คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : #ฟิคหน้าใส บทที่ 2
“ กัปตันมีเพื่อนเป็น ตุ๊ด ทำไมกูไม่รู้ ”
เสียงกระซิบที่เจ้าของคำถามคงคิดว่าเบาที่สุดแล้ว กลับถูกลมพัดมาไกลจนถึงหูของเด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ด้านในร้าน
ตอนนี้สองคนเดินออกไปแล้วและประตูก็ปิดสนิทลง แต่ดูเหมือนจะบางอย่างพึ่งเกิดขึ้นในห้องๆนี้ กัปตันเบิกตากว้างด้วยความตกใจในสิ่งที่ตนพึ่งได้ยินไปเมื่อกี้ขนาดเขาไม่ได้เป็นคนถูกกล่าวถึงยังรู้สึกแทบหน้าหงายแล้วคนที่ถูกพูดถึงนี่จะขนาดไหน เมื่อเหลือบไปดูเพื่อนรักที่ตอนยืนนิ่งอยู่ด้านข้างก็ได้พบกับใบหน้าขาวที่ตอนนี้เปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำ ดวงตาคู่สวยหรี่เล็กลงพร้อมกับคิ้วที่ดูแทบจะพันกันได้อยู่แล้ว คนที่ถูกพูดถึงยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะ
“ กูกลับแล้ว ” ยังไม่ทันที่จะได้เปิดปากพูดคนที่หงุดหงิดจนหน้าแดงก็ย่างสามขุมออกไปจากร้าน ทั้งๆที่พึ่งมาถึงไม่นาน
คนตัวเล็กรีบก้าวขาออกมาจากร้านเพื่อนพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำมือกำกันแน่นตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างจากร้านของเพื่อนไม่ไกลนัก
ตอนนี้เขายอมรับว่าความโมโหของเขากำลังพุ่งปรี๊ดขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลง เขาจะไม่โกรธมากขนาดนั้นถ้าคนที่พูดประโยคนั้นไม่หันกลับมามองหน้าเขาหลังจากที่กระซิบถามเพื่อนด้วยสีหน้าชวนตีมองเขาดวงสายตาแปลกๆตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วกระตุกยิ้มมุมปากเป็นการทิ้งท้ายการจะเดินออกไปอย่างไม่ชดใช้การกระทำ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันทำไมมาทำแบบนี้กับเขาได้ แค่คำว่าตุ๊ดมันก็ทำเขาหงุดหงิดแทบบ้า แต่นี้อะไรพูดออกมาตั้งใจให้ได้ยิน ไหนจะสีหน้าแบบนั้นที่ยังติดตาเขาจนนึกถึงเมื่อไหร่ก็เพิ่มความโมโหขึ้นไปอีก
มิน ... เราว่าเราเลิกกันเถอะ
ไม่ใช่นะมิน ไม่ใช่ว่ามินไม่ดี
แค่ใครๆ ก็มองว่ามิน เอ่อ... ไม่ค่อยเหมือนผู้ชาย
ถ้าเรายังคบกัน อยู่ คนอื่นต้องหัวเราะเยาะเราแน่ๆเลย
เราขอโทษนะ .
นั้นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบคำพูดของคนที่ไม่รู้จักเขาดีพอ แต่กลับเอาไปพูดเสียๆหายๆ เอาไปคิดกันเอาเองให้สนุกปากโดยไม่แคร์ความจริง ใครๆก็พูดว่าแค่คำว่า ตุ๊ด จะจริงจังอะไรมาก แต่สำหรับเขามันไม่ใช่เลย มันหนักหนาพอที่จะทำให้เขาต้องเกลียดเวลามองเห็นหน้าตัวเองในกระจก เกลียดร่างกายที่เขาต้องอยู่กับมันทุกๆวัน เกลียดผิวหนังอันบอบบางของเขาอยู่เป็นเดือนๆ
เหตุการณ์ผ่านมานานแต่เขาก็ยังจำไม่ลืม หลังจากที่รักครั้งแรกของเขาต้องจบลงแบบนั้น ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ทั้งๆที่เขาพยายามละรักเธอคนนั้นจากใจจริง ส่งผลให้เขาเริ่มคบเพื่อนน้อยลงและตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็ไม่คิดจะรักใครอีกเลย
แต่เหมือนท้องฟ้าชะตาจะกลั่นแกล้งเมื่อสายตาของเด็กหนุ่มสังเกตเห็นรถเบนซ์สีขาวคันคุ้นตาเหมือนกับคันเมื่อเช้าที่ทำเอาคุณแม่ของตัวเองผวาขับรถต่อไม่ไหวต้องให้ลุงคนสวนขับมาส่งเขาแทน และคนที่ลงมาจากรถก็คือไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี้ถึงเป็นต้นเหตุให้เขาต้องอารมณ์เสียขนาดนี้
คนที่ลงจากรถปิดประตูรถด้านข้างคนขับก่อนจะรอให้รถของเพื่อนตัวเองแล่นออกไปแล้วจึงเดินต่อมารอรถที่ป้าย
ไอ้ไวท์ไอ้เพื่อนใจร้าย ไอ้คนใจดำ ปลุกก็มาเป็นเพื่อนแต่เช้าแต่พอตอนจะกลับนี่ทิ้งกันไว้ให้กูกลับเอง จิตใจมึงทำด้วยอะไร ฮือออออ
ความคิดในใจของคิมดังก้องอยู่ในหัว แต่อีกสิ่งที่แทรกเขามาในหัวของเขาคือใบหน้าของเด็กผู้ชายที่เขาพึ่งเจอในร้านเค้กของกัปตันเมื่อกี้ ใบหน้าที่เปลี่ยนจากสีขาวนวลเป็นสีแดงเมื่อเขาเอ่ยประโยคที่ตั้งใจให้เจ้าตัวได้ยิน แต่ไม่คิดว่าด็เกคนนั้นจะยืนนิ่งไปซะอย่างนั้น
“ พี่ครับ ” ระหว่างที่อีกคนกำลังจมกับภวังค์ของตัวเองอยู่ก็ต้องสะดุ้ง เพราะมีมือของใครบางคนมาวางลงบนไหล่ เขารีบหันหน้ากลับไปมองเจ้าของมือขาวซีด ที่ตอนนี้มายืนอยู่ด้านหลังของเขาไม่ห่างมากนัก
“ … ” คนตัวสูงกว่าไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าของเขาเป็นไปจากตกใจก็กลายเป็นการเอียงคอพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยทันที เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาทักคือไอ้เด็กตุ๊ดที่เขาพึ่งนึกถึงเมื่อตะกี้
“ ตอนอยู่หน้าร้านพี่พูดว่าใครเป็นตุ๊ดหรอ ” หางเสียงของคนที่กำลังพยายามคุมอารมณ์หายไปแทนที่ด้วยความโมโหอีกครั้ง เมื่อขึ้นท่าทางของคนที่อายุมากกว่าที่แสดงออกชัดเจนว่าเขาตั้งใจจะกวนประสาท
“ เปล่าหนิ พี่ก็ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย ” คนตัวสูงที่ยืนกอดอกตอบพร้อมกับยักไหล่ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ หรอ ถ้าพี่พูดถึงผม ผมไม่ขำด้วยนะ ” คนตัวเล็กที่ตอนนี้ยืนกำหมัดแน่นด้วยความโมโหกับท่าทางของคนที่เขากำลังพูดด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ผิดกับสีหน้าตอนที่เขาเห็นอยู่หน้าประตูร้านโดยสิ้นเชิง
“ พี่พูดถึงเพื่อนกัปตัน คนที่ผิวคล้ำตีวอลเลย์น่ะครับ น้องรู้จักรึเปล่าหละ ” ตอบทั้งที่ยังยืนกอดอกอยู่เหมือนเดิมพร้อมกับยิ้มร่าให้กับอีกคนที่ตอนนี้ทำหน้าแบบที่พร้อมจะกินเขาไปได้ทั้งตัว
“ ไม่ขำนะพี่ แค่จะบอกว่าถ้าพูดถึงผม ผมไม่ชอบ! แล้วไม่ได้รู้จักอะไรกัน ” เด็กหนุ่มหลุดตะหวาดเสียงดังออกมา เขาไม่ชอบเลยที่เห็นท่าทางสบายของอีกคนที่ไม่รู้สึกผิดทุกข์ร้อนกับเรื่องที่เขาทำลงไป
“ อูยยย ใครจะไปว่าน้องมินหละครับ เราพึ่งเจอกันเองพี่ไม่ได้ใจร้ายแบบนั้น ” คนอายุมากกว่าลดมือจากการกอดอกมาเปลี่ยนเป็นการโบกมือไปมาปฏิเสธส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับไม่ลืมที่จะยิ้มร่าเริงตอบกลับไป
“ น้องออกจะมาดแมน พี่ไม่มีทางกล้าไปว่าหรอกครับ ” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่ง เขาก็ถือวิสาสะยื่นหน้าเข้าไปหาใกล้ๆ คนที่ยืนนิ่งอยู่
“ แต่ถ้าน้องมินจะเป็นจริงๆ ก็บอกพี่ได้นะครับ ” เมื่อสายตาเหลือบเห็นรถเมล์สายที่ผ่านบ้านตัวเอง เขาก็พูดประโยคหลังทิ้งไว้ให้กับเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ตอนนี้ก็ยังคงยืนนิ่งแต่ใบหน้าที่กลับมาแดงกว่าเดิมเป็นหลักฐานให้เขาได้ว่าเด็กคนนั้นคงกำลังหงุดหงิดแบบสุดๆ
“ เป็นไรเนี่ยพี่ เดินไปยิ้มไป เพี้ยนป่ะ ” เสียงทุ้มต่ำของไอ้เด็กข้างห้องดังตามหลังมาหลังจากที่เห็นพี่ชายที่ตัวเล็กกว่าตัวเองพึ่งเดินผ่านหน้าห้องของเขาไป
“ เออ กูว่ากูเพี้ยนนิดๆละ ” คนที่ใส่หมวกมาครึ่งวันดึงหมวกไหมพรมออกจากศีรษะก่อนจะหยิบกุญแจห้องมาไขปลดล็อคประตู
“ เชื่อเลย ” ไม่พูดพร่ำนานเด็กข้างห้องเขาก็เปิดประตูหายเข้าไปในห้องก่อนที่เขาจะไขเปิดประตูของตัวเองเสร็จ
คิมเดินเข้าห้องของตัวเองก่อนจะปิดประตูและโยนหมวกทิ้งลงตะกร้าผ้าที่อยู่ใกล้ๆ ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์คลาสสิคสีครีมและน้ำตาลผสมผสานกันไปทั้งเฟอร์นิเจอร์และพื้นห้องทุกอย่างถูกตกแต่งไว้อย่างดี
เขามองไปยังโต๊ะคอมที่อยู่ปลายเตียงก็พบกับข้าวของเยอะแยะที่ถูกวางกระจายเต็มไปหมดไม่ใช่ใครที่ไหนที่ทำให้มันรกเขาเอง เขามีของสะสมเยอะแยะไปหมดแต่วันนี้เขาได้บางอย่างกลับห้องมาด้วย บางอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าควรจะจัดการกับมันยังไง บางอย่างที่เขาคงต้องปวดหัวเพราะคิดถึงมันไปอีกนาน
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอนุญาต ประตูห้องของเขาก็เปิดกว้างออกพร้อมกับร่างของไอ้เด็กข้างห้องที่ถลาเข้ามา
“ พี่คิมครับบบบ น้องฟีฟ่าคนหล่อของยืมจอยไปเล่นเกมหน่อยสิครับบบ ” เสียงทุ้มต่ำที่เจ้าตัวพยายามพูดให้ดูน่ารัก แต่ในความคิดของคนฟังบอกได้เลยว่าไม่สักนิดแถมฟังดูขนลุกแปลกๆ
“ เออ เอาเลยๆ .....ออกไปล็อคห้องให้ด้วยนะเว้ย ” เจ้าของห้องชี้นิ้วไปทางอุปกรณ์เล่นเกมส์ที่น้องชอบมายืมก่อนจะเดินตรงไปที่โซฟาสีขาวตัวยาวแล้วทอดตัวนอนลงหลับตาลงเมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น สักพักในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบและสติของเขาก็ค่อยๆจางหายไปเปลี่ยนเป็นภาพขาวโพลนในโลกที่ล่องลอย
“ แม่ครับ ” เสียงใสของเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักดังจากหน้าประตูห้องนอนของคนเป็นแม่ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาแล้วก็รีบตรงเข้ามากอดแม่ของตัวเองที่นั่งอยู่ทันที
“ เอ้า ทำไมมินกลับมาเร็วจังลูก พึ่งออกไปเอง ” หญิงสาววัยกลางคนแต่หน้าตายังสะสวยราวกับว่าเป็นพี่สาวของลูกชาย ก้มลงมองหน้าลูกชายด้วยท่าทางสงสัย
“ มีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ มินเลยกลับมาก่อน ” เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนที่ทำให้เขาโมโหก็ลอยกลับเขามา ทำให้เจ้าตัวรีบกระชับกอดแม่แน่นกว่าเดิม
คนเป็นแม่กอดตอบลูกชายพร้อมกับลูบผมสีดำสนิทของลูกเบาๆ เธารู้ว่าลูกชายต้องไปเจอกับอะไรที่ไม่สบายใจมาแน่ๆ ถึงได้มากอดเธอแน่นขนาดนี้ และเท่าที่พอจะคิดออกก็คงเป็นเรื่องๆเดียวที่ทำให้ลูกชายที่รักของเธอไม่สบายใจได้มากๆ ก็คงไม่พ้นเรื่องรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกับเด็กสาวที่เจ้าตัวเคยไม่พอใจแบบสุดๆ
“ มินกลับห้องดีกว่า แม่จะได้นอนต่อ ” หลังจากที่กอดกันเงียบๆมาสักพักใหญ่ ลูกชายสุดที่รักก็ขอตัวกลับห้องก็จะรีบลุกแล้วเดินออกจากห้องไป
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเบาลง หลังจากที่ได้กอดจากแม่ของตัวเอง ถึงวันนี้จะมีคนมากวนใจเขามันอาจจะทำให้เขาอารมณ์เสียไปมาก แต่พอคิดว่าจะปล่อยให้เรื่องแค่นี้มาทำลายวันดีๆของเขามันก็แทบไม่คุ้มเลย เขาคิดถึงคำพูดของแม่ที่บอกเขาประจำๆได้ว่า แคร์คนที่เขาแครร์เราก็พอแล้ว
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่หวังให้ใบหน้าและคำพูดที่ผู้ชายคนนั้นพูดไว้กับเขาหลุดออกไปจากหัว ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งเดียวที่จะได้เจอกับผู้ชายคนนี้ เพราะถ้าเจอกันอีกเขาไม่มีทางรับมือได้แน่ๆ
- ตอนสองมาตามคำบอกแล้วน้า
ตอนนี้มีฟีฟ่าปรากฎตัวแล้ว
ขอให้คำภาวนาของมินเป็นจริงนะหนู นี่เป็นห่วง
ความคิดเห็น