คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บททดสอบ&ปกปิด&ความจริง
ไอความเย็นแผ่ออกจากร่างของชายหนุ่มผมทองอย่างช้าๆ ไอความเย็นที่มาพร้อมกับจิตสังหารอันมหาศาล ส่งผลกระทบให้เพื่อนอีกสองคนเริ่มหนาวสั่น แสงแดดยามเย็นแปรเปลี่ยนเป็นจันทร์เสี้ยวสีขาว ผืนท้องฟ้าสีแดงกลับกลายเป็นสีดำที่แต้มไปด้วยแสงดาวในยามค่ำคืน ที่บอกถึงเวลาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว!!
"แค่ไอเวทย์ ก็ถึงกลับเปลี่ยนเวลาได้แล้ว เจ้าคงไม่ใช่คนธรรมดาสินะ?”เด็กสาวพูดด้วยเสียงแหบต่ำ ชายหนุ่มยิ้มเยาะอย่างพอใจ
“ถูกต้อง ข้าไม่ใช่คนธรรมดา...แต่ข้าเป็นคนที่หล่อมากๆ”
“แหวะ!”ชายผมแดงสบถเบาๆ
“อ่ะ เอาดีๆแระ ข้า เซเรส เอรูทีส เดอะปริ๊นซ์ออฟไอซาเนีย แล้วผู้ที่อยู่ในร่างของสหายข้าคือใคร?”เซเรสกล่าวอย่างหนักแน่น เด็กสาวพยักหน้าเบาๆก่อนจะตอบกลับ
“เรา...เดียโบส บุตรีแห่งมาคาร์ไลท์ หรืออีกชื่อนึงก็คือ Dark messenger(ผู้ส่งสารจากความมืด)”
“บุตรี? ผู้หญิง? ไยเสียงเจ้าถึงแหบห้าวดั่งบุรุษเพศ”ชายหนุ่มถามกลับ
“ก็เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ในร่างจริงน่ะสิ พูดตามตรงร่างของข้ากลายเป็นทุรีตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้วแล้วล่ะ . . . .”เซเรสกระซิบบอกฟาร์และโทบิเบาๆว่าให้รีบไปซ่อน
“เจ้าชาย เจ้าชอบคนๆนี้หรือไม่?”เดียโบสว่าพร้อมชี้นิ้วไปยังหน้าของตน หน้าของรีเน่นั่นเอง
“เจ้าอย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของข้าจะดีกว่า ข้าไม่อยากมีเรื่องกับใครนัก”เซเรสตอบปัดๆอย่างอารมณ์เสีย เด็กสาวหัวเราะอย่างขบขัน
“งั้นข้าขอทดสอบอะไรเจ้าหน่อยได้มั้ย ขอทดสอบซักสามอย่างอ่ะ ได้ป่ะ?”เดียโบสถามอย่างเป็นกันเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาสีแดงวาวโรจ ชายหนุ่มผมทองเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ทดสอ...?”ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างบางที่มีปีกสีดำใหญ่ปรากฏขึ้นข้างๆเซเรส เดียโบสพุ่งมือเข้าที่ท้องของชายหนุ่มด้วยเล็บมือที่แหลมคม เซเรสใช้ด้ามยาวของหอกสีขาวนวลกันไว้ได้อย่างทันท่วงที ปากก็ท่องมนตราบทใดๆที่จำได้อย่างรวดเร็ว
บททดสอบอย่างที่หนึ่ง สติ
“ผลึกแก้วสามประการแห่งมนุษย์ จงมอบพลังให้แก่ข้า พายุมนตราจงก่อเกิด...พายุหิมะสะเก็ดแก้ว!!”เกล็ดน้ำแข็งพุ่งเข้ามารวมตัวกันที่ด้ามหอกพร้อมกับแตกออกเป็นเศษแก้วจำนวนมากในระยะประชิดตัวเด็กสาว
เด็กสาวผู้มีปีกถอยหลังแล้วกระพือปีกทั้งหกอย่างรุนแรงเพื่อพัดเศษแก้วให้พุ่งไปทางอื่น ชายหนุ่มไม่รอช้า พุ่งหอกขาวใส่เด็กสาวอย่างระมัดระวัง เดียโบสเอนหลังหลบคมหอกอย่างฉิวเฉียด พร้อมฟาดหัวคทาใส่ข้อพับของชายหนุ่มให้เสียหลักตกลงไปยังชั้นล่าง เซเรสพุ่งหอกขาวปักลงกับพื้นเป็นแนวทแยงพร้อมประสานมือแน่น
“สายลม จงเป็นมิตรแก่เรา”ชายหนุ่มพูดเบาๆพร้อมกับลมหมุนพุ่งเข้ามาประคองร่างสูงไว้ให้ลงมายืนที่ด้ามหอกอย่างปลอดภัย มือหนาสะบัดเบาๆ คทาที่มีด้ามยาวคล้ายกระบองสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นบนมือ
มีสติต่อเหตุการณ์ไม่ขาดฝันเยอะพอสมควรนะเนี่ย
บททดสอบอย่างที่สอง พลัง
หญิงสาวไม่รอช้า เสียงท่องมนตราสายฟ้าลอดผ่านลำคองามระหง
“ฟ้าจงพิโรธ แผ่นดินจงโกรธา สายฟ้าสีดำ จงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า เกลียวทมิฬสังหาร!!”สิ้นเสียง พื้นดินรอบตัวของเซเรสแตกออกเป็นจุดๆหลายจุด สายฟ้าสีดำม่วงพุ่งทะลุพื้นดินที่แตกออกขึ้นมาบรรจบที่เหนือหัวของชายหนุ่ม พร้อมหมุนลงมาเป็นเกลียวด้วยความเร็วสูง
เซเรสกระโดดลงจากด้ามหอกพร้อมโยนคทาสีฟ้าที่มีไอเย็นลอยออกมาเบาบางใส่เกลียวสายฟ้าสีดำม่วงที่พุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง สายฟ้าสีดำพุ่งเข้าใส่คทาสีฟ้ายาวจนสลายไปพร้อมกับคทาที่แตกออกเป็นเศษแก้วเบาบาง
“นี่เธอทำบ้าอะไรฟระ! ชั้นเกือบตายแล้วนะ!!”เซเรสตะโกนปาวๆอย่างตกใจ เดียโบสตบหน้าผากสวยพลางคิดอย่างเบื่อหน่าย
ตะกี๊ที่บู๊ไปก็เป็นปฏิกิริยาตอบสนองสิเนี่ย
.
เด็กสาววางคทาลงกับพื้น พร้อมผายมือไปยังประตูที่เปิดอยู่ วัตถุบางอย่างที่ห่อผ้าไว้พุ่งออกมาจากห้องเข้ามือเรียวของเด็กสาวอย่างพอดี
“งั้นคราวนี้ต้องซ้ำให้ตาย!”กล่าวจบ มือเรียวก็ค่อยๆดึงวัตถุออกจากห่อผ้าที่ลงอักษรโบราณเก่าแก่ มันคือดาบโปร่งแสงใสเรียวยาวราวกับแผ่นกระจกและมีลวดลายแปลกๆที่พินิจดูคล้ายอักษรเวท ด้ามดาบที่พันด้วยหนังสัตว์สีดำบางอย่างและประดับด้วยเพชรเล็กๆเต็มด้าม
เร็วเท่าความคิด! ร่างบางเจ้าของปีกสีดำพุ่งฝ่ามือที่ไม่ได้ถือดาบและห่อหุ้มด้วยประกายไฟฟ้ากับน้ำแข็งใส่ชายร่างสูง ชายหนุ่มยกหอกขึ้นสูงพร้อมเกล็ดน้ำแข็งพุ่งเข้ามารวมกันเป็นกำแพงน้ำแข็ง
“เปล่าประโยชน์!” เดียโบสตะโกนอย่างมีชัย ทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย และก็เข้าใจในทันที เมื่อโล่น้ำแข็งที่ตนเรียกมาหายไปเมื่อปลายดาบนั้นสัมผัสกับน้ำแข็ง แต่ผลกระทบยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อน้ำแข็งหายไป คมดาบก็สามารถพุ่งเข้าหาชายหนุ่มได้ แต่ระยะห่างกันเกินไป เค้าจึงหมุนตัวแล้วเหวี่ยงด้ามหอกปัดคมดาบให้เบนไปทางอื่นจนกระเด็นไปไกล เดียโบสตั้งหลัก แล้วประสานมืออย่างฉับไว พลันอากาศโดยรอบก็ค่อยๆกลายเป็นสีเขียวจนชายหนุ่มสองคนสะดุ้งเฮือก!
“ข้า ผู้ส่งสารแห่งนิลกาฬ ขอเรียกมิติทดสอบจิตใจ...”เสียงแหบห้าวหยุดลงเบาๆ พร้อมกับสรรพสิ่งหยุดนิ่งสนิท ไม่ใช่หยุดไร้การขยับ แต่หยุดเพราะความไม่เปลี่ยนแปลงของทุกสิ่ง
“เฮ้ย! ทำไมไม่เกิดอะไรขึ้นเลยเนี่ย!!”เด็กสาวหน้าซีดลงอย่างตกใจ พร้อมกับเซเรสที่แสยะยิ้มบางๆ พร้อมพุ่งไปกดร่างบางในชุดปาจามาให้ล้มลงจนเผยเห็นขาอ่อนที่ขาวนวล
“ยอมรึยังเดียโบส?”เซเรสถามเด็กสาวใต้ร่างของตนที่ตอนนี้กำลังกุมหัวของตนอย่างทรมาน
“อ๊ะ! ไม่! อย่าแย่งร่างคืน! ไม่!!....นี่มันร่างของชั้น! แกสิออกไป!!”จากเสียงแหบห้าว กลับกลายเป็นเสียงหวานใสของบุรุษที่เค้ารู้จักดี ดวงตาสีแดงเปลี่ยนเป็นสีดำสลับกันไปมา จนทำให้ชายหนุ่มเริ่มสับสน บุคคลตรงหน้านี้คือ เดียโบส คนที่สู้กับเค้าจนถึงเมื่อครู่ หรือ รีเน่ ฮาเวอรี่ เพื่อนร่วมห้องของเค้ากันแน่
“เซเรส! ช่วยด้วย! เอามันออกไปจากร่างชั้น!!....เจ้าชาย อย่าทำเชียวนะ ถ้าไม่อยากให้เพื่อนของเจ้าตาย”
“หมายความว่าไง?”เซเรสพูดอย่างสงสัย
“เซเรส!! ใช้หอกนั่นแทงหัวใจรีเน่ซะ!!!”ฟาร์โผล่ออกจากที่ซ่อนแล้วตะโกนอย่างสุดเสียง
“เพื่ออะไร!”ชายหนุ่มหันไปถามเพื่อน
“ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย ต้องทำลายที่ร่างต้น!!”ฟาร์ตะโกนกลับ เซเรสหันมายังเด็กสาวใต้ร่างของตนที่น้ำตาเริ่มเจิ่งนอง ปีกสั่นระริก
“เซเรส....เอามันออกไป ฆ่าชั้น...”
“..............ไม่! มันต้องมีวิธีอื่นแน่!!”ชายหนุ่มตะโกนลั่น
“คุณเซเรส! มันมีทางเดียวเท่านั้นนะครับ ฆ่าคุณรีเน่ซะ!”โทบิเสริม เซเรสเริ่มมึนงงอย่างเห็นได้ชัด เค้าจะทำเพื่อความปลอดภัย หรือไม่ทำเพื่อตามใจตัวเอง มันอยู่ที่การง้างมือครั้งนี้!
“รีเน่ ขอโทษนะ ชั้นฆ่าแกไม่ลงหรอก....เพราะชั้น.....”สิ้นเสียง มือหนาก็ทุบเข้าที่ข้างๆหัวของเด็กสาว ปากของชายหนุ่มสั่นระริก กับคำพูดที่จะพูดออกไป
“ชั้นชอ.......”
บททดสอบสุดท้าย มิตรภาพ ทุกอย่างผ่านหมด!!
ใบหน้างามนั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มร่าอย่างพอใจ ฉับพลัน เดียโบสกลับขึ้นมายืน เซเรสก็กลับมายืนอยู่ในท่าเตรียมพุ่งกระโจนและห่างจากจุดที่เดียโบสอยู่มากโขนัก!
“การทดสอบจบลงแล้ว....”เสียงแหบห้าวกล่าวเบาๆ พร้อมกับเซเรส มองรอบด้านไปอย่างงุนงง ณ จุดที่ฟาร์กับโทบิยืนตะโกนบอกเค้าอยู่เมื่อครู่นั้น กลับไม่ได้มีร่างของชายทั้งสองยืนอยู่ แต่กำลังลุกขึ้นมาต่างหาก
“ข้าจะบอกอะไรให้เจ้ารู้สามอย่าง หนึ่ง! ที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ ทั้งหมดเป็นมิติที่ข้าสร้างขึ้น ที่เจ้าจะพูดเมื่อครู่ ไม่ถึงหูเพื่อนเจ้าหรอกนะ....”เดียโบสกล่าวยิ้มๆ ชายหนุ่มสบถด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อย
“สอง ดาบที่ข้าถืออยู่นี้ คือดาบ ‘ดูดกลืนเวท’ เป็นดาบในตำนานที่สร้างขึ้นเมื่อราวๆ2526ปีที่แล้ว ตอนนั้นข้าอายุ140ปีพอดี ดาบเล่มนี้สามารถดูดกลืนพลังเวทได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สังเกตให้ดีๆว่าตัวดาบตอนนี้เป็นสีฟ้า และ. . .” เดียโบสหันปลายดาบไปยังเซเรสที่ยืนอยู่ ตัวดาบใสค่อยๆมีไอเย็นสีฟ้าพวยพุ่งออกมาเบาๆ
ฉึก!
ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่สมองด้วยความเร็วสูง มือหนาสัมผัสที่ขาตัวเองเบาๆ ลิ่มน้ำแข็งเล็กๆปักเข้าที่ขาของชายหนุ่ม น้ำสีแดงข้นค่อยๆซึมออกมาจากกางเกงสีดำ ชายหนุ่มกุมบาดแผลที่ได้รับอย่างตกใจ ลิ่มน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว เซเรสเงยหน้ามองผู้ต้องสงสัยที่ยืนยิ้มอย่างขบขัน
“ปลดปล่อยพลังที่มันได้รับมา . . .”
“ถูกต้อง! ดูดกลืนเวทสามารถปล่อยเวทที่มันดูดมาได้
มันยังสามารถดูดคำสาป ปราณ ไอเวทย์ เพื่อเพิ่มพลังให้กับมันเองได้....”
“แล้วอย่างที่สามที่เจ้าจะบอกข้าล่ะ....”เซเรสย้อนถาม เดียโบสทุบมือของตนอย่างนึกขึ้นได้แล้วบินขึ้นสูงจนทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องล่างมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้เสื้อตัวใหญ่ได้เด่นชัด เซเรสเบือนหน้าหนีทันควันด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“เกี่ยวกับนายของข้า...”
“นายของเจ้า?”
“ใช่นายของข้า ข้าเคยเป็นข้ารับใช้คนสนิทของท่านนั้น นายของข้าก็คือ....(เดียโบสยกมือขึ้นกุมขมับของตน)โอ๊ย! ไม่ไหวแฮะ พลังเวทหมด....”สิ้นคำ ดวงตาสีแดงก่ำเปลี่ยนเป็นสีฟ้าใส แล้วก็กลับมาเป็นสีดำ ปีกทั้งหกกระจายออกเป็นขนนกสีดำจำนวนมาก ดวงตาสีดำเหลือกขึ้นด้านบนก่อนที่จะล่วงลงมาด้วยกฎของแรงโน้มถ่วง มือหนาของเซเรสเข้ารองรับร่างของรีเน่ไว้ได้อย่างเฉียดฉิว เค้าดูร่างบางภายในอ้อมแขนที่หลับอย่างไม่มีสติ ใบหน้ายามที่เด็กสาวหลับก็ยังดูอ่อนหวานเฉกเช่นทุกวัน ใบหน้าที่ไร้เดียงสาทำให้ชายหนุ่มผมทองยิ้มกริ่ม
" เป็นผู้หญิงไม่มีบอกกันเลยนะ" ชายหนุ่มผมแดงเดินมาพลางดูสตรีในอ้อมแขนของผู้เป็นเพื่อน ตามมาด้วยเด็กหนุ่มผมดำร่างเล็ก โทบิ
"ผมว่าพาคุณรีเน่ไปนอนพักดีกว่านะครับ”โทบิกล่าวเบาๆพลางเช็ดใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเนื่องจากกางขอบเขตมิตินานเกินไป
" นายก็ไปพักได้แล้วล่ะโทบิ ฟาร์ ฟากแกเก็บกวาดให้ดีนะ"ชายหนุ่มผมทองกล่าวเสร็จ ก็เดินไปยังทางเข้าหอพักในทันที ส่วนโทบิก็หายไปพร้อมๆกับตอนที่เซเรสเดินเข้าไป บุรุษผู้ถูกทิ้งอยู่มองดูรอบๆตัวอย่างฉงน ระเบียงชั้นคานหินที่เริ่มหมิ่นๆเต็มทน พื้นที่แตกออกเป็นวงๆ ควันขึ้นฉุยๆ ทาทะลัสและอัมบราที่นอนสลบอยู่
"นี่ชั้นต้องจัดการหมดเลยหรอวะเนี่ย"
หนาวจัง.....
ทุกคนหายไปไหนหมด....
ทุกคนที่ว่าคือใคร?....
แล้วที่นี่ที่ไหนกัน....
ชั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง....
แล้ว....ชั้นเป็นใคร
เด็กสาวคิดอย่างหดหู่ ชุดกระโปรงลายลูกไม้สีขาวขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมม มือน้อยๆเอื้อมมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลที่เปราะไปด้วยโคลน และมีเลือดแซมอยู่เล็กน้อย อีกมือนึงกอดมีดขนาดใหญ่สีดำและสร้อยที่มีจี้สีเขียวไว้แน่น
เด็กสาววัย11ปีซุกหน้าลงแนบเข่าของตน แผ่นหลังแนบกับกำแพงอิฐที่เย็นเฉียบ ฝนตกปรอยๆไม่หยุด แสงไฟตามบ้านเรือนเริ่มดับกันหมดแล้ว เธอเริ่มคิดถึงอดีตที่ผ่านมา แต่...เธอจำไม่ได้! เธออยากจะนึกอะไรที่เกี่ยวกับเธอได้บ้าง แต่ เธอจำไม่ได้แม้แต่น้อย! เด็กสาวเริ่มสะอื้น
“เธอทำไมอยู่คนเดียวล่ะ? เธอเป็นใคร”ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาถามเธอ แล้วก็นั่งลงตรงหน้า เด็กสาวเงยหน้ามองต้นเสียง ชายหนุ่มรูปงามอายุไม่เกิน16 ผมสีน้ำตาลอ่อนที่เห็นชัดแม้นมีเสื้อคลุมปิดอยู่ก็ตาม เสื้อสีดำที่มีแถบสีทองซีด เหนืออกซ้ายมีตราสีทองปักไว้อยู่ แต่มันชั่งเรือนลางจนมองแทบไม่เห็น
“ไม่รู้” เด็กสาวตอบอย่างหดหู่แล้วก็ก้มหน้าลงที่เข่าของตนอีกครั้ง เด็กหนุ่มจับคางของตนอย่างใช้ความคิด
“เธอความจำเสื่อมหรอ?”ชายหนุ่มถามเด็กสาวตรงหน้าอย่างสงสัย เธอพยักหน้าเบาๆหยาดน้ำใสๆซึมไปทั่วชายกระโปรงจนเด็กหนุ่มสังเกตได้ว่าคนตรงหน้ากำลังร้องไห้
“น่ะ อย่าร้องเลย การที่เราจำอะไรไม่ได้เลยมันอาจจะดีกว่านะ”เค้าบอกกับเธอเป็นเชิงปลอบพร้อมลูบหัวเธอเบาๆ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มออกมาที่มุมปากเล็กน้อย
“เธอไปอยู่กับชั้นไหม? ชั้นก็อยู่คนเดียวเหมือนกัน...” ชายหนุ่มถกผ้าคลุมออกจนเผยเห็นเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาว ดวงหน้าเกือบหวาน ดวงตาสีน้ำเงินเกือบดำ
“โอเค! ชั้นจะอยู่กับนาย!“เด็กสาวลุกขึ้นพร้อมเปลี่ยนอารมณ์ของตนได้อย่างรวดเร็ว เค้ายิ้มร่าอย่างพอใจ แล้วเอื้อมไปหยิบห่อผ้าออกมาจากหลังผ้าคลุม ชายหนุ่มยื่นห่อผ้านั้นให้กับเด็กสาว
“ห่อไรเนี่ย?”
“เสื้อผ้าน่ะ ชั้นว่าชุดของเธอคงใส่ไม่ได้แล้ว เอานี่ไปเปลี่ยนหลังซอยนั้นเถอะ แล้วก็เอายานี่ไปกินด้วยนะ เธอต้องเปลี่ยนตัวเองซักหน่อย”ชายหนุ่มบอกเธออย่างอ่อนโยน เด็กสาวรีบวิ่งไปยังซอยดังกล่าว....
“มาแล้วๆ”เด็กสาววิ่งกลับมาด้วยอาภรดูคล้ายบุรุษไม่สิ เธอกลับมาในคราบของบุรุษเพศโดยสมบูรณ์! ผู้ที่รออยู่ยิ้มอย่างพอใจ
“นี่มันยาอะไรหรอ? รู้สึกดีจัง”เด็กสาวที่เปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มแล้วถามอย่างสงสัย อารมณ์เศร้าโศกเมื่อครู่มลายหายไปราวกับไม่มีอะไร
“มันคือยา’ทิวาสองกายา’มันทำมาจากเลือดของชั้นเอง กินแล้วทำให้เธอที่กินมันไปเปลี่ยนเป็นเพศตรงข้ามได้ตลอดไป จนกว่าจะปลดยานั้นออกจากกระแสเลือด โดยการนำพลังเวทที่ปกติจะส่งออกภายนอก เปลี่ยนเป็นเข้าสู่กระแสเลือดแทน เท่านั้นตัวยาก็จะถูกปลดออก แล้วทำให้เธอค่อยๆกลับเป็นผู้หญิงตามเดิม เอาล่ะต่อไปนี้เธอชื่อ รีเน่ ฮาเวอรี่ น้องของชั้น....”ชายหนุ่มหลุบเสียงลง รีเน่จะยกมือขึ้นจับต้นแขนของชายหนุ่มเพื่อถาม
“ไปกันเถอะ” เค้ายื่นมือมายังเด็กสาว รีเน่คว้าหยาบหนาไว้แล้วเดินตามไปแบบติดๆ
“แล้วนายชื่ออะไรล่ะ?” เธอถามพร้อมขยับเสื้อที่หลวมพอสมควร
“ชั้นชื่อสเวน สเวน ฮาเวอรี่ พี่ของเธอนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
“ตื่นได้แล้วโว้ย”เสียงปลุกของรูมเมทผมทองพร้อมกับแรงสะกิดที่ต้นแขนเบาๆ แต่ร่างบางบนเตียงก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ชายหนุ่มสะกิดอีกครั้ง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
ปึด!
เสียงเส้นเลือดของชายหนุ่มดังขึ้นที่บ่งบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มเดือด มือหนากระชากผ้าห่มออกแล้วรีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว คราวนี้ได้ผล ลมหนาวพัดเข้ามาในห้องอย่างไม่ขาดสาย เด็กสาวในชุดปาจามาท่อนบนครางออกมาเบาๆแล้วขดตัวอยู่กลางเตียง รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม เซเรสล้มตัวลงข้างๆกับเพื่อนของตน แล้วกระซิบอะไรบางอย่างเข้าหูเด็กสาวอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้น เด็กสาวนามรีเน่กระเด้งออกจากเตียงไปชิดตู้เสื้อผ้าทันที
“แกจะมาโฮโมอะไรตอนเช้าๆแบบนี้วะ!”เสียงหวานตะโกนลั่น ดวงหน้าหวานแดงก่ำ
“สนุกที่ได้แกล้งแกไง” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วก็เอื้อมไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากพื้น
“อะไรน่ะ?” รีเน่ถามอย่างสงสัยพร้อมกับเดินมานั่งที่เตียงข้างๆเด็กหนุ่ม
“ใบตอบรับของผู้ที่ต้องไปเต้นรำประจำงานน่ะ รุ่นพี่เค้าเลือกๆไว้”
“แล้วไง?”
“ก็ดูสิ ในใบมันบอกว่านายต้องเต้นคู่กับชั้น แถมในรายการนายยังเป็นผู้หญิงอีก ซึ่งมันก็จริงอ่ะนะ(เด็กสาวหันมาค้อนชายหนุ่มเล็กน้อย)และท่อนท้ายมีให้เซ็นว่าจะร่วมงานไหมแล้ว . . .”
“นายตอบตกลงไป?”
“ถูกต้อง เก่งหนิ!”เจ้าชายเมืองนักบุญยิ้มร่าเริง พร้อมกับลูบหัวรีเน่เบาๆ(กลัวมันกัด) กระบวนการคิดของเด็กสาวทำงานอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างกายที่รับคำสั่งอย่างฉับไว
มือเรียวเอื้อมไปฉกกระดาษ ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนเพื่อไม่ให้มือน้อยได้กระดาษชิ้นนี้ไป แต่เด็กสาวมีความชำนาญกว่า เธอพุ่งไปคว้ามือหนาไว้แน่น . . . แต่แรงถีบตัวของเธอไม่ใช่น้อยนัก ร่างของทั้งคู่จึงไถลตกเตียงลงกองอยู่กับพื้นพร้อมกับผ้าปูเตียงที่ไหลลงมาคลุมร่างทั้งสอง เด็กสาวค่อมร่างสูงโปร่งไว้แล้วพยายามดึงสิ่งที่อยู่ในมือหนานั้นออกมา เซเรสกำกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่น มืออีกข้างก็พยายามดึงผ้าปูเตียงที่คลุมอยู่ออก....
ปึง!
“เซเรส! รุ่นพี่เค้า. . .” อาคันตุกะผมแดงเปิดประตูขึ้นอย่างถือวิสาสะ แล้วก็ต้องยิ้มเจื่อน เมื่อเด็กสาวร่างบางผมสีน้ำตาลยุ่งที่ใส่เพียงเสื้อตัวหลวมและรู้สึกเสื้อจะถูกเลิกขึ้นจนเห็นท้องอันเนียนขาว แต่มีผ้าปูเตียงปิดไว้ กับชายหนุ่มผมทองที่อยู่ด้านล่างของเด็กสาวมาอยู่ในท่าที่คล้ายกับกอดก่ายกัน
“นี่พวกนายสองคนทำอะไรกันเนี่ย?”ฟาร์ถามแล้วยิ้มแห้งๆ
“ก็ไอ้เซเรสมันจะตอบตกลงไอ้ที่เต้นรำอ่ะดิ แกก็น่าจะรู้ว่าชั้นมันผู้ชาย”เด็กสาวเงยหน้าขึ้นพูดอย่างโมโห
“รีเน่มันจะปล้ำชั้นต่างหาก ที่พูดตะกี้มันข้ออ้าง”ชายหนุ่มเถียงขึ้น เด็กสาวหันขวับพร้อมกับประทานกำปั้นอันหนัก หน่วง ใส่หน้าคมๆของชายหนุ่มเต็มเปา แล้วหันกลับไปหาอาคันตุกะอีกครั้ง
“ตกลงแกจะเชื่อใคร ชั้น หรือไอ้บ้านี่!” เด็กสาวถามฟาร์แล้วก็ต่อยเข้าที่หน้าของเด็กหนุมอีกครั้ง ฟาร์เท้าประตูแล้วมองดูอย่างครุ่นคิด
“ถ้าแกยังอยู่บนตัวของเซเรสด้วยชุดแบบนั้นต่อ ชั้นว่าชั้นเชื่อเซเรสนะ” เด็กสาวได้ยินดังนั้นแล้วมองลงมายังตัวเอง ซักพัก หน้าหวานก็ขึ้นสีเป็นครั้งที่สองแล้วก็รีบถีบตัวออกจากชายที่นอนกองอยู่พร้อมๆกับดึงผ้าปูเตียงมาคลุมตัว ชายหนุ่มผมทองค่อยๆลุกขึ้นพลางลูบบริเวณที่โดนสาวเจ้าต่อย
“เอาล่ะ ดีมากที่ยอมแยกกันซักพักนึง ยัยอัมบรากับทาทะลัสต้องการคุยกับนายน่ะ รีเน่ ตอนบ่ายสอง โต๊ะหินที่สองสวนหย่อมข้างหอ . . .”ชายหนุ่มผมแดงกล่าวเสร็จก็ปิดประตู ความเงียบเข้ามาสู่ภายในห้อง
“นี่กี่โมงแล้วเซเรส”
“เที่ยงยี่สิบ...”
“ชั้นขอนอนต่อนะ อีกหนึ่งชั่วโมงค่อยเรียกชั้นนะ”เด็กสาวกล่าวแล้วหาววอดๆ ร่างบางล้มลงบนเตียงใหญ่เบาๆแล้วหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมตัว เซเรสตอบอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกระโดดขึ้นเตียงไปอยู่ข้างๆรีเน่ทันที
“ชั้นนอนด้วยนะรีเน่....”ชายหนุ่มกล่าวเบาๆพร้อมเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับเด็กสาว
“อืม...ชั่งเหอะ...ตอนนี้กำลังหนาวเลย...ซักวันคงไม่เป็นไร...”เด็กสาวเขยิบเข้าหาแผ่นอกของชายหนุ่มอย่างอุดอู้
เซเรสยิ้มละไมอย่างพอใจ แล้วคิดถูกแล้วที่ตนเปิดหน้าต่างไว้....
ความคิดเห็น