บทความทางเคมีนะคะ
งานนะคะไม่มีที่เก็บนะคะ
ผู้เข้าชมรวม
3,434
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
v กินผลไม้ล้างพิษ พิชิตโรค
ทราบกันไหมว่าในแต่ละวันร่างกายของคนเรานั้น รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมากทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะทุกวันนี้มลพิษทางอากาศนับวัน มันมีแต่จะเลวร้ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย วิธีล้างพิษออกจากร่างกายแบบง่ายๆ สะดวกและไม่สิ้นเปลือง คือ การรับประทานผักผลไม้ การรับประทานผลไม้ล้างพิษ ต้องเลือกที่ไม่มีแป้งและรสหวานเกินไป ควรเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิ้ลที่มีเส้นใยมาก ทำหน้าที่เหมือนไม้กวาดทำความสะอาดลำไส้ องุ่น ที่มีสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไต สับปะรด ผลไม้สีเหลืองๆรสหวานอมเปรี้ยวที่มีเอ็นไซด์โปรเมลิน สูง ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวเร็วขึ้น เช่นเดียวกับมะม่วง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นการรับประทานผลไม้ล้างพิษควรทำควบคู่กับการออกกำลังกาย เพราะจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียได้ดีขึ้น รับรองว่าห่างไกลโรคร้ายอย่างแน่นอน
v อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน
คำสั่งสอนกันมาเก่าแก่ที่ว่า อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน ได้รับการยืนยันแล้วว่า เป็นเรื่องถูกต้องที่สุด เพราะได้มีการศึกษาพบว่า การอดอาหารมื้อเช้า ไม่แต่ทำให้ ขนาดรอบเอวไม่ลดเท่านั้น หากยังเป็นผลร้ายกับหัวใจของเราด้วยนักวิจัยของอังกฤษซึ่งได้ศึกษาจากพวกสาวๆ รูปร่างสะโอดสะอง ด้วยการลงทุนอดอาหารมื้อเช้า ได้พบว่าพวกเธอต่างได้รับโทษร้ายไปตามๆกัน ตั้งแต่ระดับของคอเลสเทอรอลในเลือดถีบตัวสูงขึ้น ไปจนถึงร่างกายดื้อกับอินซูลิน อันเป็นฮอร์โมนซึ่งคอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมากขึ้น ผิดกับผลการศึกษาไปเมื่อก่อนหน้า ซึ่งพบว่า ผู้ที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ โดยเฉพาะอาหารที่ เป็นพวกธัญพืช จะมีระดับทั้งคอเลสเทอรอลและอินซูลินลดต่ำ ที่ร้ายก็คือว่า ผู้ที่ชอบอดอาหารเช้าในวันธรรมดา กลับยิ่งเผลอไปกินอาหารเช้าในวันหยุดที่มีแคลอรีสูง เลยกลายเป็นว่าแม้จะลงทุนอดอาหารเช้า แต่ท้ายที่สุดกลับอ้วนขึ้นกว่าเดิมได้
หัวหน้าคณะนักวิจัย ดร.ฮามิด อาร์ ฟาร์ชชิ แห่งมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม กล่าวในรายงานผลการศึกษา ในวารสารวิชาการ "โภชนาการ" อเมริกันว่า เมื่อพิจารณารวมถึงผลการศึกษาที่แล้วๆมาด้วยแล้ว แสดงให้เห็นว่าการอดอาหารเช้า น่าจะเป็นภัยต่อสุขภาพในระยะยาว และในเรื่องที่ว่ามันช่วยรูปร่างผอมสะโอดสะองด้วยหรือไม่ ก็ยังไม่เคยทราบว่ามีความเกี่ยวพันกันด้วย นอกเสียจากว่าคนที่กินอาหารเช้าที่เป็นธัญพืชเป็นประจำ อาจจะมีส่วนเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง
ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (ออนไลน์) วันพุธ ที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2548
v แนะกินปลาแค่อาทิตย์ละครั้งลดภาวะสมองเสื่อม
ยาฮูนิวส์ - เป็นเรื่องน่าเศร้าของผู้มีน้ำหนักเกินกว่ามีปกติโดยแท้ เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจหรือไขมันอุดตันในเส้นเลือดแล้ว การศึกษาล่าสุดยังพบว่าคนอ้วนเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมกว่าผู้มีน้ำหนักปกติถึง 6 เท่า แต่ก็มีงานวิจัยอีกชิ้นที่แนะวิธีชะลอโรคเสื่อมโดยรับประทานปลาสัปดาห์ละครั้งซึ่งชะลอได้ถึง 3 ใน 4 จากความเสื่อมปกติจากรายงานของมีอา คิวิเพลโต (Miia Kivipelto) นักวิจัยชาวสวีเดนจากสถาบันคาโรลินสกา (Karolinska Institute) ในสต็อกโฮมที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Archives of Neurology ซึ่งเป็นวารสารด้านประสาทวิทยาของสมาคมแพทย์อเมริกัน (American Medical Association) พบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วน ความดันสูง และมีระดับคอเลสเตอรอลสูงในช่วงวัยกลางคนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมในช่วงบั้นปลายของชีวิตถึง 2 เท่า
จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างประมาณ 1,500 คนตั้งแต่ปี 1972 พบว่า 16 % ในจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในวัยกลางคนและมีน้ำหนักเกินมาตรฐานนั้นจะเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมของผู้มีน้ำหนักปกติซึ่งมีอยู่ประมาณ 1 ใน 4 และผู้ที่มีน้ำหนักเพิ่มสู่ภาวะน้ำเกินซึ่งมีจำนวนครึ่งของประชากรในกลุ่มตัวอย่าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงทั้ง 3 ปัจจัยคือ ความอ้วน ความดันสูงและคอเลสเตอรอลสูงแล้ว พบว่าคนอ้วนเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าผู้มีน้ำหนักปกติถึง 6 เท่า “เป็นโรคอ้วนในวัยกลางคน ความดันเลือดสูงและมีคอเลสเตอรอลสูง ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่า 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นที่เสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมเช่นกัน” คิวิเพลโตกล่าว ทั้งนี้โรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่นๆ กำลังเป็นปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปทั่วโลก โดยเฉพาะประชากรผู้สูงอายุในประเทศพัฒนาแล้ว
อย่างไรก็ดีมีงานวิจัยอีกชิ้นของ ดร.มาธา แคลร์ มอร์ริส จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยรัช (Rush University Medical Center) ในชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารการแพทย์ฉบับเดียวกันนี้ พบว่าการกินปลาเพียงสัปดาห์ละครั้งช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ โดยกรดไขมันโอเมกา 3 ที่มีอยู่ในปลานั้นทำให้สมองทำงานดีขึ้นพอๆ กับการตัดปัจจัยออกไป และจากการศึกษานาน 6 ปีพบว่าการกินปลายังปกป้องสมองของผู้สูงอายุได้ด้วย “อัตราความเสื่อมของสมองลดลง 10-13% ต่อปีในผู้ที่บริโภคปลาสัปดาห์ละครั้งหรือมากกว่านั้น เปรียบเทียบกับผู้ที่บริโภคปลาน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง อัตราการลดลองนี้เท่าๆ กับชะลอความแก่ของสมองให้ลดลงได้ถึง 3 ใน 4” ดร.มอร์ริสกล่าวไว้ในรายงานการวิจัย
ที่มา หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2548
v แนะติดฉลากเตือนสารก่อมะเร็งในเฟรนช์ ฟรายส์
นักวิจัยสหรัฐพบด้านมืดของเฟรนช์ ฟรายส์ ที่ส่งผลต่อเด็กเล็กวัย 3-5 ขวบ ระบุรับประทานบ่อยๆ มีสิทธิเป็นมะเร็งเต้านมเมื่อเติบใหญ่ ข้อมูลจากการวิจัยล่าสุดพบว่าแม้จะรับประทานเพียงสัปดาห์ละครั้งก็มีภาวะเสี่ยงมากถึงร้อยละ 27
ลอสแองเจลิส-อัยการแคลิฟอร์เนียเสนอติดฉลากเตือนสารก่อมะเร็งในเฟรนช์ ฟรายส์สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันเสาร์ (27 ส.ค.) ว่านายบิล ล็อคเยอร์ อัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐ ได้เรียกร้องให้ศาลออกคำสั่งบังคับให้บรรดาร้านค้า 9 แห่งที่จำหน่ายมันฝรั่งอบกรอบและเฟรนช์ ฟรายส์ รวมไปถึงร้านแมคโดนัลด์ เบอร์เกอร์ คิง เวนดี้ส์ ฟริโต เลย์ ต้องติดฉลากหรือป้ายเตือนให้บรรดาผู้บริโภคทราบว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเหล่านั้นอาจมีสารอะคริลาไมด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งปนเปื้อนอยู่ นายล็อคเยอร์ กล่าวว่า ตัวเองไม่ได้บังคับให้ผู้บริโภคเลิกรับประทานมันฝรั่งอบกรอบและเฟรนช์ ฟรายส์ แต่ผู้บริโภคควรได้รับข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจเลือกอาหารอย่างถูกต้อง ซึ่งถ้าหากนายล็อคเยอร์ประสบความสำเร็จในการขอให้ศาลสั่ง ร้านฟาสต์ฟู้ดและบริษัทผู้ผลิตอาหาร 9 แห่งทำตาม อีกไม่ช้าผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าวที่จำหน่ายในรัฐแคลิฟอร์เนียจะต้องติดป้ายเตือน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีบริษัทอย่างน้อย 1 แห่งประกาศว่าไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่ยืนยัน อะคริลาไมด์ เป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งนี้ อะคริลาไมด์เป็นผลพลอยได้ที่เกิดจากสารเคมีทำปฏิกิริยากับความร้อนสูง พบในอาหารหลายชนิดแต่ในระดับต่ำ ในคำร้องนี้ได้มุ่งไปที่เฟรนช์ ฟรายส์ และมันฝรั่งอบกรอบเพราะเป็นอาหารที่มีอะคริลาไมด์ มากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ ก่อนหน้านี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว สถาบันอาหารแห่งชาติสวีเดน เผยแพร่ผลการศึกษาที่พบว่า สารอะคริลาไมด์เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากอาหารที่อุดมไปด้วยแป้งและผ่านความร้อนสูง ขณะผลการศึกษาอื่นๆ ไม่พบความเกี่ยวข้องกับอาหารที่มีสารชนิดนี้ กับความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
ที่มา หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2548
ดร.วิคเตอร์ เกอร์วิช คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเกี่ยวกับหัวใจ และศาสตราจารย์แห่ง Harvard Medical School กล่าวว่า หัวหอมสดถือเป็นยาชั้นเลิศในการเพิ่ม HDL คอเลส เตอรอลชนิดดี หอมหัวใหญ่ครึ่งหัวหรือน้ำที่สกัดจากน้ำในหอมหัวใหญ่ปริมาณเดียวกันช่วยเพิ่ม HDL ได้ถึงร้อยละ 30 ในคนที่เป็นโรคหัวใจหรือมีปัญหาคอเลสเตอรอลความคิดบรรเจิดเกี่ยวกับหัวหอมนี้ คุณหมอได้จากการแพทย์แบบหมอชาวบ้าน และได้ทำการทดสอบกับคนไข้ที่คลินิก ซึ่งประสบความสำเร็จดีมาก จนคุณหมอแนะนำให้คนไข้ทั้งหมดรับประทานหัวหอม แต่ควรกินสด ๆ นะคะ เพราะหัวหอมยิ่งโดนความร้อนจากการปรุงมากเท่าไร พลังในการเพิ่ม HDL คอเลสเตอรอลตัวดีก็ลดลงไปมากเท่านั้น แต่หัวหอมสุกก็ยังมีประโยชน์ต่อหัวใจในด้านอื่น ๆ นะคะ
คุณหมอเกอร์วิชยังไม่แน่ใจว่าสารอะไรในหัวหอมกันแน่ที่เพิ่ม HDL อาจมีสารเดียวหรือมีเป็นร้อยก็ได้ การรักษาด้วยหัวหอมของคุณหมอประสบความสำเร็จกับคนไข้ถึงร้อยละ 70 ค่ะ ถ้าคุณไม่สามารถกินหัวหอมได้ถึงครึ่งหัวต่อวัน ก็กินเท่าที่กินได้ก็แล้วกัน กินน้อยก็ยังช่วยได้ หรือลองทำยำหรือลาบ โดยใส่หัวหอมสดซอยเยอะ ๆ ซิคะ ทั้งแซบทั้งดีกับหัวใจ
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (ออนไลน์) วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2548
v ยากับน้ำผลไม้อันตรายกว่าที่คิด
น้ำเปล่าดีที่สุดเมื่อต้องรับประทานยา เวลาที่ไม่สบาย เราก็ต้องกินยาเพื่อจะได้หายป่วยไว ๆ แต่บางทีถ้าหากว่าเป็นโรคบางโรคแล้วกินยา แล้วเผลอตามด้วยการดื่มน้ำผลไม้เข้าไป นั่นอาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซานฟรานซิสโกได้เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งบ่งว่า น้ำผลไม้ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาหมดไป เพราะก่อนที่ยานั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด น้ำผลไม้จะต่อต้านการดูดซึมของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่
ผลการวิจัยที่ได้รับการเปิดเผย ก่อนหน้านี้ บ่งบอกถึงอันตรายของน้ำผลไม้ ในแง่ที่ส่งผลต่อการรับประทานยาเช่นกัน เพราะฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกายที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลง ทำให้ตัวยาบางชนิดรวมถึงยาที่ใช้ใน การรักษาโรคความดันโลหิต และ แอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยามากเกินขนาด จะเป็นผลเสียต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วย
ที่มา www.mcot.net
v คิดดี ๆ 'วาซาบิ' ไม่ได้ทำให้หายใจโล่ง
หลายต่อหลายคนคิดว่า “วาซาบิ” นั้นจะทำให้หายใจได้ปลอดโปร่งโล่งจมูกมากขึ้น แต่ผลวิจัยชิ้นล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์อเมริกันค้นพบว่า เครื่องปรุงสีเขียว ๆ รสชาติซู่ซ่านั้น นอกจากจะไม่ได้ทำให้ช่องจมูกหายใจสะดวกมากขึ้นแล้ว แต่อาจจะก่อให้เกิดผลตรงข้ามอย่างไม่มีใครคาดคิด
ผลการศึกษารายงานต่อที่ประชุม สภาแพทยโสตศอนาสิกวิทยาอเมริกัน และมูลนิธิศัลยศาสตร์ศีรษะและคอ เมื่อวันอังคาร(21)ระบุว่า การกินวาซาบิดูเหมือนจะทำให้ทางเดินหายใจในโพรงจมูกติดขัด นักวิจัยนำอาสาสมัคร 22คน มาทดสอบ โดยให้ค่อย ๆ ละลายวาซาบิขนาดเท่าเม็ดถั่วแขกในลิ้นๆ หลายๆ ครั้ง คั่นเวลาพักครั้งละ 1 นาที จากนั้นจึงให้อาสาสมัครรายงานว่า วาซาบิส่งผลกระทบต่อช่องจมูกหรือไม่ ทั้งนี้ได้ใช้ใช้อุปกรณ์อย่างหนึ่งเพื่อวัดการระบายในช่องจมูกเข้าช่วย เพื่อหลีกเลี่ยงการทึกทักเอาเองของอาสาสมัคร ทั้งก่อนและหลังการชิมว่าซาบิ
กลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีบอกว่าพวกเขาคิดว่ามันช่วยเปิดโพรงจมูก กระนั้นดร. เดวิด เอส คาร์เมลอน จากศูนย์การแพทย์ในโอล์คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย หัวหน้าทีมวิจัย เผยผลทอดสอบว่า วาซาบิเป็นจะขัดขวางการหายใจโดยทำให้ช่องว่างในโพรงจมูกเกิดแคบลง แต่ทำให้รู้สึกว่ามันเปิดมากขึ้น เขาอธิบายว่า วาซาบิอาจเป็นตัวการที่ปิดช่องทางเดินในช่องจมูก เพราะเมื่อกินวาซาบิจะทำให้เลือดไหลเวียนไปตามช่องจมูกมากขึ้น เลือดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นนี้จะทำให้เกิดช่องว่าง ซึ่งทำให้ช่องทางเดินของจมูกหดลดลง
ดร. คาร์เมลอนระบุว่า วาซาบิอาจจะทำให้รู้สึกว่าช่องจมูกเปิดมากขึ้น ด้วยการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้อากาศที่หายใจผ่านเข้ามาในช่องจมูกเย็นตัวมากขึ้น หรือไม่ก็กระตุ้นให้อากาศลอดผ่านเข้ามาในรูจมูกซึ่งช่วยทำให้อากาศไหลผ่านเข้ามาในจมูกง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ค้นพบว่า วาซาบิไม่มีปราศจากประโยชน์ต่อร่างกาย การวิจัยหลายชิ้นในห้องแล็บได้ข้อสรุปว่า วาซาบิอาจไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง ป้องกันไม่ให้เกร็ดเลือดจับตัวเป็นก้อน แม้กระทั่งอาจช่วยต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ และฟันผุ อย่างไรก็แล้วแต่ ที่สำคัญ เครื่องปรุงรสสีเขียวทำจากต้นของ คาโนลาเป็นเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่ชื่นชอบอาหารต้นตำรับของชาวอาทิตย์อุทัย โดยเฉพาะการกินปลาดิบ “ถ้าคุณรักวาซาบิก็จงลิ้มรสมันต่อไป แต่ถ้าคุณจะแนะนำว่ามันทำให้หายใจโล่งละก็ ลองคิดดูใหม่นะ” คาร์เมรอนสรุป
ที่มา หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2547
v “บะหมี่สำเร็จรูป”กินง่าย อร่อยปากลำบาก-สุขภาพ
"มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค" เผยแพร่ผลการสำรวจปริมาณ "โซเดียม" อันตรายที่ซ่อนอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งพบว่า บะหมี่สำเร็จรูปส่วนใหญ่มีปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรสมากกว่าปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน จุดเด่นของบะหมี่สำเร็จรูปนั้นเป็นอาหารปรุงกินง่าย ราคาถูก แต่ข้อเสียสำคัญคือไม่มีสารอาหาร ทั้งยังส่งผลเสียต่อสุขภาพถ้าบริโภคมากไป ความห่วงใยว่าบะหมี่สำเร็จรูปจะเป็นภัยเงียบไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมๆ กับยอดขายบะหมี่สำเร็จรูปที่พุ่งสูงถึง 6,500 ล้านซอง/ถ้วยต่อปี
สมาคมผู้บริโภคออสเตรเลีย(เอซีเอ) สำรวจพบว่า บะหมี่สำเร็จรูป 1 ซองมี "ไขมัน" มากพอๆ กับ "อาหารขยะ" จำพวกมันฝรั่งทอดจำนวน 1 ห่อเล็ก หรือเท่ากับพิซซ่า 1 ชิ้นเล็ก รวมทั้งมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าอาหารขยะอีกด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเด็ก ที่สำคัญ "น้ำมัน" ทอดบะหมี่สำเร็จรูปมักเป็นน้ำมันพืชราคาถูก ซึ่งมีคุณสมบัติแตกตัวเป็น "กรดไขมันชนิดทรานส์" ที่เป็น 1 ในปัจจุบันกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ และจากเว็บไซต์ข่าวการแพทย์ WebMD ของสหรัฐรายงานว่า สเตฟานี่ บรู๊กส์ นักโภชนาการในซานฟรานซิสโกเตือนว่า คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ป่วยด้วยโรคหัวใจ กินยาขับปัสสาวะ และยารักษาอาการซึมเศร้าบางชนิดไม่ควรรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปโดยเด็ดขาด เพราะมีโซเดียมกับผงชูรสสูง
เหตุที่ไม่ค่อยเกิดกรณีกินบะหมี่สำเร็จรูปมากๆ แล้วป่วย เป็นเพราะผู้บริโภคสินค้าชนิดนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ซึ่งร่างกายยังแข็งแรง ข้อสงสัยอีกประการเกี่ยวกับพิษภัยของบะหมี่สำเร็จรูปที่แพทย์เตือนไว้ก็คือ การที่บะหมี่สำเร็จรูปใส่สี ใส่สารทำให้กรอบ และผงชูรสในปริมาณมากๆ รวมทั้งถูกทอดในน้ำมันซึ่งผ่านการทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง อาจจะทำให้เกิดการสะสมของ "คาร์บอน" ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งขึ้นมาในสินค้าประเภทนี้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น บะหมี่สำเร็จรูปยังใส่ "ผงชูรส" ซึ่งเป็นสารเพิ่มรสชาติมากเกินไป ในกรณีของผู้ที่แพ้ผงชูรสเมื่อรับประทานเข้าไป อาจเกิดอาการเหนื่อยอ่อน ปวดหัว หรือมีไข้ด้วยสภาพเศรษฐกิจบวกกับอุปนิสัยเคยชินกับการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปย่อมทำให้การละเลิกรับประทานสินค้าชนิดนี้เป็นไปได้ยาก
แต่ถ้าคิดจะรับประทานก็ควรใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อลด "โทษ" ที่ซุกซ่อนอยู่ในบะหมี่สำเร็จรูป เช่น ควรต้มให้สุก อย่ากินเปล่าๆ โดยไม่เติมน้ำ เพราะบะหมี่จะเข้าไปพองในกระเพาะอาจทำให้เกิดอาการจุกแน่นได้นอกจากนี้ ควรใส่ไข่และผักลงไปด้วยทุกครั้งเพื่อเพิ่มโปรตีนกับวิตามิน รวมทั้งเมื่อต้มเสร็จแล้วให้เทน้ำซุปออกสักครึ่งหนึ่งเพื่อลดปริมาณสารเคมีไม่พึ่งประสงค์ในน้ำซุป ที่ง่ายที่สุดคืออย่ากินเกินวันละ 1 ซอง และอย่าตามใจปาก ถ้าไม่หิวก็ไม่ควรฉีกซองบะหมี่สำเร็จรูปมากินเล่นๆ จนติดเป็นนิสัย ไม่เช่นนั้นสารพัดโรคจะมารุมเร้าเร็วกว่าที่คิด
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสดปีที่ 15 ฉบับที่ 5347 วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2548หน้า 23
ใครจะรู้บ้างว่า ในขณะที่พฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทย โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่นจะถูกกระแสวัฒนธรรมการกินแบบตะวันตกเข้าครอบงำ จนกลายเป็นแฟชั่นนิยมอาหารขยะ หรือ Junk Food แต่ชาวต่างชาติกลับมีกระแสต่อต้านอาหารขยะทั้งที่เป็นของแบรนด์ดังและโนเนม และหันมานิยมบริโภคอาหารไทยกันมากขึ้นเนื่องจากมีรสชาติอร่อยครบเครื่อง แนวโน้มการบริโภคอาหารไทยของต่างชาติยิ่งมีมากขึ้นเมื่อมีการตอกย้ำคุณค่าของอาหารไทยโดยท่านเซอร์เจมี โอลิเวอร์ เชฟมือหนึ่ง ที่แม้แต่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ที่ 2 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ยังทรงชื่นชอบในฝีมือการปรุงอาหาร ได้ออกมาประกาศชัดว่า “อาหารไทยเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เนื่องจากมีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และยังนับเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย” ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเซอร์โอลิเวอร์ยังแนะนำ “แกงเขียวหวานไก่” ให้เป็นเมนูเด็ดสำหรับเสิร์ฟเป็นอาหารกลางวันของเด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ ในอังกฤษ อีกด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากอาหารไทยถือว่ามีลักษณะโดดเด่นเป็นพิเศษ จะเห็นได้จากเครื่องปรุงที่มักประกอบด้วยเครื่องเทศและพืชผักพื้นบ้านนานาชนิดที่มีคุณสมบัติทางยา เช่น ใบกะเพรา โหระพา พริก กระชาย ขิง ข่า ตะไคร้ เป็นต้น มาถึงตรงนี้อยากจะขอหยิบยกตัวอย่างอาหารไทยที่สะท้อนให้เห็นคุณค่าทางโภชนาการด้านสรรพคุณทางยาและสมุนไพรที่เรามักรับประทานกันบ่อยๆ ดังนี้
* ต้มยำ เมนูขึ้นชื่อที่ต่างชาตินิยมชื่นชอบและรู้จักกันไปทั่วโลก ทราบไหมว่าเป็นอาหารที่ให้ทั้งพลังงานและโปรตีนสูงทีเดียว แถมยังมีเครื่องปรุงสมุนไพรนานาชนิดไม่ว่าจะเป็นข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง และน้ำมะนาว ซึ่งล้วนแต่มีสรรพคุณช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร แก้หวัด และลดความดันโลหิตสูง
* แกงส้มดอกแค ให้คุณค่าทางอาหารคือ พลังงานและไขมันต่ำ ช่วยปรับสมดุลร่างกาย แถมในดอกแคยังให้แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี
* แกงเลียง อีกหนึ่งเมนูที่อุดมด้วยสารพัดผักพื้นบ้าน เป็นอาหารที่ให้แร่ธาตุจำพวกแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินเอสูง จึงเหมาะกับการกินแก้หวัด และยังเหมาะสำหรับหญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อน เพราะช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือด บำรุงกระดูก และบำรุงสายตา
* สะเดาน้ำปลาหวาน ทราบไหมว่าใบสะเดาไม่เพียงอร่อยลิ้นยิ่งกินยิ่งมัน แต่ยังมีคุณค่าอาหารสูงมาก ทั้งแร่ธาตุ แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี 1 และวิตามินซี ซึ่งช่วยแก้ไข้หัวลม บรรเทาร้อน ช่วยปรับธาตุให้สมดุล ป้องกันมะเร็ง ช่วยให้เจริญอาหาร ที่สำคัญยังจัดว่าเป็นอาหารจานประวัติศาสตร์ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาโน่นแน่ะ
* แกงป่า เป็นอาหารที่ให้พลังงานและไขมันต่ำ แต่ให้กากและใยอาหารสูงมาก ให้แร่ธาตุและวิตามินสูงเกือบทุกชนิด ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยลดความดันโลหิตสูง ฆ่าพยาธิและเชื้อแบคทีเรีย
* แกงเขียวหวานไก่ อาหารไทยขนานแท้อีกจานหนึ่งที่อยากแนะนำ เนื่องจากมีคุณค่าอาหารครบครัน ทั้งโปรตีนจากเนื้อไก่ มะพร้าวที่ให้ไขมันจากพืช ซึ่งปลอดภัยกว่าไขมันจากสัตว์ แถมยังมีโหระพา กระชาย พริก มะเขือเปราะ มะเขือพวงที่ช่วยดักจับไขมัน ล้วนแต่มีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นสมุนไพรชั้นดีทั้งสิ้น
นี่เป็นแค่บางส่วนของอาหารไทยที่หยิบยกมาให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้เราได้รับรู้ถึงคุณค่าของอาหารไทยที่มีสรรพคุณทางโภชนาการทางยาและสมุนไพร อีกทั้งถ้ามองกันให้ดีอาหารไทยยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าทางภูมิปัญญาไทยและศิลปวัฒนธรรมที่สามารถนำพืชผักพื้นบ้านมาผสมผสานเป็นเครื่องปรุงของอาหารได้อย่างกลมกลืน แถมยังมีรสชาติที่กลมกล่อม เหมาะกับคนไทยและภูมิอากาศบ้านเรายิ่งนัก รู้อย่างนี้แล้วไฉนเลยเราคนไทยยังจะเมินเฉยกับอาหารไทยกันได้ลงคออีกหรือ
ที่มา หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ปีที่ 55 ฉบับที่ 19043 วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2548 หน้า 30
v ข่าเครื่องปรุงอาหารของไทยออกฤทธิ์ปราบมะเร็งสองทาง
นักวิทยาศาสตร์ซึ่งเพียรค้นหาวิธีปราบโรคมะเร็ง เชื่อว่า อาจจะพบอาวุธใหม่อันมีอานุภาพ ในการต่อสู้กับ
โรคมฤตยูนี้แล้ว มันเป็นเครื่องปรุงอย่างหนึ่งของอาหารไทยนี่เอง หนังสือพิมพ์ "เดอะ สกอตส์แมน" ของอังกฤษ ซึ่งเปิดเผยเรื่องนี้ กล่าวว่า สิ่งนั้นก็คือข่า อันเป็นพืชพี่น้องกับขิง ที่ใช้ปรุงอาหารไทยหลายอย่าง มันถูกพิสูจน์ได้ว่า สารสกัดจากข่า ไม่แต่เพียงสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งเท่านั้น หากยังช่วยคุ้มครองเซลล์ปกติให้รอดพ้นภัย จากมะเร็งได้อีกด้วย ข่าวกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ของวิทยาลัยแพทย์คิง คอลเลจ ที่กรุงลอนดอน ได้พบว่า มันออกฤทธิ์ไปกระตุ้นเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ให้เข้าทำลายเซลล์มะเร็ง ตัวศาสตราจารย์ปีเตอร์ ฮุยตัน ผู้เป็นหัวหน้าคณะนักวิจัย ได้เผยว่า สารสกัดจากข่าได้ออกฤทธิ์ถึงสองด้าน ทั้งในการรักษาเยียวยาและปกป้องคุ้มกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ที่พบกันปกติตามธรรมชาติแล้ว จะมีฤทธิ์แต่เพียงด้านเดียว ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แต่ข่ากลับออกฤทธิ์ถึงสองด้าน แต่เขาได้กล่าวเสริมว่า "เรายังไม่ได้ถึงกับบอกว่ามันรักษามะเร็งได้ เพียงแต่มันช่วยให้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น" ศาสตราจารย์กล่าวต่อไปว่า "อย่างไรก็ตาม มันก็พอมีมูลที่จะอ้างได้ว่า มันอาจรักษาโรคมะเร็งได้ เราจำเป็นต้องทดลองกันต่อไป อย่างเช่นเพื่อจะให้รู้ว่าคนที่กินข่าอยู่เกือบเป็นประจำ ไม่ค่อยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่" เขาแจ้งว่า เขาได้พบในการทดลองที่ห้องปฏิบัติการ เมื่อเอาข่าใส่ลงไปอยู่กับเซลล์ตับ มันจะไปปลุกเอนไซม์ที่เรียกกันว่า "จีเอสที" อันเป็นเอนไซม์สำคัญอย่างหนึ่ง ให้ออกฤทธิ์ขับถ่ายสารก่อมะเร็งออกเสีย
ผลงานอื่นๆ ของ สมุดปกสีดำ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สมุดปกสีดำ
ความคิดเห็น