ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic BLEACH : Before I Die[Espada0]

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 อาร์รันคาร์กับยมทูต

    • อัปเดตล่าสุด 13 ม.ค. 51


    ตอนที่ 1 อาร์รันคาร์กับยมทูต



    “ลูเคีย!” เด็กหนุ่มผมส้มตะโกนเรียกชื่อเด็กสาวที่ลอยไปกระทบผนังของอาคารร้างเพราะฝีมือฮอลโลว์ออกมาสุดเสียง ชุดฮากามะสีดำที่สวมใส่อยู่แม้จะทำให้เขาดูสะดุดตาเพียงใดก็คงไม่มากเท่าดาบขนาดใหญ่จนเกือบเท่าตัวที่ถืออยู่

    “เจ้าบ้า!! อย่าวอกแวกสิ หันไปมองข้างหน้าโน่น!” เด็กสาวตะโกนกลับไป แต่สายไปแล้ว ฮอลโลว์ใช้มือของมันกระแทกเด็กหนุ่มจนลอยมาติดผนังข้างๆเธอไปแล้วเรียบร้อย เธอมองเขาสมเพชนิดๆ แต่เหนืออื่นใดคือรู้สึกขายหน้าแทน เป็นถึงยมทูตที่ใช้ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะได้แต่ดันมาถูกฮอลโลว์ระดับนี้อัด

    “โอย หัวฉัน” เขาลุกขึ้นมาจากเศษผนังที่ร่วงลงมาพร้อมเอามือกุมหัวตัวเอง

    “เจ้ามันโง่จริงๆเลยอิจิโกะ ศัตรูอยู่ตรงหน้าแท้ๆยังมีหน้ามาห่วงคนอื่นอยู่ได้” ลูเคียว่าแล้วยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับปัดเศษฝุ่นออกจากตัว ทั้งๆที่คนข้างๆสวมชุดฮากามะสีดำเต็มยศแบบยมทูตแต่ตัวเธอกลับอยู่ในชุดกระโปรงยาวติดกันสีฟ้าขาว ซึ่งดูไม่ได้สะดวกกับงานที่ต้องทำเลย

    “นี่เธอว่าใครโง่กันฮะ” อิจิโกะลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วจ้องหน้าลูเคียอย่างเคืองๆ

    “ก็ว่าเจ้าน่ะสิแถวนี้ก็มีแต่ข้ากับเจ้า ถ้าไม่ว่าเจ้าแล้วจะว่าใคร” เธอกอดอกตัวเองแล้วจ้องหน้าเขากลับไปเช่นกัน

    “ถ้าฉันโง่เธอก็คือสุดยอดของความโง่แล้ว”

    “หนอย นี่เจ้า”

    โฮกกกกกกกกกกกกก

    เสียงร้องของฮอลโลว์ที่ถูกเมินมานานดังขึ้นขัดการสนทนา(ทะเลาะมากกว่า) ทั้งคู่หันกลับมาแล้วประสานเสียงพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงว่า

    “คนกำลังคุยกันอย่าเพิ่งยุ่งจะได้มั้ยห๊า!!!”

    และทันทีที่จบคำอิจิโกะก็ลงดาบใส่ฮอลโลว์พร้อมกับลูเคียที่ยิงวิถีมารใส่ ทำให้ฮอลโลว์ตัวนี้สลายไปในทันที

    เป็นอันว่า งานเสร็จแล้ว

    .................................................................................................................
    ภายนอกของอาคาร อาทิตย์อัสดงเปลี่ยนสีของผืนฟ้าให้เป็นสีแดงฉาน สองร่างที่เดินเคียงออกมาจากอาคารก็ยังคงเถียงกันไม่เลิก

    “ข้าว่าข้าบอกเจ้าหลายหนแล้วนะว่าเวลาต่อสู้ห้ามหันมองทางอื่น ทำไมไม่ฟังกันบ้าง” เด็กสาวบ่นขึ้นถึงความสะเพร่าของเจ้าคนตัวสูงข้างๆกายที่ตอนนี้กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แล้ว

    “เหอะ” เด็กหนุ่มส่งเสียงคล้ายรำคาญ “ไม่เห็นจะจำได้เลยว่าเธอพูด”

    “สมองเจ้ามันคงมีแต่ขี้เลื่อยสินะ เวลาข้าพูดอะไรไปเจ้าถึงจำไม่ได้” ลูเคียพูดแล้วส่ายหน้าอย่างระอา ทำให้ปรอทความอดทนของอิจิโกะแตกทันที

    “หนอย! พูดแบบนี้อยากมีเรื่องงั้นรึไง”

    “ก็เอาสิ แต่อย่ามาบ่นที่หลังก็แล้วกันเวลาข้าชนะขึ้นมา”

    “ที่จะแพ้น่ะมันเธอต่าง.......หาก” คำพูดสุดท้ายของเขาเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบกาย “ลูเคีย” เขาเรียกชื่อเด็กสาวร่างเล็กที่กำลังทำแบบเดียวกันกับเขา คือกวาดตามองไปทั่วสถานที่แห่งนี้

    “รู้สึกใช่ไหม”

    “อื้อ” เธอส่งเสียงเป็นคำตอบแล้วหยิบถุงมือที่มีลายหัวกะโหลกขึ้นมาสวมที่มือขวา ประสาทสัมผัสทั้งหมดตื่นตัวเต็มที่เพียงเพราะพลังกดดันวิญญาณเพียงเล็กน้อยที่รู้สึกได้ มันคงจะไม่ยุ่งยากขนาดนี้หากพลังกดดันวิญญาณที่ว่าจะไม่ใช่ของอาร์รันคาร์

    ลูเคียนำมือขวาไปแตะที่อกของอิจิโกะแล้วออกแรงผลัก ร่างยมทูตถูกผลักออกมาจากกายมนุษย์ทันที เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปจับดาบที่สะพายอยู่ด้านหลังเพื่อเตรียมตัวรับศึก ทั้งคู่หันหลังชนกันอย่างระมัดระวังเพราะรู้ซึ่งถึงความสามารถของเหล่าอาร์รันคาร์เป็นอย่างดี

    ‘ทางไหน จะมาจากทางไหนกัน’ เขาคิดอย่างตื่นตระหนกนิดๆ ก่อนจะเพ่งสมาธิเพื่อจับพลังกดดันวิญญาณของอาร์รันคาร์ให้ได้ จนกระทั่ง

    ด้านหลัง!

    “หมอบลง!!”

    เขาตะโกนบอกลูเคียก่อนจะดึงดาบออกมาแล้วหันหลังกลับวาดดาบเป็นรูปครึ่งวงกลมทันที แต่แทนที่ซันเงสึจะได้เรียกเลือดจากอาร์รันคาร์ตามที่เขาคิด สิ่งที่ได้กลับมีแต่ความว่างเปล่า พลังกดดันวิญญาณของอาร์รันคาร์ที่เขารู้สึกได้มันพุ่งตรงมาหาลูเคียนี่น่า แล้วทำไมถึง

    “อิจิโกะด้านบน!!” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วและหนักแน่น ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง แต่เพราะย้อนแสงทำให้สิ่งที่เห็นเป็นเพียงเงาดำเท่านั้น เงาดำของอาร์รันคาร์ที่กำลังพุ่งลงมาหาพวกเขาอย่างเร็ว

    “หลบเร็ว!” ลูเคียว่าแล้วพลักอกเขาอย่างแรงเพื่อให้ถ่อยไปก่อนตัวเองกระโดดถ่อยออกมาเช่นกัน

    ตูม!!!

    พื้นที่พวกเขาเคยยืนเกิดหลุมลึกขึ้นทันทีที่เท้าของอาร์รันคาร์ตัวนั้นแตะถึง ฝุ่นดินลอยฟุ้งไปทั่วจนบดบังภาพตรงหน้าซะสิ้น อิจิโกะไม่อยากจะนึกว่าถ้าเขากับลูเคียยังยืนอยู่ตรงนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

    เขาเดินเข้าไปใกล้หลุมนั้นเผื่อจะสามารถมองเห็นอาร์รันคาร์ตัวนั้นได้ แต่ทว่า

    เงาดำก็พุ่งตรงขึ้นมาจากหลุมมาหาเขาด้วยความเร็วจนน่าทึ่ง มือพุ่งเข้ามาใกล้จนดวงตาของเขามองเห็นปลายเล็บห่างไปแค่ไม่กี่เซน

    ‘หลบไม่ทันแล้ว!!’

    “วิถีทำลายที่ 4 เบียคุไร!!”

    ตูม!

    เสียงตะโกนของลูเคียดังขึ้นเกือบจะพร้อมกับเสียงระเบิดอันดังกึกก้อง สายฟ้าสีขาวที่เธอปล่อยออกมาพุ่งตรงเข้ามาปะทะเข้ากับอาร์รันคาร์ตนนั้นทันที ทำให้อิจิโกะรอดตายอย่างหวุดหวิด เด็กหนุ่มนั่งแปะลงกับพื้นอย่างหมดแรงทันที ลูเคียวิ่งเข้ามาหาอิจิโกะก่อนจะถามขึ้น

    “เป็นอะไรมั้ย”

    เขาส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่ายังโอเคดี ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพราะรู้ดีว่าอาร์รันคาร์ตัวนั้นยังไม่ตาย

    ห่างไปไม่ไกลจากที่ๆทั้งคู่ยืนอยู่ หยดเลือดสีแดงฉานหยดแหมะลงบนพื้นจากมือขวาของอาร์รันคาร์ตนนั้น ภาพเบื้องหน้าคือยมทูตผมส้มซึ่งเกือบจะฆ่าได้อยู่แล้ว กับ สาวน้อยซึ่งดูเหมือนจะไร้พิษภัยแต่สามารถเรียกเลือดจากเขาได้ อาร์รันคาร์มองมือที่เต็มไปด้วยเลือดก่อนจะกำหมัดแน่น แล้วจะพุ่งทะยานไปหาคนทั้งคู่อีกครั้ง

    อิจิโกะที่กำลังคุยกับลูเคียอยู่หันขวับไปทางซ้ายทันที อาร์รันคาร์กำลังพุ่งตรงมาทางนี้

    ดีล่ะ คราวนี้ไม่พลาดแน่ เขาคิดอย่างมั่นใจก่อนจะฟันดาบไปด้านหน้า

    “เสร็จล่ะที่นี้!”

    แต่ก็ฟันโดนแต่ลม

    ทำไมล่ะ ทั้งที่น่าจะโดนแล้วแท้ๆ

    “พี่สาวคร้าบ!” เสียงอันไม่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังของเขา และเมื่อเขาหันไปมอง

    “เฮ้ย!” อิจิโกะอุทานออกมา ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มที่ท่าทางคงอายุประมาณเขาแต่อยู่ในชุดสีขาวของอาร์รันคาร์กำลังจับมือของลูเคียอยู่ ท่าทางดีใจเหมือนได้พบเพื่อนที่จากกันมานาน

    เด็กหนุ่มอาร์รันคาร์ผู้นั้นมีเส้นผมสีน้ำเงินอมเขียวเหมือนสีน้ำทะเลดูแปลกตายาวประบ่า บนศีรษะด้านซ้ายสวมหน้ากากสีขาวที่มีปีกแบบพังผืดของค้างคาวยื่นออกมา ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองลูเคียอย่างยินดียิ่ง

    “ดีใจจังเลย รู้มั้ยผมตามพี่สาวไปซะทั่วเลยกว่าจะเจอ เมืองนี้ใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย แทบแย่นะกว่าจะเจอเนี่ย” เด็กหนุ่มอาร์รันคาร์ก็ยังคงพูดจ้อไม่เลิกโดยไม่สนใจใบหน้าเหวอๆของลูเคียกับใบหน้าตกใจสุดๆของอิจิโกะ ไม่ใช่แค่นั้น เขายังเอามือเล็กๆของลูเคียถูไปมากับแก้มของตนอีก

    “เอ่อ เจ้าเป็นใครกัน” เด็กสาวพูดออกมาในที่สุด คำถามนั้นทำเอาอาร์รันคาร์หนุ่มนิ่งไป

    “เอ๋!! นี่พี่สาวจำผมไม่ได้เลยหรอ” เขาใช้มือข้างที่เปื้อนเลือดชี้หน้าตัวเองทั้งๆที่อีกมือหนึ่งก็ยังคงจับมือของลูเคียอยู่อย่างนั้น

    ลูเคียส่ายหน้า

    “ง่า พยายามนึกหน่อยน่า พี่สาวต้องจำผมได้สิ” เด็กหนุ่มยังคงพูดต่อ ลูเคียมีสีหน้าครุ่นคิด เธอพยายามคิดอย่างหนักว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แต่ก็นึกไม่ออกซักที จนกระทั่งเสียงของอิจิโกะที่เงียบไปนานดังขึ้น

    “นี่แกเป็นใครกันแน่”

    เด็กหนุ่มผมสีน้ำทะเลหันไปมองอิจิโกะด้วยแววตาเฉยชาท่าทีผิดกับที่ทำต่อลูเคียอย่างลิบลับ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

    “ถามแปลกๆ ก็อาร์รันคาร์น่ะสิ”

    “เรื่องนั้นน่ะรู้แล้วโว้ย แต่ที่ฉันถามคือรู้จักกับลูเคียได้ไงต่างหากเล่า”

    เด็กหนุ่มอาร์รันคาร์เหยียดยิ้มออกมา “คนนอกไม่จำเป็นต้องรู้”

    คำตอบนั้นทำให้อิจิโกะอยากจะปลดปล่อนสวัสดิกะมาสู้กับคนตรงหน้าซะเหลือเกิน

    ลูเคียมองใบหน้ายามยิ้มของเด็กหนุ่มอาร์รันคาร์ มันดูคุ้นตามากๆ คุ้นมากเหลือเกินเหมือนเคยเห็นมาก่อน แต่ที่ไหนล่ะ ที่ไหน

    .................................................................................................................
    ‘พี่สาวฮะ’ ภาพเด็กชายคนหนึ่งแวบเข้ามาในหัว ทุกสิ่งรอบกายเป็นสีส้มเพราะแสงตะวันยามเย็น เด็กชายคนนั้นช่างมีใบหน้าที่คล้ายกับของอาร์รันคาร์ตนนี้เหลือเกิน เด็กชายกำลังยิ้มกว้างให้เธอ ซึ่งเธอเองก็ยิ้มตอบไปเช่นกัน ทั้งที่จำได้ถึงขนาดนี้แต่เธอกลับนึกชื่อของเขาไม่ออก

    อะไร

    ชื่ออะไรกันนะ

    นึกให้ออกสิลูเคีย นึกให้ออกสิ

    ‘แล้วผมจะไปหาพี่สาวนะ’

    ดวงตาสีม่วงครามเบิกกว้างขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดของเด็กชาย

    นึกออกแล้ว
    .................................................................................................................
    และในตอนนั้นเองที่อาร์รันคาร์หนุ่มกับอิจิโกะกำลังจะเปิดศึกกันอยู่มะร่อมมะร่อแล้ว

    “เซริว” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่ก็ดังพอที่สองหนุ่มจะได้ยินมัน “เจ้าคือ เซริวใช่มั้ย” ลูเคียถามต่อเพื่อความแน่ใจ

    อิจิโกะมองมาที่ลูเคียอย่างสงสัยกับชื่อที่เธอพูดออกมา เขาไม่เห็นเคยได้ยินมันมาก่อนเลย แต่สำหรับอาร์รันคาร์หนุ่มนั้น มันคือคำที่เขาอยากได้ยินเป็นที่สุดเลย

    หมับ!

    เซริวดึงตัวลูเคียเข้ามากอดทามกลางความตกตะลึงของอิจิโกะ แต่ลูเคียกลับมีสีหน้าปกติเหมือนคาดการเอาไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้

    “ดีใจจังเลย! พี่สาวนึกออกแล้ว” ไม่ใช่แค่นั้น เด็กหนุ่มอาร์รันคาร์ยังเอาหน้าของตัวเองถูไปมากับแก้มของลูเคียอีก

    “รู้แล้วว่าดีใจ แต่ปล่อยข้าก่อนจะมั้ย” ลูเคียพูดยิ้มๆแล้วค่อยๆใช้มือดันใบหน้าของเซริวออกไป แม้จะไม่ได้กอดแน่นแบบเมื่อครู่แต่เด็กหนุ่มอาร์รันคาร์ก็ยังกอดลูเคียไว้แบบหลวมๆอยู่ดี “โตขึ้นตั้งเยอะเลยนะเจ้า” เธอว่าแล้วนึกภาพตอนสมัยที่เขายังเป็นเพียงแค่เด็กชายตัวน้อยอยู่

    “แต่พี่สาวกลับดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

    ใช่แล้ว ไม่เปลี่ยนไปจากสิบห้าปีก่อนเลยซักนิด ไม่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่พบกันเลย

    “โทษทีเหอะ” อิจิโกะที่ดูเหมือนจะไม่มีตัวตนอยู่นานพูดขึ้น “ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!”

    ลูเคียกับเซริวหันมองหน้ากันอย่างรู้ดีว่า ‘คงต้องอธิบายกันยาว’
    .................................................................................................................
    ที่ร้านอุราฮาร่า

    ณ ห้องด้านในสุด ซึ่งเป็นห้องนอนของเจ้าของร้านนี้ อุราฮาร่า คิสึเกะ ร่างสูงของชายหนุ่มนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้น หมวกสีขาวสลับเขียวที่เจ้าตัวชอบใส่อยู่เป็นประจำถูกนำมาวางปิดหน้าไว้ แม้ท่าทางจะเหมือนกำลังหลับอยู่ แต่หัวสมองของอดีตหัวหน้าหน่วยสิบสองผู้นี้กำลังคิดถึงสิ่งประดิษฐ์ชิ้นต่อไปอยู่

    สิ่งประดิษฐ์ที่จะใช้ในการต่อสู้กับพวกไอเซ็น

    หลังสามกบฏจากไปพร้อมกับลูกแก้ววินาศหรือโฮเงียคุ ทางโซลโซไซตี้ก็เตรียมพร้อมรับศึกอย่างเต็มที่ในฤดูหนาวที่ใกล้จะมาถึง

    แต่ทว่า โอริฮิเมะ กลับถูกลักพาตัวไปโดยไอเซ็นที่สนใจในพลังของเธอซะก่อน ทางโซลโซไซตี้จึงต้องเปิดศึกบุกฮูเอโก้มุนโด้ก่อนเวลา พวกอิจิโกะที่บุกเข้าไปสามารถกลับมาได้อย่างครบสามสิบสอง(รึเปล่า?) แม้จะมีสภาพปางตายแต่ก็นับว่าโชดดีที่รอดมาได้ แถมยังสามารถพาตัวเจ้าหญิงทอผ้ากลับมาได้อีก เรียกได้ว่าแหลือเชื่อจริงๆ

    และในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีวัตถุหนักๆกดลงบนหน้าทอง เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบหมวกออก ที่ท้องของเขามีแมวสีดำสนิทตัวหนึ่งนั่งอยู่ ดวงตาสีอำพันที่มีม่านตาเรียวรีเป็นเส้นขีดหันมามองเขาทีหนึ่งก่อนจะหันไปทางประตูห้อง

    ที่นั่นมีเด็กหนุ่มผมสีส้มคนหนึ่งยืนอยู่ หน้าตาบูดบึ่งและท่าทางไม่สบอารมณ์ ที่ข้างๆเขาคือเด็กสาวผมดำคนหนึ่งที่มักไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอจนกลายเป็นภาพคุ้นตาไปซะแล้ว

    แต่ที่ไม่คุ้นก็คือ เด็กหนุ่มผมสีน้ำทะเลคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังลูเคีย ที่มือขวามีร่องรอยของบาดแผลแต่เท่าที่ดูๆแล้ว ดูเหมือนจะได้รับการรักษาด้วยวิถีมารมาแล้วเล็กน้อย ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือเขาสวมชุดสีขาวซึ่งเป็นเครื่องแบบของอาร์รันคาร์!!

    “คุณอุราฮาร่า” อิจิโกะพูดขึ้น “ผมขอยืมกายหยาบหน่อยสิ”

    คิสึเกะลุกขึ้นมานั่งก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ขอยืมกายหยาบ? ให้ใครกัน หรือว่า อาร์รันคาร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
    .................................................................................................................
    “เล่ามาซะทีสิ” อิจิโกะทิ้งตัวลงบนเบาะนั่ง ก่อนจะมองไปที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เซริวที่อยู่ในกายหยาบกำลังนั่งลงข้างๆลูเคีย ตอนนี้พวกเขาก็ยังอยู่ในร้านของอุราฮาร่า เพราะอิจิโกะลงความเห็นว่าถ้าขืนไปที่บ้านล่ะก็มีหวังได้คงต้องมานั่งเล่นเกมยี่สิบ(ล้าน)คำถามกะป๋าแน่ๆ

    “ทำไมฉันต้องมาอยู่ในไอ้กายหยาบนี้ด้วยเนี่ย ขยับไม่เห็นสะดวกเลย” เซริวบ่นแล้วหมุนแขนไปมา

    “นี่” อิจิโกะพูดเมื่อเห็นว่าเริ่มนอกเรื่อง

    “ทนๆไปหน่อยเถอะ” ลูเคียว่า “ถ้าเจ้ายังอยู่ในร่างอาร์รันคาร์ล่ะก็ ยมทูตแถวนี้ทั้งหมดจะยกโขยงมารุมยำเจ้าแน่”

    “เฮ้ย” อิจิโกะยังคงพยายามพูดเรียกความสนใจอยู่

    “คร้าบ รับทราบแล้ว” แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจ จนในที่สุด

    “ฟังกันมั่งซิโว้ย!!” เด็กหนุ่มผมส้มตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน (จะนึกภาพว่าคว่ำโต๊ะไปด้วยก็ได้นะ เข้ากันดีออก -*-)

    ลูเคียมองการกระทำนั้นอย่างนิ่งเฉยเพราะดูเหมือนว่าเธอจะเจอนิสัยขี้โว้ยวายของอิจิโกะมาจนชินไปซะแล้ว ส่วนเซริวมองอิจิโกะอย่างงงนิดๆกับความเลือดร้อนจนเกินเหตุ

    “ก็ว่ามาซิ” เธอว่าแล้วกอดอก

    ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นอิจิโกะก็ชี้หน้าของเซริวทันที “ไอ้หมอนี่เป็นใคร”

    “ชื่อเซริวน่ะ” เด็กสาวชี้นิ้วไปยังร่างสูงที่นั่งข้างๆ “ เมื่อสิบห้าปีก่อนข้าช่วยเขาไว้จากการถูกทำร้ายโดยฮอลโลว์น่ะ ตอนนั้นเจ้าแค่เจ็ดขวบเองเนอะ” ประโยคสุดท้ายเธอหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม เขาพยักหน้ารับเล็กน้อย

    “ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้น” อิจิโกะแย้ง “ที่อยากรู้คือนายเป็นอาร์รันคาร์แท้ๆแล้วมาหายมทูตอย่างลูเคียทำไม”

    “ถึงจะเป็นอาร์รันคาร์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นศัตรูกับยมทูตซะหน่อย” อาร์รันคาร์หนุ่มตอบกลับไป “ฉันน่ะ ตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อนที่ได้พี่สาวช่วยไว้ก็คิดมาตลอดว่าซักวันจะต้องตอบแทนบุญคุณนั้นให้ได้ แต่เมื่อห้าปีก่อนฉันก็ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตและกลายมาเป็นอาร์รันคาร์ซะก่อน”

    เซริวเว้นช่วงก่อนจะเงยหน้ามาสบตากับอิจิโกะ “เมื่อเร็วๆนี้ฉันรู้มาว่าไอเซ็นคิดจะเปิดศึกกับโซลโซไซตี้ ฉันพยายามขอร้องให้ไอเซ็นยกเลิกแผนการ แต่ไม่สำเร็จ”

    ดวงตาสีน้ำตาลของอิจิโกะมองเซริวอย่างแปลกใจเล็กน้อย เพราะอาร์รันคาร์ทุกตนที่เขาเคยเจอมาล้วนแต่เรียก ‘ท่านไอเซ็น’ ด้วยความเคารพและเทิดทูนอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นระดับเอสปาด้าไล่ไปจนถึงอาร์รันคาร์ธรรมดา แต่กับเซริว เขากลับเรียกเพียงไอเซ็นไม่มีคำว่าท่านนำหน้า

    ทำไมกัน?

    “เพราะฉะนั้น ฉันเลยถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏแล้วก็ถูกขับไล่ออกมาล่ะ” อาร์รันคาร์หนุ่มพูดยิ้มๆอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่สำหรับอิจิโกะ เขากลับรู้สึกได้ถึงลางร้ายและเรื่องยุ่งยากที่กำลังตามาอีกเป็นขบวน

    “ดังนั้น ขออยู่ด้วยคนนะ ^ ^ ”

    ม่ายน๊าาาาา!!!!
    .................................................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×