คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : #ฟิคหน้าใส บทที่ 9 แดงขาว
ขออนุญาตเจ้าของรูปนะคะ
ตะวันหลับตา
ท้องฟ้าก็ทาสีดำ
แต่สิ่งที่ฉันต้องทำ
เป็นประจำคือ คิดถึงเธอ
ท่อนแรกของเพลงสุดท้ายดังขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศบนดาดฟ้าในยามค่ำคืนแสงดาวสาดส่องลงมาแต่คงสู้กับแสงจากตึกสูงทั่วเมืองกรุงไม่ได้
นับตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็สองเดือนได้แล้วที่เขาได้พบกับเด็กหนุ่มน่าตาน่ารักที่ทำให้ชีวิตในแต่ละวันของเขานั้นเปลี่ยนไป
ใจฉันเหมือนนก คอยบินไปนอกหน้าต่างเสมอ อยากบินไปบ้านเธอ
เธอคงหลับแล้ว ไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่ามีใครเขาแอบเผย ความในใจเป็นตัวหนังสือ
ถ้อยคำว่ารัก ฉันเขียนให้เธอโดยไม่หารือ บางครั้งฉันยังฝึกปรือ บอกรักเธอหน้าตู้กระจก
คงไม่ต้องถามถึงว่าเป็นใคร และก็คงไม่ต้องไปบินตามหาถึงบ้านอย่างในเนื้อเพลงเพราะคนที่เขากำลังหมายถึงนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหน้าสุดชิดเวที ที่ตอนนี้กำลังนั่งคุยกันอยู่กับเพื่อนและน้องของเขา
เธอเป็นแฟนฉันแล้วรู้ตัวบ้างไหม
แล้วเมื่อไรหนอ ฉันจะได้เป็นแฟนของเธอ
ก่อนนอนฉันเขียนบันทึกถึงเธอเสมอ อยากบอกรักเธออย่างเป็นทางการแต่ไม่กล้าพอ
ทุกคำที่ร้องออกมาล้วนถูกกลั้นออกมาจากใจ คนที่ร้องเพลงก็ต้องยิ้มกว้างไปมากกว่าเดิมเมื่อคนที่เขากำลังมองอยู่จู่ๆก็หันมาสบตา เด็กหนุ่มไม่ได้หันหน้าหนีไป แต่ยังคงนั่งมองเขาอยู่อย่างนั้นพร้อมกับโยกตัวไปตามจังหวะของเสียงดนตรี
เรื่องราวความรัก ลงเอยที่ยิ้มหรือเศร้า ฉันก็ไม่อาจเดา คิดมากไปก็กลัวเป็นทุกข์
มากขึ้นทุกวันรักฉันเหมือนเหรียญที่หยอดกระปุก ฉันมีความสุขแม้เป็นแค่คนที่แอบรักเธอ
ทุกเนื้อร้องมันช่างตรงกับใจของคนร้อง เขายังคงยิ้มอยู่แบบนั้น แล้วก็ร้องวนท่อนสุดท้ายก็ที่เพลงนี้จะจบลง
มากขึ้นทุกวันรักฉันเหมือนเหรียญที่หยอดกระปุก
ฉันมีความสุขแค่ได้เจอเธอทุกวันก็พอ . . .
เสียงกีต้าท่อนสุดท้ายจบลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือจากบรรดาแขกด้านล่าง คนที่ร้องจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก็จะโค้งตัวแล้วลงมาจากเวที
“ กินไรดี ” เสียงคนที่นั่งยิ้มมานานถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันภายในรถ
“ มินกินมาแล้วไง พี่คิมอะทำไมไม่กินอยู่ร้านพี่ไวท์ ” เด็กหนุ่มตัวเล็กที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับเอ่ยปากตอบในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจองที่มือถือในมืออยู่
“ ฮืมมม... กินทุกวันก็ให้เบื่อบ้างดิ นี่จะจำได้หมดทุกเมนูแล้วเว้ย ” คนขับรถบ่นแล้วก็หักพวงมาลัยไปตามท้องถนน ดึกขนาดไหนก็ไม่ได้ทำให้ถนนโล่งโปร่งไปมากว่าเดิมสักเท่าไหร่หรอก
“ พี่อยากกินไรก็กิน มินได้หมดอะ ” คนน้องตอบแต่ก็ยังจดจ่ออยู่กับมือถือที่กำลังฉายภาพเกมส์ที่ตอนนี้เขากำลังติดมันเอามากๆอยู่
“ นี่ๆ กินอันนี้ๆ ” พอสายตาสะดุดเข้ากับป้ายไฟข้างทางเขียนว่าผัดไทย คิมก็ตัดสินใจตีไฟเลี้ยวกินจะจอดเทียบกับทางเดินเท้า
เมื่อดับไฟหน้ารถแล้วก็หันมาปลดสายเข็มขัดนิรภัยก่อนจะมองเห็นคนที่นั่งข้างๆไม่ยอมขยับตัวเพียงแต่ยังคงจ้องมองปี่หน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับมือที่ดุ๊กดิ๊กคลิกนู้นนี้
“ เห้ยยยย เลิกเล่นได้แล้ว ” คนเป็นพี่เห็นดังนั้นก็หันไปตะโกนเสียงดังใส่ใกล้ๆหูอีกคน ทำเอาคนที่ไม่ได้ตั้งตัวสะดุ้ง แต่ก็ไม่ได้หันมามองทางคนแกล้งอยู่ดี
“ เดี๋ยวตามลงไป แป๊ปนึง ” เด็กที่กำลังตั้งใจเล่นเกมตอบแล้วก็ยังคงเล่นเกมต่อไปไม่หันมามองอีกคนที่ตอนนี้กำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ ดูด้วยดิ เล่นไรวะ ” ไม่เพียงแต่เอ่ยคำพูด แต่ก็ยื่นหน้าเข้าไปหาอีกคน มืออีกข้างก็ยันตัวให้เลื่อนไปใกล้หวังจะได้เห็นหน้าจอเกมที่อีกคนกำลังเล่นอยู่
“ ไม่เอา ลงไปก่อน ไป ” มินขยับมือออกห่างไปทางชิดประตูรถฝั่งตัวเองเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยไล่อีกคนให้ลงไปก่อน
“ ดูด้วยดิ ”
“ ไม่ พี่คิมอย่ากวน ” เด็กหนุ่มหน้าใสปัดมืออีกคนที่ยื่นเข้ามาหวังจะคว้าโทรศัพท์ของเขา
“ นิดนึง ” แล้วยื่นมือเข้ามาอีก คราวนี้จับได้โทรศัพท์ แต่เจ้าของโทรศัพท์หรือจะยอมรีบกำโทรศัพท์ตัวเองไว้แน่นส่วนมืออีกข้างก็ตีมือของคนเป็นพี่
“ ปล่อยๆ ปล่อยเลยย ... เห้ย ” ยังไม่ได้ตีให้สุดแรงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันลื่นลงไปจากมือแล้วไปตกลงที่พรมวางเท้าด้านล่าง
“ พี่คิมแม่งดะ.... ” กำลังจะหันมาโวยใส่อีกคน แต่ก็ทำได้แค่เลิกคิ้วสูงขึ้นเท่านั้นเมื่อคนที่นึกว่าอยู่ห่างกันมากว่านี้ ตอนนี้หน้ากำลังใกล้กันจนจมูกสัมผัสซึ่งกันและกันแล้ว
บรรยากาศในรถตกอยู่ในความเงียบได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนบนรถ มือหนายังคงกุมมือเล็กของอีกคนไว้ไม่ได้ปล่อยไปแต่คงกุมไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม เพียงจะผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีแต่ดูเหมือนตอนนี้มันช่างยาวนานนัก ใบหน้าของคนตัวสูงค่อยๆเลื่อนเข้าไปใกล้จากจมูกที่แค่สัมผัสกันเบาๆตอนนี้กลายเป็นปลายจมูกที่เบียดกันแทน คนตัวเล็กยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหนสายตายังคงมองไปที่ใบหน้าที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้หน้าของตน
คนตัวสูงไม่รู้ว่าวินาทีนี้เขาควรจะทำอย่างไรแต่ใจของเขากำลังเต้นแรงจนหน้าอายถ้าใครมาได้ยินเข้า ร่างกายยังคงสั่งให้เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ สมองตอนนี้ช่างพร่ามัวไปหมด สิ่งเดียวนอกจากดวงตาคู่สวยนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากบางที่ตอนนี้เจ้าของมันกำลังหลับตาปี๋เมื่อจมูกของเราเบียดกันมากกว่าเดิม
“ จอดตรงนี้ไม่ได้นะครับ.... คุณครับ คุณ ” เสียงผู้ชายวัยกลางคนดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะกระจกรถซ้ำไปซ้ำมา ทำเอาคนสองคนในรถต้องสะดุ้งแล้วผละออกจากกัน คนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับยกแขนขึ้นมาทุบที่ไหล่ของคนขับเบาๆ ก่อนจะทำให้คนขับรถยอมผละออกห่างไปแล้วหันไปลดกระจกลง
“ จอดตรงนี้ไม่ได้นะครับ สีแดงนะครับ ” ผู้ชายวัยกลางคนที่ตอนนี้ก็ยังคงยืนอยู่ข้างกระจกรถสวมชุดที่ใครดูก็รู้ว่าทำงานอะไรกำลังกล่าวเตือนเขาพร้อมกับชี้ไปยังขอบฟุตบาทที่มีสีทาไว้เป็นสีแดงและสีขาวสลับกัน
ตลอดทางตั้งแต่โดนตำรวจกล่าวเตือนแล้วปล่อยออกมาจนถึงหน้าบ้านของคนที่เขาตั้งใจมาส่งก็ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นมาทำร้ายความเงียบอันน่าอึดอัดเลย เมื่อรถจอดสนิทที่หน้าบ้าน คนตัวเล็กก็ก้มหัวให้ก่อนจะลงจากรถไปเดินเข้าบ้านแล้วก็ไม่ได้หันกลับมามองอีกเลย
‘ คิมมมมมม มึงทำอะไร ’
ความคิดดังขึ้นดังกว่าสิ่งอื่นใดที่เกิดอยู่รอบกายของเขาตอนนี้ซะอีก ก่อนจะยกมือทุบพวงมาลัยรถไปหนึ่งที การขับรถกลับบ้านหลังจากเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นทำเอาเขาแทบชนขอบสะพานตาย ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ทำแบบนั้นถามว่ารู้สึกดีรึเปล่า เขาก็ตอบได้ว่าไม่น้อย พอนึกถึงใบหน้าใสที่ห่างกันไม่ถึงคืบ ริมฝีบาง พร้อมกับแก้มใสๆที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั้นทำเอาเขาใจเต้นไม่หาย แต่ถ้าถามว่ามันแย่มั้ยตอบได้เลยว่ามาก เพราะที่ทำไปเขายังไม่ได้แตะกับริมฝีปากบางนั้นเลยแต่น้อย แต่น้องกลับเงียบใส่ไม่พูดอะไรกับเขาจนสุดทางแบบนี้จะให้คิดยังไงได้ เขาเองก็สับสนวุ่นวายใจมาตลอดทางจนไม่รู้จะเอ่ยคำไหนออกมาพูดดี แต่ถ้าคนตัวเล็กจะโกรธทำไมไม่ตบหัวเขาออกมาแล้วหละ หรือน้องก็อาจจะยอมอยู่เหมือนกัน เห้ย ทำไมกูคิดอย่างนี้ เห้ย ไม่ดิ ไม่ๆ
ภาพหนุ่มตัวบางในชุดเสื้อยืดสีขาวพร้อมกับกางเกงสีดำกำลังนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงปรากฏขึ้นเมื่อคนเป็นแม่เปิดประตูเข้ามา
“ ใครมาส่งจ้ะวันนี้ ” เสียงบอกถึงการมาเยือนดังขึ้น ทำเอาคนบนเตียงลุกขึ้นนั่งพรวดพราดก่อนจะหันมาตอบ
“ พี่คะ..เอ่อ พี่คิมไงแม่ ” พอจะตอบก็คิดถึงชื่อคนที่จะตอบก่อนจะตามมาด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถก็แทบสะบัดหน้าไล่ความคิด แต่ก็ตอบตอบแม่อยากไปอย่างไม่อยากให้มีพิรุจอะไรโผล่ออกมา
“ อ้อ.. ได้ยินมาตั้งนาน ไม่เห็นพามาหาแม่บ้างเลย ” เธอจำได้ว่าชื่อนี้เคยได้ยินมาจากลูกชายตั้งแต่เดือนก่อนที่เจ้าตัวเล็กลูกรักค่อยมาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ
“ ดึกแล้ว จะให้พี่เขามาทำไม กวนเขาเปล่าๆ ” เด็กหนุ่มที่อยู่บนเตียงยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนจะมองไปทั่วห้องกลัวแม่จะรู้ถึงความผิดปกติ ตอนนี้ภาวนาแค่ให้แม่เลิกถามคนชื่อนั้นสักที พอได้ยินแล้วภาพเหตุการณ์มันชัดเจนขึ้นมาตลอด
“ วันหลังไง พาพี่คิมของมินมาให้แม่รู้จักบ้างนะครับ ” หญิงวัยกลางคนเดินเข้าไปลูบหัวลูกชายเบาๆ ก่อนจะออกจากห้องนอนของลูกไปทิ้งไว้ก็แค่ร่างบางที่ตอนนี้กำลังเอาหมอนมาปิดหน้าตัวเอง
พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถเขาก็ไม่รู้ควรจะรู้สึกยังไง นั้นอาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุหรืออาการหน้ามืดของคนเป็นพี่ก็ได้ที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เขายอมรับไม่ได้หรอกว่าคนตรงหน้าตอนนั้นจะตั้งใจทำ เขาเป็นผู้ชายและพี่ก็เป็นผู้ชายมันต้องไม่มีอาการหวั่นไวใดใดเกิดขึ้นมาสิ ไม่มีทาง ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นเขาคงไม่อยากจะเชื่อ ตอนอยู่บนรถเขาคิดเรื่องนี้ตลอด คนที่นั่งข้างๆไม่เห็นจะมีแววที่จะเป็นอะไรแบบนั้นเลยแต่ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นมาได้หละ ความคิดหมุนเวียนนอนกลิ้งไปมาก็ยังคิดไม่ออก ภาพในตาก็ยังคงชัดเจนทุกอย่าง
รู้จักกันมาจะมีวันไหนมั้ยที่ผู้ชายคนนี้จะไม่ทำให้เขาคิดมาก... คงไม่มี
“ หน้าป่วยขนาดนี้ไปทำอะไรมา ว้าก ” คนเอ่ยประโยคตอนต้นจบก็ร้องขึ้นมาก่อนจะขำชุดใหญ่เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเพื่อนสนิทตัวเอง ที่ตอนนี้ใต้กำลังคล้ำได้ที่พร้อมกับหน้าเหยเกแบบที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน คงจะหอบสังขารออกมาชวนเขากนไอติมเป็นแน่
“ กูแค่นอนไม่หลับเอง กว่าจะหลับก็ตีสี่เนี่ย ” คนโดนขำหันไปมาทางพนักงานที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับวางถาดไอติมลงตรงหน้าของทั้งคู่
“ ก็เลยไม่ไปทำงาน โดดมากิน’ติม ” โอ๊ตทำหน้าล้อเลียนก่อนจะหลุดขำออกมาอีกเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าบิดกายด้วยท่าทางเมื่อยล้า
“ ไปสภาพนี้ก็เท่ากับไปไล่ลูกค้ากัปตันมันดิ ” พอบิดตัวคลายกล้ามเนื้อนิดหน่อยก็หยิบช้อนขึ้นมาตักไอติม
“ ก็จริง ถ้ามึงไปก็โดนไล่กลับอะ กูว่า ” เพื่อนตัวเล็กยิ้มขำจนตาปิดสนิทก่อนจะตักไอติมที่อยู่ตรงหน้าขึ้นไปกินหนึ่งคำด้วย
“ มึงเคยจูบกับใครปะ ” ในตอนนี้ที่เพื่อนตรงข้ามกำลังงับไอติมเข้าไปเต็มปาก มินก็ถามคำถามออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาคนที่พึ่งงับไอติมไปเต็มปากแทบพุ่งเอาไอติมออกมาคืนที่เดิม
“ ถามไรของ อ่า.. มึงเนี่ย ” ร้องออกมาด้วยความเสียวฟันจากความเย็นของไอติมที่มีอยู่เต็มปาก
“ ก็แค่อยากรู้ ”
“ ไม่อะ ไม่เคย ” พอจัดการกับไอติมในปากได้แล้วก็กินน้ำลงไปตามก่อนจะหันมาส่ายหน้าแล้วตอบคำถามตามความจริงไป
“ อืมม แล้วที่จูบกันนี่...ต้องเป็นแฟนกันเปล่าวะ ” คำถามที่สองตามมาด้วยความสงสัย ทำเอาคนโดนถามไปไม่ถูก เพื่อนสนิทเขาก็ไม่ได้ใสไร้เดียงสาอะไรขนาดนั้นแต่ทำไมถึงมาถามคำถามพวกนี้กับเขานะ
“ แล้วคนรักกันต้องเป็นแฟนกันทุกคนเปล่าหละ ” โอ๊ตตอบออกไปด้วยสีหน้านิ่งเป็นการย้ำคำตอบที่ปนคำถามของเขาไปในตัว
“ ก็ไม่หนิ อาจจะแบบรักข้างเดียวงี้ปะ ” มินตอบกลับมาเมื่อคิดอยู่สักพัก ถ้าเป็นแบบนั้นตอนนี้คนทั้งโลกคงไม่มีคนโสดแล้วหละ
“ ก็นั้นแหละ จูบกันบางทีก็คงไม่ต้องเป็นแฟน ” ยักไหล่ให้เพื่อนก่อนจะหันไปสนใจกินไอติมตรงหน้าต่อ หรือคนตรงหน้ากำลังจะมีความรักทำไมแต่ละคำถามชวนให้เขาคิดแบบนั้น
“ แล้วมึงคิดว่า..คนเราจะจูบกับคนที่ไม่ได้รักได้ปะวะ ” คำถามนี้ทำเอาโอ๊ตนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะเงยหน้ามายิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยตอบ
“ งั้นมึงมาลองจูบกับกูมั้ยจะได้รู้ ”
“ เหี้ย บ้าไม่เอาเว้ยยย ” อุทานขึ้นมาเสียงดังเมื่อเห็นว่าเพื่อนทำสายตาจริงจังชั่ววินาทีก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแทน
“ นั้นไง มึงยังไม่จูบกูเลย .. ก็คิดดู ” ยังคงยิ้มติดขำอยู่แบบนั้น
ไม่มีเสียงตอบอะไรจากคนที่นั่งตรงข้ามก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปเรื่องอื่นแทน เขารู้จักกับมินตั้งแต่เด็กๆบ้านของเขาทั้งสองคนเคยติดกัน แต่พ่อกับแม่ก็พาย้ายบ้านไป โอ๊ตเลยต้องห่างกับมินไปหลายปี ตอนมอต้นพวกเขากลับได้เจอกันที่โรงเรียนเดียวเลยสนิทกันมากกว่าคนไหนๆ โอ๊ตรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมินเขามั่นใจว่าจำทุกอย่างเกี่ยวกับเพื่อนสนิทที่สุดของเขาได้ แต่ปีที่แล้วเขาไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศมา พอกลับมามินก็ยังเป็นคนเดิมที่เขารู้จัก เขาคิดว่าเป็นแบบนั้น
“ ถึงบ้านแล้ว ” เด็กหนุ่มตัวเล็กหันมามองเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่เบาะข้างตัว ที่ไม่สัญญาณตอบรับคงเป็นเพราะคนที่นั่งเงียบมาตลอดทางนั้นกำลังหลับปุ๋ยอยู่นั้นเอง
โอ๊ตส่ายหน้าน้อยๆก็จะเอื้อมมือเข้าไปหวังจะสะกิดอีกคนให้ตื่น แต่แล้วความคิดก็เปลี่ยนไปเขาค่อยๆเอื้อมนิ้วชี้ไปแตะที่หน้าผากของอีกคนแทนก่อนจะค่อยๆเกลี้ยไรผมบางๆที่ตกลงมาปกหน้าอีกคนให้เลื่อนออกไปจากดวงหน้าใสนี้ เขาหยุดเพียงแค่นั้นไม่ได้คิดจะทำอะไรต่อเพียงแค่เอามือไปทาบที่แก้มใสเบาๆแล้วค้างไว้อย่างนั้น เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขารู้สึกเหมือนกับคนตรงหน้ากำลังห่างออกไปยิ่งความรู้สึกภายในชัดเจนขึ้นมากเท่าไหร่ ภาพคนตรงหน้าก็ยิ่งดูถอยห่างเลือนลางออกไปเท่านั้น
“ หื้อ ถึงแล้วหรอ ” คนที่หลุดจากความฝันรู้สึกตัวตื่นขึ้นก่อนจะเห็นว่าเพื่อนของตัวเองกำลังแนบหน้าผากลงกับพวงมาลัยหน้ารถ
“ เออ นอนอยู่ได้ ลงไปเลยๆ ” คนที่อาสามาส่งเอ่ยไล่ก่อนจะปัดมือเป็นการไล่ที่เต็มรูปแบบแล้ว
“ เออ กลับบ้านดีๆหละ ” มินหันมาบอกก่อนจะลงจากรถแล้วก็หันกลับมาโบกมือให้เขาอีกครั้ง เขาไม่ได้ยกมือขึ้นโบกตอบเหมือนทุกครั้ง ครั้งนี้เพียงแค่ยิ้มให้และขับรถออกมา
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งเล่นเกมอยู่ต้องกดสต็อปไว้ก่อนแล้วลุกเดินไปดูว่าใครมาเคาะประตูห้องเขาอยู่ และก็คือ...ฟีฟ่า
“ ไรมึง มาเคาะหาอะไร ” เจ้าของห้องเอ่ยปากทันทีที่ประตูเปิดออก
“ เห็นว่าวันนี้หยุดงาน จะมาชวนไปเที่ยว ” บอกความตั้งใจชัดเจนก่อนจะเบียดตัวเข้ามาก่อนที่เจ้าของห้องจะอนุญาต
“ ไปไหน ขี้เกียจโว้ยยย ” เอ่ยถามก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าน้ำตัวเองยังไม่ได้อาบเลยเพราะวันนี้ไวท์โทรมาบอกว่าร้านปิดเพราะว่าเชฟที่ร้านป่วยจึงต้องปิดร้านไปก่อน พอรู้เรื่องคนทำงานก็ดีอกดีใจนอนต่อถึงบ่ายพึ่งลุกมานั่งเล่นเกมได้สักพักไอ้เด็กนี้ก็โผล่มา
“ ไปเหอะๆ เลี้ยงเลยน้า ” คำสุดท้ายลากเสียงยาวก่อนจะชูบัตรร้านอาหารสักร้านในมือขึ้นมาโบก
“ อะไร นี่มึงจะเลี้ยงกูหรอ ” ถามขึ้นทันทีอย่างไม่เชื่อหู ก็ตั้งแต่รู้จักกันมานอกจากก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย เด็กข้างห้องก็ไม่ค่อยเลี้ยงอะไรเขาอีกเลยนะ
“ เออ บัตรส่วนลดมาด้วยนะ ไปเป็นเพื่อนหน่อย ”
“ เพื่อนมึงมีเยอะแยะ ชวนคนอื่นไป ”
“ ม่ายยยยย จะไปกับพี่คิม พี่คิม พี่คิม ” ไอ้เด็กตัวโตทำหน้างอแงก่อนจะกระทืบเท้าขึ้นลงเหมือนเด็กอนุบาลคือเช็คหน้าตัวเองหน่อยฟ่าเอ้ย
“ เลี้ยงนะ พูดแล้วนะ ”
“ โอเค ไปกันเลยยยยย ”
- เซิ้บๆ มาอัพแล้วจ้าา
วันนี้วันดีแล้วนะ มารอดู20.50ไปด้วยกันนะ อย่าลืมๆ
อ่านตอนนี้จบคืนนี้ก็รอดูมิกว่าจะโผล่มามั้ยกัน 55555
ถึงโอมจะไม่ใช่พี่คิมวินมอไซต์ของเราก็ไม่เป็นไรนะ
โอมมิกต้องดีดิ แต่เราจะไม่ลืม #คิมมิน แน่นอน
รักทุกกำลังใจทั้งคนเมนต์คนอ่านทุกคน แต้งเจ้า
mx -xine
ความคิดเห็น