ประกายเพลิงตะโกน มืดสนิทไร้แสงคบเพลิง ก็มีแสงหนึ่ง ฉาดฉายวาบออกมา นรกานต์ยืนอยู่ท่ามกลางผีดิบเป็นร้อยที่อยู่ข้างหลัง ผีดิบเหล่านั้นยืนนิ่งไม่พูดไม่จาเงียบกริบ “เสด็จแม่อยู่ที่ไหน” พสุธาวาทเอ่ยถาม “พวกเจ้าไปเอาตัวแม่ของมันมา” นรกานต์หันมาสั่งพวกผีดิบ พวกผีดิบก้มหัวคล้ายเป็นการเคารพและเดินไปสองสามตัว
ไม่นานพวกผีดิบก็กลับมาพร้อมกับเอาตัวมาลีรินทร์มาด้วย มาลีรินทร์พยายามดิ้นให้หลุดและต่อต้าน แต่ก็ไม่ไหวจริงๆ พวกผีดิบโยนตัวมาลีรินทร์ลงกับพื้น “เสด็จแม่” เด็กทั้งสี่คนรีบวิ่งมา “ลูกแม่” มเหสีมาลีรินทร์ร้องเรียกเด็กทั้งสี่ นรกานต์สร้างเกราะกำบังเหมือนเป็นกำแพงไม่ให้แม่ลูกเข้าหากันได้ “เสด็จแม่ ทำไม...” ธารารักษ์เหมือนจะร้องไห้ มาลีรินทร์ร้องไห้ แตะกำแพง จิตใจนั้นอยากจะออกไปกอดลูกๆของนางให้ครบทุกคนเลย แต่ตอนนั้นไม่สามารถฝืนกำแพงออกไปได้ “เสด็จแม่ ลูกมาแล้วพระเจ้าข้า ลูกจะช่วยเสด็จแม่ออกไปให้ได้” พสุธาวาทพูด “โถ่พสุธาวาท” น้ำเสียงสั่นเครือของมาลีรินทร์ช่างน่าสงสารเหลือเกิน มือพยายามที่จะยื่นออกไปแตะต้องศีรษะลูกๆกลับถูกกำแพงกั้นไว้เสีย วาตการณ์ก้มหน้าและลุกขึ้น วาตการณ์หันไปหานรกานต์และพวกผีดิบ “ต้องการอะไร ว่ามา” วาตการณ์พูด พสุธาวาทหันไป และลุกขึ้นไปยืนเคียงๆวาตการณ์ ประกายเพลิงหันมามอง และหันมองหน้ากันกับธารารักษ์ก่อนจะลุกขึ้นเดินมา ยืนอยู่ด้วย พระโอรส และ พระธิดาทั้งสี่ เดินมาเคียงกันจนครบ และกำหมัดพร้อมกัน “สิ่งที่ข้าต้องการก็คือ... ตรี คทา จักร สังข์ อาวุธของพวกเจ้าไงหละ” นรกานต์พูด ทั้งสี่พี่น้องหันมองหน้ากัน “อย่านะลูก... อย่า...” มาลีรินทร์ส่ายหน้า “แค่นั้นเหรอ” ประกายเพลิงพูด “ปล่าว... มีจตุรศัสตราแล้ว ก็ต้องมีจตุรธาตุด้วย หรือจะเรียกง่ายๆว่า ชีวิตพวกเจ้า” นรกานต์พูด มาลีรินทร์มีสีหน้าตกใจ “ไม่นะ ลูกแม่” มาลีรินทร์ส่ายหน้า “จะเอาอะไรก็จะให้ทุกอย่าง ขอแค่ปล่อยเสด็จแม่ก็พอ” พสุธาวาทพูด “อย่านะลูก อย่าเชื่อพวกมันนะ ลูก ยังไงซะ พวกมันก็ต้องฆ่าแม่อยู่ดี หนีไปเถอะนะลูก แม่ยอมตาย แต่แม่จะให้ลูกของแม่เป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้” มาลีรินทร์พูด “พวกเราก็ทนมองเสด็จแม่เป็นอะไรไปไม่ได้เหมือนกันนะพระเจ้าข้า” วาตการณ์พูด “หนีไปเถอะนะ พสุธาวาท ธารารักษ์ วาตการณ์ ประกายเพลิง ลูกแม่ หนีไปเถอะลูก... ให้แม่ได้ทำหน้าที่แม่สักครั้งหนึ่งเถอะนะ แม่ขอยอมตายอยู่ที่นี่... แต่ให้ลูกๆของแม่หนีไป” มาลีรินทร์สะอึกสะอื้น “เสด็จแม่ พวกเราก็อยากทำหน้าที่ลูกพระเพคะ” ธารารักษ์พูด ประกายเพลิงก้าวออกไปข้างหน้านิดหน่อย “ไอ้คนโฉด ใจคอจะพรากแม่กับลูกไปถึงไหน ไอ้กำแพงบ้าๆนี่ เอาออกซักทีสิยอมทุกอย่างแล้ว” ประกายเพลิงพูด นรกานต์ยิ้มนิดๆ และคลายพลังที่เป็นกำแพงออก
ตัวอย่างตอนต่อไป
ประกายเพลิงยกแขนขึ้นปิดตา... แสงๆหนึ่งฉายฉาดวาบขึ้นกระจ่างเป็นแสงสีทองจรัส แสงที่ว่านี้เปล่งออกมาจากกำไลข้อมือที่ประกายเพลิงสวมอยู่แสงนั่นสะท้อนพลังกลับใส่พวกผีดิบร่อยหรอไปเยอะเพราะพลังของพวกมันเอง ประกายเพลิงมองกำไล “เจ้าช่วยเราอีกแล้ว” ประกายเพลิงยิ้มและก้มลงมองกำไลข้อมือด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“พระธิดา... ทูนหัวของหม่อมฉัน อัปสรรินทร์ ทูนหัวของหม่อมฉันหม่อมฉันคุณท้าวแสงศิลาไงเพคะ” คุณท้าวแสงศิลาพูด เกศสิรินทร์รัตน์หันมาหาช้าๆ “คุณท้าว” เด็กน้อยโผเข้ากอดอย่างหาที่พึ่ง “โถ่ ทรงไปจุติใหม่เลยจำหม่อมฉันไม่ได้ จุติกับแสงสุริยะแท้ๆแต่กลับจำเสด็จพ่อไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว” คุณท้าวแสงศิลาพูด “ใคร ใครคือพ่อของเรา แล้วคุณท้าวเป็นอะไรกับเรา แล้วคุณท้าวบอกว่า เราเกิดจากอะไรนะ” เกศสิรินทร์รัตน์พูด “คือ... เออ
ความคิดเห็น