ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 2 สัตว์ประหลาดหน้ากากขาว
.................................................................................................................
ตอนที่ 2 สัตว์ประหลาดหน้ากากขาว
ผ้าม่านสีขาวปลิวสะไหวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง บนเตียงสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับผ้าม่านซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างมีเด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบน้ำเงินนั่งพิงหมอนใบใหญ่อยู่ ดวงตาสีดำที่อยู่หลังแว่นกรอบเหลี่ยมจ้องมองหนังสือเล่มหนาในมือตนอย่างเอาจริงเอาจัง ตามร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลและรอยฟกช้ำมากมายซึ่งเกิดจากการบุก ‘ฮูเอโก้ มุนโด้’
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงประตูถูกเคาะเล็กน้อยตามารยาทก่อนคนเคาะจะผลักประตูเข้ามาทันที เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนจนแลดูเหมือนสีส้มเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือถือที่เธอทำมาให้เด็กหนุ่ม ดวงตากลมโตสีเทาของเธอมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ
“ไม่ได้นะอิชิดะคุง” ร่างบางเดินเข้าไปวางอาหารไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง “ยังไม่หายดีเลย นอนพักก่อนไม่ดีกว่าหรอ” เธอมองเขาอย่างเป็นห่วง
“ครับ” อิชิดะ อุริวตอบก่อนจะปิดหนังสือลงอย่างว่าง่าย ในบรรดาคนที่บุกเข้าไปในฮูเอโก้ มุนโด้ดูเหมือนว่าคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดจะเป็นเขา โอริฮิเมะจึงอาสาจะมาดูแลให้ โดยมาช่วยทำอาหาร(!?)หรือพวกงานบ้าน ทั้งๆที่เขาปฏิเสธไปหลายรอบแล้วแท้ๆ แต่สิ่งที่เธอพูดมากลับมาเพียง
‘ไม่เป็นไร ฉันอยากช่วยอะไรบ้างเท่านั้นแหละ’
แม้หน้าจะยิ้มแย้มแต่เขารู้ดีว่าที่จริงเธออยากร้องไห้ ถึงจะช่วยเธอออกมาจากลาส์ นอเช่ได้ แต่ในระหว่างที่เธอถูกขังอยู่ในนั้น ไอเซ็นก็ได้ดึงพลังออกจากตัวของเด็กสาวไปจนเกือบหมด ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง แต่ก็ทำไปแล้ว ทำให้ตอนนี้โอริฮิเมะแทบจะไม่เหลือพลังแล้ว ไม่ว่าพลังที่จะต่อสู้หรือพลังที่จะรักษาใครก็ตาม
ดังนั้น สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำให้เธอได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่
“คุณอิโนอุเอะ”
โอริฮิเมะหันมองเด็กหนุ่มที่เรียกชื่อเธอทันที
“ช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้หน่อยครับ” ขอให้เธอช่วยทำอะไรสักอย่าง เท่าที่เธอจะสามารถทำได้
“ได้ซิ” เด็กสาวยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของอุริว “ด้วยความยินดีเลย”
.................................................................................................................
“ไม่ได้!” เด็กหนุ่มผมสีหญ้าแห้งพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด เป็นผลให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำทะเลที่รอฟังคำตอบหน้าเสียไปทันที เขาหันไปหาเด็กสาวร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างหาที่พึ่ง
“เถอะน่าอิจิโกะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์เสียนิดๆกับความเอาแต่ใจของคนตรงหน้า “เซริวไม่มีที่ไปแล้วนะ บ้านเจ้าก็ออกจะกว้าง ให้เซริวไปอยู่ด้วยอีกคนก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ใช่ๆ” เซริวพยักหน้าตามทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นบ้านของอิจิโกะเลยซักนิด
“กว้างกะผีน่ะเซ่!!!” (คว่ำโต๊ะรอบสอง) “เห็นบ้านฉันเป็นสถานสงเคราะห์ที่ใครก็เข้ามาได้รึไงฮะ”
“ถ้าไม่ให้ไปบ้านเจ้าแล้วจะให้ไปไหน ลองบอกข้ามาซิ” ลูเคียจ้องหน้าเด็กหนุ่มอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ในขณะที่ตัวต้นเรื่องอย่างเซริวกลับนั่งเฉยๆไม่ทุกข์ไม่ร้อน(อีกแล้ว) เพราะเขาคิดเพียงแค่ว่า อยู่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอแค่ได้อยู่ที่เดียวกับ ‘พี่สาว’ เป็นพอ
“ระ..เรื่องนั้น” อิจิโกะพยายามเค้นสมองนึกอย่างเต็มที่ ถึงที่ไหนก็ได้ซักแห่งที่จะสามารถส่งอาร์รันคาร์หนุ่มตนนี้ไปให้ไกลๆได้ ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับลูเคียอีก(!?)
“แล้วฉันไปรู้เธอเรอะ” เขาพูดส่งๆไปเพื่อตัดปัญหา “จะไปอยู่ไหนก็ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันซะหน่อย”
“นี่เจ้า! ทำไมถึงไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้”
“แล้วเธอล่ะ! ทำไมต้องไปรับผิดชอบขนาดนั้นด้วยห๊ะ!!”
และในระหว่างที่อิจิโกะกำลังเปิดศึกทะเลาะกับลูเคียเรื่องที่อยู่ของเซริวอยู่นั้น
“ถ้างั้นมาพักกับผมเอามั้ยครับ” เสียงที่สามดังขึ้นเรียกสายตาทั้งหมดให้หันมอง ที่ประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่น ชายหนุ่มผมสีทรายยืนพิงกรอบประตูโดยถือพัดสีขาวปิดบังใบหน้าไว้ถึงครึ่งหนึ่ง
“เดี๋ยวผมจะลดราคาค่าพักให้” คิสึเกะพูดแล้วยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับลูเคียที่ตรงรี่เข้าไปหาคิสึเกะแล้วยิ้มกว้างทันทีเพราะสามารถหาที่พักให้อาร์รันคาร์หนุ่มได้แล้ว
แต่สำหรับอิจิโกะ เขากลับยิ่งรู้สึกว่า เรื่องทั้งหมดนี้กำลังยุ่งยากมากขึ้นไปอีก
.................................................................................................................
คลินิกคุโรซากิ
ชายผู้หนึ่งในชุดกราวน์สีขาวของแพทย์กำลังนั่งหาวปากกว้างให้กับความว่างงานของตนอยู่
......ไม่มีคนไข้เลยแฮะ....... เขาคิดอย่างเบื่อหน่าย เส้นผมสีดำสั้นที่ปกติค่อนข้างยุ่งและชี้ตั้งไม่เป็นทรง ตอนนี้ยิ่งยุ่งเข้าไปอีกเมื่อเจ้าตัวเกาหัวไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร ลูกสาวทั้งสองคนก็ออกไปซื้อของกับเตะฟุตบอล ส่วนเจ้าลูกชายตัวดีก็หายไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เช้าแล้ว
“กลับมาแล้วคร้าบ” เสียงห้าวๆดังขึ้นจากประตูบ้าน ทำให้ดวงตาสีดำของเขาเบิกกว้างขึ้นทันที เขาลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตูอย่างเร็วก่อนจะกระโดดสกายคิกไปหาคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา
“อิจิโก่!!!” อิชชินตะโกนเรียกชื่อลูกชายคนโตด้วยเสียงดังลั่น แต่แทนที่อิจิโกะจะถีบคนเป็นพ่อกลับอย่างเคย เด็กหนุ่มกลับเบี่ยงตัวหลบทำให้อิชชินลอยออกไปนอกบ้านทันทีทันใด
เด็กหนุ่มผมส้มปิดประตูบ้านทันทีที่เห็นคุโรซากิคนพ่อตกแอ๊กลงกับพื้นถนนแล้ว เขาล็อกกลอนประตูอย่างแน่นหนาด้วยใบหน้าบูดบึ้งเหมือนกับโกรธใครมาซักสิบชาติ และท่าทางนั้นได้สร้างความสงสัยให้กับเด็กสาวผมดำที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นอย่างมาก
“วันนี้เจ้าดูแปลกๆไปนะอิจิโกะ” เธอเอ่ยถาม “ทุกทีเจ้าต้องถีบพ่อเจ้ากลับหรือไม่ก็ชกหน้าไปเลยไม่ใช่หรอ”
อิจิโกะหันมองลูเคียแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถาม เขาพูดแค่ว่า “ไปกันเหอะ” ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ทำให้ลูเคียต้องเก็บความสงสัยไว้ก่อนแล้วเดินตามไปทันที
.................................................................................................................
ที่ชั้นสอง ณ ห้องนอนของคารินกับยูสึ
บนเตียงหนานุ่มที่ปูด้วยผ้าสีอ่อนของยูสึ เด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนนั้นจ้องมองเด็กสาวผมดำสั้นอีกคนซึ่งอยู่ในห้องด้วยสายตาออกจะเคืองๆอยู่หน่อยๆ ห้องนอนขนาดค่อนข้างกว้างเพราะนอนกันสองคนดูจะเล็กลงไปพอสมควรเมื่อมีเตียงที่สามของลูเคียมาเพิ่ม
“บอกฉันหน่อยสิว่าทำไมเธอถึงต้องไปนอนที่ร้านคุณอุราฮาร่าแค่เพราะ‘เจ้าหมอนั่น’มันขอร้องด้วย”
อิจิโกะเปิดปากถามขึ้นทามกลางความเงียบในที่สุด เขามองลูเคียที่กำลังจัดของและเสื้อผ้าลงกระเป๋าอย่างไม่หยุดมือแล้วนึกถึงตอนที่อยู่ที่ร้านของคุณอุราฮาร่า เจ้าหมอนั่นหรือเซริว ทันทีที่รู้ว่าลูเคียนอนที่บ้านเขาไม่ใช่ที่ร้านอุราฮาร่าก็เอามาโวยวายไม่ยอมท่าเดียว ร้องตะโกนแต่ว่าถ้าไม่ได้นอนอยู่บ้านหลังเดียวกับ ‘พี่สาว’ จะไม่ยอมเด็ดขาด
ส่วนลูเคีย แทนที่จะพูดปฏิเสธซักคำ คุณเธอกลับตกลงจะไปนอนที่ร้านอุราฮาร่าอย่างง่ายดาย ทำไมถึงยอมมันง่ายงี้ฟระ ที่กับเขาแหละไม่เห็นว่าง่ายงี้มั้งเลย หงุดหงิด หงุดหงิดเป็นบ้า ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆว่าทำไมต้องหงุดหงิดมากขนาดนี้ด้วย
เด็กสาวยมทูตหันมองเจ้าคนผมส้มด้วยแววตาแปลกใจเล็กน้อย “แล้วเจ้าจะรู้ไปทำไม”
คำถามที่แสนง่ายแต่ก็ไม่สามารถตอบได้ หรือให้ถูก เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อย่างเดียวที่รู้คือ พอนึกภาพว่าลูเคียจะไปอยู่กับเจ้านั่นแค่คิดก็โมโหจนทนไม่ได้แล้ว “เอ่อ.....” อิจิโกะลากเสียงยาวอย่างคิดไม่ออก จนกระทั่ง
“แล้วทำไมเจ้านั่นถึงไม่ไปหาพ่อแม่ล่ะ” คำถามผุดขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่มและเขาก็พูดออกไปทันที “ถ้าฟังจากที่เธอพูดแล้ว พ่อแม่ของเจ้านั่นก็น่าจะยังมีชีวิต....”
“ไม่มีแล้วแหละ” ลูเคียพูดขัดขึ้นมาก่อนจะหันมองอิจิโกะ ดวงตาคู่งามฉายแววสงสารปนเห็นใจ “เหมือนเจ้า พ่อแม่ของเซริวถูกฮอลโลว์ฆ่าตายไปแล้ว”
อิจิโกะนิ่งไปเมื่อได้รับรู้ความจริง ลูเคียมองท่าทางของเด็กหนุ่มอย่างคาดไว้แล้วว่าพอรู้เข้าอิจิโกะต้องทำท่าแบบนี้แน่ อิจิโกะที่เสียแม่ไปเพราะฮอลโลว์เช่นกันน่าจะเข้าใจถึงความรู้สึกของเซริวดี ความรู้สึกที่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง ความเหงาและเศร้าจากการสูญเสีย ต่างกันก็ตรงที่ อิจิโกะยังมีพ่อและน้องคอยอยู่เคียงข้าง แต่เซริวไม่เหลือใครอีกแล้ว
“แล้วเจ้านั่น รู้รึเปล่าว่าเป็นฝีมือฮอลโลว์” อิจิโกะถามขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
“รู้สิ” เธอว่าพลางรูดซิปปิดกระเป๋าเพราะใส่ของมาครบแล้ว “เพราะข้าเป็นคนบอกเอง”
.................................................................................................................
วิญญาณคนตาย
คนผู้สวมชุดดำ
ผีเสื้อปีกสีราตรี
คมดาบที่กวัดแกว่ง
แสงซึ่งส่องสว่างก่อนจะหายไปพร้อมกับวิญญาณ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แล้วก็ไม่คิดจะรู้ด้วย รู้แค่ว่าเห็นมาตั้งแต่เด็ก เห็นมาจนชินไปแล้ว อย่างเดียวที่ไม่เคยเห็น ก็คือสัตว์ประหลาดซึ่งสวมหน้ากากขาว และในวันที่เห็น ก็เป็นวันที่พ่อและแม่จากไป
ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ แต่มันไม่ใช่ ไม่ใช่เลยซักนิด
ยังจำได้ดีถึงวันนั้น ไม่สิ คืนนั้นต่างหาก เป็นตอนกลางดึกที่ถนนไร้ซึ่งรถยนต์ สัตว์ประหลาดสวมหน้ากากสีขาวโพลนดุจกระดูกกระโดดลงมาจากบนฟ้าขวางหน้ารถยนต์ พ่อเหยียบเบรกด้วยความตกใจ รถหยุดลงก่อนถึงสัตว์ประหลาดนิดหน่อย แล้วมันก็ส่งเสียงคำรามลั่นก่อนจะใช้แขนอันใหญ่ฟาดเข้าที่ข้างรถด้วยแรงอันมหาศาล รถกลิ้งไปหลายตลบก่อนจะหยุดลง
ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็เห็นแม่กอดผมแน่นแล้วถามด้วยความห่วงใยว่า ‘เป็นอะไรมั้ย’ ผมส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร คนที่เป็นไรดูเหมือนจะเป็นแม่ซะมากกว่าเพราะแม่ทั้งหัวแตกและมีแต่รอยฟกช้ำทั้งๆที่ผมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
แม่หันไปมองนอกรถ ที่หน้าสัตว์ประหลาดตัวนั้น พ่อกำลังยืนโบกมือแล้วก็ตะโกนไปมาเหมือนจะเรียกความสนใจจากสัตว์ประหลาด และเมื่อสัตว์ประหลาดหันมามอง พ่อก็วิ่งหนี แต่กลับถูกสัตว์ประหลาดใช่อุ้งมือตะปบเข้าที่กลางลำตัวอย่างเต็มแรง
เลือดสีแดงสาดกระเซ็น ดุจสายฝนที่โปรยปราย งดงามและน่ากลัว แม่กรีดร้องเรียกชื่อพ่อก่อนจะร้องไห้ออกมา ส่วนผมก็แต่ได้นั่งนิ่ง ไม่มีเสียงร้องหรือน้ำตา เพราะหวาดกลัวเกินว่าจะทำอะไรได้
แม่หันมองผมทั้งที่น้ำตานองหน้าดึงตัวผมเข้าไปกอดแล้วพูดว่าให้ซ่อนอยู่แต่ในรถห้ามส่งเสียงหรือออกไปไหนจนกว่าจะเห็นคนสวมชุดฮากามะสีดำมา แม่จูบผมที่หน้าผากทีหนึ่งแล้วพูดว่า ‘ดูแลตัวเองดีๆนะ’ นั้นคือคำสุดท้ายที่แม่พูด ก่อนจะวิ่งออกจากรถไป
เหมือนพ่อ แม่ตะโกนแล้วโบกมือไปมาก่อนจะวิ่งหนีไป แล้วก็ลงเอยเหมือนพ่อ แม่ถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นฆ่า แล้วร่างของแม่ล้มลงข้างๆพ่อ
สีแดง เห็นแต่สีนี้ แสงจากเสาไฟที่สาดส่องทำให้เห็นสีแดงที่ไหลออกมาจากตัวของพ่อและแม่ ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีพ่อกับแม่อีกแล้ว ทันทีที่คิดน้ำตาไหลออกมา แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งเงียบตามคำสั่งของแม่
แต่ก็ทำได้ไม่นานเพราะสัตว์ประหลาดตัวนั้นหันมามองทางรถซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของผม มันย้ายร่างอันใหญ่โตเข้ามาใกล้รถเรื่อยๆ หัวที่มีหน้ากากขาวหันไปมาเหมือนกำลังหาอะไรซักอย่าง มันส่งเสียงคำรามดังลั่นแสบแก้วหูก่อนะจะฟาดมือมาที่หลังคารถ
โครงเหล็กยุบตัวลงมาทันที ผมมองอย่างตื่นกลัวภาวนาและหวังให้มันหยุดซะที แต่ก็ไม่เป็นผล สัตว์ประหลาดยังคงทุบมาที่หลังคารถอย่างบ้าคลั่ง หลังคารถใกล้เข้ามาถึงตัวผมที่นั่งอยู่บนพื้นรถเรื่อยๆ จนเมื่อหัวผมกับหลังคาห่างกันเพียงแค่ไม่กี่เซ็น มันก็หยุด
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้ว สัตว์ประหลาดใช้มืออันใหญ่โตของมันฉีกหลังคารถออก และเมื่อมันมองเห็นผม มันก็แสยะยิ้มออกมา เสียงคำรามในลำคอฟังดูน่าขนลุกแต่ก็ไม่มากเท่าปากที่มีน้ำลายไหลย้อยเหมือนกำลังมองเห็นอาหารอันโอชะ และในขณะที่ความกลัวขึ้นถึงขีดสุด ผมก็มองเห็น ผีเสื้อปีกดำตัวจ้อยที่บินวนไปมาข้างสัตว์ประหลาดโดยไม่เกรงกลัว
มันปัดมือไปมาอย่างรำคาญเพื่อหวังจะไล่ผีเสื้อ แล้วจู่ๆมันก็ร้องลั่น เลือดสีสดไหลออกมาจากมือที่มือครู่ใช้ปัดไล่ผีเสื้อ ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงๆ แต่แล้วทุกอย่างก็กระจ่าง เมื่อข้างๆผมปรากฏร่างของคนๆหนึ่งขึ้น ร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดฮากามะสีดำ
.................................................................................................................
“หมายความว่าไง” อิจิโกะถามย้ำเพื่อความแน่ใจแล้วรับกระเป๋าของลูเคียมาถือให้ “เจ้านั่นเองก็มองเห็นวิญญาณตั้งแต่ยังเด็กงั้นหรอ”
“ใช่” ลูเคียตอบขณะเดินลงบันไดมา “ครอบครัวของเซริวมีพลังวิญญาณค่อนข้างเยอะ ตัวเขาก็เลยมองเห็นวิญญาณได้ตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนเจ้าไงอิจิโกะ แต่ต่างกันตรงที่พลังวิญญาณของเซริวไม่ได้มีเยอะขนาดเจ้า”
“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าเจ้านั้นมีพลังวิญญาณไม่เยอะ” เด็กหนุ่มถามพลางเดินไปเปิดประตูหลังบ้านแทนเพราะขี้เกียจไปรับลูกถีบสกายคิกของผู้เป็นพ่อที่หน้าบ้าน ลูเคียหันมามองอิจิโกะที่ยังช่างสงสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก่อนจะตอบคำถาม
“ เพราะตอนเจอกันครั้งแรก เซริวมองเห็นข้าแค่รางๆเท่านั้นแหละ”
.................................................................................................................
โฮกกกกกกกกก
เสียงร้องของสัตว์ประหลาดที่สวมหน้ากากขาวดังขึ้นอย่างโหยหวนทามกลางความเงียบงันของราตรี ก่อนร่างอันใหญ่โตของมันจะเริ่มสลายไป เด็กสาวในชุดฮากามะสีดำมองดูสัตว์ประหลาดตัวนั้นค่อยๆหายไปอย่างนิ่งเฉยไร้ความกลัวหรือหวั่นเกรงใดๆ ต่างกับเด็กชายอีกคนที่นั่งอยู่บนพื้นซึ่งกำลังตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวอย่างสุดขีด
ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมคนทั้งสองเป็นเวลานานจนเมื่อสัตว์ประหลาดตัวนั้นสลายไปจนหมด
“คะ.....คุณเป็นใครกัน” เด็กชายซึ่งนั่งอยู่บนพื้นเอ่ยถาม เด็กสาวชุดฮากามะสีดำหันมองเด็กชายอย่างแปลกใจก่อนจะเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เจ้ามองเห็นข้าด้วยงั้นหรอ”
“อ่า..คะ..ครับ” เด็กชายตอบเสียงสั่นๆ “ตะ..แต่เห็นไม่ชัดนัก แล้วคุณ..เป็นผู้หญิง..หรือผู้ชายครับ”
“ผู้หญิงจ้ะ” เด็กสาวตอบพลางยิ้มไปด้วยกับท่าทางเกร็งๆของคนตรงหน้า “เป็นยมทูตด้วย”
“ยะ...ยมทูต”
“ใช่จ้ะ ข้าคือผู้นำพาความตาย หรือที่เรียกว่ายมทูตนั้นแหละ”
.................................................................................................................
ไฟแรง ก็บอกแล้วว่าวันนี้ไฟมันแรงก็เลยอัพมันสองเรื่องเลย 55555+
ส่วนคนที่รออ่านฟิคเจ๊แมวกะตาหมวกเกี๊ยะอยู่ไม่ต้องห่วง กำลังจะอัพเร็วๆนี้แหละ หุหุ(แอบไขว้นิ้วไว้ตอนพูด)
ที่จริงตอนนี้แต่งไว้นานแล้วแหละ เกือบเดือนแล้วมั้ง -*- แต่ขี้เกียจอ่ะ เลยเพิ่งเอามาลง
แอบสปอยล์ตอนหน้าตอนที่ 3 ของฉันต่างหากละเฟ้ย!!!! <<<<ท้ายกานหน่อยว่าใครพูดประโยคนี้ ท้ายถูก ไม่มีไรจะให้อ่ะ - -*
ตอนที่ 2 สัตว์ประหลาดหน้ากากขาว
ผ้าม่านสีขาวปลิวสะไหวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง บนเตียงสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับผ้าม่านซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างมีเด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบน้ำเงินนั่งพิงหมอนใบใหญ่อยู่ ดวงตาสีดำที่อยู่หลังแว่นกรอบเหลี่ยมจ้องมองหนังสือเล่มหนาในมือตนอย่างเอาจริงเอาจัง ตามร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลและรอยฟกช้ำมากมายซึ่งเกิดจากการบุก ‘ฮูเอโก้ มุนโด้’
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงประตูถูกเคาะเล็กน้อยตามารยาทก่อนคนเคาะจะผลักประตูเข้ามาทันที เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนจนแลดูเหมือนสีส้มเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือถือที่เธอทำมาให้เด็กหนุ่ม ดวงตากลมโตสีเทาของเธอมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ
“ไม่ได้นะอิชิดะคุง” ร่างบางเดินเข้าไปวางอาหารไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง “ยังไม่หายดีเลย นอนพักก่อนไม่ดีกว่าหรอ” เธอมองเขาอย่างเป็นห่วง
“ครับ” อิชิดะ อุริวตอบก่อนจะปิดหนังสือลงอย่างว่าง่าย ในบรรดาคนที่บุกเข้าไปในฮูเอโก้ มุนโด้ดูเหมือนว่าคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดจะเป็นเขา โอริฮิเมะจึงอาสาจะมาดูแลให้ โดยมาช่วยทำอาหาร(!?)หรือพวกงานบ้าน ทั้งๆที่เขาปฏิเสธไปหลายรอบแล้วแท้ๆ แต่สิ่งที่เธอพูดมากลับมาเพียง
‘ไม่เป็นไร ฉันอยากช่วยอะไรบ้างเท่านั้นแหละ’
แม้หน้าจะยิ้มแย้มแต่เขารู้ดีว่าที่จริงเธออยากร้องไห้ ถึงจะช่วยเธอออกมาจากลาส์ นอเช่ได้ แต่ในระหว่างที่เธอถูกขังอยู่ในนั้น ไอเซ็นก็ได้ดึงพลังออกจากตัวของเด็กสาวไปจนเกือบหมด ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง แต่ก็ทำไปแล้ว ทำให้ตอนนี้โอริฮิเมะแทบจะไม่เหลือพลังแล้ว ไม่ว่าพลังที่จะต่อสู้หรือพลังที่จะรักษาใครก็ตาม
ดังนั้น สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำให้เธอได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่
“คุณอิโนอุเอะ”
โอริฮิเมะหันมองเด็กหนุ่มที่เรียกชื่อเธอทันที
“ช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้หน่อยครับ” ขอให้เธอช่วยทำอะไรสักอย่าง เท่าที่เธอจะสามารถทำได้
“ได้ซิ” เด็กสาวยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของอุริว “ด้วยความยินดีเลย”
.................................................................................................................
“ไม่ได้!” เด็กหนุ่มผมสีหญ้าแห้งพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด เป็นผลให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำทะเลที่รอฟังคำตอบหน้าเสียไปทันที เขาหันไปหาเด็กสาวร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างหาที่พึ่ง
“เถอะน่าอิจิโกะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์เสียนิดๆกับความเอาแต่ใจของคนตรงหน้า “เซริวไม่มีที่ไปแล้วนะ บ้านเจ้าก็ออกจะกว้าง ให้เซริวไปอยู่ด้วยอีกคนก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ใช่ๆ” เซริวพยักหน้าตามทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นบ้านของอิจิโกะเลยซักนิด
“กว้างกะผีน่ะเซ่!!!” (คว่ำโต๊ะรอบสอง) “เห็นบ้านฉันเป็นสถานสงเคราะห์ที่ใครก็เข้ามาได้รึไงฮะ”
“ถ้าไม่ให้ไปบ้านเจ้าแล้วจะให้ไปไหน ลองบอกข้ามาซิ” ลูเคียจ้องหน้าเด็กหนุ่มอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ในขณะที่ตัวต้นเรื่องอย่างเซริวกลับนั่งเฉยๆไม่ทุกข์ไม่ร้อน(อีกแล้ว) เพราะเขาคิดเพียงแค่ว่า อยู่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอแค่ได้อยู่ที่เดียวกับ ‘พี่สาว’ เป็นพอ
“ระ..เรื่องนั้น” อิจิโกะพยายามเค้นสมองนึกอย่างเต็มที่ ถึงที่ไหนก็ได้ซักแห่งที่จะสามารถส่งอาร์รันคาร์หนุ่มตนนี้ไปให้ไกลๆได้ ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับลูเคียอีก(!?)
“แล้วฉันไปรู้เธอเรอะ” เขาพูดส่งๆไปเพื่อตัดปัญหา “จะไปอยู่ไหนก็ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันซะหน่อย”
“นี่เจ้า! ทำไมถึงไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้”
“แล้วเธอล่ะ! ทำไมต้องไปรับผิดชอบขนาดนั้นด้วยห๊ะ!!”
และในระหว่างที่อิจิโกะกำลังเปิดศึกทะเลาะกับลูเคียเรื่องที่อยู่ของเซริวอยู่นั้น
“ถ้างั้นมาพักกับผมเอามั้ยครับ” เสียงที่สามดังขึ้นเรียกสายตาทั้งหมดให้หันมอง ที่ประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่น ชายหนุ่มผมสีทรายยืนพิงกรอบประตูโดยถือพัดสีขาวปิดบังใบหน้าไว้ถึงครึ่งหนึ่ง
“เดี๋ยวผมจะลดราคาค่าพักให้” คิสึเกะพูดแล้วยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับลูเคียที่ตรงรี่เข้าไปหาคิสึเกะแล้วยิ้มกว้างทันทีเพราะสามารถหาที่พักให้อาร์รันคาร์หนุ่มได้แล้ว
แต่สำหรับอิจิโกะ เขากลับยิ่งรู้สึกว่า เรื่องทั้งหมดนี้กำลังยุ่งยากมากขึ้นไปอีก
.................................................................................................................
คลินิกคุโรซากิ
ชายผู้หนึ่งในชุดกราวน์สีขาวของแพทย์กำลังนั่งหาวปากกว้างให้กับความว่างงานของตนอยู่
......ไม่มีคนไข้เลยแฮะ....... เขาคิดอย่างเบื่อหน่าย เส้นผมสีดำสั้นที่ปกติค่อนข้างยุ่งและชี้ตั้งไม่เป็นทรง ตอนนี้ยิ่งยุ่งเข้าไปอีกเมื่อเจ้าตัวเกาหัวไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร ลูกสาวทั้งสองคนก็ออกไปซื้อของกับเตะฟุตบอล ส่วนเจ้าลูกชายตัวดีก็หายไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เช้าแล้ว
“กลับมาแล้วคร้าบ” เสียงห้าวๆดังขึ้นจากประตูบ้าน ทำให้ดวงตาสีดำของเขาเบิกกว้างขึ้นทันที เขาลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตูอย่างเร็วก่อนจะกระโดดสกายคิกไปหาคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา
“อิจิโก่!!!” อิชชินตะโกนเรียกชื่อลูกชายคนโตด้วยเสียงดังลั่น แต่แทนที่อิจิโกะจะถีบคนเป็นพ่อกลับอย่างเคย เด็กหนุ่มกลับเบี่ยงตัวหลบทำให้อิชชินลอยออกไปนอกบ้านทันทีทันใด
เด็กหนุ่มผมส้มปิดประตูบ้านทันทีที่เห็นคุโรซากิคนพ่อตกแอ๊กลงกับพื้นถนนแล้ว เขาล็อกกลอนประตูอย่างแน่นหนาด้วยใบหน้าบูดบึ้งเหมือนกับโกรธใครมาซักสิบชาติ และท่าทางนั้นได้สร้างความสงสัยให้กับเด็กสาวผมดำที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นอย่างมาก
“วันนี้เจ้าดูแปลกๆไปนะอิจิโกะ” เธอเอ่ยถาม “ทุกทีเจ้าต้องถีบพ่อเจ้ากลับหรือไม่ก็ชกหน้าไปเลยไม่ใช่หรอ”
อิจิโกะหันมองลูเคียแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถาม เขาพูดแค่ว่า “ไปกันเหอะ” ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ทำให้ลูเคียต้องเก็บความสงสัยไว้ก่อนแล้วเดินตามไปทันที
.................................................................................................................
ที่ชั้นสอง ณ ห้องนอนของคารินกับยูสึ
บนเตียงหนานุ่มที่ปูด้วยผ้าสีอ่อนของยูสึ เด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนนั้นจ้องมองเด็กสาวผมดำสั้นอีกคนซึ่งอยู่ในห้องด้วยสายตาออกจะเคืองๆอยู่หน่อยๆ ห้องนอนขนาดค่อนข้างกว้างเพราะนอนกันสองคนดูจะเล็กลงไปพอสมควรเมื่อมีเตียงที่สามของลูเคียมาเพิ่ม
“บอกฉันหน่อยสิว่าทำไมเธอถึงต้องไปนอนที่ร้านคุณอุราฮาร่าแค่เพราะ‘เจ้าหมอนั่น’มันขอร้องด้วย”
อิจิโกะเปิดปากถามขึ้นทามกลางความเงียบในที่สุด เขามองลูเคียที่กำลังจัดของและเสื้อผ้าลงกระเป๋าอย่างไม่หยุดมือแล้วนึกถึงตอนที่อยู่ที่ร้านของคุณอุราฮาร่า เจ้าหมอนั่นหรือเซริว ทันทีที่รู้ว่าลูเคียนอนที่บ้านเขาไม่ใช่ที่ร้านอุราฮาร่าก็เอามาโวยวายไม่ยอมท่าเดียว ร้องตะโกนแต่ว่าถ้าไม่ได้นอนอยู่บ้านหลังเดียวกับ ‘พี่สาว’ จะไม่ยอมเด็ดขาด
ส่วนลูเคีย แทนที่จะพูดปฏิเสธซักคำ คุณเธอกลับตกลงจะไปนอนที่ร้านอุราฮาร่าอย่างง่ายดาย ทำไมถึงยอมมันง่ายงี้ฟระ ที่กับเขาแหละไม่เห็นว่าง่ายงี้มั้งเลย หงุดหงิด หงุดหงิดเป็นบ้า ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆว่าทำไมต้องหงุดหงิดมากขนาดนี้ด้วย
เด็กสาวยมทูตหันมองเจ้าคนผมส้มด้วยแววตาแปลกใจเล็กน้อย “แล้วเจ้าจะรู้ไปทำไม”
คำถามที่แสนง่ายแต่ก็ไม่สามารถตอบได้ หรือให้ถูก เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อย่างเดียวที่รู้คือ พอนึกภาพว่าลูเคียจะไปอยู่กับเจ้านั่นแค่คิดก็โมโหจนทนไม่ได้แล้ว “เอ่อ.....” อิจิโกะลากเสียงยาวอย่างคิดไม่ออก จนกระทั่ง
“แล้วทำไมเจ้านั่นถึงไม่ไปหาพ่อแม่ล่ะ” คำถามผุดขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่มและเขาก็พูดออกไปทันที “ถ้าฟังจากที่เธอพูดแล้ว พ่อแม่ของเจ้านั่นก็น่าจะยังมีชีวิต....”
“ไม่มีแล้วแหละ” ลูเคียพูดขัดขึ้นมาก่อนจะหันมองอิจิโกะ ดวงตาคู่งามฉายแววสงสารปนเห็นใจ “เหมือนเจ้า พ่อแม่ของเซริวถูกฮอลโลว์ฆ่าตายไปแล้ว”
อิจิโกะนิ่งไปเมื่อได้รับรู้ความจริง ลูเคียมองท่าทางของเด็กหนุ่มอย่างคาดไว้แล้วว่าพอรู้เข้าอิจิโกะต้องทำท่าแบบนี้แน่ อิจิโกะที่เสียแม่ไปเพราะฮอลโลว์เช่นกันน่าจะเข้าใจถึงความรู้สึกของเซริวดี ความรู้สึกที่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง ความเหงาและเศร้าจากการสูญเสีย ต่างกันก็ตรงที่ อิจิโกะยังมีพ่อและน้องคอยอยู่เคียงข้าง แต่เซริวไม่เหลือใครอีกแล้ว
“แล้วเจ้านั่น รู้รึเปล่าว่าเป็นฝีมือฮอลโลว์” อิจิโกะถามขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
“รู้สิ” เธอว่าพลางรูดซิปปิดกระเป๋าเพราะใส่ของมาครบแล้ว “เพราะข้าเป็นคนบอกเอง”
.................................................................................................................
วิญญาณคนตาย
คนผู้สวมชุดดำ
ผีเสื้อปีกสีราตรี
คมดาบที่กวัดแกว่ง
แสงซึ่งส่องสว่างก่อนจะหายไปพร้อมกับวิญญาณ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แล้วก็ไม่คิดจะรู้ด้วย รู้แค่ว่าเห็นมาตั้งแต่เด็ก เห็นมาจนชินไปแล้ว อย่างเดียวที่ไม่เคยเห็น ก็คือสัตว์ประหลาดซึ่งสวมหน้ากากขาว และในวันที่เห็น ก็เป็นวันที่พ่อและแม่จากไป
ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ แต่มันไม่ใช่ ไม่ใช่เลยซักนิด
ยังจำได้ดีถึงวันนั้น ไม่สิ คืนนั้นต่างหาก เป็นตอนกลางดึกที่ถนนไร้ซึ่งรถยนต์ สัตว์ประหลาดสวมหน้ากากสีขาวโพลนดุจกระดูกกระโดดลงมาจากบนฟ้าขวางหน้ารถยนต์ พ่อเหยียบเบรกด้วยความตกใจ รถหยุดลงก่อนถึงสัตว์ประหลาดนิดหน่อย แล้วมันก็ส่งเสียงคำรามลั่นก่อนจะใช้แขนอันใหญ่ฟาดเข้าที่ข้างรถด้วยแรงอันมหาศาล รถกลิ้งไปหลายตลบก่อนจะหยุดลง
ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็เห็นแม่กอดผมแน่นแล้วถามด้วยความห่วงใยว่า ‘เป็นอะไรมั้ย’ ผมส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร คนที่เป็นไรดูเหมือนจะเป็นแม่ซะมากกว่าเพราะแม่ทั้งหัวแตกและมีแต่รอยฟกช้ำทั้งๆที่ผมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
แม่หันไปมองนอกรถ ที่หน้าสัตว์ประหลาดตัวนั้น พ่อกำลังยืนโบกมือแล้วก็ตะโกนไปมาเหมือนจะเรียกความสนใจจากสัตว์ประหลาด และเมื่อสัตว์ประหลาดหันมามอง พ่อก็วิ่งหนี แต่กลับถูกสัตว์ประหลาดใช่อุ้งมือตะปบเข้าที่กลางลำตัวอย่างเต็มแรง
เลือดสีแดงสาดกระเซ็น ดุจสายฝนที่โปรยปราย งดงามและน่ากลัว แม่กรีดร้องเรียกชื่อพ่อก่อนจะร้องไห้ออกมา ส่วนผมก็แต่ได้นั่งนิ่ง ไม่มีเสียงร้องหรือน้ำตา เพราะหวาดกลัวเกินว่าจะทำอะไรได้
แม่หันมองผมทั้งที่น้ำตานองหน้าดึงตัวผมเข้าไปกอดแล้วพูดว่าให้ซ่อนอยู่แต่ในรถห้ามส่งเสียงหรือออกไปไหนจนกว่าจะเห็นคนสวมชุดฮากามะสีดำมา แม่จูบผมที่หน้าผากทีหนึ่งแล้วพูดว่า ‘ดูแลตัวเองดีๆนะ’ นั้นคือคำสุดท้ายที่แม่พูด ก่อนจะวิ่งออกจากรถไป
เหมือนพ่อ แม่ตะโกนแล้วโบกมือไปมาก่อนจะวิ่งหนีไป แล้วก็ลงเอยเหมือนพ่อ แม่ถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นฆ่า แล้วร่างของแม่ล้มลงข้างๆพ่อ
สีแดง เห็นแต่สีนี้ แสงจากเสาไฟที่สาดส่องทำให้เห็นสีแดงที่ไหลออกมาจากตัวของพ่อและแม่ ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีพ่อกับแม่อีกแล้ว ทันทีที่คิดน้ำตาไหลออกมา แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งเงียบตามคำสั่งของแม่
แต่ก็ทำได้ไม่นานเพราะสัตว์ประหลาดตัวนั้นหันมามองทางรถซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของผม มันย้ายร่างอันใหญ่โตเข้ามาใกล้รถเรื่อยๆ หัวที่มีหน้ากากขาวหันไปมาเหมือนกำลังหาอะไรซักอย่าง มันส่งเสียงคำรามดังลั่นแสบแก้วหูก่อนะจะฟาดมือมาที่หลังคารถ
โครงเหล็กยุบตัวลงมาทันที ผมมองอย่างตื่นกลัวภาวนาและหวังให้มันหยุดซะที แต่ก็ไม่เป็นผล สัตว์ประหลาดยังคงทุบมาที่หลังคารถอย่างบ้าคลั่ง หลังคารถใกล้เข้ามาถึงตัวผมที่นั่งอยู่บนพื้นรถเรื่อยๆ จนเมื่อหัวผมกับหลังคาห่างกันเพียงแค่ไม่กี่เซ็น มันก็หยุด
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้ว สัตว์ประหลาดใช้มืออันใหญ่โตของมันฉีกหลังคารถออก และเมื่อมันมองเห็นผม มันก็แสยะยิ้มออกมา เสียงคำรามในลำคอฟังดูน่าขนลุกแต่ก็ไม่มากเท่าปากที่มีน้ำลายไหลย้อยเหมือนกำลังมองเห็นอาหารอันโอชะ และในขณะที่ความกลัวขึ้นถึงขีดสุด ผมก็มองเห็น ผีเสื้อปีกดำตัวจ้อยที่บินวนไปมาข้างสัตว์ประหลาดโดยไม่เกรงกลัว
มันปัดมือไปมาอย่างรำคาญเพื่อหวังจะไล่ผีเสื้อ แล้วจู่ๆมันก็ร้องลั่น เลือดสีสดไหลออกมาจากมือที่มือครู่ใช้ปัดไล่ผีเสื้อ ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงๆ แต่แล้วทุกอย่างก็กระจ่าง เมื่อข้างๆผมปรากฏร่างของคนๆหนึ่งขึ้น ร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดฮากามะสีดำ
.................................................................................................................
“หมายความว่าไง” อิจิโกะถามย้ำเพื่อความแน่ใจแล้วรับกระเป๋าของลูเคียมาถือให้ “เจ้านั่นเองก็มองเห็นวิญญาณตั้งแต่ยังเด็กงั้นหรอ”
“ใช่” ลูเคียตอบขณะเดินลงบันไดมา “ครอบครัวของเซริวมีพลังวิญญาณค่อนข้างเยอะ ตัวเขาก็เลยมองเห็นวิญญาณได้ตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนเจ้าไงอิจิโกะ แต่ต่างกันตรงที่พลังวิญญาณของเซริวไม่ได้มีเยอะขนาดเจ้า”
“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าเจ้านั้นมีพลังวิญญาณไม่เยอะ” เด็กหนุ่มถามพลางเดินไปเปิดประตูหลังบ้านแทนเพราะขี้เกียจไปรับลูกถีบสกายคิกของผู้เป็นพ่อที่หน้าบ้าน ลูเคียหันมามองอิจิโกะที่ยังช่างสงสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก่อนจะตอบคำถาม
“ เพราะตอนเจอกันครั้งแรก เซริวมองเห็นข้าแค่รางๆเท่านั้นแหละ”
.................................................................................................................
โฮกกกกกกกกก
เสียงร้องของสัตว์ประหลาดที่สวมหน้ากากขาวดังขึ้นอย่างโหยหวนทามกลางความเงียบงันของราตรี ก่อนร่างอันใหญ่โตของมันจะเริ่มสลายไป เด็กสาวในชุดฮากามะสีดำมองดูสัตว์ประหลาดตัวนั้นค่อยๆหายไปอย่างนิ่งเฉยไร้ความกลัวหรือหวั่นเกรงใดๆ ต่างกับเด็กชายอีกคนที่นั่งอยู่บนพื้นซึ่งกำลังตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวอย่างสุดขีด
ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมคนทั้งสองเป็นเวลานานจนเมื่อสัตว์ประหลาดตัวนั้นสลายไปจนหมด
“คะ.....คุณเป็นใครกัน” เด็กชายซึ่งนั่งอยู่บนพื้นเอ่ยถาม เด็กสาวชุดฮากามะสีดำหันมองเด็กชายอย่างแปลกใจก่อนจะเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เจ้ามองเห็นข้าด้วยงั้นหรอ”
“อ่า..คะ..ครับ” เด็กชายตอบเสียงสั่นๆ “ตะ..แต่เห็นไม่ชัดนัก แล้วคุณ..เป็นผู้หญิง..หรือผู้ชายครับ”
“ผู้หญิงจ้ะ” เด็กสาวตอบพลางยิ้มไปด้วยกับท่าทางเกร็งๆของคนตรงหน้า “เป็นยมทูตด้วย”
“ยะ...ยมทูต”
“ใช่จ้ะ ข้าคือผู้นำพาความตาย หรือที่เรียกว่ายมทูตนั้นแหละ”
.................................................................................................................
ไฟแรง ก็บอกแล้วว่าวันนี้ไฟมันแรงก็เลยอัพมันสองเรื่องเลย 55555+
ส่วนคนที่รออ่านฟิคเจ๊แมวกะตาหมวกเกี๊ยะอยู่ไม่ต้องห่วง กำลังจะอัพเร็วๆนี้แหละ หุหุ(แอบไขว้นิ้วไว้ตอนพูด)
ที่จริงตอนนี้แต่งไว้นานแล้วแหละ เกือบเดือนแล้วมั้ง -*- แต่ขี้เกียจอ่ะ เลยเพิ่งเอามาลง
แอบสปอยล์ตอนหน้าตอนที่ 3 ของฉันต่างหากละเฟ้ย!!!! <<<<ท้ายกานหน่อยว่าใครพูดประโยคนี้ ท้ายถูก ไม่มีไรจะให้อ่ะ - -*
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น