ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุษบาท้าไฟ by ฟ้ารดา

    ลำดับตอนที่ #1 : แม่เกลียดนักดนตรี

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 57


    บุษบาท้าไฟ

     

    โดย ฟ้ารดา

     

    ตอน แม่เกลียดนักดนตรี

    ตอนที่ 1

     

     

    รองเท้าผ้าใบสองคู่ย่ำลงไปบนทางเท้าที่เป็นซอยแคบๆ หลังตลาดแห่งหนึ่งซึ่งแออัดไปด้วยบ้านหลังเล็กๆ ในลักษณะไม่เร่งรีบนัก บุษบาบัณ บางจอมไพร หรือบุษบา สาวสวยหน้าใสวัยยี่สิบสามปี ผู้มีรอยยิ้มพริ้มพรายประดับบนใบหน้าทุกครั้งเมื่อได้สนทนากับผู้ที่ถูกใจ เธอคือเจ้าของรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่ง หญิงสาวสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำกับกางเกงยีนสีซีดทรงสกินนี โชว์สะโพกกับเรียวขาที่สวยงาม ส่วนเจ้าของรองเท้าอีกคู่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี วัยไล่เลี่ยกัน ผมยาวระต้นคอ ดัดปลายน้อยๆ สุดเท่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเหนือข้อศอกกับกางเกงขาเดฟ สะพายกระเป๋าใส่กีตาร์ไว้ข้างหลัง ใครเห็นก็รู้ว่าหนุ่มหล่อคนนี้คือนักดนตรีมาดเซอร์

    หนุ่มสาวทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรสสลับกับหัวเราะเบาๆ ทว่าความสุขถูกทำลายลงทันทีที่ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้ยกพื้นที่มีบันไดแค่เพียง 3 ขั้น ตรงประตูที่เปิดอ้าเอาไว้นั้น ร่างบอบบางของหญิงวัยประมาณสี่สิบเจ็ดปี ที่มีใบหน้าคล้ายกับบุษบาบัณ สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นวาววับ แสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน

    “อุ๊ย แม่”

    หญิงสาวอุทานเบาๆ ใจหายวาบด้วยรู้ฤทธิ์เดชของใบบัวผู้เป็นมารดาดีว่าร้ายกาจขนาดไหน ถ้าเห็นเธอเดินมากับผู้ชายที่มีลักษณะเป็นนักร้อง หรือนักดนตรี ความซวยก็จะมาเยือนทั้งเธอและผู้ชายคนนั้น ใบบัวไม่ฟังคำอธิบายว่าเขาเป็นใคร มีนิสัยใจคออย่างไร

    คำว่า “แม่” ของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มนักดนตรีซึ่งเป็นครูสอนกีตาร์ และเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของบุษบาบัณที่สถาบันสอนดนตรียืนตัวตรงยกมือไหว้ ทักทายด้วยรอยยิ้ม

    “สวัสดีครับแม่” ท่าทางชายหนุ่มดูปลื้มปริ่มอย่างที่สุด ต่างจากบุษบาบัณที่มีอาการเหมือนปลากำลังขาดออกซิเจน ได้แต่พูดในใจว่า ซวยแล้วๆ

    “ฉันมีลูกคนเดียวเท่านั้นคือบุษบา”

    ใบบัวเสียงเข้ม หน้าแดงก่ำ แววตาฉายรังสีความเหี้ยมออกมาอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มคนดังกล่าวถึงกับหน้าซีดเผือด รีบลดมือลงทันที พลางหันมองบุษบาบัณที่ขยับถอยห่างออกไป ใบหน้าเธอซีดอย่างเห็นได้ชัด

    “ปั้น เธอกลับไปก่อนนะ ขอบใจที่มาส่ง”

    “บุษบา ทำไม แม่เธอถึง...” ปั้นพยายามถามเสียงสั่นๆ ไม่กล้ามองไปที่ใบบัว ซึ่งบัดนี้กำลังก้าวลงมาจากบันได ท่าทางดุร้ายราวกับเสือแม่ลูกอ่อน บุษบาบัณเห็นดังนั้นจึงเร่งให้เพื่อนร่วมงานกลับโดยเร็ว

    “ปั้น กลับไปก่อนเถอะน่า ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”

    “บุษบา บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าห้ามคบกับพวกนักร้อง นักดนตรี ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเลย”

    เสียงดังจนเกือบตะโกนคือตัวเร่งให้ปั้นถอยหลังด้วยความกลัว รู้แล้วว่ามารดาของบุษบาบัณไม่พอใจที่เขามาส่งเธอ ชายหนุ่มเงยหน้ามองใบบัวอย่างขลาดๆ และใจตกวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าบัดนี้ใบหน้ามารดาเพื่อนเหมือนใบหน้าของเพชฌฆาตชัดๆ

    เขารู้ทันทีว่าอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว จะต้องไปให้เร็วที่สุด!

    “แม่คะ ฟังบุษบาก่อน” หญิงสาวพยายามประวิงเวลาเพื่อให้ปั้นไปจากที่นี่ จะได้ไม่ต้องได้ยินคำบริภาษให้ระคายหู จนพานทำให้เขาไม่ชอบหน้าเธอไปอีกคน

    “ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าคบกับคนพวกนี้ แต่แกไม่เคยฟังฉันเลย จะทำร้ายกันไปถึงไหน นี่เธอไปเลยนะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก”

    ประโยคหลังใบบัวหันไปส่งเสียงไล่ปั้นที่กำลังกลับหลังหัน เดินจ้ำจนเกือบวิ่งออกไปจากหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว บุษบาบัณเห็นดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้น หลับตา ยกมือทั้งสองข้างปิดหูเอาไว้ ก่อนจะลูบลงมาช้าๆ เหนื่อยใจกับปากร้ายๆ ของมารดาเป็นที่สุด

    ใบบัวไม่เคยไว้หน้าเธอเลย หลายครั้งหลายหนที่เพื่อนผู้ชายไม่ว่าจะเป็นนักร้อง หรือนักดนตรีถูกไล่ตะเพิดอย่างไร้มารยาท จนพวกเขาเหล่านั้นขยาดไม่กล้าคบหากับเธอ ทุกวันนี้เธอจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เลิกงานเสร็จก็กลับบ้านเพื่อมาช่วยมารดาขายขนมในตลาด หลังจากขายขนมเสร็จก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปคบค้าสมาคมกับใคร

    “จากนี้เป็นต้นไป นางสาวบุษบาบัณคงไม่มีเพื่อนคบแล้วละ”

    “ไม่ต้องมาพูดประชดเลยนะ ที่ฉันทำอย่างนี้เพราะรักแกมาก ไม่อยากให้แกถูกหลอกจากผู้ชายที่เป็นนักร้อง นักดนตรี”

    “แม่คะ ผู้ชายถ้ามันคิดจะหลอกเราไม่จำเป็นต้องเป็นนักร้องนักดนตรีหรอกค่ะ อาชีพไหนมันก็หลอกได้ทั้งนั้นแหละ แม้แต่พวกวินมอเตอร์ไซค์ก็เถอะ”

    บุษบาบัณเถียงบ้าง เสียงของเธออาจจะดังเกินไป เพื่อนบ้านจึงพากันชะเง้อมองอย่างสนใจ เห็นดังนั้นใบบัวจึงดึงแขนเล็กเรียวขึ้นไปบนบ้าน ตามด้วยเสียงปิดประตูดังโครม บุษบาบัณนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกเก่าๆ ซบหน้าลงกับโต๊ะกินข้าวอย่างเซ็งๆ เพราะรู้ว่าจากนี้ไปใบบัวจะต้องร่ายยาวจนหูชา

    “แสดงว่าแกอยากมีแฟนใช่ไหม ถึงได้เถียงแทนไอ้ผู้ชายพวกนั้นน่ะ”

    “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น แม่อย่าพูดเรื่องนี้เลย บุษบาเบื่อ”

    “นี่ แกจะเบื่อไม่ได้นะ ฉันเป็นแม่ ที่บ่นที่ว่าเนี่ยเพราะกลัวว่าแกจะพลาดท่าให้ไอ้ผู้ชายพวกนั้น โดยเฉพาะนักร้อง นักดนตรี ปากมันหวาน ทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ ฉันเกลียดๆ”

    เวลานี้ท่าทางของใบบัวเหมือนคนเป็นโรคประสาท ทุกครั้งที่พูดถึงนักร้อง นักดนตรีจะโกรธจัด แล้วตำหนิบุษบาบัณอย่างรุนแรง โดยใช้คำพูดที่ทำให้เจ็บปวดจนบางครั้งเธอต้องแอบร้องไห้ด้วยความน้อยใจ

    “แม่ หยุดพูดเถอะ”

    “ไม่หยุด ฉันจะพูดให้มันแทรกซึมเข้าไปในสมองของแก ฉันกลัวว่าถ้าแกขืนคบกับผู้ชายพวกนั้น สักวันแกจะท้องโต หาพ่อเด็กไม่ได้ แล้วน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”

    “มันจะไม่มีวันนั้นแน่ แม่คะ บุษบาอยากรู้ว่าทำไมแม่ถึงได้จงเกลียดจงชังพวกนักร้องนักดนตรีนัก”

    “แกไม่ต้องมาถามฉัน แกเป็นลูกประสาอะไรเถียงแม่ฉอดๆ ไม่มีความเกรงกลัวกันบ้างเลย โอ๊ย เหนื่อยใจจริงๆ”

    บุษบาบัณอยากจะเถียงต่อว่ามารดาไม่มีเหตุผล ที่ห้ามเธอไม่ให้คบกับนักร้องนักดนตรี ทั้งที่เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กเธอจำได้ว่าใบบัวเคยเปิดทั้งเพลงไทย และเพลงสากลเพราะๆ ให้ฟังบ่อยๆ  กระทั่งเธอเริ่มเป็นสาว ใบบัวกลับไม่ฟังเพลงอีกเลย

    และด้วยความที่บุษบาบัณได้ฟังเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้เธอสามารถร้องตามได้ และกลายเป็นคนรักเสียงเพลง จนถึงขั้นแอบไปประกวดร้องเพลงในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยจนชนะ ได้ทั้งโล่ ใบประกาศเกียรติคุณ และเงินรางวัล

    แต่เธอเอาโล่และใบประกาศเกียรติคุณซ่อนไว้อย่างมิดชิด กลัวว่าถ้าใบบัวเห็นจะต้องโกรธจัด แล้วทำลายรางวัลอันทรงคุณค่าเหล่านั้น

    หญิงสาวอยากรู้ว่าอะไรทำให้ใบบัวเกลียดผู้ที่มีอาชีพเป็นนักร้อง นักดนตรีนัก แต่ทุกครั้งที่ถามก็จะถูกด่าว่าจนต้องร้องไห้ เหมือนวันนี้ที่พลาดให้ปั้นมาส่ง ทำให้เกิดเรื่องจนได้ ไม่รู้ว่าปั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

     

    รุ่งเช้าบุษบาบัณมาทำงานที่สถาบันสอนดนตรีด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เธอไม่อยากเจอหน้าปั้น กลัวเขาโกรธเรื่องที่มารดาของเธอไล่ตะเพิดอย่างไร้มารยาท เธอจึงพยายามเลี่ยง ถ้าเห็นปั้นอยู่ตรงไหนก็จะเดินหนี ต่างจากปั้นที่ตามติด เมื่อสบโอกาสจึงเข้ามาหา ทักทายด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “วันนี้ลูกศิษย์มาเรียนเยอะไหม”

    ปั้นร่าเริงเสียจนบุษบาบัณรู้สึกผิดที่พยายามหลบหน้าเขา และไม่ได้ขอโทษต่อสิ่งที่มารดาทำ

    “พอสมควร ปั้น เรื่องเมื่อวาน...” หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบ ปั้นรีบโบกมือไปมา หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

    “ไม่เป็นไร เราไม่เก็บมาคิดหรอก เข้าใจคนเป็นแม่ว่าต้องหวงลูกเป็นธรรมดา โดยเฉพาะลูกสาวที่สวยอย่างนี้”

    “แต่แม่ก็ทำเกินไป ขอโทษนะ”

    หญิงสาวยกมือไหว้เพื่อนร่วมงาน สีหน้ารู้สึกผิดเต็มที่ ปั้นเห็นดังนั้นรีบจับปลายนิ้วสวยเอาไว้ รู้สึกพึงพอใจหญิงสาวไม่น้อย แต่ก็รู้ว่าโอกาสที่จะพัฒนาจากเพื่อนไปเป็นคนรักนั้นยากเต็มที เพราะเธอมีแม่ที่หวงลูกสาวมาก

    “อย่าคิดมาก เล็กน้อยน่า”

    “แม่จะโกรธมากทุกครั้งถ้ารู้ว่าเราไปข้องเกี่ยวกับพวกนักร้อง หรือนักดนตรี ซึ่งเราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้”

    “หือ ขนาดนั้นเลยหรือ แล้วที่บุษบามาทำงานเป็นครูสอนร้องเพลงที่นี่ล่ะ แม่ว่าไง”

    “แม่ไม่รู้ว่าเราเป็นครูสอนร้องเพลง ถ้ารู้ละก็ปั้นเอ๊ย เราคงต้องหางานใหม่ทำแน่ๆ กลุ้มใจจังเลย ไม่รู้จะทำยังไง รู้สึกบาปในใจที่หลอกแม่ว่าทำงานเป็นฝ่ายศิลป์ ดีนะที่ฝ่ายศิลป์ไม่ต้องใส่ชุดยูนิฟอร์มของห้าง”

    “เอาน่า อย่างไรแม่ก็คือแม่ เราต้องเชื่อฟัง สักวันแม่คงเข้าใจ สู้ๆ”

    ชายหนุ่มตบบ่าหญิงสาวเบาๆ หลังจากพูดให้กำลังใจด้วยใบหน้ายิ้มๆ ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เธอรู้สึกสงสารปั้นที่ถูกใบบัวไล่อย่างน่าเกลียดเมื่อวาน ถ้าเป็นคนอื่นเจออย่างนี้คงขวัญหนีดีฝ่อ และเลิกคบหากันไปเลย

     

    ก่อนสอนเด็กในช่วงบ่าย บุษบาบัณปลีกตัวมารับประทานอาหารเพียงลำพัง และถือโอกาสแวะส่วนที่เป็นพลาซ่า ดูเสื้อผ้าผู้หญิงที่เธอหมายตาเอาไว้แล้วตัวหนึ่ง ตั้งใจว่าถ้าเงินเดือนออกจะซื้อไปให้มารดาเพราะเห็นว่าใส่แต่เสื้อผ้าเก่าๆ

    แม้งานที่ทำได้เงินเดือนไม่มากนัก แต่เธอก็อยากตอบแทนผู้เป็นมารดาบ้าง ทันทีที่เข้ามาในร้าน จึงตรงไปยังเสื้อตัวนั้น สัมผัสเนื้อผ้านิ่ม สีสวยสบายตา เมื่อพลิกดูราคาเห็นว่าพอที่จะซื้อได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ก็ต้องรอให้ถึงสิ้นเดือนก่อน จึงขอจองกับคนขายเอาไว้

    “พี่คะ หนูขอจองเสื้อตัวนี้เอาไว้ก่อนนะคะ สิ้นเดือนจะมาซื้อค่ะ”

    “ได้เลยค่ะ คุณน้องขา ลายนี้ สีนี้ยังมีอีกสองตัว พี่จะเก็บไว้ให้นะคะ”

    คนขายหญิงวัยกลางคน แต่งตัวดีรีบเอาเสื้อตัวที่เหมือนกันออกมาจากตู้เก็บ แล้วโชว์ให้ดู บุษบาบัณยกมือไหว้ขอบคุณเสียงหวาน

    “ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”

    “ไม่เป็นไรค่ะ อ้อ เชิญค่ะ เลือกดูตามใจชอบนะคะ มีหลายแบบหลายแนวค่ะ”

    คนขายหันไปต้อนรับลูกค้าสองแม่ลูกที่กำลังเมียงมองอยู่หน้าร้าน บุษบาบัณหันตามไปแล้วส่งเสียงทักทายเด็กหญิงวัย เก้าขวบ หน้าตาน่ารัก

    “สวัสดีค่ะน้องยะหยา สวัสดีค่ะคุณแม่”

    หญิงสาวยกมือสวัสดีมารดาของเด็กหญิงซึ่งเป็นลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอทันที

    “สวัสดีค่ะคุณครูบุษบา”

    “สวัสดีค่ะคุณครู ซื้อเสื้อหรือคะ พี่ก็กำลังจะมาดูเหมือนกัน เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่ยะหยาจะเข้าเรียนก็เลยแวะสักหน่อย ตามประสาผู้หญิง เห็นของสวยๆ งามๆ ก็อดไม่ได้”

    มารดาของเด็กหญิงยะหยาเป็นคนพูดเสียงดัง ผู้คนที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านจึงพากันหันมามอง รวมทั้งร้อยตำรวจเอกจอมจักร จรัสแจ้ง ที่ถึงกับชะงักร่างสูงบึกบึนเมื่อเห็นบุษบาบัณยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อย ใบหน้าสวยเฉี่ยว สดใส ไร้เครื่องสำอางดึงดูดใจผู้กองหนุ่มให้ตรึงอยู่กับที่ รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงขึ้น

    เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ในชีวิตตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่มกระทั่งอายุ 28 ปี ไม่เคยรู้สึกพิเศษกับผู้หญิงคนไหนเท่ากับเธอ ด้วยอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร สอนอยู่ที่โรงเรียนไหน เขาจึงแกล้งยืนหันหลังให้ และพยายามเงี่ยหูฟังการสนทนาของคนทั้งสาม

    “มาดูเสื้อให้แม่ค่ะ” นอกจากสวยแล้วเสียงของบุษบาบัณยังหวานชวนให้ชายหนุ่มหลงรักทันที

    “น่ารักจังเลยค่ะ" มารดาของเด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยชม ก่อนพากันเดินดูเสื้อผ้าในร้านอีกพักใหญ่

    "อ้าว บ่ายโมงแล้ว คุณครูคะพี่ขอตัวพาน้องยะหยาไปส่งที่ห้องเรียนก่อนนะคะ”

    “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราไปพร้อมกันเลยก็ได้ค่ะ น้องยะหยาขา วันนี้เราต่อเพลงใหม่กันนะคะ”

    หญิงสาวโน้มตัวลงมาคุยกับเด็กหญิงยะหยาที่เงยหน้าขึ้นมายิ้มหวาน พร้อมกับรับคำเสียงใส

    “ค่ะ คุณครูบุษบา”

    “น้องยะหยาบอกพี่ว่าชอบมาเรียนร้องเพลงที่นี่เพราะคุณครูบุษบาสวย ใจดี แถมยังร้องเพลงเพราะมาก ”

    มารดาของเด็กหญิงยะหยาชมด้วยความจริงใจ บุษบาบัณกล่าวขอบคุณ แล้วจับมืออีกข้างของเด็กหญิงตัวน้อยเดินเข้าไปในสถาบันสอนดนตรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากส่วนของพลาซานัก ผู้กองจอมจักรมองตามไม่ยอมให้คลาดสายตา และเดินตามไปห่างๆ

    เขาตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ยาวใกล้ๆ กับบันไดเลื่อน ตรงนี้สามารถเห็นคนที่อยู่ข้างในสถาบันสอนดนตรีได้อย่างชัดเจนเพราะด้านหน้าเป็นกระจกใส เขาเห็นบุษบาบัณเดินเข้าไปในห้องทึบสีขาวห้องหนึ่งที่อยู่ด้านใน ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกเดียวคืออยากเห็นหน้าบุษบาบัณอีกครั้ง

    เขารู้แล้วว่ารักแรกพบเป็นอย่างไร แม้จะเป็นรักที่ฝ่ายหญิงไม่รู้แต่เขามีความสุขที่ได้แอบมองเธออยู่อย่างนี้ และเขาคงนั่งอยู่ตรงนี้อีกนาน ถ้าไม่ได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น ผู้กองหนุ่มรีบกดรับทันที

    “สวัสดีจ่าศาสตร์ มาถึงแล้วหรือ”

    “ครับผู้กอง ตอนนี้สารวัตรเพิ่มก็อยู่กับผมแล้ว ที่ร้านกาแฟข้างล่าง”

    จ่าศาสตร์รายงานเสียงแจ้ว ผู้กองหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วพาร่างสูงใหญ่ตรงไปยังบันไดเลื่อน ขณะบันไดกำลังเคลื่อนตัวลงไปยังชั้นล่าง เขาหันกลับมามองที่สถาบันสอนดนตรี หวังจะได้เห็นบุษบาบัณอีกครั้ง แต่ก็พบกับความผิดหวัง

     

    ภายในร้านกาแฟชื่อดัง ทันทีที่ร้อยตำรวจเอกจอมจักร เดินพ้นประตูเข้าไป กลิ่นหอมจากกาแฟชั้นดีก็โชยมาเตะจมูก เขาสูดดมช้าๆ รู้สึกอยากดื่มขึ้นมาทันที ทว่ายังไม่ทันสั่งเสียงเรียกชื่อก็ดังขึ้นก่อน

    “ผู้กอง ผู้กอง ทางนี้ครับ”

    ผู้กองหนุ่มเดินไปยังโต๊ะด้านในที่มีชายร่างใหญ่สองคนนั่งอยู่ ทั้งคู่สวมเสื้อยืดสีดำ คนหนึ่งเป็นหนุ่มใหญ่ ผิวขาว อายุประมาณสามสิบห้าปี ท่าทางใจดีเพราะใบหน้าพราวด้วยรอยยิ้ม ส่วนชายอีกคนหน้าตาคมเข้มพอๆ กับสีผิว ซึ่งขณะนี้แสดงอาการกรุ้มกริ่ม ส่งสายตาหวานๆ ไปให้สาวสวยที่นั่งโต๊ะใกล้ๆ กัน เธอคนนั้นแต่งหน้าจัด ทำผมทรงฟาราห์ รูปร่างเพรียว สวมเสื้อสายเดี่ยวสีดำกับกระโปรงยีนสั้นเหนือเข่า โชว์หน้าอกขาวที่ล้นออกมานอกคอเสื้อที่เว้าลึก

    หญิงสาวนั่งไขว่ห้าง อวดเรียวขาสวยและรองเท้าส้นสูงปลายแหลมยี่ห้อดัง เพิ่มความเซ็กซี่ยิ่งขึ้น เธอยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบช้าๆ วางท่าราวกับพญาหงส์ และไม่มีท่าทีสนใจจ่าศาสตร์

    “สวัสดีครับสารวัตร สวัสดีจ่าศาสตร์”

    ร้อยตำรวจเอกจอมจักรกล่าวทักทายพันตำรวจโทเพิ่มเกียรติ ผู้บังคับบัญชาและ จ่าสิบตำรวจศาสตร์ คู่หูฝ่ายกองปราบ

    “นั่งก่อนสิครับ ผมสั่งคาปูชิโนให้คุณแล้ว”

    “ขอบคุณครับสารวัตร รู้ใจผมจริง” ผู้กองหนุ่มยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม อิ่มเอมไปกับความหอมหวาน แล้วสูดกลิ่นอย่างมีความสุข

    “ผมรู้ว่าผู้กองชอบกาแฟใส่นม ส่วนจ่าศาสตร์ชอบนมอย่างเดียว”

    พันตำรวจโทเน้นคำว่านมก่อนบุ้ยปากไปทางจ่าหนุ่มที่ยังคงจับจ้องสาวสวยสุดเซ็กซี่คนเดิม แต่แล้วก็ต้องถอนใจเสียงดังเมื่อเห็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคนท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามา แล้วนั่งตรงข้ามกับหญิงสาว เขากุมมือเธอเอาไว้ แสดงออกถึงความรัก

    “มานานหรือยังจ๊ะ ที่รัก”

    “เพิ่งมาถึงค่ะ”

    ทั้งหมดได้ยินเสียงห้าวของสาวเซ็กซี่อย่างชัดเจน ก่อนหันมามองหน้ากัน โดยเฉพาะจ่าศาสตร์ที่ถึงกับอุทานออกมาเบาๆ

    “กะเทย”

    “เพิ่งรู้หรือจ่า” ผู้บังคับบัญชาถามอย่างขำๆ

    “ครับ ผมมัวแต่มองหน้าอก ลืมดูกระเดือก แหลมเปี้ยบเลย โอย ถ้าเกิดเธอสนใจผมขึ้นมาคงได้พากันไปทัวร์ดงขมิ้นแน่ๆ เลย”

    เสียงสั่นๆ กับหน้าตื่นๆ ของผู้ใต้บังคับบัญชาเรียกรอยยิ้มจากสองหนุ่มได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเขามักมีเรื่องให้คนที่อยู่ด้วยหัวเราะได้เสมอ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×