สุสานหิ่งห้อย - สุสานหิ่งห้อย นิยาย สุสานหิ่งห้อย : Dek-D.com - Writer

    สุสานหิ่งห้อย

    การ์ตูนสอนใจที่ห้ามพลาด

    ผู้เข้าชมรวม

    2,546

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    16

    ผู้เข้าชมรวม


    2.54K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 มิ.ย. 53 / 20:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    การ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ทำให้สะเทือนใจเมื่ออ่านมันแล้วคุณจะรู้อะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างใน
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

               

                  เมื่อมีคนเอ่ยถึงสงคราม ทำให้ดิฉันนึกถึงการ์ตูนเรื่องหนึ่ง.. 

       

                   "สุสานหิ่งห้อย" 

       

                  หลายคนคงยังจดจำการ์ตูนเรื่องนี้ได้ดี การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวของสงครามและความเจ็บปวดที่ได้รับจากสงคราม 

       

                   ไม่รู้ทำไมอยู่ๆนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อ่านทีไรก็สลดใจทุกที 

       

                 ถึงแม้หลายคนจะเคยชม เคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้กันมาแล้ว แต่ขอระลึกถึงการ์ตูนเรื่องนี้ ในบล็อคอีกสักครั้ง 

                           ดิฉันขอนำบทความที่ ญาเฮ ดา เขียนไว้ มาแบ่งปันให้ผองเพื่อนได้อ่านกันค่ะ คิดว่าอ่านแล้วก็คงรู้สึกสลดเหมือนอย่างที่ดิฉันรู้สึก ในบทความนั้นเขียนเอาไว้ว่า.. 

       

                   มีเรื่องราวเกี่ยวกับแมลงมีแสงหรือหิ่งห้อยที่ผูกพันอยู่กับตำนานความเชื่อของผู้คนอยู่มากมาย อย่างเช่น ชาวจีนในอดีตเชื่อว่าหิ่งห้อยเกิดขึ้นจากหญ้าที่กำลังไหม้ไฟ ในขณะที่ตำนานทางยุโรปเล่าสืบต่อกันมาว่าเมื่อใดหิ่งห้อยบินเข้ามาที่หน้าต่าง นั่นเป็นสัญญานเตือนว่ากำลังจะมีคนตาย และมีบางความเชื่อบอกเราว่าจริงๆแล้วแสงระยิบระยับจากหิ่งห้อยเหล่านี้ส่องสว่างเพื่อปลุกเราให้ตื่นขึ้นจากความไม่รู้และความมืดมิดในโลกใบนี้เท่านั้นเอง 
       "วันที่ 21กันยายน2488,ผมตายในคืนนั้น" วิญญานของเด็กชายเซอิตะกล่าวบอกเรา หลังจากตะวันลับขอบฟ้า แสงวิบวับตามพงหญ้าล่องลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า ห้อมล้อมเด็กหญิงวัย4ขวบเซทสุโกะและเซอิตะพี่ชายวัย14ขวบ ที่ปรากฏกายขึ้นยืนในพงหญ้าข้างนอกสถานีรถไฟเมืองโกเบ ทั้งสองขึ้นรถไฟและมองออกไปนอกหน้าต่างภายใต้ท้องฟ้าสีแดงฉานโดยระเบิดปรมาณู ทิวทัศน์กำลังเคลื่อนขบวนย้อนเวลากลับไปสู่อดีตเริ่มต้น
      เด็กชายกำลังกลบฝังเสบียงกรังลงหลุมในลานบ้าน แม่ให้เซอิตะพาเอาน้องสาวผูกหลังไปที่หลบภัยด้วยกัน แต่ในระหว่างทางเครื่องบินอเมริกันทิ้งลูกระเบิดบี-29ลงมา ทำให้ทั้งสองพลัดหลงกับแม่ เส้นทางที่ไปหลุมหลบภัยก็ถูกระเบิดเพลิงลง เขาจึงพาน้องไปหลบอยู่ที่กำแพงหินริมทะเล แล้วจึงย้อนกลับมาหาทางไปบ้าน ซึ่งทุกแห่งในบริเวณนั้นถูกทำลายย่อยยับ ทั้งสองพยายามเดินตามหาแม่ที่โรงเรียน เซอิตะพบแม่ถูกไฟลวกสาหัส สิ่งที่ทำให้จำแม่ได้ก็คือแหวนที่แม่สวม 
       หลายวันต่อมาแม่ถูกเอาไปเผารวมกับซากศพอื่นๆ เขาปิดบังน้องสาวไม่ให้รู้ว่าแม่ตายแล้ว และพากันไปอยู่กับป้าซึ่งแต่แรกนั้นดูแลต้อนรับดี เซอิตะนำเสบียงกรังที่ฝังเก็บไว้มาให้ป้าทำอาหาร และเอาลูกอมรสผลไม้มาให้เซทสุโกะ น้องสาวอยากไปหาแม่ แต่พี่ชายบ่ายเบี่ยง เขาพาน้องสาวไปเที่ยวเล่นเพื่อให้ลืม และหวนนึกถึงอดีตเมื่อครอบครัวอยู่พร้อมหน้า แต่เมื่อป้าคุยถามถึงอาการบาดเจ็บของแม่อีก เขาจึงบอกความจริง 
      หลังจากอาหารเริ่มร่อยหรอ ป้าบังคับให้เอาชุดกิโมโนของแม่ไปแลกข้าวสาร ถามหาญาติพี่น้องทางฝ่ายแม่ เซอิตะพยายามเขียนจดหมายหาพ่อแต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับ เซทสุโกะอยากกินลูกอมรสผลไม้แต่เหลืออยู่2-3ลูกในกล่อง เซทสุโกะเลียกินเศษๆแล้วเอา3ลูกนั้นใส่กลับคืน เซอิตะจึงเอากล่องลูกอมใส่น้ำแล้วเขย่าเทน้ำออกมาให้น้องสาวดื่ม เขาคอยดูแลเซทสุโกะพาไปเที่ยวทะเลแช่น้ำเค็ม หวังว่าจะช่วยทุเลาอาการคันที่ผิวหนังของน้องสาวบ้าง ป้าดุด่าว่ากล่าวทั้งสองบ่อยครั้ง เพราะเซอิตะไม่สนใจไปหางานทำ ป้าพูดว่าอาหารมีไว้สำหรับคนมีค่า เด็กอย่างเธอไม่มีประโยชน์เอาแต่กิน เด็กสองคนจึงทำครัวกินเอง  และในที่สุดทั้งสองก็ทนไม่ไหวหนีออกมาจากบ้านป้า และเลือกเอาที่หลบภัยซึ่งเป็นเหมืองเก่าไม่ใช้แล้วเป็นที่อยู่ เซทสุโกะกลัวความมืด พี่ชายจึงจับเอาหิ่งห้อยมาปล่อยในมุ้งเต็มไปหมด มันสว่างไสวเหมือนเรือรบของพ่อในยามค่ำคืนที่เขาเคยเห็น แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาเห็นเซทสุโกะกำลังฝังหิ่งห้อยลงในหลุมและพูดกับพี่ชายว่า "ป้าบอกว่าแม่ตายแล้วและอยู่ในหลุม" เซอิตะจึงไม่อาจสะกดกลั้นความเศร้าโศกเอาไว้อีกต่อไป

       

      อย่างไรก็ตาม ชีวิตในวันต่อๆมายิ่งยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอาหารให้แลกอีกต่อไป ความอดอยากและความป่วยไข้มาเยือนเซทสุโกะ จนกระทั่งเซอิตะจำต้องไปขโมยอาหารในตอนกลางคืนและในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่หวาดกลัวระเบิดหลบซ่อนในที่หลบภัย แต่เขาไม่กลัวระเบิดเพลิง สิ่งที่เขาทำก็คือวิ่งเข้าไปตามบ้านคนอื่นๆท่ามกลางเปลวเพลิงสีแดงเพื่ออาศัยเวลาช่วงขณะนั้นหาอาหารหรือสิ่งของที่มีค่าที่พอจะช่วยประทังชีวิตสองพี่น้องต่อไปได้ 
           
      เซทสุโกะป่วยเป็นโรคขาดอาหารและท้องเสียเรื้อรัง เขาพาน้องสาวไปหาหมอแต่หมอไม่มียาให้ไม่มีการช่วยเหลือใดใด เซอิตะจึงเข้าไปในเมืองเพื่อถอนเงินที่เหลือของแม่ ทำให้ทราบข่าวญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ สงครามโลกครั้งที่สองจึงได้ยุติลง เรือรบทุกลำถูกจมลงทะเล ความหวังว่าพ่อจะยังคงมีชีวิตอยู่จบสิ้นแล้ว เขากลับไปที่เหมืองเก่านั้น เซทสุโกะกำลังนอนอมลูกหินและกระดุมอยู่ในปาก มีดินโคลนปั้นเหมือนก้อนข้าววางอยู่ เซอิตะป้อนแตงโมให้น้องและวางเอาไว้ เขาไปทำอาหารและปล่อยให้เธอนอนต่อไป ตั้งแต่นั้นเซทสุโกะก็ไม่เคยตื่นขึ้นอีกเลย เขานอนกอดน้องสาวในคืนฝนตกและหนาวเย็น รุ่งเช้าหลังจากการเผาศพน้องสาว เซอิตะเก็บเถ้าอัฐิของเซทสุโกะใส่ลงในกล่องลูกอมและพกติดตัวไปด้วย   หิ่งห้อยและแสงไฟวูบไหวของมันในยามมีชีวิตมีความหมายเปรียบเสมือนความหวังในยามมืดมน แม้ว่าจะเป็นความหวังริบหรี่ก็ตาม เช่นเดียวกับลูกระเบิดบี-29 ที่ร่วงพรูติดไฟในท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเป็นประกายความหวังอันรวยริน เพื่อที่จะต่อชีวิตของทั้งเซอิตะและเซทสุโกะ จากอาหารที่ขโมยมาเล็กๆน้อยๆ แต่อีกนัยหนึ่งมันก็ริดรอนความหวังในชีวิตไปทีละน้อยด้วยเหมือนกัน เมื่อหิ่งห้อยในมุ้งดับแสงตายไปทีละตัวๆจนกระทั่งมืดสนิท เหมือนกับหลังระเบิดเพลิงผลาญทุกสิ่งหมดสิ้นคงเหลือไว้เพียงเถ้าธุลีในซากปรักหักพังและเด็กน้อยที่ไม่มีใครเหลียวแลและหมดหวังจะเติบโตมีชีวิตต่อไป        

             ในตอนจบเรื่อง วิญญานของเด็กทั้งสองเทลูกอมแบ่งกันกินจากในกล่อง ในขณะเดียวกันวิญญานเซอิตะบอกวิญญานเซทสุโกะว่าถึงเวลานอนแล้ว   ไม่ว่าวิญญานของเด็กทั้งสองไปไหนก็จะปรากฏเป็นหิ่งห้อยโบยบินอยู่ไม่ห่าง แสงระยิบระยับชองมันมีขึ้นพร้อมๆกับวิญญานของเด็กน้อยทั้งสอง ซึ่งเป็นตัวแทนของความตายก่อนวัยอันควรของเด็กๆอีกมากมายที่ถูกทอดทิ้งในสภาวะสงคราม การปรากฏตัวของมันอาจเป็นการมาเตือนให้ระวังอันตรายที่รอคอยอยู่ 

                ความน่ากลัวในสงครามอาจไม่ใช่แค่ลูกระเบิดเพลิงและปรมาณูเท่านั้น ลูกระเบิดเหล่านั้นมันไม่มีชีวิตจิตใจจึงประหัตประหารทุกชีวิตได้ตามกลไกที่มีติดมา แต่มันกลับช่วยถอดสลักระเบิดที่มีลมหายใจทิ้งเอาไว้ให้ฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่เหลืออยู่อย่างจำกัดต่อไป ซึ่งเราทุกชีวิตต่างก็เป็นเหยื่อในหายนะตัวนี้ ทุกชีวิตต่างก็ได้รับความสูญเสียไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สงครามจึงไม่ใช่แค่พรากบุคคลอันเป็นที่รักให้ตายจากกันไปเท่านั้น แต่มันยังพรากสายสัมพันธ์ของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ขาดหายไปหรือให้กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอีกด้วย

       แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาที่เซทสุโกะจะนอนหลับอย่างเป็นสุขเสียที 

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×