ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความรู้!

    ลำดับตอนที่ #103 : >>บุคคล

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 436
      0
      12 มี.ค. 52

    จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 หรือ นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoléon Bonaparte) (15 สิงหาคม พ.ศ. 2312 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2364) เป็นนายพลในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ดำรงตำแหน่งผู้ปกครองประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) และได้กลายเป็นจักรพรรดิ ของชาวฝรั่งเศสระหว่างปี พ.ศ. 2347 (ค.ศ. 1804) ถึง พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) ภายใต้พระนามว่า นโปเลียนที่ 1 ผู้ได้มีชัยและปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป และได้แต่งตั้งให้แม่ทัพและพี่น้องของเขาขึ้นครองบัลลังก์ในราชอาณาจักรยุโรปหลายแห่งด้วยกัน เช่น ประเทศสเปน เมืองเนเปิลในประเทศอิตาลี แคว้นเวสต์ฟาเลนในประเทศเยอรมนี ประเทศเนเธอร์แลนด์ และประเทศสวีเดน



    เมื่อทรงพระเยาว์

    พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช เสด็จพระราชสมภพประมาณระหว่างปี ค.ศ. 847 ถึง ปี ค.ศ. 849 ที่แวนเทจ ในปัจจุบันอยู่ในอ๊อกฟอร์ดเชอร์ในมลฑลบาร์คเชอร์ พระเจ้าอัลเฟรดทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 5 และองค์เล็กของพระเจ้าเอเธลวูลฟแห่งเวสเซ็กซ์(Æthelwulf) และออสเบอร์กาพระชายาองค์แรก[2] ในปี ค.ศ. 868 พระเจ้าอัลเฟรดทรงเสกสมรสกับ เอลสวิธ (Ealhswith) ธิดาของเอเธลเรด มูซิลล์ผุ้เป็นผู้ปกครองไกนิ (Gaini) [3]

    กล่าวกันว่าเมื่อพระเจ้าอัลเฟรดพระชนมายุได้ 5 พรรษาทรงถูกส่งตัวไปกรุงโรม และจากบันทึกพงศาวดารแองโกล-แซ็กซอน สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 4ก็ประกาศยอมรับและ “เจิมว่าเป็นกษัตริย์” นักเขียนสมัยวิคตอเรียตีความเป็นสัญญาณถึงการที่จะได้สวมมงกุฏเป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งเวสเซ็กส์ต่อมา แต่อันที่จริงแล้วการที่ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าเช่นที่ว่าเป็นไปได้ยากเพราะในขณะนั้นพระเจ้าอัลเฟรดทรงมีพระเชษฐาสามพระองค์ จดหมายของพระสันตะปาปาลีโอที่ 4 กล่าวว่าพระเจ้าอัลเฟรดได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “กงสุล” (consul) ซึ่งอาจจะเป็นการทำให้เข้าใจผิดไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ต่อมา[4] หรืออาจจะมีสาเหตุมาจากการที่พระเจ้าอัลเฟรดเสด็จติดตามพระราชบิดาไปแสวงบุญที่โรมต่อมาและประทับที่ราชสำนักของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์เศียรล้าน (Charles the Bald) พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสอยู่ระยะหนึ่งราวปี ค.ศ. 854 หรือ ค.ศ. 855 เมื่อเสด็จกลับมาจากโรมในปี ค.ศ. 856 พระเจ้าเอเธลวูลฟ ถูกโค่นอำนาจโดยเอเธลบอลด์ (Æthelbald) พระโอรส เมื่อเอเธลวูลฟ์สิ้นพระชนม์เมื่อ ค.ศ. 858 เวสเซ็กซ์จึงปกครองโดยพระเชษฐาสามพระองค์ของพระเจ้าอัลเฟรดต่อเนื่องกันมา

    แอสเซอร์กล่าวว่าเมื่อพระเจ้าอัลเฟรดยังทรงพระเยาว์ทรงได้รับรางวัลเป็นหนังสีอโคลงกลอนเป็นภาษาอังกฤษจากพระมารดาและทรงเป็นพระโอรสองค์แรกที่ทรงจำโคลงกลอนจากหนังสือเล่มนั้นได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงหรืออาจจะเป็นเรื่องที่เล่าเพื่อสร้างเสริมพระบารมีในความที่มีชื่อว่าเป็นผู้รักการศึกษาเล่าเรียนก็ได้

     สมัยการปกครองของพระเจ้าเอเธลเรด

    พระนามของพระเจ้าอัลเฟรดไม่ปรากฏในหลักฐานใดๆ ในช่วงระหว่างรัชสมัยการปกครองสั้นๆ ของพระเชษฐาสองพระองค์ของพระองค์ -- เอเธลบอลด์ (Ethelbald of Wessex) และ เอเธลเบิร์ต (Ethelbert of Wessex) แต่เมื่อ พระเจ้าเอเธลเรดที่ 1 ขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 866 พระเจ้าอัลเฟรดก็เริ่มมีบทบาททางการปกครอง ซึ่งเป็นช่วงที่แอสเซอร์ถวายตำแหน่งที่เป็นเอกลักษณ์ให้ว่า “secundarius” ซึ่งอาจจะเป็นตำแหน่งเทียบกับตำแหน่ง “tanist” ของชาวเคลท์ ซึ่งหมายถึง “ผู้สืบราชบัลลังก์” หรือผู้ที่มีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์และเป็นผู้ที่ยอมรับกันว่าจะเป็นสืบราชบัลลังก์ต่อไป และอาจจะเป็นไปได้ว่าตำแหน่งนี้ได้รับการอนุมัติจากสภาวิททัน เพื่อป้องกันความขัดแย้งว่าผู้ใดสมควรที่จะเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่พระเจ้าเอเธลเรดที่ 1 เสียชีวิตในสงคราม ประเพณีการแต่งตั้งผู้สืบราชบัลลังก์ให้เป็นเจ้าชายและแม่ทัพเป็นประเพณีที่ทำกันในบรรดาชนชั้นปกครองชาวเจอร์มานิค เช่น ชนชาวสวีด (Swedes) และชนชาวแฟรงค์ ซึ่งเกี่ยวดองอย่างใกล้ชิดกับชนชาวแองโกล-แซ็กซอน

    ตามหลักฐานกล่าวว่าในปี ค.ศ. 868 พระเจ้าอัลเฟรดทรงต่อสู้ร่วมกับพระเจ้าเอเธลเรดในสงครามต่อต้านการรุกรานของชนชาวเดนส์ (Danes)ในอาณาจักร์เมอร์เซียแต่มิได้ประสพความสำเร็จ ไวกิงมิได้รุกรานเวสเซ็กซ์ อยู่สองปีเพราะอัลเฟรดทรงจ้างไม่ให้รุกราน แต่ในปลายปี ค.ศ. 870 ชนชาวเดนส์ก็เข้ามารุกรานเวสเซ็กซ์อีกครั้ง ปีต่อมาเป็นปีที่รู้จักกันว่าเป็นปีแห่งการต่อสู้ของพระองค์ ระหว่างนั้นทรงเข้าศึกเก้าครั้งแพ้บ้างชนะบ้าง ที่บาร์คเชอร์ ทรงได้รับชัยชนะในยุทธการเองเกิลฟิลด์ (Battle of Englefield) เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ปี ค.ศ. 870 ตามด้วยความพ่ายแพ้ที่ยุทธการเรดดิง (Battle of Reading) เมื่อวันที่ 5 January ปี ค.ศ. 871 สี่วันต่อมาก็ทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดที่ยุทธการแอชดาวน์ (Battle of Ashdown) ที่บาร์คเชอร์ดาวน์ที่อาจจะตั้งอยู่ไม่ไกลจากคอมพ์ตันหรืออัลด์เวิร์ธ หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม ก็ทรงพ่ายแพ้ที่เบสซิง และอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ยุทธการเมอร์ตัน (Battle of Merton) (อาจจะเป็นมาร์เด็นในแคว้นวิลท์เชอร์ หรือ มาร์ตินในแคว้นดอร์เซ็ท) ซึ่งเป็นสนามรบที่พระเจ้าเอเธลเรดถูกปลงพระชนม์

     สมัยสงคราม

    ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 871 พระเจ้าเอเธลเรดเสด็จสวรรคต อัลเฟรดขึ้นครองราชบัลลังก์เวสเซ็กซ์ต่อจากพระเชษฐาผู้มีทรงมีพระโอรสของพระองค์เองที่ยังทรงพระเยาว์สองพระองค์ โดยปราศจากการประท้วงในสิทธิการสืบราชบัลลังก์ของพระองค์เพราะทรงเป็นผู้มีความปรีชาสามารถทางการทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่บ้านเมืองต้องการในขณะที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพที่ร้อนเป็นไฟ แต่พระเจ้าอัลเฟรดก็มิได้ทรงละเลยในการปกป้องสิทธิในอส้งหาริมทรัพย์ของพระนัดดา ขณะที่ทรงยุ่งกับพิธีทำพระศพของพระเชษฐา ชนชาวเดนส์ก็แอบโจมตีท้ายครัว และโจมตีต่อพระพักตร์ที่วิลท์ตันในแคว้นวิลท์เชอร์ในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นบ้านเมืองก็มีความสงบสุขอยู่ราวห้าปีขณะที่ชาวเดนส์ยึดครองส่วนอื่นของอังกฤษ แต่ในปี ค.ศ. 876 ภายใต้กูธรัมผู้อาวุโส (Guthrum the Old) ผู้นำคนใหม่ ชนชาวเดนส์ก็แอบโจมตีกองทัพอังกฤษอีก และโจมตีเวเร็ม ในแคว้นดอร์เซ็ท ต่อมาในปี ค.ศ. 877 ในขณะที่แสร้งทำการเจรจาเดนส์ก็กลับไปโจมตีและพยายามยึดครอง เอ็กซีเตอร์ ใน แคว้นเดวอน แต่พระเจ้าอัลเฟรดทรงสามารถปิดท่าขณะที่กองเรือของชนชาวเดนส์ถูกพายุกระหน่ำจนจำต้องพ่ายแพ้และถอยทัพไปยังเมอร์เซีย แต่ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 878 ชาวเดนส์ก็กลับมาจู่โจมชิพเพ็นนัมที่เป็นที่มั่นและเป็นที่ประทับของพระเจ้าอัลเฟรดระหว่างคริสต์มาสโดยไม่รู้ตัว จนต้องทรงถอยไปตั้งหลักที่เอเธลนีย์เมื่ออีสเตอร์ (พงศาวดารแองโกล-แซ็กซอน)

    อนุสาวรีย์ของพระเจ้าอัลเฟรดมหาราชที่วินเชสเตอร์

    ตำนานที่เป็นที่รู้จักกันดีกล่าวว่าเมื่อพระเจ้าอัลเฟรดเสด็จหนีไปบริเวณซอมเมอร์เซ็ทเลเวลส์ (Somerset Levels) ก็มีหญิงชาวบ้านถวายที่หลบภัยให้พระองค์และโดยไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใครก็ใช้ให้เฝ้าขนมเค้กในเตาอบ แต่พระเจ้าอัลเฟรดทรงหมกมุ่นอยู่กับสถานะการณ์บ้านเมืองก็เลยทรงทำเค้กไหม้ เมื่อหญิงชาวบ้านทราบว่าพระองค์เป็นใครก็ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการใหญ่แต่พระเจ้าอัลเฟรดกลับทรงกล่าวว่าพระองค์เองต่างหากที่ควรจะเป็นผู้ขอโทษ ขณะที่หลบภัยจากข้าศึกพระเจ้าอัลเฟรดทรงตั้งที่มั่นเป็นที่ต่อต้านศัตรูอยู่ที่บริเวณเกาะเลนใกล้เพเธอร์ตันเหนือ (North Petherton) โดยใช้กองทหารท้องถิ่นจากแคว้นซอมเมอร์เซ็ท แคว้นวิลท์เชอร์ และ แคว้นแฮมพ์เชอร์

    ตำนานการปลอมพระองค์อีกเรื่องหนึ่งคือเมื่อทรงปลอมเป็นนักดนตรีเพื่อจะเข้าไปสืบแผนการโจมตีอังกฤษในค่ายของกูธรัมผู้อาวุโส ผลจากการกระทำครั้งนี้ทำให้เกิดยุทธการเอ็ดดิงตัน (Battle of Edington) ใกล้เวสต์บรีในแคว้นวิลท์เชอร์ พระเจ้าอัลเฟรดทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ตามคำกล่าวของแอสเซอร์ ชนชาวเดนส์ยอมรับอำนาจของพระเจ้าอัลเฟรด และกูธรัมกับผู้นำอีก 29 คนยอมรับศีลจุ่มหลังจากลงนามในสนธิสัญญาเว็ดมอร์ (Treaty of Wedmore) หลังจากการลงนามอังกฤษก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วน ด้านใต้อยู่ภายใต้การปกครองของแซ็กซอน และบริเวณทางเหนือรวมทั้งลอนดอนที่รู้จักกันในนาม “ดินแดนเดน” (Danelaw) อยู่ภายใต้การปกครองของไวกิง ในปีต่อมา ค.ศ. 879 ทั้งแคว้นเวสเซ็กซ์ และ แคว้นเมอร์เซียทางตะวันตกชอง ก็ปราศจากผู้รุกราน ถนนวัตลิง (Watling Street)

    ในช่วงสองสามปีต่อมาบ้านเมืองก็มีความสงบสุขเพราะชนชาวเดนส์มัวแต่ยุ่งทำสงครามบนผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรป แต่ในปี ค.ศ. 884 หรือ ค.ศ. 885 ชนชาวเดนส์ก็กลับมาขึ้นฝั่งที่แคว้นเค้นท์ไม่ไกลจากพลัคส์กัตเตอร์ (Plucks Gutter) เพื่อจะยุยงให้ชนเดนส์ในแคว้นอีสต์อังเกลียแข็งข้อต่อพระเจ้าอัลเฟรดแต่ก็ไม่สำเร็จ พระเจ้าอัลเฟรดจึงทรงพยายามหยุดยั้งการรุกรานที่อาจจะเกิดขึ้นโดยทรงยึดลอนดอนใน ปี ค.ศ. 885 หรือ ค.ศ. 886 กูธรัมจึงยอมลงนามร่วมกับพระเจ้าอัลเฟรดในสนธิสัญญาแห่งอัลเฟรดและกูธรัม (Treaty of Alfred and Guthrum) ซึ่งทำให้บ้านเมืองสงบสุขอยู่ระยะหนึ่งแต่ก็มาสิ้นสุดลงในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 892 หรือ ค.ศ. 893 เมื่ออำนาจในยุโรปเริ่มอ่อนแอลงชนชาวเดนส์ก็หันมารุกรานอังกฤษ รรั้งนี้มากับกองทัพเรือที่ประกอบด้วยเรือ 330 ลำ ที่แบ่งเป็นสองกองๆ ใหญ่ กองใหญ่ตั้งอยู่ที่มั่นอยู่ที่แอปเปิลดอร์ (Appledore) และกองเล็กที่มิลตัน (Milton) ภายใต้การนำของ เฮสเต็น (Haesten) กองกำลังรุกรานนำครอบครัวรวมทั้งผู้หญิงและเด็กมาด้วยเพื่อมาตั้งถิ่นฐานและยึดอังกฤษเป็นอาณานิคมถ้าได้รับชัยชนะ ในปี ค.ศ. 893 หรือ [[[ค.ศ. 894]] พระเจ้าอัลเฟรดทรงตั้งที่มั่นตรงจุดที่ทรงสามารถมองเห็นกองกำลังของศัตรูทั้งสองกองได้พร้อมกัน แต่ขณะที่ทรงทำการเจรจากับเฮสเต็น กองกำลังที่แอปเปิลดอร์ก็แยกตัวออกไปโจมตีทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ก็พ่ายแพ้ต่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโสพระราชโอรสองค์โตของพระองค์ และมาพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่ ฟาร์นแนม (Farnham) ในแคว้นเซอร์รี (Surrey) จนต้องถอยไปหลบอยู่บนเกาะในแม่น้ำโคลนแต่ในที่สุดก็ต้องยอมพ่ายแพ้ และถอยไปที่เอสเซ็กส์แต่ก็ไปแพ้อีกครั้งหนึ่งที่เบ็นฟลีท หลังจากนั้นก็ไปถอยไปรวมตัวกับเฮสเต็นที่ชูบรี (Shoebury)

    ขณะที่พระเจ้าอัลเฟรดเสด็จนำทัพไปยังทอร์นีย์เพื่อไปช่วยพระราชโอรสก็ทรงได้รับข่าวว่าชนชาวเดนส์ในแคว้นนอร์ทธัมเบรียและแคว้นอีสต์อังเกลียเข้าล้อมเมือง เอ็กซีเตอร์และทางฝั่งทะเลทางด้านเหนือของแคว้นเดวอน พระเจ้าอัลเฟรดจึงหันทัพกลับไปทางตะวันตกเพื่อไปหยุดยั้งการรุกรานที่เอ็กซีเตอร์แต่ไม่มีหลักฐานบ่งถึงสถานะการณ์ทางเหนือของแคว้นเดวอน ขณะเดียวกันกองกำลังของเฮสเต็นก็เดินทัพขึ้นไปยังเทมส์แวลลี (Thames Valley) เพื่ออาจจะไปช่วยพันธมิตรทางด้านตะวันตกแต่ไปปะทะกับกองกำลังใหญ่ของกลุ่มเอิร์ลสามคนจากแคว้นเมอร์เซีย แคว้นวิลท์เชอร์ และแคว้นซอมเมอร์เซ็ท จนต้องถอยไปทางเหนือและในที่สุดก็ไปพ่ายแพ้ที่บัตติงตัน (Buttington) ซึ่งบ้างก็ว่าอาจจะเป็นบัตติงตัน ทัมพ์ที่ปากแม่น้ำไวย์ (River Wye) หรือ อาจจะเป็นบัตติงตัน ใกล้เวลชพูล (Welshpool) ก็ได้ กองทัพเดนส์พยายามหนีจากแนวแต่ไม่สำเร็จ ผู้ที่หนีได้ก็หนีไปชูบรี หลังจากไปรวบรวมกำลังตั้งตัวได้ก็เดินทัพอย่างรวดเร็วข้ามแผ่นดินอังกฤษไปยึดซากกำแพงโรมันที่ เชสเตอร์ (Chester) กองทัพอังกฤษมิได้พยายามเข้าต่อสู้นอกไปจากทำลายกองเสบียง เมื่อต้นปี ค.ศ. 894 หรือ ค.ศ. 895 กองทัพเดนส์ก็ถอยทัพกลับไปแคว้นเอสเซ็กส์เพราะขาดเสบียง พอปลายปี หรือต้นปี ค.ศ. 895 หรือ ค.ศ. 896 กองกำลังของเดนส์ก็ล่องกองเรือขึ้นแม่น้ำเทมส์และแม่น้ำลีและไปตั้งที่มั่นอยู่ราว 32 กิโลเมตรเหนือตัวเมืองลอนดอน การโจมตีแนวกองทัพของเดนส์โดยตรงประสพความล้มเหลว แต่ต่อมาในปีเดียวกันพระเจ้าอัลเฟรดทรงเห็นทางที่จะบั่นทอนกำลังของชนชาวเดนส์โดยการปิดแม่น้ำ เมื่อกองทัพเดนส์เห็นว่าจะเพลี่ยงพล้ำก็ถอยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไปตั้งหลักระหว่างฤดูหนาวที่ บริดจ์นอร์ธ (Bridgenorth) ปีต่อมา ค.ศ. 896 หรือ ค.ศ. 897 กองทัพเดนส์ก็ถอยต่อไปยังแคว้นนอร์ทธัมเบรียและบางส่วนไปยังแคว้นอีสต์อังเกลีย ผู้ที่ไม่มีถิ่นฐานในอังกฤษก็ถอยกลับไปผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรป

    การจัดระบบการปกครองแผ่นดิน

    หลังจากที่กำจัดกองทัพเดนส์ จากอังกฤษแล้วพระเจ้าอัลเฟรดก็ทรงหันความสนพระทัยไปในการปรับปรุงราชนาวี เพื่อต่อต้านการรุกรานในบริเวณฝั่งทะเลเวสเซ็กซ์โดยชนชาวเดนส์จากแคว้นนอร์ทธัมเบรียและแคว้นอีสต์อังเกลียและการขึ้นฝั่งจากทางยุโรปที่อาจจะเกิดขึ้นอีก การปรับปรุงทางนาวีครั้งนี้มิใช่การเริ่มก่อตั้งราชนาวีอังกฤษตามที่เข้าใจกัน พระเจ้าอัลเฟรดทรงเข้าร่วมสงครามทางทะเลหลายครั้งก่อนหน้านั้น เช่นทรงเข้าร่วมต่อสู้กับพระเจ้าเอเธลวูลฟแห่งเวสเซ็กซ์พระราชบิดาในปี ค.ศ. 851 และก่อนหน้านั้น ในปี ค.ศ. 833 และ ในปี ค.ศ. 840 พงศาวดารแองโกล-แซ็กซอนสรรเสริญว่าพระองค์เป็นผู้ก่อตั้งเรือแบบใหม่ตามแบบที่ทรงออกแบบเองซึ่งเป็นเรือที่เร็วกว่า มั่นคงกว่า และสูงกว่าเรือแบบที่เคยใช้กันมา แต่เรือแบบใหม่ที่ว่านี้มิได้ประสพความสำเร็จเท่าใดนักนอกไปจากว่ามีข่าวว่าติดเลนหรือโคลงเคลงระหว่างพายุ แต่จะอย่างไรก็ตามทั้งราชนาวีอังกฤษและรัฐนาวีสหรัฐอเมริกายกย่องให้พระเจ้าอัลเฟรดเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางพื้นฐานทางกองทัพเรือ

    พงศาวดารแองโกล-แซ็กซอนบันทึกว่าพระเจ้าอัลเฟรดทรงแบ่งกองทัพที่ในการต่อสู้เป็นสองกอง ที่เรียกว่าระบบ “Fyrd” เพื่อให้ “กองหนึ่งประจำอยู่ในที่ตั้งมั่นและอีกกองหนึ่งออกรบ” การจัดระบบสองกองทัพเช่นนี้เป็นการใช้กำลังคนเป็นจำนวนมาก ส่วนระบบการบริหารบ้านเมืองที่ซับซ้อนจะเห็นได้จากบันทึกที่พอน่าจะถือได้ ในปี ค.ศ. 892 ที่กล่าวถึงตำแหน่งต่างๆ เช่น “thesaurius” “cellararius” “pincerna”—เจ้ากรมคลัง นายเสบียง และผู้รับใช้ แม้ว่าในปี ค.ศ. 893จะทรงพิโรธที่กองกำลังหนึ่งมายอมแพ้แก่กองทัพเดนส์เสียก่อนที่ทรงนำกองทัพที่สองขึ้นไปหนุนทัน แต่โดยทั่วไปแล้วระบบการปกครองและการบริหารของพระองค์ก็เป็นระบบที่มีสมรรถภาพดี

    จุดอ่อนที่สุดจุดหนึ่งของระบบการป้องกันประเทศก่อนรัชสมัยของพระเจ้าอัลเฟรดก็คือเมื่อยามไม่มีศึกสงครามป้อมปราการต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ถูกทิ้งร้างไว้โดยไม่มีทหารประจำการซึ่งทำให้ไวกิงเข้ายึดเป็นที่มั่นและตั้งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญได้อย่างง่ายดาย พระเจ้าอัลเฟรดทรงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการป้องกันเวสเซ็กซ์อย่างสิ้นเชิงโดยการก่อสร้างป้อมปราการทั่วไปในราชอาณาจักร ที่เรียกกันว่า “burh” หรือ “boroughs” (เบอร์ห หรือ โบโรห์) ระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดีที่ เวเร็ม (ดอร์เซ็ท) (Wareham), คริคเลด (Cricklade), ลิดฟอร์ด (Lydford) และ วอลลิงฟอร์ด (Wallingford) พบว่าสถานที่ที่ขุดแต่ละแห่งเคยเป็นป้อมปราการหรือ “burh” จากรัชสมัยของพระเจ้าอัลเฟรด หลักฐานเกี่ยวกับความรับผิดชอบในการประจำการและการดูแลป้อมโดยทหารอาชีพพบในต้นฉบับการบริหารที่บันทึกไว้ภายในเวลาเพียงยี่สิบปีหลังจากที่พระเจ้าอัลเฟรดเสด็จสวรรคตที่เรียกว่า “Burghal Hidage” หรืออาจจะบันทึกภายในสมัยของพระองค์เองด้วยซ้ำ บันทึกที่ว่านี้ทำให้เราทราบถึงพระราชนโยบายทางด้านการบริหารของพระองค์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผังเมืองของ เวเร็ม (ดอร์เซ็ท) และ วอลลิงฟอร์ด กับ วินเชสเตอร์ แล้วจะเห็นว่าเป็นผังเมืองที่วางแบบเดียวกัน (วอร์มาลด์) ซึ่งสนับสนุนความคิดที่ว่าการวางผังเมืองใหม่นอกจากจะเป็นการวางผังเมืองสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยและการค้าขายแล้วก็ยังคำนึงถึงความมั่นคงและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยจากอันตรายจากภายนอกด้วย ซึ่งเป็นการดึงดูดประชากรอังกฤษให้เข้าไปตั้งหลักฐานในเมืองเหล่านี้มากขึ้นเพราะเป็นที่ๆ ปลอดภัยจากไวกิง และนอกจากนั้นก็ยังเป็นที่ทำรายได้ให้แก่แผ่นดินโดยการเก็บภาษีให้แก่พระมหากษัตริย์

    นอกจากนั้นแล้วพระเจ้าอัลเฟรดยังทรงมีบทบาทสำคัญในการจัดระบบชุมชนโดยเฉพาะในบริเวณที่ถูกทำลายโดยเดนส์ และถึงแม้ว่าเราจะไม่ยอมรับบันทึกเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจใน “Burghal Hidage” เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อทรงยึดแคว้นเมอร์เซียจากไวกิง ระบบการปกครองแบบ “ไชร์” เป็นระบบที่เริ่มก่อตั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งอาจจะเป็นที่มาของตำนานที่ว่าพระเจ้าอัลเฟรดทรงเป็นผู้ก่อตั้งระบบ “ระบบไชร์” ที่ประกอบด้วยจำนวนที่ที่ดินที่กำหนดไว้ (hundreds) และ “ระบบภาษีไทธ์” (Tithing) ความมีพระปรีชาสามารถในการบริหารและระบบยุติธรรมทำให้พระองค์ได้รับสมญานามว่า “ผู้พิทักษ์คนยาก” แต่ สภาวิททัน มิได้กล่าวถึงพระองค์เท่าใดนักแต่ที่แน่คือทรงยอมรับสิทธิของสภาแต่สภาวะการณ์ในเวลานั้นจะเน้นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เป็นใหญ่ กฎหมายต่างๆ ของพระเจ้าอัลเฟรดเป็นกฎหมายที่ออกในปลายรัชสมัยหลังจากอันตรายจากเดนส์ลดน้อยลง นอกจากนั้นก็ยังทรงมีบทบาททางการเงินแต่ไม่มีรายละเอียดมากนัก

    การปฏิรูปทางนิติบัญญัติ

    พระราชกรณียกิจที่สำคัญที่สุดของพระเจ้าอัลเฟรดคือกฎหมายที่เรียกว่า “Deemings” หรือ “บันทึกกฎหมาย” (Book of “Dooms”) วินสตัน เชอร์ชิลล์เชื่อว่ารากฐานของกฎหมายของพระเจ้าอัลเฟรดมาจากการผสมผสานของ กฏของโมเสส กฏของชนเคลท์ และวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมของแองโกล-แซ็กซอน[5] ด็อคเตอร์ เอฟ เอ็น ลีแสดงความคล้ายคลึงระหว่างกฎหมายของพระเจ้าอัลเฟรดกับกฏของโมเสส [6] แต่ ทอมัส เจฟเฟอร์สัน สรุปหลังจากศึกษาประวัติของกฎหมายอังกฤษว่า “กฎหมายมีมาตั้งแต่ชนแองโกล-แซ็กซอนยังเป็นผู้นอกรีต, เมื่อยังไม่เคยได้ยินพระนามของพระเยซูหรือไม่รู้ว่าพระเยซูมีตัวตน” [7] วินสตัน เชอร์ชิลล์กล่าวว่ากฎหมายของพระเจ้าอัลเฟรดมาขยายความโดยชนรุ่นหลังจนกลายมาเป็นกฎหมายที่ใช้ในการบริหารระบบไชร์และ “ระบบศาลฮันเดรด” (The Hundred Courts) ซึ่งในที่สุดก็นำมาสู่ กฏบัตรแห่งเสรีภาพ (Charter of Liberties) พระราชทานโดยพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1100

    การต่างประเทศ

    แอสเซอร์สรรเสริญพระเจ้าอัลเฟรดในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างเลิศเลอแต่ก็มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยสนับสนุนพระปรีชาสามารถทางด้านนี้ ตัวอย่างของความสนพระทัยในด้านนี้คือที่ทรงแปลหนังสือของโอโรเซียส (Orosius) และที่แน่คือทรงเขียนพระสาส์นติดต่อกับพระสังฆราชอีไลอัสที่ 3 พระสังฆราชออร์ธอด็อกซ์แห่งเยรุซาเล็มและอาจจะทรงส่งผู้แทนไปประเทศอินเดีย นอกจากนั้นก็ยังทรงการติดต่อกับกาหลิปที่แบกแดด สถานทูตที่โรมบันทึกถึงทานที่ทรงส่งมาจากอังกฤษมาให้พระสันตะปาปาอย่างสม่ำเสมอ ประมาณปี ค.ศ. 890 วูลฟสตันแห่งไฮธาบู (Wulfstan of Haithabu) เดินทางจากไฮธาบูที่แหลมจัตแลนด์เลียบฝั่งทะเลบอลติคไปยังเมืองพานิชย์ทรูโซในปรัสเซียโดยที่พระเจ้าอัลเฟรดทรงกำชับให้ส่งรายงานการเดินทางอย่างละเอียดกลับมาถึงพระองค์

    หลักฐานด้านความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าอัลเฟรดกับเจ้าชายเคลติคทางตะวันตกของอังกฤษเห็นได้ชัดกว่า เมื่อต้นรัชสมัยตามคำกล่าวของแอสเซอร์เจ้าผู้ครองบริเวณต่างๆ ในเวลส์ตอนใต้ และแคว้นเมอร์เซีย เข้าเป็นพันธมิตรกับพระเจ้าอัลเฟรด ต่อมาในปลายรัชสมัยเจ้าผู้ครองในเวลส์ทางตอนเหนือก็ทำเช่นเดียวกันและต่อมาเข้าร่วมรบกับอังกฤษในปี ค.ศ. 893 หรือ ปี ค.ศ. 894 นอกไปจากนั้นก็ยังทรงส่งทานไปยังสำนักสงฆ์ต่างๆ ในไอร์แลนด์และยุโรป ซึ่งอาจจะเป็นเพียงข้อเขียนของแอสเซอร์เท่านั้น แต่การมาเยือนของนักแสวงบุญไอริชสามคนในปี ค.ศ. 891 เป็นเรื่องจริง ตำนานที่ว่าพระองค์ถูกส่งไปให้นักบุญมอดเว็นนารักษาที่ไอร์แลนด์อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีความผูกพันกับเกาะนี้

     ศาสนาและวัฒนธรรม

    หลักฐานเกี่ยวกับพระเจ้าอัลเฟรดและคริสต์ศาสนามีเพียงเล็กน้อย การรุกรานของชนชาวเดนส์ทำความเสียหายแก่สำนักสงฆ์เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะทรงสร้างสำนักสงฆ์สองสามแห่งและนิมนต์พระจากยุโรปมาอังกฤษก็มิได้ทำให้สำนักสงฆ์ในอังกฤษฟื้นตัวขึ้นเท่าใดนัก นอกไปจากการทำลายคริสต์ศาสนสถาบันแลัวก็ยังมีผลกระทบกระเทือนต่อการศึกษา โดยเฉพาะทำให้อังกฤษขาดแคลนผู้รู้ภาษาละติน ซึ่งอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้พระเจ้าอัลเฟรดทรงเริ่มการแปลหนังสือ

    พระเจ้าอัลเฟรดทรงก่อตั้งสถานศึกษาในราชสำนักตามรอยพระบาทของ ชาร์เลอมาญ[8] โดยทรงนำนักปราชญ์จากยุโรปมายังราชสำนักเช่นกริมบาลด์ (Grimbald) และจอห์นแห่งแซ็กส์ตัน (John the Saxon) และแอสเซอร์ (Asser) จากตอนใต้ของเวลส์

    นอกไปจาก “Handboc” หรือ “Encheiridion” ที่สูญหายไปที่เป็นหนังสือที่ทรงเป็นเจ้าของแล้วงานแปลชิ้นแรกที่สุดในรัชสมัยคือ “บทสนทนาของนักบุญเกรกอรี” (Dialogues of Gregory) ซึ่งเป็นหนังสือที่นิยมกันในยุคกลาง ผู้แปลคือ เวอร์เฟิร์ธ (Werferth) บาทหลวงแห่งวูสเตอร์พระสหายสนิทของพระองค์ ส่วนพระองค์เองเพียงทรงประพันธ์คำนำ งานชิ้นต่อมาคือ “Pastoral Care” แปลโดยเฉพาะสำหรับนักบวชประจำท้องถิ่น หนังสือแปลฉบับนี้แปลตรงกับต้นฉบับอย่างใกล้ชิดแต่ที่สำคัญก็คือบทนำที่ทรงประพันธ์ที่ถือกันว่าเป็นเอกสารที่สำคัญที่สุดในรัชสมัยหรือสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของประวัติศาสตร์อังกฤษ งานอีกสองชิ้นต่อมา “ประวัติศาสตร์ทั่วไป” ของ โอโรเซียส และ “ประวัติศาสตร์ศาสนาของชนอังกฤษ” (Historia ecclesiastica gentis Anglorum) โดยบุญราศีบีด เล่มแรก “ประวัติศาสตร์ทั่วไป” พระเจ้าอัลเฟรดทรงแก้ไขต่อเติมจากต้นฉบับมากจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นงานชิ้นใหม่ แต่งานแปลจากบันทึกของบีดทรงยึดต้นฉบับอย่างใกล้เคียงและมิได้ทรงต่อเติมเนื้อหาใดๆ แต่ความเชื่อที่ว่าพระเจ้าอัลเฟรดทรงเป็นผู้แปลหนังสือของบีดจริงหรือไม่ยังเป็นที่น่าเคลือบแคลง

    งานแปลของพระองค์ “ปรัชญาทั่วไป” (The Consolation of Philosophy) โดย อันนิเซียส แมนเลียส เซเวรินัส โบเธียส (Anicius Manlius Severinus Boethius) ถือกันว่าเป็นงานแปลคู่มือปรัชญาชิ้นที่นิยมกันที่สุดในยุคกลาง งานแปลฉบับนี้เป็นฉบับที่ไม่ทรงแปลตรงตามต้นฉบับทั้งหมดแต่ด็อคเตอร์ จี เช็พส์แสดงให้เห็นว่าส่วนที่แตกต่างไปจากต้นฉบับมิได้มาจากคำแปลของพระองค์ แต่มาจากความเห็นของหนังสือที่ทรงใช้ แต่อย่างไรก็ตามผลงานนี้ก็ยังแสดงถึงความมีพระปรีชาสามารถของพระองค์ หนังสือที่ตกมาถึงปัจจุบันเป็นต้นฉบับสองเล่ม ในเล่มหนึ่ง[9] เป็นงานร้อยแก้วอีกฉบับหนึ่ง[10]เป็นงานผสมระหว่างร้อยแก้วและร้อยกรอง งานชิ้นหลังได้รับความเสียหายมากในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19[11] แต่ผู้แปลส่วนที่เป็นร้อยกรองที่แท้จริงเป็นใครก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่แต่เชื่อกันว่าเป็นงานของพระเจ้าอัลเฟรด ในบทนำทรงบันทึกว่าทรงเขียนส่วนที่เป็นร้อยแก้วก่อนและใช้เป็นฐานในการเขียนส่วนที่เป็นร้อยกรอง “Lays of Boethius” ซึ่งถือว่าเป็นงานทางวรรณกรรมที่สำคัญที่สุดของพระองค์ พระเจ้าอัลเฟรดทรงใช้การเขียนหนังสือเป็นการผ่อนคลายในยามที่ทรงเครียดกับสถานะการณ์บ้านเมือง

    งานชิ้นสุดท้ายของพระเจ้าอัลเฟรดมีชื่อว่า “Blostman” หรือ “Blooms” หรือ “หนังสือรวมบทประพันธ์” (Anthology) ครึ่งแรกมีพื้นฐานมาจากข้อเขียนของนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป ที่เหลือมาจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ และเป็นบทประพันธ์ที่บ่งบอกถึงลักษณะส่วนพระองค์ของพระองค์อย่างเด่นชัด ข้อเขียนสุดท้ายคำกล่าวที่เหมาะสมกับผู้เป็นวีรบุรุษเช่นพระองค์ “Therefore he seems to me a very foolish man, and truly wretched, who will not increase his understanding while he is in the world, and ever wish and long to reach that endless life where all shall be made clear.”

    นอกจากงานที่กล่าวมาแล้วก็ยังทรงมีส่วนในการประพันธ์พงศาวดารแองโกล-แซ็กซอน และทรงประพันธ์หรือทรงมีอิทธิพลในการเขียน “รายนามนักบุญแซ็กซอน” (Saxon Martyrology) ที่ยังหลงเหลือแต่เพียงเล็กน้อย บทร้อยแก้วของเพลงสดุดีห้าสิบบทเชื่อกันว่าเขียนโดยพระองค์ นอกจากนั้นพระเจ้าอัลเฟรดยังทรงปรากฏใน “นกฮูกและนกไนติงเกล” (The Owl and the Nightingale) “สุภาษิตของอัลเฟรด” (The Proverbs of Alfred) ก็เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ตกมาถึงปัจจุบันจากคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งเนื้อหาน่าจะมีต้นตอบางส่วนมาจากพระองค์

     นักบุญ

    อีสเติร์นออร์โธด็อกซ์นับถือว่าพระเจ้าอัลเฟรดเป็นนักบุญและเป็นวีรบุรุษใน “กลุ่มอังกลิคัน” (Anglican Communion) โดยมีวันสมโภชน์ตรงกับวันที่ 26 ตุลาคม,[12]

     ครอบครัว

    ในปี ค.ศ. 868 พระเจ้าอัลเฟรดทรงเสกสมรสกับเอลสวิธธิดาของเอเธลเรด มูซิลล์ผู้ปกครองไกนิ (Gaini) จากเกนสเบรอในบริเวณแคว้นลิงคอล์นเชอร์ และอาจจะเป็นพระนัดดาของพระเจ้าแผ่นดินแห่งเมอร์เซีย พระเจ้าอัลเฟรดและพระชายาทรงมีโอรสธิดาด้วยกันหกพระองค์รวมทั้งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโสผู้ครองราชบัลลังก์สืบต่อจากพระองค์, เอเธลเฟลดา (Ethelfleda) ผู้ต่อมาเป็นพระราชินีแห่งอาณาจักรเมอร์เซีย และ เอลฟริธ (Ælfthryth, Countess of Flanders) ผู้ต่อมาแต่งงานกับบอลด์วินที่ 2 เคานท์แห่งฟลานเดอร์ส (Baldwin II, Count of Flanders) ออสเบอร์กาพระมารดของพระองค์เป็นบุตรีของออสลาคแห่งเกาะไวท์ ซึ่งแอสเซอร์กล่าวไว้ในหนังสือพระราชประวัติว่าแสดงให้เห็นว่าทรงสืบเชื้อสายมาจากชนจูท (Jutes) แห่งเกาะไวท์ แต่ข้อสันนิษฐานนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะบุญราศีบีดกล่าวว่าชนจูทถูกสังหารโดยชาวแซ็กซอนไปหมดภายใต้การนำของ แคดวัลลา (Caedwalla) แต่เชื้อสายของพระองค์สืบได้ว่ามาจากราชวงศ์เวสเซ็กซ์จากพระเจ้าวิห์เทรดแห่งเค้นท์ผู้มีพระมารดาเป็นพระขนิษฐาของอาร์วอลด์ (Arwald) ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้ายของเกาะไวท์

    NameBirthDeathNotes
    เอเธลเฟลด
    (Æthelflæd)
    ค.ศ. 918เสกสมรส ค.ศ. 889, เอเธลเรด ขุนนางแห่งเมอร์เซีย เสียชีวิต ค.ศ. 910
    มีโอรสธิดาด้วยกัน
    เอ็ดเวิร์ดค.ศ. 87017 กรกฎาคม ค.ศ. 924เสกสมรส (1) Ecgwynn, (2) Ælfflæd
    (3) ค.ศ. 919 เอ็ดจิวาแห่งเค้นท์ (Edgiva of Kent)
    เอเธลจิวา
    (Æthelgiva)
    แม่ชีเจ้าอาวาสที่ชาฟสบรี
    เอลฟริธ
    (Ælfthryth)
    ค.ศ. 929เสกสมรส บอลด์วินที่ 2 เคานท์แห่งฟลานเดอร์ มีโอรสธิดาด้วยกัน
    เอเธลเวียรด
    (Æthelwærd)
    16 ตุลาคม ค.ศ. 922เสกสมรสและมีโอรสธิดาด้วยกัน

     ราชตระกูล

     บั้นปลาย

    พระเจ้าอัลเฟรดเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมแต่จะในปีใดก็ไม่เป็นที่ทราบแน่นอน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ ค.ศ. 901 ตามที่บ่งใน “พงศาวดารแองโกล-แซ็กซอน” และจะด้วยพระโรคใดก็ไม่เป็นที่ทราบแน่นอนเช่นกัน แต่ตลอพระชนม์ชีพพระองค์ก็ประชวรด้วยพระอาการหลายอย่างซี่งอาจจะเป็นพระโรค “Crohn's Disease” ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารก็ได้ หลังจากเสด็จสวรรคตพระบรมศพถูกนำไปเก็บไว้ชั่วคราวที่มินส์เตอร์เก่าที่วินเชสเตอร์ ต่อมาก็อัญเชิญไปที่มินส์เตอร์ใหม่ซึ่งอาจจะสร้างสำหรับบรรจุพระบรมศพโดยเฉพาะ เมื่อมินส์เตอร์ใหม่ย้ายไปตั้งอยู่ที่ไฮด์ทางด้านเหนือของตัวเมืองในปี ค.ศ. 1110 พระจากวัดใหม่ก็ย้ายตามไปที่แอบบีไฮด์ด้วยพร้อมกับพระบรมศพ ในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ที่ฝังพระศพก็ถูกปล้นโดยเจ้าของวัดใหม่ โลงพระศพถูกหลอมเอาตะกั่ว พระศพที่เหลือก็ถูกฝังอย่างไม่มีพิธีรีตองในลานวัด แต่หลุมพระศพถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งระหว่างการสร้างคุกใหม่ในปี ค.ศ. 1788 ทำให้กระดูกกระจัดกระจายไปหมด แต่กระดูกที่พบในบริเวณคล้ายเคียงกันในคริสต์ทศวรรษ 1860 ได้รับการประกาศว่าเป็นกระดูกของพระองค์ ในการขุดค้นทางโบราณคดีในปี ค.ศ. 1999 ในหลุมที่เชื่อว่าเป็นหลุมของพระองค์ พระชายาและพระโอรสแทบจะไม่พบซากใดๆ ในหลุม[13]

    สถาบันการศึกษาหลายแห่งในอังกฤษใช้พระนามของพระองค์เป็นชื่อสถาบัน ซึ่งได้แก่:

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×