คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : #ฟิคหน้าใส บทที่ 5 จำขึ้นใจ
ขออนุญาตเจ้าของรูปนะคะ
“ มาแล้ว ... อ้าว แล้วพี่คิมอะ ” คนพึ่งเดินกลับมามองไปยังเก้าอี้ตัวตรงข้ามก่อนจะหันไปถามเพื่อนตัวเล็กที่กำลังนั่งดูดน้ำอยู่
“ กลับไปแล้ว มันบอกง่วงนอน ” พี่ชายตัวสูงหันมาตอบแทน
“ อ่อครับ ... ”
เฮ้ออออ
เสียงถอนหายใจเหนื่อยๆดังจากผู้ชายตัวบางที่กำลังนั่งอยู่กลางป้ายรถเมล์เพียงลำพัง เวลานี้ใครก็รู้ว่าไม่มีรถเมล์ผ่านแล้ว แทนที่จะรีบโบกแท็กซี่กลับบ้านไป แต่เขาเลือกที่จะนั่งถอนหายใจเหยียดขาอยู่ตรงนี้แทน
ภาพเด็กผู้ชายหน้าใสยังคงวิ่งวนอยู่ในหัวไม่ยอมหยุด เสียงใจตัวเองที่กำลังดังสู้กับเสียงมอไซต์บนท้องถนนก็ทำให้เจ้าของดวงใจถอนหายใจออกมาอีกที เขายังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำตั้งแต่เจอกันวันแรกจนวันนี้ในหัวก็ยังมีแต่เรื่องของคนเดิมๆ
โธ่เว้ย
เสียงร้องออกมาก่อนจะถอดหมวกออกแล้วขยี้หัวตัวเองแรงๆซ้ำไปซ้ำมา อย่าบอกนะว่าเขา เหี้ยยย คงไม่ใช่อะไร คงไม่ใช่หรอก ไม่ดิ มันคงไม่เป็นแบบนั้น ไม่ๆ ไม่แน่ๆ ไม่มีทาง ไม่ดิ ความคิดตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด
คนที่กำลังดิ้นอยู่บนเก้าอี้นั่งตัวยาวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อมองไปเห็นร่างของคนคุ้นตากำลังเดินตรงมาทางที่เขากำลังนั่งอยู่ คิดได้แล้วคิมก็สวมหมวกกลับเข้าที่หัวก่อนจะเดินมายังริมฟุตบาทกวาดสายตามองหาแท็กซี่
‘ เชี่ยยย ทำไมไม่มีสักคน เมื่อกี้มึงยังวิ่งกันเหมือนถนนแตกอยู่เลย ’ คนที่ไม่สนใจหาทางกลับบ้านมาตั้งนานแต่ตอนนี้กำลังจะเป็นบ้าเมื่อไม่มีวี่แววของรถเลยสักคน
“ เห้ยย พี่ ” เสียงตะโกนที่แสนจะคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง คิมไม่หันไปก่อนจะทำทียืนหารถต่อไป
“ เรียกไม่ได้ยินอ่อ ” คำถามถูกถามหลังจากสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างขนมาที่หลังเขา
“ ได้ยิน แต่ไม่อยากหัน ” คนหันมายักไหล่ก่อนจะมองถุงกระดาษที่อีกคนยื่นมาใส่หน้า
“ อะ เอามาให้ ” มินยัดถุงกระดาษสีน้ำตาลใส่มือของอีกคน
“ อะไรวะ ” คนรับมาถือ เปิดเข้าไปดูก่อนจะพบว่าเป็นเสื้อสีดำที่ถูกพับอยู่ภายใน
“ พี่ลืมไว้ที่ร้าน เลยเอามาให้ .. ตอนแรกว่าจะเอาไปเช็ดโต๊ะแล้วแหละ แต่.. ”
“ ก็เอาไปเช็ดดิ ใครบอกให้เอามาคืน ” คนลืมเสื้อไว้สวนกลับทันที ที่ได้ฟังคำบอกเล่าของออีกคน ไม่อยากคืนก็ไม่ต้องเอามาดิ ตัวเขาเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใส่ไปด้วย
“ เอ้า คนอุส่าเอามาให้ ไมพูดงี้วะ ” น้ำเสียงเปลี่ยนไปเมื่อชักจะหงุดหงิด นี่เขาอุส่าทำดีด้วยแล้ว เพราะทำที่คิดมาตลอด ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็เป็นพี่ชายที่สนิทด้วยของกัปตันมันแถมยังเป็นเพื่อนของพี่ไวท์อีก อายุก็มากกว่าเขาตั้งหลายปีถ้าลองพูดกันดีๆอาจจะเข้าใจกันมากกว่านี้ก็ได้ เขาคิดว่าจะลืมๆเรื่องหลายวันก่อนไปแต่เจอแบบนี้ชักจะคิดผิดแล้วสิ
“ พูดยังไง ”
“ ก็พูดแบบนี้ไง ” มินเริ่มโมโหจริงจังเมื่ออีกคนทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะยัดถุงกระดาษมาใส่คืนที่มือเขา
“ ไม่อยากได้ เอาคืนไป ” ผู้ชายตัวสูงกว่าหันหลังให้คนอายุน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองหารถอีกครั้ง ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกระแทกที่หลังของเขาอย่างแรกเมื่อหันไปดูก็เจอกับถุงกระดาษใบเดิมที่หล่นไปลงอยู่บนพื้นแทน
“ … ”
ไม่มีเสียงคำพูดของใครหลุดลอยออกมา คนสองคนเพียงแค่ยืนมองหน้ากันนิ่งๆเท่านั้น คนตัวเล็กอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ ส่วนอีกคนก็ยืนนิ่งๆ ยิ่งมองเข้าไปในดวงตาที่ว่างเปล่าของคนเป็นพี่ คนที่อุส่าเอาเสื้อมาคืนก็อยากจะเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อ ทั้งๆที่เขาอุส่าเอามาคืน ทั้งๆที่คิดว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น แต่มันกลับเป็นแบบนี้ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอกัน แต่ทำไมคนตรงหน้ายังทำตัวเย่อหยิ่งไม่แคร์ใจเขาบ้างเลย ทำไมต้องพูดอะไรที่มันโคตรแย่ออกมาแบบนี้ด้วย
“ อึก...” และเพียงไม่นานความคิดที่แล่นเร็วยิ่งกว่ารถบนถนนก็ทำให้คนที่กำลังอารมณ์แปรปรวนน้ำตาคลอ กลั้นเสียสะอื้นไว้ มันจุกอกไปหมด เขาไม่เคยคิดจะพยายามสานสัมพันธ์กับใครมากเท่านี้มาก่อน แค่หวังว่ามันจะดีแต่มันก็บอกเขาแล้วว่าเขากำลังคิดผิด
“ เห้ย ” คนที่ยืนจ้องตากันมาก็ทำอะไรไม่ถูกเมื่ออีกคนยกหลังมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองไว้ เขาก้าวเข้าไปใกล้ แต่ก็โดนอีกคนผลักออกมา
“ เห้ย มิน พี่... ” คนที่พอจะรู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุเดินเข้าไปหาร่างเล็กอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับถูกผลักจนเซ พอหันกลับมาอีกที่ร่างของคนตัวเล็กก็ขึ้นแท็กซี่และหายออกไปจากริมฟุตบาทซะแล้ว
โอ้ยยยยยยยย
หลังจากกลับมาถึงบ้านก็เดินผ่านขึ้นห้องทันที เขาไม่ได้หันไปบอกแม่ด้วยซ้ำ เพราะกลัวแม่รู้ว่าตาของเขากำลังแดงอยู่ ตลอดทางบนรถที่กลับบ้านเขาคิดมาตลอดว่าเขาได้ทำอะไรผิดหรืออะไรที่ไม่ดีกับผู้ชายคนนั้นรึเปล่า และคำตอบเดิมๆที่ได้ก็คือไม่ ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยไปทำร้ายใครก่อน แม่บอกเขาเสมอว่าต้องเป็นคนดี อยากให้ใครดีกับเรา เราก็ต้องดีกับเขาก่อน และเขาก็ทำถามที่แม่บอกเสมอมา จนถึงทุกวันนี้คนที่ผ่านเขามาเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จัก เขาก็แคร์ทุกๆคนที่ดีกับเขา เขาไม่เคยเจอใครที่ทำร้ายเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า ไม่เคยมีใครมาพูดจาหยาบคายไรน้ำใจแบบนี้กับเขามากก่อน ไม่ใช่ว่ามินโลกสวยหรือรับไม่ได้ แค่เขาไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้จริงๆ คนที่อคติคิดไปเองตั้งแต่แรก ถึงตอนนี้เขาคงต้องยอมรับแล้วเรื่องที่ว่าเขาไม่ควรจะมาเจอคนคนนี้จริงๆ
ฮึกก
เสียงสะอื้นยังคงดังไปทั้งห้องนอน เขาไม่ได้เสียใจที่โดนทำแบบนี้ แต่เขากำลังเสียใจตัวเอง ผิดหวังที่ตัวเองพาตัวเองไปเจอกับคนแบบนี้ แล้วยังมีความคิดจะไปทำเรื่องดีๆให้เขาอีก แค่คิดแบบนั้นแล้วมันผิดหวังไปหมด
คนตัวเล็กซุกหน้าเข้าหมอนหวังจะซ่อนเสียงสะอื้นที่พยายามกลืนลงคอไปแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ ร่างเล็กยังคงซุกหน้าเข้าหาหมอนหวังเพียงให้เรื่องวันนี้จบลงเพียงแค่ตรงนี้ หวังให้พรุ่งนี้เขาไม่รู้สึกผิดกับตัวเองมากไปกว่านี้
__________________________________
“ ดีนะเนี่ยมึงรู้จักปิดร้านอยู่ ไม่งั้นพวกกูทำงานทุกวันแน่ๆ ” ท็อปแท็ปเอ่ยปากบ่นคนแรกเมื่อมาถึงยังร้านอาหารที่วันนี้หัวหน้าที่จ้างพวกเขาทำงานมาเกือบอาทิต์นัดมากินข้าวด้วยกัน
“ เจอหน้ากันแบบนี้บางทีก็เบื่อนะเออ ” และไม่ใช่ใครอื่น ซิงพูดขึ้นก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะข้างๆ
“ บ่นมากเดี๋ยวไล่กลับร้านให้ไปทำงานเลย ” กัปตันพูดเสียงดังก่อนจะนั่งลงที่ว่างข้างๆกัน
“ ทานแล้วนะครับ ” เมื่ออาหารมาวางตรงหน้าจนครบทุกเมนูแล้ว เด็กหนุ่มก็พูดขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะลงมือยัดทุกอย่างที่ขวางหน้าลงท้อง
เสียงคนคุยกันดังกลมกลืนกันไปทั่วทั้งร้านแยกแทบไม่ออกว่าใครพูดอะไร ไม่รู้จะฟังใครก่อนกันซะด้วยซ้ำ เสียงหัวเราะของคนในโต๊ะดังคนเมื่อเห็นสีหน้าของกัปตันตอนเช็คบิล คนโดนขำแทบทรุด ต่อจากนี้จะจำไว้ว่าเขาไม่ควรมาเลี้ยงข้าวพนักงานที่ร้านเลย ไม่ควรเลย
“ ขอบคุณนะครับหัวหน้า ไปนะครับ ”
“ ขอบใจมากนะจ้ะ น่ารักที่สุดเลย ”
“ เจอกันพรุ่งนี้เว้ย ”
“ ไว้มาเลี้ยงอีกทีตอนสิ้นเดือนนะครับบอส ”
เมื่อออกจากร้านมาสักพักเพื่อนๆก็ขอตัวแยกย้ายกันไป อิ่มท้องแล้วมันก็จากไป จนในที่สุดก็เหลือกันแค่สองคน
“ วันนี้เป็นไรวะ ว่าจะถามนานละ ” กัปตันยื่นไอติมซอฟครีมในมือให้อีกคนตรงหน้า ก่อนจะเลียไอติมในมือของตัวเองอย่างออกรสออกชาติ
“ หื้อ ป่าว ไม่ได้เป็นไร ” มินรับไอติมมาถือก่อนจะเลิกคิ้ว แล้วส่ายหน้าเบาๆเป็นการปฏิเสธ
“ แน่นะ ” จ้องหน้าหวังจะให้เพื่อนบอกความจริง แต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากใบหน้าที่ส่ายไปมาบอกให้เขารู้ว่าเพื่อนคงไม่บอกความจริงจริงๆ
“ จะไปไหนอีกปะ ” มินชวนคุยเรื่องอื่น เมื่อคิดได้ว่าตัวเองกำลังปิดบังเรื่องสำคัญกับเพื่อนตรงหน้าอยู่ เขาแค่ไม่รู้จะอธิบายมันว่ายังไงก็เท่านั้นเอง
“ อยากๆ จะไปดูหูฟังอันใหม่ ไปกันๆ ” ไม่รอให้พูดพร่ำนาน คนตัวเล็กกว่าก็ลากแขนเพื่อนลัดเลาะออกมาหาร้านขายหูฟังแบบที่ตัวเองใช้ประจำ
เด็กหนุ่มสองคนเดินเข้าออกร้านนู้นนี้ไปเรื่อย ร้านรองเท้า ร้านเสื้อผ้า ร้านกระเป๋า จนสุดท้ายก็ถึงเป้าหมายก็คือร้านขายหูฟังทุกแบบที่มีในท้องตลาด มินเลือกจะนั่งรออยู่ที่ทางเข้าหน้าร้านเพราะเท่าที่มองดูในร้านคนแน่มากๆ เหมือนเขากำลังลดแหลกแหกโค้งสุดๆ
อากาศที่ร้อนพอๆกับไมโครเวฟที่สามารถทำเขาสุกได้ทำเอาเหงื่อไหลออกมาเป็นสาย คนตัวเล็กยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าก่อนจะหันเข้าไปมองในร้าน ไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนตัวเองเขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปดูร้านของสะสมที่อยู่ใกล้ๆกัน อย่าน้อยก็ได้ดูอะไรไปด้วยหลบร้อนไปด้วยก็ยังดี
“ ฝากซื้ออะไรนะ ” ทำเสียงเข้มถามเสียงดัง เพราะว่าที่ปลายสายฝากซื้อคือสิ่งที่เขาไม่เคยซื้อ
“ โมเดลไรนะ อะไรนะ … คุมะ คิตตี้ เหี้ยไรเนี่ย กูซื้อไม่ถูกกก ”
“ เออๆ เดี๋ยวไปดูให้ เอออ แค่นี้แหละ เอออออ รู้แล้ว ” หลังจากเถียงกับปลายสายมาตั้งแต่ลงรถ ก่อนจะตัดสาย กูจะเข้าใจมึงนะครับน้องครับว่ามึงฝากกูซื้ออะไร กูโอเคครับกูเข้าใจ
ตรงไปยังร้านขายของตามที่น้องฝากซื้อ นี่ถ้าไม่ติดว่ามันป่วยกูจะไม่ออกมาซื้อของตากแดดแบบนี้แน่ๆ กูสาบานนนน
ปิ๊งป๋อง
เสียงประตูเตือนเมื่อมีคนเข้ามาภายในร้าน ของสะสมกิ๊ฟช็อปวางเรียงกันเป็นแทบๆ มีแบบเดียวกันวางเรียงเป็นสิบๆ แล้ววันนี้กูจะซื้อของไปให้น้องถูกมั้ยเนี่ย
สายตามองสำรวจไปทั่วร้านแล้วก็ต้องรู้สึกโลกหยุดหมุนเมื่อสายตาไปหยุดอยู่ที่คนตัวบางกำลังยืนอ่านหนังสืออยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน ทำเอาคนที่พึ่งเดินเข้ามาทำตัวไม่ถูก ถ้าเดินเข้าไปทักตอนนี้จะทำได้หรอวะ แล้วถ้ากูเมินน้องนี่จะผิดมั้ยวะ โอ๊ยตายย
แต่เมื่ออีกคนหันมาสบตาก็ทำเอาคนที่มองอยู่ต้องรีบหันหน้าหนีทันที คนใส่หมวกรีบดึงหมวกลงมาปิดหน้าก่อนจะเดินเข้าไปยังซอกของหนังสืออีกฝั่งหนึ่ง เขาได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าให้คนที่เขากำลังหลบอยู่มองเห็นเขาเลย
ปิ๊งป๋อง
เสียงออดประตูดังขึ้นอีกทีเมื่อมีคนเดินออกไปจากร้าน พอหันไปมองที่หน้าร้านก็เห็นคนตัวเล็กกำลังเดินหน้าตึงออกจากจนสุดตา หรือว่า..
น้องเห็นกู
________________________________
มาแล้ววววววววววววว
คอมค้างไปยกนึง เราขอโทษ นี่ดึงดราม่าสุดๆเบยยย
อ่านแล้วว่าไง บอกกันน้า
ความคิดเห็น