ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Page 1 -ข้าวกล่องสีเทา-
15 . 04 . 2023
เวลา เที่ยงคืนห้าสิบนาที
สถานที่ห้องพักภายในศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์
สภาพอากาศอบอุ่นกำลังดี
สภาพภายในห้องรกนิดหน่อย เพราะยังไม่ได้เก็บข้าวของ
และผม ' คิม แทฮยอง ' ผู้บันทึกไดอารี่เล่มนี้
ที่ได้ทำการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีตั้งแต่ผมยังหนุ่ม
ถึงแม้ว่าตัวผมจะมีนิสัยเรียบง่ายธรรมดาทั่วไป เป็นคนของศูนย์วิจัยที่มีเงินเดือนอยู่พอตัวแต่ก็อยู่ประหยัด
แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาของผมนั้นไม่ใช่ ตัวผม หรอกครับ
ว่าแล้ว...ลองย้อนกลับไปอ่านบันทึกหน้าแรกเมื่อตอนผมอายุ 21 ปีกันดีกว่า...
ศตวรรษที่ 21 ค.ศ. 2013
คุณชอบมันเหรอ...
เสียงนอกน้อยอันแสนไพเราะที่เป็นสัญญาบ่งบอกถึงการเริ่มกิจวัตประจำวันของมันในการเปิดตาต้อนรับอรุณรุ่ง เสียงน้อยใหญ่เริ่มแผดออกมาเเข่งกันไปมาเพื่อที่จะบอกกล่าวแก่พ่อแม่ของมันว่าถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว
คุณชอบมันเหรอ...
ยามเมื่อสายลมอบอุ่นเริ่มพัดพานำดาวฤกษ์ดวงใหญ่ให้ออกมาทักทายสิ่งมีชีวิตบนโลกอันแสนสงบนี้ อากาศที่จากหนาวเหน็บในยามดึก กลับผันเปลี่ยนมาเป็นอบอุ่นเพราะเจ้าดาวเปล่งแสงอันร้อนแรงนั่น
คุณชอบมันเหรอ...
ยามเช้าที่เต็มไปด้วยสีเหลืองและแดง ที่บดบังสีดำและน้ำเงินของการนอนหลับใหลไปเสียหมดสิ้น จะเหลือไว้ก็เพียงแต่ร่างของเด็กหนุ่มที่แม้แต่ตอนนอนก็ยังคงหล่อเหลานอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวสะอาดนุ่มนวลชวนคล้อยให้เข้ามาหลับใหล
คุณชอบมันหรือไม่ ผมไม่รู้...
แต่ คิม แทฮยอง ไม่ชอบ!!!!!
ต่อให้นกจะร้อง แดดจะส่อง หรืออากาศจะอบอุ่นขึ้น ก็ไม่มีใครที่จะพรากความรักของผมที่มีต่อหมอนข้างรูปหัวใจสีแดงที่มีหน้าตาแปลกพิลึกนี้ไปได้
คุณครับ นี่มันวันหยุดนะ วัยกำลังเจริญเติบโตอย่างผมควรที่จะได้นอนหลับเต็มอิ่ม อย่างน้อยก็ 6 ชั่วโมงต่อวันนะ ซึ่งผมเพิ่งจะได้นอนไปแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น!! เพราะงานเจ้ากรรมของมหาลัย ทั้งๆที่เป็นวันปิดภาคฤดูร้อนก็ยังไม่วายตามมาจองเวรจองกรรมผมถึงที่บ้าน แต่ก็นั่นแหล่ะ อัจฉริยะอย่างผมทำเสร็จภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงอยู่แล้ว ถึงมันจะทำให้ผมต้องนอนดึกไปบ้าง
แต่ก็นะ ตอนนี้ผมไม่สนมันหรอก ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการคือ นอน!!! ไม่มีใครมาขัดขวางการนอนของผมได้หรอก
นอกจาก...
' แทแท!! ตื่นเดี๋ยวนี้!! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว!!!!! '
โอย....ทำเป็นแกล้งหลับได้มั้ยวะ...
ปั้ก!!
ไม่ทันเนียนหลับ ฝ่าเท้าอรหันต์ประทับเข้ากลางหลังผมเต็มๆ หลังจากนั้นยังไงล่ะครับ ร่างอันแสนน่าถนุถะนอมของผมก็ต้องก้มลงไปจูบพื้นดินน่ะสิ
' อย่ามาเนียนนะ ม๊ารู้ว่าแทแกล้งหลับ ไปเลย ลุกขึ้นไปอาบน้ำ จะเก็บโต๊ะแล้วเนี่ย '
โอเค แกล้งหลับไม่ได้ละตู...
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย คิมแทคนชิคก็ทำการแต่งหล่อเสียหน่อย วันนี้ก็แต่งตัวเบาๆ เชิ๊ตขาวเนคไทดำสไตล์ผมเลยล่ะ ทำธุระไม่นานเกินรอ ผมก็ลงมาจากชั้นสองเดินลงมาสภาพเอื่อยๆหยุดยืนอยู่ในห้องครัวที่มีโต๊ะกินข้าวขนาดครอบครัวเล็กๆกับคนที่เพิ่งจะถีบผมตกเตียงกำลังจัดเตรียมอาหารให้ผมอยู่
' ไม่ต้องทำข้าวกล่องก็ได้ม๊า วันนี้ผมแค่ไปส่งรายงาน ครึ่งวันเช้าก็กลับแล้ว '
ผมชะเง้อคอไปมองอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการจับยัดข้าวปั้นลงไปในกล่องข้าวสีมินิมอลขาวดำ ก่อนที่อีกคนในสภาพผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานจะหันมามุ้ยหน้าใส่ผมเล็กน้อย
' เอ้า แล้วทำไมไม่รีบบอกม๊าล่ะ นี่อุตส่าตื่นเช้ารีบมาทำให้เลยนะ '
อีกคนที่ผมเรียกเขาว่า ม๊า ทำหน้าหงอยเหมือนหมาอดกินข้าวเย็น เอ่อ...เอาไงดีวะ รู้สึกผิดนิดหน่อยยังไงไม่รู้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะในวันปกติ ม๊ามักจะทำข้าวกล่องให้ผมกับป๊าเอาไปทานเป็นข้าวกลางวันเสมอ ทำให้ผมไม่เคยได้สัมผัสรสชาติของอาหารกลางวันที่โรงอาหารของมหาลัยซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธนะ ก็อาหารฝีมือม๊า อร่อยสุดยอดไปเลยนี่นะ
' งั้น เดี๋ยวผมเอาไปกินที่มอก็ได้ เผื่อเจอไอ้โฮซอกแล้วมันเกิดอยากกิน วันนี้เห็นว่ามันมีประชุมเรื่องรับน้องด้วย '
ชั่งใจอยู่เนิ่นนานแต่ก็ต้องยอมแพ้แก่หน้าหมาหงอยเสียโดยดี อีกคนได้ยินก็กลับมายิ้มร่าเหมือนเดิม ว่าแล้วก็กลับไปทำข้าวกล่องต่อ แต่พอได้ยินว่าผมจะเอาไปให้เพื่อนคนสนิททานด้วย เหมือนกับจะยัดใส่ปริมาณเยอะขึ้นรึเปล่าวะเนี่ย....
ผมส่ายหน้าให้กับม๊าของผมเบาๆ ก่อนจะไปนั่งประจำที่โต๊ะอาหารแล้วลงมือจัดการของตรงหน้านั้นเสีย
อ้อ ผมยังไม่ได้แนะนำม๊าของผมให้รู้จักใช่มั้ยครับ
ม๊าของผมชื่อ คิม ซอกจิน ม๊าเป็นคนหน้าหวานสวยครับ แต่ไหล่กว๊าง กว้าง แถมยังชอบดุผมบ่อยๆอีกด้วย
แต่ม๊าก็มีข้อดีหลายอย่างนะครับ ม๊าผมทำอาหารเก่ง ทำงานบ้านเก่ง เย็บปักถักร้อยก็เก่ง เรียกได้ว่ามีรางวัลโนเบลสาขางานบ้านงานเรือน ผมว่าม๊าต้องได้รับรางวัลแน่นอนครับ
แต่ก็นะ ถึงผมจะเรียกเขาว่าม๊า แต่เขาก็ไม่ใช่คนให้กำเนิดผมหรอกครับ แต่ที่ผมเรียกเขาว่าม๊าเพราะว่าเขาเป็นแฟนกับป๊าของผมต่างหากล่ะครับ
' แล้วป๊าไปไหนอ่ะ '
' ถามแปลกๆ ก็ทำงานน่ะสิไอ้เสือ นี่มันกี่โมงแล้วล่ะฮะ มีแต่เราอ่ะแหล่ะตื่นทีนี่พระอาทิตย์อยู่กลางหัว ' ปากแดงอวบอิ่มที่ดูแล้วน่าหลงใหลกลับพ่นเสียงบ่นมาไม่ขาดสาย นี่จะไม่บ่นลูกชายซักวันจะตายมั้ยครับ...
' แต่วันนี้มันวันหยุดไม่ใช่เหรอม๊า ' ผมเลิกคิ้วสูงเชิงสงสัย ในสุดสัปดาห์แบบนี้ผมมักจะลงมาคนสุดท้ายแล้วเห็นป๊าของผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยสภาพชายวัยกลางคนที่หน้าดันหนุ่มแน่นเพียงยี่สิบต้นๆ
' แกคงไม่ลืมว่าป๊าแกเป็นถึง CEOของบริษัทหรอกใช่มั้ยฮะ งานน่ะมีตลอดนั่นแหล่ะ กลับมาบ้านก็ทำงาน แม้แต่วันหยุดก็ยังต้องออกไปทำงาน ดูสิคนเรา แต่งงานกันมากลายเป็นพวกบ้างานไปซะได้ '
....ไม่น่าเปิดเลยตู
เจ๊แกบ่นได้แม้กระทั่งคนที่ไม่อยู่ครับคุณผู้อ่านครับ....
' ละเนี่ยวันนี้ก็รีบออกแต่เช้าไปทำงาน ดูสิว่าใครกันแน่เป็นเมียมัน ฉันหรืองานที่บริษัท!! ข้าวเช้าก็ไม่ได้ทาน แล้วนี่ข้าวเที่......... ตาเถรยายชี!!!!!!! '
พรวด!!
กาแฟในมือผมนี่แทบพุ่ง ก็ม๊าผมน่ะสิ เล่นอุทานภาษาแปลกๆออกมาไม่พอ เสียงนี่ดังไปแปดบ้านสิบบ้านแล้วเนี่ย
' ไรเนี่ยม๊า!! ชุดเกือบเลอะหมดเลย!! ' จะบ่นแม่ตัวเองบ้าง แต่เจ๊แกไม่สนใจครับ ร่างสูงกว่าวิ่งแจ้นลุกลี้ลุกลนไปทั่วห้องครัวเหมือนพยายามทำอะไรบางอย่าง
' ตายแล้ว ตายๆๆๆๆๆๆ แทแทกินเสร็จยัง เสร็จแล้วใช่มั้ย ม๊าเก็บโต๊ะนะ เอ้านี่ๆ ข้าวกล่องแทแท แต่เดี๋ยวก่อนนะๆ รอม๊าแปป '
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากครับ รู้ตัวอีกทีโต๊ะข้างหน้าผมก็สะอาดเอี่ยม พร้อมกับร่างของผมที่ตอนนี้ยืนอยู่ทางเข้าห้องครัว มือข้างถือกระเป๋า ข้างถือกล่องข้าวสีมินิมอล มองดูแม่ตัวเองกำลังรีบเร่งทำอาหารเพื่ม เหมือนกับว่าจะทำข้าวกล่องเพิ่มอีกกล่องอย่างงั้นแหล่ะ
' แทแทบอกว่าจะเลิกแค่ครึ่งวันเช้าใช่มั้ย อ่ะนี้ ม๊าลืมทำข้าวกล่องให้ป๊าแก ยังไงขากลับก็แวะบริษัทด้วยนะ ไม่งั้นป๊าได้ตายเอาแน่ๆ '
นั่นไง เห็นมั้ยว่าผมทายแม่นแค่ไหน...ว่าแต่ทำไมทำเร็วจัง..
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบกล่องข้าวสีเทามาไว้ในมือ ผมบอกลาม๊าก่อนจะขับเวสป้าสีแดงสุดโปรดออกไปจากบ้านไม้สีอบอุ่นที่ผมอาศัยอยู่
เวสป้าทรงสวยสีแดงสดตัดกับถนนสีเทาสะอาดตาขับไปตามทางที่ฝั่งขวามือเป็นละแวกที่อยู่อาศัยที่มีบ้านไม้หลากหลายสีมองดูแล้วเงียบสงบ ฝั่งซ้ายเป็นแม่น้ำที่อุดมไปด้วยปลานานาชนิด เพราะมันใสสะอาดไม่มีสิ่งปฎิกูลในคลองเลย
แม้จะเป็นฤดูร้อนที่แสงแดดสีเหลืองนวลสาดส่องไปทั่วทุกพื้นที่ แต่เพราะไม้ยืนต้นตามข้างทางที่ออกใบสีเขียวชอุ่มนั้นทำให้สองข้างทางมีแต่ความร่มรื่น
หมู่บ้านนี้ผมอยู่มาตั้งแต่จำความได้ มันเป็นหมู่บ้านเก่าแก่และสงบสุขมาก มากซะจนวัยรุ่นอายุ 21 อย่างผมคงมีอยู่แค่คนเดียวในหมู่บ้าน บ้านทรงยุโรปที่มองแล้วดูย้อนยุคเรียงรายกันนับหลายร้อยหลัง ใช่ บ้านผมก็เป็นแบบนั้น แต่คงเพราะบ้านผมประกอบไปด้วยคนหลากหลายศตวรรษล่ะมั้ง ทำให้ภายในบ้านของผมดูจะทันสมัยขึ้นมาหน่อย
อ่ะ...ถึงผมจะต้องอาศัยในหมู่บ้านที่เฉลี่ยผู้อยู่อาศัยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อแม่ แต่ผมก็ชอบที่จะอยู่ที่นี่นะ ผมรักความสงบครับ ผมมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ 2 เรื่อง
นอน กับ งานมหาลัย
ขอโทษนะครับถ้าชีวิตผมมันจะเรียบง่ายแบบนี้ แต่ผมก็มีความสุขกับทุกวันที่เป็นอยู่นะ ผมมีพ่อ มีแม่ มีบ้าน มีฐานะ มีการศึกษา
ชีวิตผมยังต้องมีอะไรที่พิเศษกว่านี้อีกมั้ยล่ะครับ?
ไม่นานนักเวสป้าคันงามกับคนขับสุดหล่อก็ออกนอกตัวหมู่บ้านชานเมือง เข้าตัวเมืองมาได้ซักพักก็ขับเลี้ยวเข้าประตูรั้วใหญ่ที่บ่งบอกถึงอาณาเขตของมหาวิทยาลัย ผมรีบจัดการส่งรายงานให้กับอาจารย์ที่ปรึกษาเสร็จสรรพ บางทีผมก็ไม่เข้าใจนะ ทั้งที่ไม่ได้ลงเรียนภาคฤดูร้อน แต่กลับต้องมามหาลัยเหมือนกับว่าผมมาแก้ F ยังงั้นแหล่ะ
อย่าหาว่างั้นงี้เลย เห็นแบบนี้ผมก็ฉลาดพอตัวนะครับ ในสาขาวิชา ผมมักจะได้คะแนนระดับต้นๆเสมอเลย แล้วก็ไม่ได้บังเอิญหรอก เพราะคณะที่ผมเรียนมันยากจะตายไป
ผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะ วิทยาศาตร์ ภาควิชารังสีประยุกต์และไอโซโทป หลายคนคงกำลังสงสัยว่าผมเรียนเกี่ยวกับอะไร ถ้าให้พูดภาษาคนธรรมดาก็คือการเรียนรู้ในเรื่องของพื้นฐานของนิวเคลียร์และรังสีน่ะครับ เพราะว่ามันเป็นสิ่งไกลตัวพวกคุณ พวกคุณคงจะไม่เข้าใจว่ามันจะใช้ประโยชน์อะไรได้ สำหรับผม มันน่าสนใจดีนะครับถ้าเราจะได้วิจัยและศึกษามัน มันทำให้ผมรู้ว่าเทคนิคทางนิวเคลียร์สามารถนำไปต่อยอดได้ในหลายแขนง ทั้งการเกษตร การแพทย์ก็ตาม
อ้อใช่ รวมไปถึงเรื่องของการกลายพันธุ์ต่างๆด้วยนะ
พูดมาถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปนะครับว่าผมเป็นพวกเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ผมจะเติบใหญ่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่การพิสูจน์ความจริงคืองานหลักนะ
จะมีก็แต่คนหน้าม้าเท่านั้นแหล่ะที่งมงายกับเรื่องพวกนั้น
' นั้นแทใช่ปะ! โอ้ ไอ้เชี่ยแทททท!!!! ทางนี้ๆๆ!!!!! '
พูดถึงม้า ม้าก็มา.....
' ไงมึง ทำไมมึงไม่อยู่ที่ตึกศิลกรรมวะ วันนี้บอกว่ามีประชุมไม่ใช่ไง? ' ผมหันไปทักทาย ม้า เอ้ย คนมาใหม่ที่กำลังวิ่งตรงมาทางผมด้วยใบหน้าที่ยาว 27 ซม กับปากรูปทรงหัวใจและผมสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์
' ถามมาได้นะมึง ก็โดดดิ่วะ อยู่ประชุมทำไมน่าเบื่อจะตาย นี่กุแค่ไปเสนอหน้าตอนเช้าแล้วก้แอบออกมาก่อนนะ มีหวังถ้ากุอยู่จนจบได้กลับบ้านพรุ่งนี้แน่ มึงก็รู้ว่าประธานรุ่นกูแม่งจริงจังกับการรับน้องแค่ไหน '
ผมยิ้มเจือนก่อนจะส่ายหน้าให้กับความขี้เกียจของ จอง โฮซอก นักศึกษา ปี 2 คณะ ศิลปกรรม สาขาการแสดง และเป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุด เพราะเราเคยอยู่โรงเรียนมัธยมที่เดียวกันมาก่อน
' แล้วนี่มึงมามอทำไมวะ? ติด F ไง๊? '
' เดี๋ยวได้แดกตีนกู มาส่งงานเหอะ ไอ้ม้านี่...อย่างกูมีเหรอจะสอบตก กูไม่ใช่มึงนะ '
' คร้าบๆ พ่อคนเก่งงง พ่ออัจฉริยะ พ่อไอคิว 360 องศา(?) คนเก่งแบบมึงนี่นะะะะ ขอให้จบไปได้แต่งงานมีเมียเป็นข้อสอบ สาาาาา ธุ!! '
ไอ้บ้านี่กวนตีนผมไม่เลิก บางทีผมก็ไม่เข้าใจนะว่าผมสนิทกับมันได้ยังไง ทั้งๆที่ผมออกจะเป็นคนนิ่งๆ ชอบเรียนหนังสือ แต่กับไอ้ม้าหัวแดงนี่คนละเรื่อง ไม่รู้มันสอบเข้ามหาลัยมาเพื่ออะไร โดดเรียนเป็นว่าเล่น แม่งชอบอ้างว่าตัวเองต้องไปสานฝันด้วยการแอบไปเรียนเต้น อย่าให้พูดถึงเกรดเลยครับ มันมี A อยู่แค่ตัวเดียวคือวิชาการแสดงเนี่ยแหล่ะ
' เออ ไหนๆมึงกับกุก็ว่างละ ไปหาไรแดกกันหน่อยมะ ช่วงนี้สุราและนารีไม่ตกถึงท้องเลยว่ะ '
' มึงโง่ปะเนี่ย! แดดส่องตาจะบอดอยู่ละ ร้านนั่งห่าไรมันจะมาเปิดตอนเที่ยงตรงแบบนี้วะ! ' โฮซอกขมวดอยู่พักนึงอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเออออตามผมแล้วพูดเสียงเบาว่า เอ่อว่ะ ออกมา
...ผมบอกแล้ว ไอ้หมอนี่แม่งโครตโง่!...
สุดท้ายผมกับโฮซอกก็จบลงที่ร้านอาหารตามสั่งข้างๆมหาลัย เพราะโรงอาหารในมหาลัยไม่เปิด
ร้านอาหารตามสั่งสุดชิลที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำสายยาว ใช่ครับมันคือแม่น้ำสายเดียวกับหมู่บ้านของผมเอง เพราะมันเป็นหนึ่งในแม่น่ำสายหลักที่ไหลเกือบทั่วเมือง
ผมกับโฮซอกเลือกที่จะนั่งมุมลับของร้านที่เงียบสงบ ระหว่างที่โฮซอกสั่งอาหารเสร็จ ผมก็หยิบข้าวกล่องขึ้นมาทันที
' หูยยย...มีของตัวเองก็ไม่บอก ไรอ่ะๆ น้าจินทำมาให้มึงเหรอ?? ' โฮซอกยื่นหน้าเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
' เออดิ่ ม๊ากูทำมาให้ คงคิดว่าวันนี้กูมีเรียนเต็มวัน แม่งทำงานบ้านจนลืมวันเวลาว่าลูกตัวเองปิดเทอมแล้ว ' พูดบ่นแม่ตัวเองไปส่ายหน้าไป ไอ้เพื่อนตัวดีก็ได้แต่นั่งขำยิ้มตาเป็นสระอิ แต่มันก็ดันไปสะดุดกับกล่องข้าวสีเทาอีกชุดที่ตั้งอยู่ข้างตัวผม
' โหห นี่น้าจินทำมาอีกกล่องเหรอวะ? มึงกินจุขนาดนั้นเลยรึไงไอ้แททท ไหนๆ ก็ขอเบิ่งหน่อยย '
มือแกร่งของผู้เป็นเพื่อน กำลังจะเอื่อมมือเพื่อหวังจะเปิดดูข้าวกล่องสีเทาให้ชมเป็ยขวัญตา...
ปัง!!!
มือของผมรีบตบมือของโฮซอกกระแทกกับโต๊ะดังลั่น ไม่ใช่อะไรแต่ความรู้สึกตกใจกลัวอะไรบางอย่างของผม มันสั่งการให้ผมต้องรีบหยุดการกระทำของเพื่อนสนิททันใด
' โอ้ย เหี้ย!! เป็นไรวะไอ้แท หวงข้าวขนาดนั้นเลยเหรอวะ! ' โฮซอกเกิดอาการตกใจปนเจ็บ ก่อนจะทำหน้ามุ้ยใส่ผมด้วยความไม่เข้าใจ
' มึงเปิดมันไม่ได้... '
เสียงของผมเบาลงเหมือนพยายามกระซิบให้มีเพียงแค่คนตรงหน้าเท่านั้นที่ได้ยิน คนผมแดงเห็นท่าทางของผมแล้วก็ยิ่งเกิดอาการสงสัย พร้อมกับชักหน้านิดหน่อยเป็นเชิงถามว่า ทำไม
' กล่องนี้เป็น อาหารของป๊ากู '
สิ้นเสียงของผม โฮซอกก็ชะงักไปซักพัก พร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง วินาทีถัดมา โฮซอกก็ทำหน้าเข้าใจทุกอย่าง
' นี่คุณลุงเขาใช้วิธีนี้งั้นเหรอวะ? แล้วอยู่ที่ทำงานแผนไม่แตกรึไง?? ' เพื่อนหน้าม้าของผมเริ่มซักถามในสิ่งที่มีแต่เขาและผมเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องราว
' ก็ซ่อนไว้ให้เนียนอ่ะดิ่...ที่ผ่านมาความก็ไม่เคยแตกเหมือนกันนะ ช่วยไม่ได้ว่ะ ถ้าป๊ากูไม่ทำแบบนี้ มีหวังป๊ากู...... '
' นี่แกๆ ได้ข่าวว่าช่วงนี้มีคดีน่าขนลุกเกิดแถวๆนี้ด้วยอ่ะ เห็นว่าเป็นพวกโจรปล้นทรัพย์ล่ะ '
เเว่วเสียงของนักศึกษาหญิงจากมุมใดมุมหนึ่งในร้าน เริ่มบทสนทนาที่ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหยุดชะงัก
' แล้วไงวะ โจรมันจะเป็นคดีน่าขนลุกได้ไง? '
' หูยยย อีตกเทรนด์ ก็อีโจรพวกเนี้ย มันไม่ได้ปล้นอย่างเดียวนะ แต่มัน....ฆ่าเหยื่อด้วยว่ะ.... '
' ฆ่า? เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอ? เขาอาจจะเผลอมือลั่นอะไรแบบนี้ก็ได้ปะ แบบไม่ได้ตั้งใจไรงี้ '
' กูว่าไม่ว่ะ...ที่กูได้ยินมา....เหยื่อตายเพราะโดนสูบเลือดออกไปจนหมด แถมยังมีรอยโดนกัดที่หลังคอด้วยนะแก.... '
........ทั้งผมและโฮซอกถึงกับชะงักในสิ่งที่ได้ยิน.....ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความเงียบเกิดขึ้นรอบตัวพวกเรา เหมือนกับเราได้ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการนั่งฟังสิ่งที่พวกเธอพูดเสียแล้ว
' รอยโดนกัด? พูดบ้าๆ!! ใครจะทำแบบนั้นได้วะ '
' แก นี่ไม่ใช่เคสแรกนะเว้ย มีเหยื่อโดนแบบนี้อยู่หลายราย บางคนโดนปล้นทั้งข้าวของและเสื้อผ้าที่ใส่ แล้วก็นอนตายด้วยสภาพผิวตัวซีดเหมือนไม่มีเลือดไปลำเลียง นี่แค่พูดก็ขนลุกแล้วเนี่ย!! '
ในขณะที่สองสาวกำลังคุยกันอย่างออกรส แต่กลับกันผมและโฮซอกที่เริ่มมีสีหน้าที่กังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าพวกผมกำลังวิตกในบางอย่าง...
' หูย แย่ที่สุดเลย ทำเรื่องแบบนี้ได้นี่แม่งโครตเลวเลยว่ะ ...ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะก็.... เขาคง ไม่ใช่คน แล้วล่ะ '
.....ความอึดอัดนี้.....มันมีบางอย่างที่ผมอยากจะอธิบายออกไปให้มันกระจ่าง ทุกคนครับ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุผลในตัวมัน คุณไม่ควรที่จะมองมันเพียงแค่ด้านเดียวใช่มั้ยล่ะ สิ่งที่ผมอยากจะพูดมันออกไปก็เหมือนกัน
โฮซอกเห็นสีหน้าของผมเริ่มไม่สู้ดี ผมไม่ทันได้รู้สึกตัวเลยว่าตอนนี้ผมทำหน้าตาแบบไหนอยู่ รู้เพียงแค่ไอ้เพื่อนตัวดีเอื่อมมือมาตบบ่าผมเบาๆแล้วพูดปลอบใจ
' อย่าทำหน้าเหมือนลิงอดแดกกล้วยแบบนั้นดิ่เพื่อน โลกไม่ได้มีแค่มึงคนเดียว ไม่จำเป็นต้องแบกมันไว้ให้หนักเปล่าๆ พ่อกับแม่แกก็ไม่เห็นจะมานั่งทุกข์ใจเหมือนที่แกเป็นอยู่ตอนนี้เลยนะเว้ย....
พวกเขาอยู่ได้แม้จะแตกต่าง มึงก็รู้เรื่องนั้นดีนี่ '
ไอ้เพื่อนหน้ายาวนี่...มันพูดจาดูมีความรู้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน.... แต่ก็ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมกลับมาคิดในแง่ดีขึ้นมาบ้างนิดนึง ผมพยักหน้ายิ้มให้มันเบาๆ แล้วก็ได้รับเสียงหัวเราะมาจากอีกฝ่าย
' มึงอ่ะโชคดีเหอะ มีพ่อที่พิเศษกว่าคนอื่นขนาดนั้น เป็นกูนะ จะอวดเพื่อนทั้งเช้าทั้งเย็นเลย '
' บ้าละไอ้นี่ ลดความเชื่องมงายของมึงลงบ้างก็ดีเหมือนกันนะ กูยังอยู่แบบคนปกติได้ มึงก็ช่วยอยู่แบบปกติสุขที่เถิดดด '
' แหมมม คงทำไม่ได้มั้งครับ คุณคิม แทฮยอง มีเพื่อนที่มีพ่อเป็นแบบนั้นทั้งที กูนี่รู้สึกภาคภูมิใจมากเลยนะที่ได้เกิดมาเป็นเพื่อนกับมึง '
เหอๆ...คิม แทฮยอง ขออณุญาตมองบนให้กับตัวมันซักสามร้อยครั้ง...ก็นะ ถ้าใครได้รู้เรื่องราวของพ่อผม ก็จะมีตัวเลือกอยู่แค่ไม่กี่ทาง
เลิกเป็นเพื่อนกับผมไปซะ กับ นั่งหน้าเซ่อแบบไอ้โฮซอกมัน
ซึ่ง...คนที่รู้เรื่องนี้ ดันมีแต่ไอ้โฮซอกคนเดียวนี่นะ...
' แต่ในชีวิตกู ยังมีอีกคนนึงนะมึง ที่แม่งทั้งพิเศษและน่ากลัวกว่าคนอื่น เขาแม่งโหดร้ายมาก กูว่าน่าจะร้ายที่สุดในบรรดามนุษย์โลกแล้วว่ะ '
ผมขมวดคิ้วหนาเป็นปมใหญ่เท่านิ้วหัวแม่เท้า ก่อนจะชักสีหน้าเชิงคำถามว่า ใคร ก่อนที่มันจะแสดงท่าทางเหมือนกับรอลุ้นผู้ประกาศรางวัลชิงโชคเงินล้านยังไงยังงั้น ....แหม...พ่อนักแสดงคนเก่ง....
' เขาก็คือ........................ประธานรุ่นของกูไงล่าาาาา!!!! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าาาา '
...........เอิ่ม........เรื่องการแสดงมันก็พอใช้นะ แต่เรื่องตบมุข..กูว่ามึงยังไม่ใช่ว่ะ.........
' กูจะขอบ่นเหอะ แม่งตั้งแต่ตอนที่เรารับน้องกันตอนปีหนึ่งน่ะ สั่งนั่นสั่งนี่เหมือนตัวเองเป็นผอ.มหาลัยเลยอ่ะ ทุกอย่างต้องออกมาดูดี จำไว้ว่าศิลปกรรมของเรายิ่งใหญ่เสมอ! แล้วมึงเชื่อมั้ยว่ามันจะมีซักกี่คนที่แอคทีฟเหมือนกับเจ๊ใหญ่แก? กูมาเรียนนะเว้ย ไม่ได้มาทำกิจกรรม จะสั่งอะไรก็ดูกำลังคนกับกำลังทรัพย์กูด้วย แล้วนี่เหมือนเร็วๆนี้จะมีเลี้ยงส่งรุ่นพี่ปี 4 ด้วยนะ....เพื่อ? กูรู้จักพวกเขามั้ย? ก็ไม่อ่ะ แล้วทำไมต้องจ่ายตังค์ด้วย ชีวิตกู เงินกู กูต้องกินต้องใช้ ละไม่ใช่ครั้งเดียวนะ แม่งเรียกเก็บเงินทีนึง โอ้โหหหห เงินแทบจะเอาไปซื้อที่ดินได้ แถมตอนทวงก็เหมือนกับกูเป็นลูกหนี้ แม่งยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิดเนี่ย ถ้าอีประธานรุ่นกูมาอยู่ตรงนี้นะ กูจ--- '
' มึงจะทำไมกูเหรอ? '
.....
...............
....โอ้ ชิบหายแล้ว.....
นิ่งเลยครับ ได้ยินเสียงที ไอ้โฮซอก นิ่งเลยครับ มันไม่ได้นิ่งธรรมดาอ่ะคุณ มันนิ่งเงียบเหมือนโดนเมดูซ่าแช่แข็งอ่ะ
เจ๊ประธานรุ่นที่ยืนอยู่ข้างหลังมัน สายตานี่เขียวปี๋จ้องเขม็งลงมาที่ไอ้โฮซอกอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ หน้านี่แดงก่ำเป็นเนื้อแตงโมเลย
' อ่าว เจ๊......มาทานข้าวเหรอครับ? '
คอก็ค่อยๆหันไปส่งยิ้มหวานให้สาวใหญ่ด้านหลัง ทีเมื้อกี้มึงด่าเขาซะเหมือนแร๊ปเปอร์ ทีตอนพูดนี่เสียงหวานฉ่ำเหมือนนักร้องอคูสติคเลยนะ!!
กูสวดภาวนาให้มึงก่อนเลยละกัน เพื่อนเอ๋ย
' โอ้ยยยยยยยยยย โอ้ยเจ็บๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่าดึงหูผมสิ อย่าดึง มันเจ๊บบบบบบบบบบบบ!!!! ' สิ้นคำสวดภาวนาของผม เสี้ยววิต่อมาผมก็ได้เห็นม้าโดนเชือดของจริงครับคุณผู้อ่าน ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคืออีเจ๊ประธานแกเล่นใช้นิ้วบิดหูไอ้โฮซอกครับ ย้ำว่า บิด เลยนะครับ หูมันนี่แดงเถือก
' โดดประชุมแบบนี้ มึงสมควรจะโดนเเล้วล่ะ จอง โฮซอก มึงลืมไปแล้วเหรอว่ากูมอบหมายให้มึงเป็นเฮดพี่สันทนาการน่ะ หะ!!!!!!! ถ้ามึงหายไป แล้วงานรับน้องจะทำอะไรได้ มานี่เลย ไอ้ตัวดี มานี่!! ' ครับ โฮซอกกำลังโดยลากไปด้วยการโดนดึงหู ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมเจ๊ประธานคนนี้มีของอะไรทำไมคนถึงต้องเชื่อฟังแกจัง ถึงขนาดที่ไอ้โฮซอกก็ยังออกอาการผวา ว่าแล้วมันก็ต้องลุกขึ้นยืนไปตามแรงที่โดนดึงจากคุณประธาน ผมนี่ได้แต่นั่งมองอย่างอาลัยอาวรเพื่อนเกลอ มันก็ถึงคราแล้วล่ะที่มันจะต้องรับกรรม(?)ที่มันก่อไว้น่ะนะ....
หมับ!
' ไอ้แทททท อยู่กับกูก่อนนะโว้ย กูจะไม่ยอมไปลงนรกคนเดียววว พลีส!! '
มือของไอ้ม้าจับแน่นเข้าที่แขนแกร่งของผม ปากก็พร่ำอ้อนวอนต่อผม พร้อมกับแรงดึงจากมันที่จะลากผมไป คำพูดก็บอกว่าขอร้อง แต่การกระทำมันคือการบังคับ เดี๋ยวสิวะ กูเกี่ยวไรเนี่ย!!!
' จะบ้าเหรอมึง!! เรื่องของคณะมึง กูเกี่ยวเหี้ยไรด้วย ไม่เอาอ่ะ ปล่อยกูเลย กูไม่ยุ่ง ' ผมพยายามสะบัดแขนหนีมัน แต่สิ่งที่มันทำกลับก็คือรัดแขนผมแน่นขึ้น แล้วก็พร้อมที่จะลากผมไปอย่างไม่ลดละความพยายาม
' กูไปคนเดียวก็โดนประชาทัณฑ์อ่ะดิ นี่เพื่อนไง แทฮยอง เพื่อนอ่ะ!!!!! ถ้ามึงไปโอกาสเซฟกูมีมากกว่าอ่ะ ไม่รู้ล่ะ มึงต้องไปกับกู!!!!!! '
' เฮ้ย!!! เดี๋ยว!!!! ปล่อยกูดิโว้ย ปล่อยยยย!!!!!! '
ยังไม่ทันได้พูดอะไร สุดท้ายผมก็โดนไอ้เพื่อนเลวลากไปกับมันทันที โดยที่เหมือนผมจะลืมธุระสำคัญอะไรบางอย่างไป
ธุระที่สำคัญมากๆ
แต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรจนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป....
......
ไอ้โฮซอก! ไอ้เพื่อนชั่ว! ไอ้ไม่น่าคบหา! ไอ้ม้าผีสิง!
ผมสะบดคำด่าออกมาเป็นแร๊ปในใจอย่างหัวเสีย ก็ไอ้บ้านั่นสิ ที่ทำให้ผมต้องโดนกักอยู่กับมันยันมืดยันค่ำ ที่ที่มันไปอยู่ผมเกี่ยวด้วยมั้ย ก็ไม่ เรื่องที่มันคุยกันเกี่ยวกับผมมั้ย ก็ไม่ แล้วการที่มันโดนเพื่อนในคณะต่อว่าแล้วพาลมาถึงผมด้วยมันเกี่ยวกับผมมั้ย ก็ไม่!!!!! แล้วดูสิ่งที่พวกมันว่าผมดิ่ บอกว่าผมพามันโดดประชุมเฉยเลย นี่ผมผิดตรงไหนอ่ะครับ แค่ไปทานข้าวกับมันเนี่ยนะ คนหล่อไม่เข้าใจเลยอ่ะ
แล้วนอกจากพวกมันจะบังคับให้ผมต้องอยู่ตลอดการประชุมกับโฮซอกถึงกลางดึกแบบนี้
มันทำให้ผมลืมเรื่อง ข้าวกล่องของป๊า ไปซะสนิทเลย!!!!!
นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว ตอนนี้ผมกำลังรีบขับเวสป้าคู่ใจไปตามทางเปลี่ยวที่ท้องฟ้ากับถนนกลืนเป็นสีดำมืด ผมรู้สึกหัวเสียแล้วก็กังวลมากที่ผมดันลืมเรื่องที่สำคัญแบบนี้ไปได้
หวังว่าป๊าคงจะอดทนไหวนะ...
ผมได้แต่คิดแบบนั้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ตัวเอง เวสป้าคันงามรีบขับตรงไปเรื่อยๆ เข้าลัดเลาะไปตามเส้นทางลัดที่ผมมักจะใช้เพื่อตรงไปยังบริษัทของป๊าให้เร็วที่สุด ในยามวิกาลแบบนี้น้อยคนนักที่จะใช้เส้นทาง ปกติเวลากลางวันก็ไม่ค่อยจะมีคนผ่านเท่าไหร่
หรือเพราะมันเปลี่ยวจนน่าขนลุก... ข้อนี้ผมก็ไม่แน่ใจ
ผมไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือขับผ่านถนนเส้นนี้ไปให้เร็วที่สุด โดยที่หวังในใจเพียงแค่ไปถึงที่หมายเพียงเท่านั้น
ฟ่าวว!!!
' เฮ้ย!!!! '
เอี๊ยดดดดด!!
โครม!!!!
...........
ร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังขับขี่บนทางถนนด้วยความเร็วนั้น ต้องเซล้มไปกับพื้นถนนข้างทางเพราะมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้าเฉียดตัวเขาอย่างรวดเร็วปานไม่ใช่มนุษย์ เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นด้วยความตกใจจึงเกิดอาการเสียหลักและรถล้มอยู่ข้างทางในเวลาต่อมา
ข้าวของที่บรรทุกมาทั้งระเป๋าและกล่องข้าวกับกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ภายใต้ร่างหน้าในชุดสีขาวที่เปรอะเปื้นไปด้วยสีน้ำตาลของเศษดินเศษฝุ่น เจ้าตัวเริ่มได้สติก็พยายามกุมอวัยวะสำคัญว่าได้รับแรงกระแทกอะไรรึเปล่า
อูย.....ดีนะหัวไม่แตก
ผมรู้สึกมึนนิดหน่อยเหมือนโลกกลับหัวกลับหาง แต่ยังยังพยายามที่จะลุกขึ้นยืนประคองสติตัวเองให้อยู่แล้วประเมินสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น....ก่อนความคิดของผมจะได้ทบทวนอะไร ความรู้สึกที่ไวกว่าก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงหน้าผม...
รูปร่างของมันเหมือนกับคน...แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เหมือนกับคนแก่ตัวใหญ่หลังงอ รูปร่างซูบผอม เนื้อตัวสีขาวซีด เสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยนั่น และดวงตาสีแดงราวกับเลือด ปากซีดนั่นค่อยๆอ้าขึ้น เผยให้เห็นถึงเขี้ยวแหลมคมนับไม่ถ้วนเรียงกัน กลิ่นของมันชวนวิงเวียนเหมือนกลิ่นคาวของเลือด
แวมไพร์...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องเผชิญกับอมนุษย์แบบนี้...แต่ถึงยังงั้นผมก็ไม่ควรที่จะประมาทไป ผมมองทีท่าของอีกฝ่ายว่าจะมาไม้ไหน แต่จะดูยังไงผมก็มีเเววที่จะเสียเปรียบมากกว่า รถของผมผลิกคว่ำ แถมของสำคัญก็ยังหล่นไปคนละทิศคนละทางแบบนี้ ต่อให้วิ่งเร็วแค่ไหน ก็ไม่มีทางทัน เจ้าสิ่งมีชีวิตเหนือมนุษย์นี้น่ะเร็วยิ่งกว่าม้าอีก...
แต่ผมก็ยังพอมีโอกาสอยู่
' ส่งสิ่งของมีค่าของเจ้ามาทั้งหมด...แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป.. ' เสียงแหบพร่านของอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเบาๆพร้อมกับแสยะยิ้มชวนสยอง นัยตาแดงก่ำนั่นจ้องมองผมไม่ลดละเหมือนกับคิดคำนวณถึงปริมาณเลือดในตัวของเหยื่ออยู่
คิดว่าผมจะไม่รู้รึไง ว่าสิ่งที่มันพูดน่ะ...โกหก...
มันไม่มีทางปล่อยเหยื่ออันโอชะไปอย่างน่าเสียดายหรอก ที่มันพูดแบบนั้นก็เพื่อจะทำให้เหยื่อตายใจแล้วก็ฉวยโอกาสดูดเลือดของเราจนหมดตัว ข่าวเรื่องโจรปล้นทรัพย์มันก็แค่ฉากคอยบังหน้ามนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่านั้นแหล่ะ
อย่างที่ทุกคนรู้กัน แวมไพร์เป็นอมนุษย์ที่มีมานานกว่าเราหลายศตวรรษ พวกเขาไม่ใช่ทั้งสัตว์ป่าหรือมนุษย์ปกติเฉกเช่นเราๆ รูปร่างที่เหมือนคน แต่ศักยภาพทางร่างกายและสติปัญญานั้นเหนือกว่า ร่างของพวกเขามักจะมีสีซีดขาวออกเทาหม่น หูที่แหลมกว่าคนปกติ และที่ขาดไปไม่ได้ก็คือนัยตาสีแดงเลือดกับเขี้ยวอันแหลมคมคอยกัดเหยื่อให้ตายในคราเดียว
การใช้ชีวิตของแวมไพร์กับมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ราบรื่นเท่าไหร่ แน่นอน ผู้ล่ากับผู้ถูกล่า ตามธรรมชาติไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ในปัจจุบันที่จำนวนประชากรมนุษย์ที่มีร้อยละมากกว่าบนโลกนี้ พวกแวมไพร์มักจะอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ แฝงตัวอยู่ในชุมชนต่างๆในเมืองน้อยใหญ่ ทางฝั่งมนุษย์เองก็มีอยู่ไม่กี่คนที่จะรู้เรื่องความลับของเผ่าพันธุ์อมตะนี้ น้อยคนนักที่จะรู้ถึงการมีอยู่ของตำนานที่น่าขนลุกเพราะพวกแวมไพร์มีสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลม พวกเขาพยายามปิดซ่อนตัวตนที่แท้จริงให้กับคนทั่วไป นั่นก็เพราะว่าซักวันหนึ่ง พวกเขาจะลุกขึ้นมาฆ่าเหยื่อได้อย่างง่ายดาย
แต่นั่นก็ไม่ใช่กับแวมไพร์ทุกตนหรอกนะ
' ว่าไงพ่อหนุ่มน้อย...ถ้าเจ้ายังไม่ส่งสิ่งของมีค่ามาล่ะก็....อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ... ' เสียงแหบพร่านเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ยิ้มเย็นแสยะออกมาเบาๆ พร้อมกับสองเท้าที่เริ่มย่างก้าวเข้ามาใกล้ตัวของเด็กหนุ่ม
ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดชั่วขณะ แวมไพร์ร่างผอมค่อยๆเข้ามาใกล้ผมอย่างช้าๆ
' ผมว่า คุณคงไม่อยากได้ของมีค่าของผมหรอก ' มือข้างขวากุมเนคไทบริเวณอกเหมือนพยายามคลายความอึดอัดบริเวณคอ ผมจะไม่พยายามก้าวเท้าถอยหลัง ผมไม่อยากให้มันสังเกตุเห็นว่ามนุษย์กลัวพวกแวมไพร์ ไม่อย่างงั้นมันจะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่
' ทำเป็นอวดโอ้รึ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? ' แวมไพร์แก่ชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดเพราะไม่เคยเจอเหยื่อที่ไม่มีกิริยาเกรงกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย นิ้วที่ไว้เล็บอันแหลมคม ชี้ไปยังใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้ทำสีหน้าเพียงแค่มองมาทางอมนุษย์ด้วยความรู้สึกที่เฉยชา
' อืม...เป็นใครดีล่ะ? ชายหนุ่มที่หล่อปานเทพบุตรลงมาเกิดที่ไม่คิดจะเกรงกลัวอมนุษย์เฉกเช่นเจ้า แวมไพร์ผู้ที่ไม่มีพิษสง....ถ้าเป็นภาษาบ้านพวกคุณคงจะต้องพูดประมาณนี้ใช่มั้ยล่ะครับ? '
' เจ้า!!!!! โอหังนัก!!!!! ' ด้วยการพูดจาทีเล่นทีจริงแถมยังล้อเลียนตัวเขา แวมไพร์แก่ตรงหน้าเกิดอาการโกรธเกรี้ยว ฝ่าเท้าเบาพุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มทันที พร้อมทั้งง้างเล็บคมกริบหวังจะปิดชีพภายในคราเดียว
' เจ้า!!!!! โอหังนัก!!!!! ' ด้วยการพูดจาทีเล่นทีจริงแถมยังล้อเลียนตัวเขา แวมไพร์แก่ตรงหน้าเกิดอาการโกรธเกรี้ยว ฝ่าเท้าเบาพุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มทันที พร้อมทั้งง้างเล็บคมกริบหวังจะปิดชีพภายในคราเดียว
พรึ่บ!!
ในช่วงจังหวะที่ปีศาจกระหายเลือดพุ่งเข้ามาจะโจมตี มือหนาที่ย่นคอเสื้อของตนลง ล้วงเข้ากำสร้อยคอที่อยู่ภายในออกมา ปรากฏไม้กางเขนสีดำขนาดเท่ากำมือ ชายหนุ่มกำมันไว้ก่อนจะเหยียดแขนตรงชูไม้กางเขนตรงเข้าใส่ด้านหน้าของอมนุษย์ที่กำลังจะพุ่งเข้าโจมตีเขา
' อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!!! '
มันได้ผล ไม้กางเขนศักสิทธิ์ คือสิ่งที่พวกปีศาจเกรงกลัว ถึงมันจะมีขนาดที่เล็กและพลังอำนาจไม่มากนักแต่ถ้ากับปีศาจระดับล่างแล้วก็ยังพอมีหนทางที่สามารถสู้ได้ แวมไพร์แก่ร้องลั่นเหมือนดั่งถูกไฟเผา ร่างซูบผอมจากที่เตรียมพุ่งเข้าจู่โจมชายหนุ่ม กลับต้องผงะออกไปทันทีเมื่อต้องถูกมนต์ของสิ่งศักสิทธิ์
ตอนนี้ผมได้โอกาสที่จะหนีมันแล้ว!!! ถึงผมพอจะมีของที่สามารถจัดการกับพวกเขาได้ แต่ก็ได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปที่เวสป้าคันสวยที่ตอนนี้ล้มแบบไม่สวยเท่าไหร่ มือสองข้างดันเอารถคันโปรดกลับมาต้านแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง ก็จะรีบเตรียมสตาร์ทเครื่องเผ่นป่าราบกัน
ชิบหาย!! กล่องข้าวของป๊า!!!!
ตอนนี้ผมได้โอกาสที่จะหนีมันแล้ว!!! ถึงผมพอจะมีของที่สามารถจัดการกับพวกเขาได้ แต่ก็ได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปที่เวสป้าคันสวยที่ตอนนี้ล้มแบบไม่สวยเท่าไหร่ มือสองข้างดันเอารถคันโปรดกลับมาต้านแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง ก็จะรีบเตรียมสตาร์ทเครื่องเผ่นป่าราบกัน
ชิบหาย!! กล่องข้าวของป๊า!!!!
อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนั้น ช่วงเวลาหน้าสิวหน้าขวานผมก็ยังไม่วายต้องวิ่งแจ้นไปคว้าข้าวกล่องที่แสนสำคัญพอๆกับชีวิตของผมอีก แล้วพ่อคุณอยู่คนละทิศละทางเลย!!!!!
แต่ไม่ทันให้ผมได้คิดอะไรต่อ ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกเข้าที่ตัวรถของผมอย่างจัง เหมือนกับมีใครกำลังเอาตัวมาชนเข้าอย่างงั้นแหล่ะ มันแรงพอที่จะทำให้รถของผมล้มทับไปอีกทาง ไม้กางเขนในมือก็หลุดลอยไปอย่างง่ายดาย ไม่วายตัวของผมที่กำลังขึ้นขี่มันอยู่ก็โดนมันทับต่ออีกที
' โอ้ย!! อะไรอีกวะเนี่ย! '
ผมโอดโอยด้วยความเจ็บ นี่รถนะครับไม่ใช่หมอน จะล้มแต่ละทีมีเบาๆที่ไหน เพราะความหนักของมันทำให้ขาผมที่โดนทับอยู่แทบจะชาไปครึ่งนึง ผมรู้สึกเหมือนจะขยับตัวไม่ได้ซักพัก สายตาเจ้ากรรมก็ทอดมองเห็นคนเบื้องบนที่มองลงมาด้วยสายตาที่กินเลือดกินเนื้อ
อา....นั่นไม่ใช่คนนี่หว่า....
' หึหึ....เจ้ากล้ามากที่มาลองดีกับข้า....เตรียมตัวตายซะเถอะ ' เขี้ยวคมกริบนั่นเป็นสัญญาชัดเจนว่ามันกำลังจะทำอะไรกับผม ใบหน้าซีดเผือกค่อยๆใกล้เข้ามา เล็บสีดำจับเข้าที่คอของผม พยายามจะกระชากร่างของผมให้แหลกในคราเดียว ใบหน้าอันชวนสยดสยองก็เริ่มที่จะเข้าใกล้มามากขึ้น ถ้าเพียงแค่ผมสามารถหยิบไม้กางเขนขึ้นมาได้....หรืออย่างน้อยผมก็ควรที่จะคิดหาวิธีหลอกล้ออย่างอื่น....
หรือผมควรจะสวดภาวนา.....
ให้พระผู้เป็นเจ้า
มาช่วยเหลือ....
ฉึก!!!!!!!!!!!!!
............
....
ติ๋ง
ติ๋ง
' ................ '
ร่างของชายหนุ่มมองตรงไปยังเบื้องหน้าของเขาที่จากเดิมที่เป็นอมนุษย์ร่างซีดผอมตัวสีขาวเผือกดูไร้เรี่ยวแรง....ตอนนี้มันกลับนิ่งเฉย เหมือนกับหนังที่หยุดชะงักกลางทาง แวมไพร์แก่นิ่งตาค้างไปอย่างน่าสงสัย ก่อนที่วินาทีถัดไปจะได้ยินเสียงบางอย่าง พร้อมกับสีของของเหลวอันน่าสะอิดสะเอียน
ฉูดดดดดดด!!!!!!!!!!!!
ร่างของแวมไพร์แก่ที่ค่อยๆล้มลงไป....กับคอของเขาที่ค่อยๆขาดหลุดออกจากบ่า...ขอฃเหลวจากเส้นเลือดใหญ่บริเวณต้นคอที่ตอนนี้พุ่งออกมาจากร่างขาวดุจดั่งน้ำพุสีแดงสด
ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ตกใจแต่แทนที่ผมจะรู้สึกคลื้นไส้เพราะเห็นคนคอขาดต่อหน้าต่อตา เลือดพุ่งออกมาไม่หยุดหย่อนซะจนเประเปื้อนมาถึงตัวผมแบบนี้
สิ่งที่ผมตกใจยิ่งกว่าก็คืออีกร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังของอมนุษย์ที่เกือบจะฆ่าผมเมื่อครู่...
ดูท่า...
คนที่มาช่วยจะไม่ใช่ พระเจ้า ซะแล้วสิ...
' เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำไมไม่รีบกลับบ้านล่ะ หืม... ' ร่างสีหม่นภายใต้แสงจันทร์พ่นเสียงเข้มออกมาถามไถ่ผมด้วยอารมณ์ที่เหมือนจะตักเตือนปนความห่วงใยอยู่นิดๆ ผมเลิกคิ้วสูง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
' เด็กบ้านไหนเขาอายุปูนนี้กันครับ นี่มหาลัยปี 2 นะ ไม่ใช่ประถมต้น! '
' เด็กบ้านป๊านี่แหล่ะ!! ไหนบอกกับม๊าไว้ว่าจะกลับตั้งแต่เที่ยงไม่ใช่รึไง! '
หนุ่มวัยกำลังมีอายุในชุดสูทสีดำดูมีฐานะชะเง้อหน้าเข้าใกล้ผมด้วยสีหน้าปนหงุดหงิด ผมสีเทาถูกเซ็ทอย่างดีกลับส่องสว่างกระทบกับแสงจันทร์ในยามค่ำคืน คิ้วหม่นกระตุกเข้าด้วยกันเป็นเครื่องบอกว่าตนกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก
เพราะเจ้าตัวกำลังจะสั่งสอนลูกชายตัวดียังไงล่ะ...
' แล้วนี่ นอกจากจะกลับบ้านดึกดื่น ยังหาเรื่องใส่ตัวอีก! นี่ถ้าป๊าไม่มาช่วยมันจะเกิดอะไรขึ้น? คิดว่าตัวเองมีสิ่งศักสิทธิ์แล้วจะออมมือให้พวกระดับล่างแบบนี้ได้รึไง? ' เสียงเข้มจากริมฝีปากหนาของคนที่ยืนด้วยความสูงเต็มตัวพร่ำบ่นใส่ลูกชายตัวดีของเขาอย่างไม่ลดละ
' คร้าบๆๆๆ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว.....แต่ก่อนหน้านั้น ป๊าช่วยผมก่อนได้มั้ย...ผมเอียนกลิ่นคาวนี่จะตายอยู่แล้วนะ! ' คุณลองนึกภาพตามสิครับ....ป๊ากำลังบ่นผม ในขณะที่ผมโดนรถทับอยู่ แต่โดนรถทับไม่พอ มันมีไอ้ปีศาจที่ตอนนี้หัวมันขาด แล้วตัวของมันก็มาทับรถผมอีกที!!!! เลือดก็ไหลหยดผมซะจนตอนนี้ตัวผมย้อมเป็นสีแดงไปหมด ไอ้หัวที่มันขาดออกก็กลิ้งมาใกล้ผมจนแทบจะจูบกันอยู่ละ คุณพ่อตัวดียังมีหน้ามาเทศนาลูกชายในสภาพแบบนี้อีกหรืออออ!!!
' คอยดูเถอะ กลับไปถึงบ้าน ได้มีระเบิดลงกันแน่ ' คนที่ผมเรียกเขาว่า ป๊า บ่นว่าพรางส่ายหัวไปมา หลังจากช่วยผมกับรถพยุงกลับมาได้ ไม่ช้าเกินใครร่างของแวมไพร์ที่จากตอนแรกยังอยู่ในสภาพตัวที่หัวขาดออก ก็ค่อยๆมลายหายไปกลายเป็นผงไปต่อหน้าต่อตาของเราทั้งสอง รวมไปถึงรอยเลือดที่อยู่ตามพื้นและอยู่บนตัวของผมอีกด้วย
' พวกนี้ใช่ปะ ที่ป๊าพูดถึงน่ะ ' ระหว่างที่ผมเดินไปเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย เสียงของผมก็ตะโกนถามถึงผู้เป็นพ่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
' เออสิ....พวก แวมไพร์ระดับล่าง มักจะไม่ชอบแฝงตัวมาเป็นมนุษย์เท่าไหร่ ส่วนมากจะออกหากินตอนกลางคืนแบบนี้แหล่ะ ถึงพลังของเจ้าพวกนี้จะไม่ได้สูง แต่ลูกก็ไม่ควรประมาทมัน ' ผู้เป็นพ่อตอบกลับมา ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ใช่เเล้วล่ะครับ ในเมืองแห่งนี้น่ะมีแวมไพร์อย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่ที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ การแบ่งแยกชนชั้นของพวกแวมไพร์นั้นส่งผลอย่างมากในการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเขาในปัจจุบัน
แวมไพร์ระดับล่างที่ผมเจอ มักจะเป็นประเภทที่เหมือนกับสัตว์ป่า นั่นก็คือพวกเขามีแต่สัญชาตญาณดิบ พวกเขามีความคิดเดียวนั่นก็คือการออกล่าเหยื่อ โดยนอกจากจะไม่สามารถแฝงตัวอยู่กับมนุษย์ได้ในเวลากลางวันแล้ว พวกเขาก็มักจะดูดเลือดเหยื่อด้วยวิธีสกปรก บางครั้งพวกเขาก็แนบเนียนในการกินเหยื่อ บางครั้งก็ไม่ แวมไพร์ระดับล่างเป็นระดับที่มีสติปัญญาน้อยที่สุดนั่นเอง
ซึ่งเรื่องพวกนี้ มันคงไม่มีในชั่วโมงการเรียนการสอนของผมแน่นอนครับ รวมไปถึงตามหนังสือตำราในห้องสมุดหรือแม้แต่ตามอินเตอร์เน็ตเอง ก็คงจะไม่มีเรื่องของพวกแวมไพร์เขียนอยู่แน่นอนครับ
แต่พอดีว่า ผมมี ผู้รู้ โดยตรงน่ะนะ...
' แทฮยอง แล้วข้าวกล่องป๊าล่ะ? '
เมื่อนึกขึ้นมาได้ ผมจึงรีบหยิบข้าวกล่องสีเทาขึ้นมาแล้วเปิดมันออกทันที
' นี่ไม่ได้เอาไปให้ตอนเช้า ลำบากรึเปล่าครับ? '
ภายในกล่องบรรจุไปด้วยอาหารและข้าวที่ท่าทางน่ากิน สีสันที่สดใสของมันช่างเหมาะกับการรับประทาน..........ผมเดินตรงไปที่ถังขยะ ก่อนจะเขี่ยอาหารพวกนั้นทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ถ้าสำหรับมนุษย์อย่างเรามันคงจะน่ากินทีเดียวเชียวแหล่ะ..
' เกือบแย่เหมือนกัน....ตอนที่เลขาเข้ามาในห้อง ป๊าเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้แหน่ะ... '
พอผมเขี่ยเอาเศษอาหารฝีมือม๊าออกหมด ข้างใต้กล่องเผยให้เห็นถุงซิปใสขนาดเล็กข้างในบรรจุแคปซูลสีแดงราวๆสิบเม็ดได้...
' หึหึ ผมไม่เชื่อหรอก.... '
ผมยื่นซองใสที่บรรจุแคปซูลนั้นให้ผู้เป็นพ่อ ร่างหนายื่นมือรับของมาแต่โดยดี ก่อนจะค่อยๆแกะมันออกแล้วกินมันเข้าไป
จากผิวสีออกแทนดูสุขภาพดี...พลันค่อยๆซีดลงเรื่อยๆจนมองเห็นเส้นเลือดที่กำลังไหลเวียน นัยตาสีแดงก่ำ ใบหูที่ค่อยๆแหลมออกมา เสียงดังกรุบๆที่เกิดจากการเคี้ยวเม็ดแคปซูลสีแดงค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเหลวข้นไหลเลอะออกมานอกริมฝีปากขาว ลิ้นหนาเลียไปตามปากสวยได้รูป ปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยทำให้มองเห็นคมเขี้ยวอันแหลมคมได้ชัดเจน
' ก็ป๊าน่ะ....เป็นถึง แวมไพร์ระดับสูง ....ที่มีชื่อว่า 'อาร์เอ็ม' ไม่ใช่เหรอครับ...ระดับความกระหายเลือดเอง ก็อดทนได้ดีกว่าพวกระดับล่างอยู่แล้วนี่ ผมพูดถูกรึเปล่าครับ? '
ร่างสูงในคราบของผีดูดเลือดไม่ได้พูดอะไรต่อ เอาแต่ลิ้มรส เลือดเทียม ที่อยู่ในโพรงปากของเขา ก่อนจะมองไปทางลูกชายจอมอวดดี
' นั่นมันชื่อเก่า.....บอกไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หัดจำชื่อพ่อตัวเองบ้างสิ เจ้าเด็กนี่ ' ทำไมทั้งพ่อทั้งแม่ชอบดุผมจังเลยน้า....
เมื่อมี แวมไพร์ระดับล่าง ก็ย่อมมีแวมไพร์ที่มีชนชั้นสูงกว่า ซึ่งการปรับตัวของพวกเขาให้เข้าใกล้ชิดมนุษย์อย่างเราๆมากขึ้นนั้นคือการเปลี่ยนแปลงชื่อของตนเองให้เหมาะสมกับสถานที่ที่พวกเขาอยู่ เพราะแวมไพร์ระดับล่างขึ้นไปนั้นสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์และอยู่ร่วมกับเราได้ในเวลากลางวัน จึงทำให้พวกแวมไพร์ระดับสูงๆนั้นมีอยู่สองชื่อด้วยกัน นั่นก็คือ ชื่อจริง ( Name ) และ ชื่อมนุษย์ ( Human Name ) นั่นเอง
นอกเหนือจากเรื่องของชื่อที่แตกต่างจากพวกระดับล่างแล้ว เรื่องของสติปัญญาและพละกำลังก็แทบจะต่างกันราวฟ้ากับเหว เท่าที่ผมวิเคราะห์จากแวมไพร์ใกล้ตัว แวมไพร์ระดับล่างกับระดับสูง มีพลังที่แตกต่างกันเป็นพันๆเท่า และแตกต่างจากมนุษย์หลายหมื่นเท่าเลยทีเดียว.....
มันจึงมีน้อยครั้งนักที่ผมจะต่อล้อต่อเถียงกับป๊าของผมน่ะนะ ถ้าป๊าผมเกิดโมโหขึ้นมาล่ะก็ แค่ดีดหน้าผากผมคงหัวหลุดไปแล้ว....
ก็ ท่าน อาร์เ.... ไม่ใช่สิๆ คิม นัมจุน น่ะ เป็นคุณพ่อแวมไพร์ของผมนี่นา
หลังจากนั้นผมกับป๊าก็รีบเดินทางกลับไปหาม๊าที่บ้าน ซึ่งม๊าก็ได้ทำการเทศนาผมไปเป็นเวลาร่วมหลายชั่วโมง เพราะป๊าดันไปโทรไปบอกม๊าว่าผมไม่ยอมเอาอาหารของป๊าไปส่ง แถมยังโดนพวกระดับล่างทำร้ายอีก ตอนนี้หูของผมนี่ชาพอๆกับตอนโดนรถทับเลยล่ะครับ
นี่แค่หนึ่งวันเองนะครับ กับการใช้ชีวิตแสนธรรมดาๆของผม
ผมก็ไม่ใช่คนโด่งดังที่ไหน ก็แค่นักศึกษามหาลัยธรรมดาๆ ที่ค่อนข้างฉลาดและหล่อเหลาเอามากๆ
แล้วก็มีเพื่อนเป็นม้าสีแดงที่วิ่งสองขาได้
มีแม่เป็นคนที่ทำอาหารและงานบ้านและด่าลูกชายเก่ง
แล้วก็มีพ่อเป็นแวมไพร์เท่านั้นแหล่ะครับ
สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ผมได้พบได้เจอนั้น ทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงแล้ว โลกใบนี้มีสปีชี่ย์ที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่มากมาย บ้างก็ประสงค์ทั้งดีและร้ายต่างกันไป แต่สำหรับบางอย่างที่มีความสัมพันธ์ร่วมกันมาอย่างยาวนานระหว่างเราและพวกเขานั้น ผมก็เริ่มรู้สึกสนใจและอยากศึกษาต่อไป ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาคือใครกันแน่ แล้วเราสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้เหมือนกับป๊ากับม๊าผมได้รึเปล่า
อ่านมาจนถึงตอนนี้ ผมก็ขอยืนยันคำเดิมนะครับว่าผมไม่งมงาย และก็ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติใดใดทั้งนั้น
ก็แค่เป็นคนที่ยอมรับใน ตัวตน ของพวกเขาเฉยๆเท่านั้นแหล่ะครับ :p
ว่าแต่ ที่ผมพูดเรื่องการอยู่ร่วมกัน เหมือนกับผมพยายามจะสื่อว่า อยากเป็นเพื่อนกับแวมไพร์ให้มากกว่านี้ เลยแฮะ
แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า
ลงชื่อ คิม แทฮยอง
15 . 04 . 2013
15 . 04 . 2013
ไดอารี่สีน้ำตาล
' มาถึงแล้ว....เราจะเริ่มแผนการกันที่เมืองแห่งนี้... '
' เป็นที่ที่สวยงามจังเลยนะฮะ... '
' อย่าได้หลงระเริงไปกับแสงสีเชียวล่ะ ข้ายังไม่อยากให้เจ้าต้องเจอดีตั้งแต่ยังวัยเยาว์นะ เจเค '
' ผมไม่เป็นอะไรหรอกฮะ ช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ ผมเชื่อว่าผมทำได้ฮะ '
' ยังไงข้าก็ยังไม่อณุญาต!! เจ้าจะต้องอยู่ในการดูแลของข้าอย่างใกล้ชิด เข้าใจมั้ย? '
' .... เข้าใจแล้วฮะ... ท่านลุงชูก้า '
-- TBC --
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ผู้หลงเข้ามาอ่านทุกท่าน(?)
นี่เป็นฟิคยาวเรื่องแรกที่เขียนของบังทันค่ะ
รู้สึกมึนมากค่ะเพราะไม่เคยเขียนอะไรยาวๆแบบนี้มาก่อน
โดยฟิคนี้จะเน้นที่ความลึกลับของเนื้อเรื่องแล้วก็การค่อยๆเปิดปมทีละตอนๆนะคะ
แต่เรื่องความรักก็เป็นตัวเชื่อมของฟิคแหล่ะเนอะ ดังนั้น จะพยายามแต่งซีนสวีทให้เยอะๆค่ะ
ถึงแม้ตอนแรกนี้จะแต่งมาไม่มีซักซีนก็ตาม ฮือออออ ขอปูเนื้อเรื่องก่อนเนอะ แชปต่อไปรับรองว่ามาเกือบทุกคู่แน่ค่ะ
โดยฟิคเรื่องนี้เราได้แรงบันดาลใจมาจากการเล่นเดอะซิมค่ะ 5555 รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่มโนได้ขนาดนี้
แล้วก็อยากจะให้ mood&tone ของฟิคออกแนวสีซีเปียค่ะ
ถึงจะเปิดประเด็นมาเหมือนกับว่าต้องมีดราม่า แต่ก็อยากให้เป็นฟิคที่อ่านแล้วอบอุ่นค่ะ เราเน้นที่การซ่อนประเด็นในแต่ละตอนรวมถึงพยายามไม่ทำให้ในแต่ละบทเครียดมากเกินไป เลยได้ คาแรคเตอร์ของพี่แท ที่ออกแนวคนหลงตัวเองที่ชาญฉลาดซะงั้นค่ะ 555555
เราอยากให้ฟิคดำเนินไปอย่างสวยงามและน่าจดจำ ยังไงก็ฝากให้กำลังใจด้วยนะคะ
ถ้ามีอะไรที่อ่านแล้วดูขัดหูขัดตา สามารถบอกเราได้นะคะ เรายินดีแก้ไข เพราะเราเองก็มือใหม่อยู่พอตัว
รักคนอ่านนะ จุ๊บๆ
#ไดอารี่วีกุก
พูดคุยกันได้ที่แท็กนี้เนอะ หรือไม่ก็ ทวิตเค้าเอง จ้าา
แก้ไข้ครั้งที่ 1 มีการแก้ไขไทมไลน์เล็กน้อยค่ะ
SP THANKS
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น