อาหารหารกิน
งาน
ผู้เข้าชมรวม
1,156
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ต้นมะก่องข้าวสมุนไพรไทย แก้โรคเบาหวาน
สรรพคุณรักษาอาการ เสียวมดลูก ตกขาวมีกลิ่นเหม็นคาวและระบบหลอดลม
ปัจจุบันโรคเบาหวานเป็นโรคที่สำคัญโรคหนึ่งที่คนเป็นกันมาก แต่เดิมจะเป็นสำหรับคนที่อ้วนและผู้สูงอายุ ปัจจุบันคนผอม และคนอายุไม่มากนักก็เป็นเบาหวานได้ เป็นโรคที่เป็นแล้วโอกาสที่จะหายนั้นยาก นอกจากคอยควบคุมเอาไว้เท่านั้น
ด้านการรักษาในปัจจุบัน จะมีการรักษาทั้งทางด้านแผนปัจจุบัน และในเรื่องของยาสมุนไพร มียาสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถแก้เบาหวานได้ แม้จะไม่หายขาด แต่ก็สามารถลดน้ำตาลลงได้มาอยู่ในเกณฑ์ที่หมอกำหนด ก็สามารถทำให้เราอยู่ได้ตลอดไป คนส่วนใหญ่ที่เป็นเบาหวานนั้นจะรักษากินยาทั้งแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรควบคู่กันไป
มียาสมุนไพรตัวหนึ่งที่มีส่วนในการรักษาเบาหวานนั้นก็คือ "ต้นมะก่องข้าว" บางพื้นที่ก็เรียกกันว่า "มะอุบข้าว" แตกต่างกันไป ในที่นี้จะเรียกว่าต้นมะก่องข้าว
ต้นมะก่องข้าวนี้ จะมีความสูงเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ลำต้นที่ใหญ่ที่สุดไม่เกิน 1.5 ซ.ม. แตกก้านออกลักษณะทรงพุ่มห่างๆ มีดอกสีเหลืองมีลูกออกมาทรงกลมตัดเป็นแฉกๆ ชอบขึ้นอยู่ตามป่าละเมาะ ริมลำห้วย หรือป่าที่ร่มรำไร มีอายุไม่เกิน 3 ปี สามารถขายพันธุ์ด้วยการเอาเมล็ดที่แก่แล้วมาปลูก นับเป็นยาสมุนไพรในเรื่องของโรคเบาหวาน
ต้นมะก่องข้าวนั้นสามารถใช้ในการทำยาตั้งแต่รากจนถึงใบ และลูกดิบอ่อนก็สามารถกินได้ การทำก็เอาต้นมะก่องข้าวมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เอาตากแดดให้แห้งสนิท ถ้าไม่สนิทก็จะต้องอบให้แห้ง เพื่อไม่ให้เกิดเชื้อราเมื่อเราจะเก็บไว้นานๆ หรือจะกินแบบสดๆ ด้วยการเด็ดใบมาต้มกินก็ได้
มะก่องข้าวนอกจากจะใช้เป็นยารักษาเบาหวานแล้ว ก็ยังสามารถนำส่วนต่าง ๆ มาใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้อีก
ต้น บำรุงโลหิต ขับลม ช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร
ราก แก้โรคเกี่ยวกับระบบหลอดลม น้ำดี บำรุงธาตุเจริญอาหาร ปัสสาวะขุ่น เสียวมดลูก ตกขาวมีกลิ่นเหม็นคาว แก้ไอ แก้ไข้ ผอมเหลือง บำรุงกำลัง
ใบหรือทั้งต้น ต้มน้ำดื่มแก้โรคเบาหวาน ขับปัสสาวะ พอกบ่มหนองให้สุกไว แกอาการปวดฟัน ล้างแผล ดอก ฟอกลำไส้
ปัจจุบันทางเจ้าอาวาสวัดภูช้างน้อย ต.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย ได้นำต้นมะก่องข้าวมาทำการแปรรูปต้มเป็นน้ำชาใช้รับประทานและได้รับความนิยมจากผู้ได้ทดลองกินดูแล้วจำนวนมาก
พระอาจารย์กิตติพงษ์ กิตติสาโร เจ้าอาวาสวัดภูช้างน้อย กล่าวถึงเรื่องของสมุนไพร ต้นมะก่องข้าว ว่า ได้อ่านพบในหนังสือฉบับหนึ่งก็เกิดความสนใจ เนื่องจากสมุนไพรตัวนี้ เป็นสมุนไพรที่พบอยู่ตามป่าตามเขา ตามหัวไร่ปลายนาโดยทั่วไป จึงได้ออกตระเวนหา เอามาปลูกที่วัดและเอามาทำเป็นห่อต้มรับประทานแทนน้ำชา
หลายคนที่มาวัดก็ให้ชิมและให้ไปต้มกินหลายคนที่เป็นเบาหวาน เอาไปต้มกินแล้วน้ำตาลลดลงได้ผลเป็นที่น่าพอใจ พระท่านบอก
ที่มา :
เรียบเรียงโดย : ขจรพรรณ ชัยเดช Team Content www.thaihealth.or.th
ข้อมูลจาก :
ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
ผู้ป่วยเบาหวานกับโภชนาการที่เหมาะสม
ลดการเพิ่มของน้ำตาล-ความสมดุลต่อร่างกาย
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรรับประทานอาหารที่มีทั้งชนิด และปริมาณที่เหมาะสม ตรงตามเวลาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และพลังงานที่สมดุลกับการใช้แรงงาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคนควรให้ความสนใจ และพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกชนิด และปริมาณอาหารที่เหมาะสม
ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ผู้ป่วยสามารถเปลี่ยนอาหารได้หลากหลายเพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซากจำเจ และให้มีความสุขในการรับประทานอาหารมากขึ้น โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนในอาหารหมู่เดียวกัน ในปริมาณที่มีพลังงานเทียบเท่ากัน
อาหารผู้ป่วยเบาหวานนั้นอาจแบ่งง่ายๆ เป็น 3 ประเภทคือ
ประเภทที่ 1 ห้ามรับประทาน ได้แก่ อาหารน้ำตาลและขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา ลอดช่อง อาหารเชื่อม เค้ก ช็อกโกแลต ไอศกรีม และขนมหวานอื่นๆ เครื่องดื่ม เครื่องดื่มประเภท น้ำอัดลม น้ำเขียว น้ำแดง โอเลี้ยง เครื่องดื่มชูกำลัง นมข้นหวาน น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ซึ่งมีน้ำตาลประมาณ 8-15% เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นน้ำมะเขือเทศมีน้ำตาลประมาณ 1%
ควรดื่ม น้ำเปล่า น้ำชาไม่ใส่น้ำตาล ถ้าดื่มกาแฟ ควรดื่มกาแฟดำ ไม่ควรใส่น้ำตาล นมข้นหวาน หรือครีมเทียม เช่น คอฟฟี่เมท (คอฟฟี่เมทประกอบด้วย น้ำตาลกลูโคส 58% น้ำมันปาล์ม 33%) ควรใส่นมจืดพร่องไขมัน หรือน้ำตาลเทียมแทน ถ้าดื่มนม ควรดื่มนมจืดพร่องไขมัน สำหรับนมเปรี้ยว ส่วนใหญ่ไม่ใช่นมพร่องไขมัน และมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่ประมาณ 15%
ถ้าดื่มน้ำอัดลม ควรดื่มน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลเทียม เช่น เป๊ปซี่แมทซ์ ไดเอทโค้กเป็นต้น
น้ำตาลเทียมที่มีในปัจจุบันมี 3 ประเภท
1. แอสปาแทม ซื่อการค้าว่า อีควล หรือไดเอต จำหน่ายเป็นเม็ดและเป็นซอง แอสปาแทม 1 เม็ด ให้พลังงาน 2 กิโลแคลอรี่ ข้อห้ามคือ ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นฟีนิลคีโตนยูเรีย โรคนี้พบน้อยในเมืองไทย และถ้าเป็นโรคนี้จะได้รับการวินิจฉัยโรค ตั้งแต่วัยเด็ก
2. แซคคารีน หรือขัณฑสกรชื่อทางการค้าว่า สวีทแอนด์โลว์ ไม่มีสารอาหารมีการศึกษาว่าเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะในหนู แต่ต้องใช้ปริมาณสูงมาก สำหรับในคนยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรคมะเร็ง
3. น้ำตาลฟรุคโตส หรือชอร์บิทอล เป็นน้ำตาลจากผลไม้ มีสารอาหารเท่ากับน้ำตาล จึงไม่ควรรับประทานน้ำตาลชนิดนี้ เพราะอาจเข้าใจผิดว่าไม่สารอาหาร
ประเภทที่ 2 รับประทานได้ไม่จำกัดจำนวน ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น ผักกาด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ถั่วงอก ทำเป็นอาหาร ตัวอย่างเช่น ต้มจืด ยำ สลัด ผัดผัก เป็นต้น อาหารกลุ่มนี้มีสารอาหารต่ำ นอกจากนั้น ยังมีการอาหารที่เรียกว่าไฟเบอร์ ซึ่งอาจทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง
ประเภทที่ 3 รับประทานได้แต่จำกัดจำนวน ได้แก่ อาหารพวกแป้ง(คาร์โบไฮเดรต) ปัจจุบันอาหารพวกแป้งนั้นไม่จำกัดจำนวน ถ้าผู้ป่วยไม่อ้วนมาก
เนื่องจากลดอาหารจำพวกแป้ง ทำให้ต้องเพิ่มอาหารพวกไขมัน ซึ่งอาจเป็นผลให้ระดับไขมันสูงและเพิ่มเนื้อสัตว์ทำให้หน้าที่ของไตเสียไปเร็วขึ้น
ที่มา :
ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 2
ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
การปลูกฝังที่ดี เริ่มได้ตั้งแต่ยังเด็ก
ในตอนเด็กๆ ที่พ่อแม่เราได้เลี้ยงดูเรามานั่นเอง ถ้าหาก พ่อแม่เราชอบรับประทานอาหารมันๆ หรือรับประทานเนื้อสัตว์มาก ก็มักจะทำให้ลูกรับประทานเช่นนั้นแบบเดียวกันส่วนพ่อแม่ที่ชอบรับประทานผักผลไม้ ลูกก็มักจะเลียนแบบโดยรับประทานผักและผลไม้ตั้งแต่เล็กๆ และกลายเป็นความชอบเมื่อเติบใหญ่เช่นกัน
ลักษณะนิสัยต่างๆ เหล่านี้พอทิ้งไว้นานๆ เข้าก็กลายเป็นความเคยชินที่จะแก้ไขได้ยาก ดังนั้น ถ้าหากนิสัยเหล่านั้นเกิดเป็นสาเหตุของโรคใดๆ ขึ้นมา ก็ยิ่งทำให้รักษาได้ยากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความชอบได้โดยง่ายนั่นเอง
มนุษย์เราทุกคนเกิดมาด้วยความแข็งแรงมากเกินกว่าที่เราเคยคาดเอาไว้ นักวิทยาศาสตร์หลายๆ ท่านเชื่อว่า มนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีอายุได้ยืนถึง 120 ปีขึ้นไป แต่ปรากฏว่า น้อยคนนักที่สามารถจะมีอายุยืนได้ถึงเกินร้อยปี
นี่แสดงได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าความแข็งแกร่งของร่างกายเราแต่เริ่มแรกนั้นมีมากมาย แต่กลับถูกสภาพแวดล้อมและนิสัยที่ไม่ดีต่างๆ ของเราเองมาทำลายเสียทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากร่างกายได้อย่างเต็มที่ตามที่ควรจะเป็น เราจึงพบเห็นคนส่วนมากเสียชีวิตกันภายในช่วงไม่เกินเจ็ดสิบปี แปดสิบปีเท่านั้นเอง ด้วยสาเหตุต่างๆ นานา หรือถ้าอยู่เกินกว่านั่นก็มักจะมีสภาพร่างกายที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว แทบจะไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับโลกได้อีก
มีการค้นพบว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นมีความสัมพันธ์อย่างมากกับนิสัยการรับประทานอาหารของคนเรา โดยพบว่า อัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นนั้น มีไม่มากนัก แต่พอคนญี่ปุ่นเหล่านั้น ไปอยู่ในประเทศยุโรปหรืออเมริกากลับมีอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับ คนในแถบแอฟริกา ที่มีอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยกว่าคนในแถบยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ
จากการสำรวจพบว่า คนญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นมักจะรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยผักผลไม้และปลาเป็นอาหารหลัก ส่วนคนญี่ปุ่นที่อพยพไปอยู่แถบอเมริกาเหนือ กลับรับประทานอาหารพวกฟาสท์ฟู้ดเป็นหลัก เช่นเดียวกัน คนในแถบแอฟริกา มักชอบทานอาหารพื้นบ้านธรรมชาติ ปรุงง่ายๆ ประกอบด้วยผักผลไม้ และขนมปังสีน้ำตาลแตกต่างจากคนในประเทศยุโรปหรืออเมริกาที่ชอบรับประทานอาหารพวกขนมปังสีขาว แป้ง หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ เป็นหลัก โดยรับประทานผักผลไม้เพียงเล็กน้อย
ในลำไส้ของคนเรา เมื่อรับประทานอาหร น้ำดีจะถูกับออกมาจากถุงน้ำดีบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น และถูกดูดซึมกลับไปใช้ใหม่ที่บริเวณลำไส้ใหญ่ น้ำดีนี้ถือเป็นสารก่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ น้ำดีนี้ถือเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง เมื่อไปโดนกับผนังลำไส้ใหญ่บ่อยๆ เข้า ก็อาจจะทำให้ลำไส้ใหญ่นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมะเร็งได้ แต่เมื่อเรารับประทานผักและผลไม้มากๆ มันจะก่อให้เกิดกากอาหารจำนวนมาก และกากอาหารนี้เอง เป็นตัวช่วยดูดซึม และซับน้ำดีเอาไว้ ทำให้น้ำดีไม่โดนดูดกลับไปใช้งานใหม่ น้ำดีจึงโดนผนังลำไส้ใหญ่น้อยลง ทำให้โอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลงด้วยประการฉะนี้
จึงสรุปเป็นสาเหตุได้ว่า มะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ส่วนหนึ่งนั้น เกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารของคนเรานั่นเอง ที่กินผักผลไม้น้อยและกินอาหารพวกแป้งและเนื้อสัตว์ต่างๆ มากเกินไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ และเลียนแบบจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองเกือบทั้งสิ้น
ดังนั้น พ่อแม่และผู้ปกครองจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า การปลูกสร้างลักษณะนิสัยอันใดก็ตามเข้าไปในตัวลูกของเรา อาจมีผลต่อสุขภาพร่างกายของเราได้ในอนาคตจึงต้องคิดให้ดีและรอบคอบก่อนจะทำอะไรลงไป ทั้งนี้เพื่อให้ลูกหลานของเรามีสุขภาพแข็งแรง ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อใครแต่ก็เพื่อครอบครัว สังคม และศาสนาของเราทุกๆ คน
ที่มา :
ข้อมูลจาก : วารสารสุขสาระ
ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
ผลงานอื่นๆ ของ สมุดปกสีดำ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สมุดปกสีดำ
ความคิดเห็น