ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Page 2 -ค็อกเทลสีส้ม-
28 . 05 . 2013
เวลา ตีหนึ่งสามสิบเก้านาที
สถานที่บ้านจัดสรรไม้สีขาวสะอาดตา
สภาพอากาศหนาวเล็กน้อย
และผมคนเดิม....
ที่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่กึ่งหงุดหงิดกึ่งรีบร้อน
สภาพของผมในตอนนี้อยากจะบอกตรงๆเลยว่า หล่อมาก
เสื้อคอปกสีดำที่ปลดกระดุมบนออกสองเม็ดใส่ทับด้วยเสื้อแขนกุดสีทับทิมวาวพราวเสน่ห์
กางเกงสีหม่นกระชับการเคลื่อนไหว รองเท้าผ้าใบดูดีมีราคา(ต่ำ)
ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้ซึ่งการปกปิดใดใดจากเครื่องสำอางเพราะยังไงก็หล่ออยู่แล้ว
ทรงผมสีแดงเหมือนแสงอาทิตย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของผมถูกเซ็ตอย่างสวยงาม
หืม? อะไรนะ
ผมไม่ใช่ไอ้เด็กวิทย์ขี้เซาอย่างไอ้แทซักหน่อย
นี่ โฮซอก พ่อรูปหล่อเองจ้า
"ไอ้เเท!! ออกมาเปิดประตูดิ่วะ จะไปมั้ยเนี่ยหะ!!!"
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมผมเป็นคนบรรยายแทน เพราะว่าไอ้พระเอกตัวดีของพวกคุณมันหายเข้าไปในบ้านนานสองแล้วไงล่ะครับ!! ผมกับไอ้แทวันนี้เรามีนัดไปเที่ยวกัน แน่นอนว่าไม่พ้นผับบาร์ในตัวเมืองที่พวกผมมักจะไปดื่มกันบ่อยๆ ไหนๆวันนี้ผมกับมันก็ว่างแล้วเราเลยอยากจะไปสนุกกันให้เต็มที่ซักหน่อย ถ้าไม่นับว่าตอนนี้มันหายเข้าบ้านไปนานหลายชั่วอายุคนแล้วน่ะนะ
"มึงแต่งตัวหรือกำลังตัดชุดวะ!! ทำไมนานจังโว้ย!!!!" มือข้างหนึ่งทุบประตูบ้านรัวๆหวังจะระบายอารมณ์บวกกับคิดว่าคนข้างในจะออกมา เวลาเป็นเงินเป็นทองนะเฮ้ย!! ถ้าไม่รีบไป น้องแองจี้กูได้โดนสอยไปดิ่วะ!!!!
แอ่ด.....
ไม่ทันได้ทุบต่อเป็นรอบที่สามสิบ ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกพร้อมกับคนตัวสูงที่ผมคุ้นเคย
"อ้าว โฮซอก มารอแทแทเหรอ?" ถ้าคนที่เปิดมาเป็นไอ้เพื่อนบ้านั่น ป่านนี้ผมนี่รีบเขกหัวมันไปแล้ว แต่คนนี้คงทำไม่ได้จริงๆ....
"อุ่ย....น้าจิน....สวัสดีครับ" ร่างบางระบายยิ้มออกพร้อมกับทำสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้เห็นผู้มาเยือนบ้านของตนเป็นคนรู้จักมักจี่กัน แถมยังมาในเวลาวิกาลแบบนี้อีก ผมก้มหัวให้คนอายุมากกว่าเบาๆ แล้วเกาหัวเป็นการแก้เขิน ก็เล่นไปทุบประตูบ้านเขาซะขนาดนั้น แหม...ก็ผมขี้ใจร้อนนี่นา
"เข้ามาก่อนสิ เจ้าเสือยังอยู่ในห้องอยู่เลย คงอีกซักพักนึงนั่นแหล่ะ" คุณน้ายิ้มรับ แล้วเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อเชิญผมเข้าไปข้างใน มีหรือครับจะปฏิเสธคำเชิญของผู้ใหญ่ แถมยังไงผมกับคนในบ้านนี้ก็รู้จักกันมาตั้งแต่ผมกับไอ้แทยังเด็กๆอยู่แล้ว อย่าพูดพล่ามเลย รีบเข้ามาข้างในดีกว่า หนาวจนจะเป็นบ้าอยู่ละ
ผมเดินเข้ามา ก่อนที่น้าจินจะปิดประตูลง น้าจินพาผมไปที่ห้องรับแขกแล้วจุดเตาผิงให้ผม ก่อนที่เจ้าตัวจะปลีกตัวไปทางฝั่งห้องครัวเพื่อไปหาน้ำมาให้ผมดื่ม..................แต่เดี๋ยวนะ...............ผมก็ไม่ได้อยากเป็นคนช่างสังเกตุเท่าไหร่หรอก......................
แต่เสื้อที่น้าจินใส่เนี่ย.....แม่งโครตวาบหวิวเลยว่ะ
ผมไม่ได้โรคจิตนะครับ ผมไม่ได้ชอบแม่เพื่อน ก็อยากจะสารภาพแหล่ะว่าแอบชื่นชมคุณน้าอยู่นิดหน่อย ก็ทำไมคุณน้าต้องสวยล่ะครับ แต่ผมก็ไม่เคยคิดเกินเลยนะ ผมรู้ดีว่าคุณลุงเขาเป็นคนยังไง ผมไม่ได้อยากตายเร็วครับ....... แต่สภาพที่ผมเห็นคุณน้าตั้งแต่เดินเข้ามานี่คือมัน........เสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวกำมะหยี่ที่ใส่หลวมๆเหมือนกับไม่ได้จัดการใส่ให้เรียบร้อย ขายาวขาวๆทีพอเดินไปเดินมาแล้วโผล่วับๆแวมๆพอให้กรุ่มกริ่มหัวใจเล่น แล้วตรงที่น่ามองที่สุดก็คงเป็นบริเวณต้นคอที่พอให้เห็นไหปลาร้าบ้างเล็กน้อย....
อืม....ก็นั่นแหล่ะครับ....แต่บอกเลยว่าในยามวิกาลแบบนี้ ผมคงไม่คิดอะไรหรือแม้แต่จะทำอะไรกับคุณน้าแน่นอน
ก็คิสมาร์กตามคอม่วงซะขนาดนี้ จองโฮซอกคอเดาเลยว่ากำลังอยู่ในระหว่างทำภารกิจเป็นแน่.....
"ใครมาดึกดื่นแบบนี้เหรออีหนู---.......อ้าว โฮซอกเองเหรอ" ไม่ทันไรเสียงเข้มที่มาใหม่ก็ดังขึ้นตรงบันไดชั้นสองเผยให้เห็นหนุ่มร่างใหญ่ผิวสีแทนที่มีสถานะเป็นผู้นำครอบครัวเดินลงมาหยุดยืนอยู่ตีนบันได ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับแขกในยามวิกาลทางห้องรับแขกที่นั่งอยู่
คำสรรพนามนั่น...ผมจะถือว่าไม่ได้ยินละกันนะ...
"ผมมารอไอ้แทมันน่ะครับ วันนี้ว่าจะไปดื่มกัน คุณลุงไปด้วยมั้ยครับ?" ผมยิ้มตอบลุงนัมจุนไปอย่างอารมณ์ดีพร้อมเชื้อเชิญอย่างสนิทสนม เห็นแบบนี้คุณลุงเขาก็คอแข็งแรงไม่แพ้พวกผมเลยนะ
"เฮ้ย พูดไรเนี่ย ลามปามใหญ่แล้วนะเรา" คุณลุงส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับก้มหัวต่ำลงแล้วทำท่าเหมือนกระซิบ "ถ้าจะชวนก็ชวนตอนเมียฉันไม่อยู่สิ"
"ได้ยินนะ!!!" เสียงหวานแผดออกมาอย่างขุ่นเคืองอยู่ทางเข้าของห้องครัว พร้อมกับผมและคุณลุงที่สะดุ้งไปตามๆกัน คุณน้าเดินผ่านสามีแล้วเสิร์ฟเครื่องดื่มให้กับผม ก่อนจะเดินสะบัดตูดกลับไปในห้องครัวอีกครั้ง
"โอ๋ๆ ผมล้อเล่นหน่าคุณ~" คนที่แต่เดิมเสียงเข้มขรึมต้องดัดเสียงให้อ่อนลงอย่างน่าขนลุกเพื่อที่จะออดอ้อนแม่แฟนตัวดีที่ทำที่ท่าจะงอนจริงจัง...อะไรจะมุ้งมิ้งปานนั้นครับ....
"ไม่ต้องเลย! คุณน่ะ ชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย สมัยก่อนนี่แทบไม่ได้อยู่ติดบ้านเลยไม่ใช่รึไง!!" คนตัวเล็กกว่าตะวัดมือชี้เข้าที่สามีผู้กำลังพยายามจะโอบกอดเขาจากด้านหลัง ก่อนจะเชิดหน้าสวยๆหันกลับไปในทิศทางเดิม
"นั่นมันเมื่อก่อนนี่ ก็ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาในเมืองใหม่ๆ ต้องหลงกับแสงสีเป็นธรรมดานี่คุณ ตอนนี้ผมมีการมีงานแล้วนะ มีลูก มีเมียสุดสวยคนนี้เเล้วด้วย" จะขัดขืนยังไงก็ตาม แวมไพร์วัยกลางคนก็ย่อมมีพละกำลังเหนือกว่า แขนแกร่งโอบรอบเอวบางอยู่หมัดก่อนจะรัดแน่นชนิดที่งูเหลือมยังอาย คนในอ้อมแขนไม่พูดอะไร เอาแต่หันหน้าหนีไม่สนใจลูกเดียว
"อีหนู....ไม่เอาสิครับ อย่างอนสิ...." ใบหน้าหล่อเข้มเลื่อนเข้าใกล้ซอกคอขาวที่แต้มไปด้วยสีม่วงแดงราวกับว่าเขาคิดจะทำรอยหลากสีนั้นเพิ่มอีก ' อย่าลืมสิครับว่าเรายัง ไม่เสร็จ เลย..... ' มือหนาเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข จากที่กอดร่างบางบริเวณอก มือขวาก็เริ่มไล่ขึ้นไปด้านบน สอดคล้องกับอีกข้างที่เริ่มจะเลื้อยลงข้างล่างช้าๆ
"นั่นมันเมื่อก่อนนี่ ก็ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาในเมืองใหม่ๆ ต้องหลงกับแสงสีเป็นธรรมดานี่คุณ ตอนนี้ผมมีการมีงานแล้วนะ มีลูก มีเมียสุดสวยคนนี้เเล้วด้วย" จะขัดขืนยังไงก็ตาม แวมไพร์วัยกลางคนก็ย่อมมีพละกำลังเหนือกว่า แขนแกร่งโอบรอบเอวบางอยู่หมัดก่อนจะรัดแน่นชนิดที่งูเหลือมยังอาย คนในอ้อมแขนไม่พูดอะไร เอาแต่หันหน้าหนีไม่สนใจลูกเดียว
"อีหนู....ไม่เอาสิครับ อย่างอนสิ...." ใบหน้าหล่อเข้มเลื่อนเข้าใกล้ซอกคอขาวที่แต้มไปด้วยสีม่วงแดงราวกับว่าเขาคิดจะทำรอยหลากสีนั้นเพิ่มอีก ' อย่าลืมสิครับว่าเรายัง ไม่เสร็จ เลย..... ' มือหนาเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข จากที่กอดร่างบางบริเวณอก มือขวาก็เริ่มไล่ขึ้นไปด้านบน สอดคล้องกับอีกข้างที่เริ่มจะเลื้อยลงข้างล่างช้าๆ
"ล..แล้วจะทำไมล่ะ...." ปากแข็งไปงั้น แต่สีหน้ากับคำพูดสวนทางกันอย่างชัดเจน ใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำ คิ้วขมวดลงเหมือนพยายามคลายความสงสัย
"หนูก็รู้นี่ครับ....ถ้ายังงอนอยู่แบบนี้ เดี๋ยวได้ไปง้อบนเตียงนะ..." เสียงเข้มกดลงต่ำและแผ่วเบาเหมือนกระซิบ ฟันคมกัดเข้าที่ใบหูของร่างบางที่ขึ้นสีแดงสด คนในอ้อมแขนเริ่มลุกลี้ลุกลนเพราะโดนอีกฝ่ายเข้าจู่โจมอย่างช้าๆ มือที่เดิมรุกราน ก็เริ่มสอดแทรกเข้าประชันเนื้อขาวเนียนมากยิ่งขึ้น
"จ จะทำอะไรเนี่ยคุณ อื้อออ!!" ไม่ทันให้ซอกจินได้ออกกำลัง ริมฝีปากหนาก็โน้มเข้ากดประทับจูบจากด้านหลัง ดูดกลืนเสียงอิดออดที่คอยโวยวายให้กลืนลงท้องไปจนหมดสิ้น ซอกจินเห็นดังนั้นก็แทบจะเคลิ้มไปกับแรงสัมผัส แต่สติยังคงคอยควบคุมร่างกายไม่ให้ร่วงลง ได้แต่กระชับอ้อมกอดจากคนข้างหลังให้แน่นขึ้น มากขึ้นและมากยิ่งขึ้น
"หนูเองก็ยังไม่เสร็จนี่ครับ...งั้นเรามาต่อกันตรงนี้เลยดีมั้ยหืม?" มือหนาเริ่มเลื่อนไปปลดเชือกผูกเอวของอีกคนออก ก่อนที่มือของอีกฝ่ายจะรั้งไว้
"จะบ้าเหรอคุณ! นี่มันห้องครัวนะ ถ้าเกิดมันเลอะขึ้นมา....อ๊า!"
"เด็กไม่ดี....ลืมไปแล้วเหรอว่าให้เรียกว่าอะไร...." ผู้เป็นสามีเริ่มลุกล้ำเข้าไปในส่วนลับของคนที่บิดตัวไปมาพร้อมกับเลื่อนใบหน้าหล่อเข้มให้เข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น ซอกจินได้แต่คร่ำครวญในลำคอ เขาพยายามไม่แผดเสียงออกมาแม้ว่าตอนนี้จะเจ้าตัวจะโดนอีกฝ่ายจี้จุดสำคัญก็ตาม แต่ถ้ายิ่งเขาไม่ยอมทำตามที่สามีจอมเอาแต่ใจบอก คงได้โอดครวญอย่างทรมานเป็นแน่
"อื้อ....ป๋าครับ ไม่เอาตรงนี้ได้มั้ย น...หนูไม่ถนัด...." ร่างบางได้แต่แผดเสียงหวานอู้อี้อยู่ในลำคอด้วยความเขินอายจากการใช้สรรพนามเรียกคนรักและตนเอง ไม่บ่อยนักที่เขาจะเรียกแทนสามีด้วยคำที่ดูลามกแบบนี้ อันที่จริงต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยได้เรียกต่างหาก ทั้งสองมักจะใช้คำเหล่านี้ก็ตอนที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองก็เท่านั้น อย่างเช่นตอนที่แทฮยองหลับ ตอนนี้แทฮยองไม่อยู่บ้าน หรือก็คือตอนที่พวกเขา ทำการบ้านกันนั่นเอง
"งั้นเปลี่ยนไปบนโต๊ะมั้ยครับ หนูจะได้นอนถนัดๆ ทำแต่บนเตียง ป๋าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง...."
"แต่ตรงนี้...มันไม่เก็บเสียงนะครับ...หนูกลัวคนมาได้ยิน..."
"งั้นเปลี่ยนไปบนโต๊ะมั้ยครับ หนูจะได้นอนถนัดๆ ทำแต่บนเตียง ป๋าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง...."
"แต่ตรงนี้...มันไม่เก็บเสียงนะครับ...หนูกลัวคนมาได้ยิน..."
"หึหึ อีหนูของป๋า.....ดึกดื่นป่านนี้แล้ว......ไม่มีใครมาได้ยินหรอก มีแต่ป๋าเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงหวานๆของอีหนู...."
เอ่อ.....คุณป๋-- เอ้ย คุณลุงครับ ผมยังนั่งอยู่ตรงนี้นะครับ เฮลโล๊
ทั้งชีวิตเกิดมาผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ดูหนังสดอะไรแบบนี้ แต่อย่าว่าว่าผมหื่นเลยนะครับ ตอนนี้ผมก็แทบจะไม่หันไปมองอยู่แล้วด้วยความสัตย์จริง ผมพยายามนั่งตัวตรงมองจ้องไปที่บันไดว่าเมื่อไหร่เพื่อนตัวดีจะลงมาช่วยกุจากสถานการณ์นี้ซักที แต่หางตาขวาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นเงาตะคุ่มๆที่อยู่ทางห้องครัวแล้วรู้สึกว่าจิตใจผมมันบาปหนามาก.....การจะได้เห็นพ่อแม่ของเพื่อนฟันกันต่อหน้าต่อตานี่ คุณคิดว่าคุณจะเจอเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆเหรอ?
เหมือนสัมผัสทั้งห้าของผมมันทำงานอย่างเต็มตื่น หูผมก็ไม่ได้ใหญ่ ทำไมมันได้ยินชัดจังวะ! อื้อหือ....แม่เจ้าโว้ย จากการวิเคราะห์ของใบหูน้อยๆของโฮซอกคนหล่อ เสียงของน้าจินจากที่หวานอยู่แล้ว ตอนที่....เอ่อนั่นแหล่ะ... ทำไมมันหวานนนนนนน แถมน่าสยิวกว่าเดิมอีกวะ โอ้ยยยย โฮซอกคนหล่อรู้สึกอ่อนเพลียแถวๆหว่างขา นี่แค่ได้ยินเสียงนะ คือไม่พยายามมองไง ผมยังอยากเป็นคนดีอยู่นะครับ โว้ย แล้วกูบ่นอะไรอยู่คนเดียววะเนี่ย ไอ้แทเมื่อไหร่จะลงมาคร้าบบบบบบ กูจะทนไม่ไหวแล๊วววววววววว
เหมือนสัมผัสทั้งห้าของผมมันทำงานอย่างเต็มตื่น หูผมก็ไม่ได้ใหญ่ ทำไมมันได้ยินชัดจังวะ! อื้อหือ....แม่เจ้าโว้ย จากการวิเคราะห์ของใบหูน้อยๆของโฮซอกคนหล่อ เสียงของน้าจินจากที่หวานอยู่แล้ว ตอนที่....เอ่อนั่นแหล่ะ... ทำไมมันหวานนนนนนน แถมน่าสยิวกว่าเดิมอีกวะ โอ้ยยยย โฮซอกคนหล่อรู้สึกอ่อนเพลียแถวๆหว่างขา นี่แค่ได้ยินเสียงนะ คือไม่พยายามมองไง ผมยังอยากเป็นคนดีอยู่นะครับ โว้ย แล้วกูบ่นอะไรอยู่คนเดียววะเนี่ย ไอ้แทเมื่อไหร่จะลงมาคร้าบบบบบบ กูจะทนไม่ไหวแล๊วววววววววว
"อื้อ.....ตรงนั้น....ไม่ได้นะ...."
"หนูชอบไม่ใช่เหรอ...ตรงนั้นน่ะ..."
"แต่ว่า....ถ้ามากกว่านี้....มันจะทนไม่ไหวเอา....."
"...........งั้นก็ไม่ต้องทน......"
โอเคครับป๋า กูไม่ทนละ
ไอ้แท มึงไม่ต้องลงมาก็ได้นะ ปล่อยให้กูตายอยู่ตรงนี้ไปเลยก็ได้ กูหมดความอดทนแล้ว นรกเป็นนรกวะ!! กูขอดูหนังสดหน่อยเถอะ!!
พรึ่บ!!!!
ในช่วงจังหวะที่โฮซอกคนหล่อตัดสินใจจะหันไปมองสิ่งที่เขาปรารถนาจะเห็นแต่ได้แค่ฟังเสียง ก็ต้องพบกับร่างสูงของใครบางคนที่อยู่ในมาดหนุ่มรูปงามกับเสื้อกั๊กสีดำเรียบแต่โก้ ยืนบังทัศนียภาพในการมองหนังสดจากในครัวจนมิดชิด
"เป็นเหี้ยไรม้า ทำหน้าเหมือนคนโดนหักอก ไป...เดี๋ยวผับปิดแล้วมาโทษกูไม่ได้นะมึง" เจ้าของบ้านลำดับสามยืนมองเพื่อนของเขาที่นั่งมองตาค้าง ก่อนที่จะเลิกคิ้วกวนๆแล้วลากเพื่อนม้าตัวดีออกนอกบ้านโดยที่ไม่ได้ดูอารมณ์ของเพื่อนหัวแดงเลยว่าหงุดหงิดมากแค่ไหน
"เป็นเหี้ยไรม้า ทำหน้าเหมือนคนโดนหักอก ไป...เดี๋ยวผับปิดแล้วมาโทษกูไม่ได้นะมึง" เจ้าของบ้านลำดับสามยืนมองเพื่อนของเขาที่นั่งมองตาค้าง ก่อนที่จะเลิกคิ้วกวนๆแล้วลากเพื่อนม้าตัวดีออกนอกบ้านโดยที่ไม่ได้ดูอารมณ์ของเพื่อนหัวแดงเลยว่าหงุดหงิดมากแค่ไหน
"โห ไอ้เชี่ยแท!! กูกำลังจะได้ดูหนังสดอยู่แล้ว มึงมาขัดกูทำไมเนี่ยยยย!!" พอหลุดออกจากภวังค์มาได้ พ่อเพื่อนตัวดีก็รีบโวยขึ้นทันที ก็พอเขาหันไปกะจะแอบส่องของดี เดชะบุญดันไปเจอะเข้ากับแทฮยองที่ยืนหล่อๆอยู่ แล้วกลายเป็นว่าคู่หูดำแดงมาหยุดอยู่หน้าบ้านพร้อมจะขึ้นเวสป้าคันงามซะงั้น
"มึงนี่นับวันยิ่งโรคจิตขึ้นทุกวันๆนะ ไหนจะชื่นชมป๊ากูที่เป็นแวมไพร์ แล้วนี่ยังตามมาดูป๊ากับม๊ากูพอดรักกันอีก ถ้ามึงอยากรู้ว่าแวมไพร์กับคนเขาทำกันยังไง กูจะบอกให้นะ เขาก็ใส่กันเหมือนที่คนทำกันนั่นแหล่ะ" ขายาวสีดำพาดขึ้นฝั่งคนขับก่อนจะใส่หมวกกันน็อคเรียบร้อย
"โรคจิตบ้านมึงสิ!! แล้วนี่มึงพูดแบบนี้หมายความว่าไง? มึงเคยดูพ่อกับแม่มึงทำกันแล้วใช่ปะ! โห ว่าแต่กู!!" เพื่อนหน้าม้าแทบจะเอาฟันเฉาะหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป บ่นเพื่อนไปพราง ตัวเองก็ใส่หมวกกันน็อคไปพราง ก่อนจะเดินไปขึ้นเบาะหลังแล้วรถเวสป้าก็เริ่มออกวิ่งไปตามทางถนน
"มึงนี่นับวันยิ่งโรคจิตขึ้นทุกวันๆนะ ไหนจะชื่นชมป๊ากูที่เป็นแวมไพร์ แล้วนี่ยังตามมาดูป๊ากับม๊ากูพอดรักกันอีก ถ้ามึงอยากรู้ว่าแวมไพร์กับคนเขาทำกันยังไง กูจะบอกให้นะ เขาก็ใส่กันเหมือนที่คนทำกันนั่นแหล่ะ" ขายาวสีดำพาดขึ้นฝั่งคนขับก่อนจะใส่หมวกกันน็อคเรียบร้อย
"โรคจิตบ้านมึงสิ!! แล้วนี่มึงพูดแบบนี้หมายความว่าไง? มึงเคยดูพ่อกับแม่มึงทำกันแล้วใช่ปะ! โห ว่าแต่กู!!" เพื่อนหน้าม้าแทบจะเอาฟันเฉาะหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป บ่นเพื่อนไปพราง ตัวเองก็ใส่หมวกกันน็อคไปพราง ก่อนจะเดินไปขึ้นเบาะหลังแล้วรถเวสป้าก็เริ่มออกวิ่งไปตามทางถนน
"มึงคิดดูละกัน ขนาดมึงแค่มานั่งในบ้านกูไม่ถึงชั่วโมง เขายังทำกันได้ขนาดนั้น แล้วกูที่อยู่กับเขามาตลอดชีวิตของกูมันจะขนาดไหนกัน..." ผมขับไปตามทางถนนอยากชินทางพร้อมกับตะโกนให้เสียงดังโต้ลมเพื่อที่จะสนทนากับเพื่อนด้านหลังเบาะของผมฟัง ที่บอกว่าป๊ากับม๊ามักจะทำกันตอนที่ผมหลับหรือตอนที่ผมไม่อยู่น่ะ มันก็จริง แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมบังเอิญไปเจอฉากที่เด็กไม่ควรดูเข้า แหม...บ้านมันก็มีอยู่แค่นี้ ผนังห้องก็ไม่ได้หนาอะไรขนาดนั้น บอกได้เลยว่าผมไม่เคยจะนับได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ผมต้องเผชิญกับสถานการณ์การใช้สรรพนามน่าขนลุกแบบนั้น ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ผมจะชินชาไปกับเรื่องแบบนี้ ปล่อยให้ป๊าม๊าได้แสดงความรักกันไปมันก็ไม่เสียหายอะไรด้วย มันเป็นการดีนะผมว่า
"แม่ง...โครตโหดเลยว่ะ...." โฮซอกที่นั่งฟังอยู่นานก็พึมพำออกมา
"แม่ง...โครตโหดเลยว่ะ...." โฮซอกที่นั่งฟังอยู่นานก็พึมพำออกมา
"หมายถึงป๊ากูน่ะเหรอ?"
"ไม่ใช่เว้ย...มึงต่างหาก อดทนได้ไงวะ...กูเจอไปแค่นั้น กูถึงกับสยิวเลยนะเว้ย..." โฮซอกบ่นเสียงอุบอิบ เอ้ะ ไอ้นี่ อย่าบอกนะว่ามันคิดไม่ซื่อกับม๊าผม เดี๋ยวๆเรามีเรื่องต้องเคลียร์กันนะไอ้เพื่อนเกลอ
"ไม่เห็นเป็นไรเลย....เรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นได้ไม่ใช่ไง? เขาเป็นคู่รักกันนะมึง" ผมเลิกคิ้วแล้วตอบส่งๆไปโดยไม่ได้คิดไรมาก โฮซอกได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับย่นหน้ายาวๆของมันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"แล้วมึงล่ะ? ไม่คิดจะมีมั่งเหรอ คนรัก น่ะ?"
ผมได้แต่นิ่งเงียบไม่ได้คิดจะตอบอะไรมันกลับ เสียงที่ได้กลับมาก็มีแค่เสียงของลมที่พัดเข้ามากระแทกหน้าของผมจากการขับขี่เวสป้าที่กำลังพุ่งตรงไปยังเมืองใหญ่เรื่อยๆอย่างมีจุดหมาย โฮซอกเองก็ไม่ได้คิดจะขอคำตอบจากผมจริงจัง เพราะมันรู้ตัวดีว่าผมเป็นพวกเข้าถึงยากแถมไม่เคยจริงจังกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ อย่างน้อยๆก็มีผมที่คิดแบบนั้นนะ
เวลามันมีอยู่จำกัด ทำไมผมต้องไปใส่ใจในเรื่องที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจอเมื่อไหร่ด้วยล่ะ สู้ให้ผมเผชิญกับอุปสรรคในแต่ละวันแล้วหาวิธีแก้ไขมันไปดีกว่า ไม่รู้สิครับ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ฟีโรโมนในร่างกายจะหลั่งออกมาตอนไหน แล้วเมื่อไหร่เราจะเจอคนที่มีฟีโรโมนเหมือนเรา ความรักทางวิทยาศาสตร์มีแต่บอกว่า ระหว่างที่เรารักจะต้องทำยังไง แต่ไม่เคยมีทฤษฎีไหนที่บอกกล่าวถึงตอนแรกสุดที่ยากที่สุดว่าเมื่อไหร่เราจะเจอคนคนนั้น
แต่ถ้าให้ถามอยากจะมีคนรักบ้างมั้ย
.............
ผมคงต้องตอบว่า....
"Black Russian แก้วนึง"
ท่ามกลางแสงสีที่สาดส่องไปทั่วห้องขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้จำนวนหลายร้อย เสียงเพลงจากลำโพงที่ติดตั้งอยู่รอบร้านนั้นดังกระหึ่มพอให้ขย่มหัวใจคนในผับให้ดิ้นไปตามเสียงเพลงได้ดี ผมก็เพื่อนหัวแดงรีบตรงดิ่งเข้ามาในร้านก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่นั่งประจำของเรา โดยไม่วายรีบสั่งเครื่องดื่มแสนโปรดทันที
"เปิดมาก็กาแฟเลยเหรอวะ ชีวิตมึงออกห่างจากกาแฟบ้างเถอะ" โฮซอกหันมามองผมด้วยอาการหัวเสียล็กน้อย ทำไมต้องจู้จี้ผมทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องเครื่องดื่ม มันผิดตรงไหนเหรอครับที่ผมจะชอบกาแฟกับวอดก้าเนี่ย
"อย่าให้กูเห็นมึงสั่ง Dry Martini นะไอ้ม้าแดง มึงเองก็สั่งแต่ของเดิมๆเหมือนกันนั่นแหล่ะ แล้วสุดท้ายคนที่ลากสังขารมึงกลับก็ต้องเป็นกูทุกที" ผมเลิกคิ้วสูงให้เพื่อนที่ยืนเท้าเอวมือยันเคาน์เตอร์ มืออีกข้างก็ยกเครื่องดื่มสุดโปรดกลืนลงท้องเมื่อบาร์เทนเดอร์เสิร์ฟมันให้กับผมด้วยความรวดเร็ว คนที่โดนกล่าวหาได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะยักคิ้วอย่างภาคภูมิ
"หึหึ ของแบบนั้นมันอ่อนไปเว้ย หน้าหล่อๆแบบกู มันต้องจัดของหนักตั้งแต่เปิดงานเลย! โอนเนอร์ จัด B-52 ให้ผมหน่อย!!" โฮซอกหันไปบอกบาร์เทนเดอร์อย่างอารมณ์ขึงขัง ผมที่ได้แต่จิบเครื่องดื่มในมือก็ถึงกับต้องเลิกคิ้วสูงมองเพื่อนตัวดีที่อยู่เป็นม้าธรรมดาๆไม่ชอบ ชอบเป็นม้าดีดกะโหลก
"นี่มึงไปโดนตัวไหนมาฮะไอ้โฮซอก? มึงเมาแล้วพาลชาวบ้านกูไม่รู้ด้วยนะเฮ้ย"
"กูไม่ป๊อดเหมือนมึงนะเว้ย นานๆจะได้มาที ขอซักหน่อยจะเป็นไรไปวะ"
ว่าแล้วพ่อคนเก่งหัวแดงก็ซัด B-52 ไป ช็อตนึงเต็ม.....แต่ไม่วายพอเครื่องติดเต็มกำลังสูบฉีด ช็อตต่อๆไปก็ตามมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดละ
โดยรวมแล้ว ไอ้โฮซอก โดนไปเบาๆไม่มาก แค่ 10 ช็อต เองครับ...
ท่ามกลางห้องมืดสนิทที่เมื่อเปิดไฟที่หลากไปด้วยสีหลายสิบสีที่ชีวิตนี้จะพอมี เสียงเพลงที่ยังคงกระหึ่มดังสั่นสะเทือนไปทั่วทุกพื้นที่ จังหวะบีทที่หนักหน่วงทำให้หัวใจนักเต้นของใครหลายๆคนถึงกับต้องออกท่าทางยกแข้งยกขาเพื่อที่จะได้เคลื่อนไหวร่างกายไปตามแสงเสียงยามราตรี เครื่องดื่มสีสวยหลากหลายเมื่อกลืนลงท้องแล้วยากที่จะคุมสมองให้อยู่ปกติได้
เหมือนกับโฮซอกเพื่อนของผมที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเจ้าพ่อนักเต้น ดาวเด่นประจำค่ำคืนนี้ไปเสียแล้ว ก็พี่แกเล่นโยกย้ายส่ายสะโพกชนิดหลุดโลกอยู่กลางฟลอร์ซะขนาดนั้น ผมที่เอาแต่นั่งมองอยู่ตรงที่นั่งประจำก็ทำได้แต่ส่ายหน้าให้กับความบ้าบิ่นของเพื่อนตัวดีอยู่กรายๆ
ผมไม่ค่อยชอบเต้น มันไม่ใช่แนวล่ะหนึ่ง อย่างที่สองคือ ผมไม่ชอบความวุ่นวายครับ จริงที่ผมชอบมาเที่ยวผับบาร์แบบนี้ แต่จุดประสงค์หลักก็คือมาดื่มล้วนๆครับ ความวุ่นวายที่อยู่ในส่วนตรงนั้นผมไม่คิดจะแตะมันแน่นอนและผมก็เก่งพอที่จะบังคับให้หูของผมปิดกั้นเสียงที่โหวกเหวกนั่นได้ แต่ถ้าให้เลือกให้ผมต้องไปดื่มร้านที่มีคนดีดดิ้นกันเป็นร้อย กับนั่งในมุมๆหนึ่งที่เงียบสลัว ผมก็คงจะเลือกอย่างที่สองแน่นอน แต่ทำไงได้ล่ะครับ เพื่อนมันสายแดนซ์แบบนั้น ก็คงได้แต่ตามๆมันมาเท่านั้น
แต่การมาเจอสังคมที่ผมไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวก็มีข้อดีหลายอย่างอยู่นะ มันทำให้ผมรู้ว่ามนุษย์มันไม่มีลิมิตรในตัวเองจริงๆ หลายครั้งที่คุณจะสามารถพบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นได้เพียงแค่คุณบรรลุนิติภาวะแล้วก้าวเข้ามาในผับแห่งนี้
ไอ้สิ่งที่ผมพูดถึงมันก็หมายถึงการดื่มกันจนท้องไส้ปั่นป่วนบ้าง ผมไม่อยากจะใช้คำว่าอาเจียนหรอก แต่มันคือเรื่องจริงครับ เข้ามาผับนี้ทีไร เจอคนอ้วกแตกหลายรายแล้ว
บ้างก็เมาจนสติแตก เต้นกันจนข้าวของพังกระจายบ้าง อันนี้ผมก็ไม่ได้พูดถึงไอ้เพื่อนที่กำลังดีดไม่หยุดเลยนะครับ ว่าแต่นั่นมันกำลังทำอะไรน่ะ เฮ้ย ดิ้นอยู่ในฟลอร์ไม่พอ มึงขึ้นบนโต๊ะเลยเรอะ!! เอ่อ....ช่างมันเถอะครับ ถึงไหนแล้วล่ะ
อา ใช่ บางครั้งผมก็เจอคนกำลังพอดรักกันในผับแห่งนี้เหมือนกันนะ อยู่บ้านไม่วายเจอพ่อแม่ตัวเอง นี่ผมยังต้องมาเจอคนแปลกหน้าสองคน ไม่สิ หลายคู่เลยล่ะ จูบดูดดื่มกันบ้าง หนักกว่าก็มีเสียงแปลกๆในห้องน้ำเนี่ยแหล่ะ มนุษย์ที่มีความรักนี่มันสุดโต่งจริงๆเลย แต่อย่าว่างั้นงี้เลยนะ ถ้าคนที่มันเป็นคู่รักกันมาพอดรักน่ะ ผมไม่ว่าหรอก แต่ถ้าคนที่เขาไม่เต็มใจแต่กลับจะยัดเยียดเนี่ย ผมว่าผมไม่โอเคเท่าไหร่หรอกนะ
เหมือนกับเหตุการณ์ด้านหน้านี้ที่ผมกำลังจ้องมองอยู่ไง
สายตาของผมดันไปสะดุดตาเข้ากับการกระทำที่ไม่ชอบมาพากลของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังรุมคนคนหนึ่งที่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นชายหรือหญิง เพราะคนพวกนั้นดันบังซะมิดชิด เห็นก็แต่แก้มขาวๆที่มันช่างเด่นสะดุดตาผมเหลือเกิน
เหตุการณ์เริ่มไม่สู้ดี จากที่เหมือนพวกวัยรุ่นกลุ่มนั้นจะพยายามชวนอีกฝ่ายคุยด้วยการสกินชิพหรือจับไม้จับมือบ้าง ผมรู้สึกว่าการกระทำของพวกเขาเริ่มหนักมากขึ้นเรื่อยๆและเรื่อยๆ
ผับมันก็มีแค่นี้ คนที่อยู่รอบข้างก็เยอะชนิดที่ว่าแทบจะเบียดกัน ทำไมไม่มีใครคิดจะสังเกตุเหตุการณ์ไม่สู้ดีแบบนี้กันบ้างเลยรึไง? ผมล่ะอยากจะเป็นบ้าให้กับความเห็นแก่ตัวของคนเรา...อ่า...นั่นแปลว่ามีแต่ผมคนเดียวรึไงที่ต้องเข้าไปแก้ไขสาถานการณ์ตรงหน้านั้น ถึงผมจะหน้าตาดีแต่แรงไม่ได้ดีตามซะหน่อย แล้วดูท่าฝ่ายนั้นจะมีประชากรเยอะกว่าผมซะด้วย เอาไงดีวะ ไอ้คิม แทฮยอง สู้ ไม่สู้ สู้ ไม่สู้!
"ที่รักครับ ผมมาแล้ว รอผมนานมั้ย~ "
รอยยิ้มสุดพราวเสน่ห์เริ่มคลี่ออกเพื่อแผงฤิทธิ์เดชความหล่อเหลาของตัวเองออกมา ขาวยาวค่อยๆเดินเข้าไปทางกลุ่มชายวัยรุ่นที่เมื่อได้ยินเสียงอันนุ่มสุขุมของผมก็ถึงกับต้องรีบผละจากเหยื่ออันโอชะออกมา ไม่สู้ด้วยกำลังก็ต้องสู้ด้วยสมองสิ! เรื่องแค่นี้คิม แทฮยองคิดได้หรอกน่ะ! ก็แค่เล่นละครตบตาว่ามีเจ้าของอยู่แล้ว ยังไงๆคนพวกนี้ก็คงต้องเลิกราไปแน่นอน ว่าแล้วผมก็รีบสาวเท้าเข้าตรงไปหาคนที่ผมพยายามจะช่วยเหลือทันที
แต่ผมก็ถึงกับต้องผงะในใจเบาๆเพราะสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า....
ร่างของเจ้าของผิวสีขาวอมชมพูตัดกับเสื้อกล้ามสีดำห่อหุ้มด้วยเสื้อตาข่ายสีเดียวกัน ผมสีทมิฬที่ปกปิดหน้าผาก หน้าม้าที่ปัดข้างเล็กน้อย ดวงกลมโตแหววดุจดั่งกระต่ายในนิทาน จมูกและปากที่เป็นกระจับเข้าร่องเข้ารอยกับเค้าโครงหน้าของอีกฝ่าย และแก้มสองข้างที่มองแล้วดูนุ่มนิ่มออกโทนสีชมพูระรื่อน่าสัมผัสแม้จะอยู่ในแสงสลัวที่ดำมืด บริเวณรอบคอที่ประดับด้วยโชคเกอร์สีดำสนิทเหมือนกับพยายามซ่อนต้นคอขาวไม่ให้ใครได้เห็น
น่ารัก....
ไม่....ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรพิลึกๆแบบนี้
สาบานกับแก้วแอลกอฮอล์ที่ผมกำลังถืออยู่ตอนนี้ได้เลยว่าผมไม่ได้คิดอยากจะมีความสัมพันธ์อะไรมากกว่านี้กับคนตรงหน้า
นั่นก็เพราะ พอผมลองพินิจคนที่ผมกำลังพยายามช่วยเหลือนั้นก็พบว่า.....
เชี่ย นั่น ผู้ชาย นี่หว่า!!!!!!!!!!!!
"นี่แฟนนายเหรอ?"
หนึ่งในวัยรุ่นกลุ่มนั้นร้องทักคนที่เป็นเป้าหมายด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองปนสงสัย เอาแล้วไงไอ้คิมแทคนฉลาด ผมไม่ได้เกลียดความรักแบบชายชาย ป๊ากับม๊าผมก็เป็นชายทั้งคู่นะ แต่ยังไงผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาเล่นบทเกย์อะไรตอนนี้นี่หว่า! เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เล่นมาแล้วเราก็ต้องเล่นให้สุดล่ะวะ
"นี่แฟนผมเอง มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?" แม้พวกเขาจะไม่ได้ถามผมตรงๆ แต่ผมก็เป็นคนตอบแทน เพราะดูจากปฎิกิริยาที่โครตจะลำบากใจของพ่อกระต่ายหนุ่มน้อยแล้วคงจะเอาตัวรอดเองไม่ได้แน่นอน มือที่ถือแก้วแอลกอฮอล์สีน้ำตาลเข้มก็ถือวิสาสะโอบเข้ารอบไหล่หนาของหนุ่มน้อยนิรนามที่แสนน่ารัก ยิ้มเข้าไว้ไอ้แท จะเล่นก็ต้องเล่นให้เนียน แต่ก็ต้องขอโทษน้องกระต่ายไว้ก่อนเลยที่แอบแตะเนื้อต้องตัว ถือซะว่าผมช่วยคุณนะเฮ้ย! จังหวะที่ผมกำลังหันหน้าไปมองเหล่าวัยรุ่นพวกนั้นด้วยคะแนนการแสดงละครระดับสิบ ผมก็ถึงกับต้องผงะในใจอีกเป็นรอบที่สอง
.......พวกนี้มันรุ่นน้องไอ้โฮซอกนี่หว่า!!!!
เดชะบุญสวรรค์ไม่อำนวย ไอ้พวกวัยรุ่นเจ้ากรรมพวกนี้มันไม่ใช่ใครอื่นเลยครับ เป็นเด็กที่กำลังจะขึ้นปี 1 ของคณะศิลปกรรมของมหาลัยผมทั้งนั้นเลย!! ที่ผมจำหน้าพวกมันได้ก็เพราะมันเป็นพวกรุ่นน้องที่สนิทกับไอ้โฮซอกพอดิบพอดี แล้วผมก็ดันไปเสล่อให้พวกคณะนั้นเห็นหน้าอยู่บ่อยๆซะด้วย หวังว่าพวกมันคงจะจำผมไม่ได้หรอกนะ
"อ้าว รุ่นพี่แทฮยอง! หวัดดีครับพี่"
อื้อหือ เต็มปากเต็มคำเลยนะมึง ทีเวลานี้ล่ะดันเสือกมาจำกูได้ แถมมารยาทงามไม่เหมือนเมื่อกี้เลยนะพวกเด็กเวร!!!!
"ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพี่มีแฟนแล้ว...แถมเป็นผู้ชายซะด้วย..."
ซวย....ซวยของซวยเเละซวยซ้ำซ้อน นี่ตกลงการที่ผมจะช่วยคนคนนึงมันดีหรือไม่ดีเนี่ย อยากจะเป็นบ้าาาาา!!
"ทำไมครับ? เมื่อกี้น้องยังทำท่าจะเต๊าะแฟนพี่อยู่เลยนี่ แล้วนี่อายุถึงเเล้วเหรอเรามาเข้าผับแบบนี้ อยากให้พี่บอกรุ่นพี่โฮซอกให้ไปคุยกับทางมหาลัยมั้ยล่ะหะ?" ทำหน้าตึงเครียดแล้วใช้ไม้เเข็งขู่มันไปทีสองทีพยายามไล่ให้พวกมันไปที่อื่น เห็นยังงี้มันก็ยอมเลิกราเสียโดยดีโดยที่ไม่แซะผมเพิ่มผมก็พอใจแล้วล่ะครับ...เฮ้อ...อยู่ดีไม่ว่าดี เอาปัญหาเข้าหาตัวแท้ๆเลยพ่อคนงามนามแทฮยองเอ๋ย
" ............ "
เอ่อ เหมือนผมจะลืมประเด็นสำคัญอะไรบางอย่างไป...
"ขอโทษที....แบบว่า คิดว่าถ้าทำแบบนี้ น่าจะไล่พวกนั้นได้น่ะ" แขนแกร่งที่แอบเนียนสัมผัสไหล่ของอีกคนอยู่นานก็ถึงคราต้องบอกลา ผมหันหน้าไปหาพ่อกระต่ายที่ตอนนี้ก็ยังจ้องมองผมด้วยตากลมโตใสแป๋วราวกับเด็กเจ็ดขวบ เขาดูเป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่.....แต่น่าจะหมายถึงเป็นคนที่พยายามเก็บอารมณ์มากกว่า ดูสิ ยืนตัวเกร็งไปหมด แถมยังไม่ปริปากพูดซักคำ
"คุณ....ไม่ได้โดนทำอะไรใช่รึเปล่า...อย่างพวก...แต๊ะอั๋ง หรือว่าโดนทำร้ายร่างกายน่ะ?" แม้อีกคนจะทำตัวเหมือนเป็นใบ้แต่ผมก็พยายามสื่อสารอย่างเต็มที่ อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้คิดจะเต๊าะนะ ก็แค่เป็นห่วงเฉยๆเท่านั้นแหล่ะ
"............." เป็นอย่างที่คาดคิด กระต่ายน้อยเจ้าของแก้มนุ่มนิ่มไม่คิดจะเอ่ยปากคุย ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเป็นการตอบกลับเพียงอย่างเดียว นี่ทำตัวเป็นเด็กรึไง? ว่าแต่ไอ้พวกนั้น นี่นายอายุเท่าไหร่ถึงได้เข้าผับนี้ได้เนี่ย...
"งั้นก็ดีแล้วล่ะ" ในเมื่อไม่คิดจะตอบกลับ ผมก็คงไม่มีอะไรต้องสนทนากับเขา ผมได้แต่ยิ้มเจือนๆให้กับพ่อกระต่ายหนุ่ม
"ไม่ได้อยากวิจารณ์นะ แต่เสื้อที่คุณใส่อยู่เนี่ย มันล่อแหลมเกินไป....ถ้าไม่อยากโดนแบบเมื่อกี้ ก็พยายามแต่งตัวให้มิดชิดซะบ้างนะ" ก็ไม่ใช่คนปากไม่ดีอะไร แค่ชอบพูดตรงๆ อย่าว่าผมนะ! ก็มันเรื่องจริงนี่ครับ!! พอพ่อหนุ่มกระต่ายแสนน่าชังได้ยินแบบนั้นก็ทำตาโตใหญ่เลย ตกใจอะไรเบอร์นั้น? แต่ก็น่ารักดี เอ้ยไม่ใช่ หมายถึง ประหลาดดีต่างหาก ผมไม่ได้สนใจเขาต่อหลังจากนั้น ทำได้แค่เดินคูลกลับมานั่งจิบเครื่องดื่มสุดโปรดที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดซักที
สายตาผมก็เริ่มมองไปทั่วๆ สถานการณ์ตอนนี้เหมือนว่าผมจะเห็นไอ้เพื่อนที่ดีดเป็นม้าอยู่ ตอนนี้มันขึ้นไปหาดีเจแล้วครับ.....กูจะทำเป็นไม่รู้จักมึง หลังจากนี้จนถึงเช้า กูกับมึงเลิกเป็นเพื่อนกันชั่วคราว
.....
........
...............
ผมว่าผมก็พยายามทำเป็นมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยอยู่นะ
แล้วผมก็ตัดจบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปเรียบร้อยเเล้วด้วย
แต่ทำไมไอ้น้องกระต่ายคนเดิมมันดันมานั่งจ้องผมอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ
เด็กหนุ่มเจ้าของร่างสีขาวในชุดตาข่ายสีดำสนิทเดินเข้ามานั่งลงตรงที่นั่งข้างๆผมซึ่งระยะห่างนั้นห่างกันเพียงแค่ฟุตเดียว สายตากลมโตที่ทำให้รูปหน้าของอีกฝ่ายกลมตามไปด้วยนั้นจดจ้องมาที่ผมอย่างไม่ลดละ ที่ทำให้ผมแน่ใจได้ว่าหมอนี่ต้องจ้องผมอยู่แน่นอน เพราะที่เคาน์เตอร์ตรงนี้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น เชี่ยเอ้ย โอนเนอร์หายไปไหนวะ! โดนคนแปลกหน้าจ้องแบบนี้มันอึดอัดนะเว้ยย
" ............... "
" ............... "
กลายเป็นสงครามกระแสจิตไปซะงั้น ทั้งผมทั้งเขาต่างฝ่ายต่างเงียบทั้งคู่ ต้องหมายถึงว่าผมพยายามทำเป็นไม่สนใจการมีตัวตนอยู่ของอีกฝ่ายมากกว่า แต่หมอนั่นยังไม่ยอมเลิกราซักที นี่ถ้านั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืน น้องกระต่ายคิดจะจ้องพี่ถึงเช้ามั้ยครับเนี่ย!
"........คุณ....ไม่ไปหาเพื่อนคุณเหรอ" ผมทนไม่ไหวที่ความเงียบจะเข้ามาครอบงำเราทั้งสองคน แม้เสียงภายนอกจะดังหนักหน่วงมากขนาดไหน แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเวลารอบตัวของผมมันหยุดนิ่งแบบนี้ พ่อกระต่ายตากลมได้แต่ส่ายหน้าเป็นการตอบกลับแทน
การสนทนากับคนใบ้นี่มันเป็นแบบนี้เอง
"คุณมาคนเดียวเหรอ?"
...พยักหน้า
"คุณคงจะอยากมาเต้นใช่มั้ย?"
...ส่ายหน้า
"งั้น...คุณอยากดื่มมั้ย?"
...ทำสีหน้าไม่แน่ใจอยู่พักนึง
".....ให้ผมเลี้ยงคุณมั้ย?...."
...เปลี่ยนไปทำหน้ายิ้ม แล้วพยักหน้ารัวๆ
คิดจะแดกฟรีนี่หว่า ไอ้ต่ายเจ้าเล่ห์!!
ที่ผมออกปากชวนไปแบบนั้น ไม่ใช่อะไรเลยครับ ผมหมดมุขจะชวนเขาคุยเเล้ว ตอนนี้ผมเหมือนประสาทจะกิน แต่ผมก็ไม่เข้าใจทำไมตัวเองต้องมานั่งอดทนกับคนใบ้แดกแบบนี้ด้วย เเต่ก็ช่างมันเถอะ ออกปากชวนก็ต้องทำตาม แสดงบทป๋าใจปล้ำซักหน่อยจะเป็นไรไป
เมื่อโอนเนอร์เดินเข้ามา ผมก็สั่งเครื่องดื่มให้อีกคนทันที แน่นอนว่าสั่งแบบดีกรีเบาๆและราคาก็เบาๆเช่นกัน เมื่อเครื่องดื่มนำมาเสิร์ฟ คนตากลมก็ยกแก้วขึ้นมองก่อนจะใช้จมูกดมฟุตฟิตด้วยความสงสัย
"Screwdriver น่ะ ถึงมันจะผสมวอดก้า แต่ให้ถือว่าเป็นน้ำส้มก็ได้ คุณคงดื่มมันได้ใช่มั้ยล่ะ"
ร่างขาวหันมามองผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ได้หันไปมองเขา พ่อ Black Russian ของผมเพิ่งจะหมดไปได้แค่ครึ่งแก้ว ผมจึงใช้เวลาจดจ่ออยู่กับมันมากพอสมควร
โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายที่จ้องมองผมอยู่นั้นกำลังส่งยิ้มหวานมาให้อยู่
"เคม แทฮยองงงงง อ้ายเพิ่ลยากกกกกกก มาน่างอุตุอารายตรงเน้ว้าา ทามมายม่ายปายดิ้นกะกู~~ " คนมาใหม่พุ่งเข้าตรงมาทางเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าและท่าทางของคนที่มีค่าความร่าเริงเกินสามร้อยเปอร์เซ็น ไม่ใช่ใครอื่น ไอ้โฮซอกพ่อนักเต้นเพื่อนผมเอง จากคำพูดคำจามัน จากม้ากลายเป็นหมาทันที หอนชิบหาย
"ทามมายม่ายตอบกูว เด๋วเน้หยิ่งเหลอสาสสส" โฮซอกตีหน้าเศร้าใส่พร้อมกับทำเสียงยืดยานจนน่ารำคาญ
".......จะตอบมึงได้ไง ที่มึงคุยอยู่นั่นมันเก้าอี้ กูอยู่นี่ไอ้ควาย หันมาหากูนี่!!" มือแกร่งยื่นไปจับหัวแดงๆของมัน พลิกหน้าให้มันหันมาอีกทาง ไอ้บ้านี่เดินตรงมาก็ยืนคุยกับเก้าอี้เลย สัสเอ้ย ยังมาเรียกชื่อกุอีก กุอายมั้ยล่ะ
"โอ้ววววว นางฟ้าที่หนายเนี่ยยย น่า ล๊ากกกกก ว่างายจ๊ะน้องสาว ปายดิ้นกะพี่มั้ยเบเบ้" ข้ามหัวผมไป สายตาอันเฉียบแหลมของมันก็ตรวจจับเรดาร์คนน่ารักทันที มันรีบพุ่งเข้าไปเต๊าะน้องกระต่ายที่นั่งจิบน้ำส้มข้างๆผม หมอนั่นมองด้วยท่าทางที่ดูจะตกใจแถมด้วยความลุกลี้ลุกลนจนผมต้องรีบออกปากห้ามไอ้เพื่อนขี้เมา
"สัส หยุดเลยไอ้ม้าหื่น! ไปรุกเขาแบบนั้นได้ไง!!" ผมรีบจับโฮซอกให้ออกห่างจากเขาทันทีก่อนที่มันจะได้สัมผัส แล้วทำไมผมต้องขึ้นเสียงด้วยวะ?
"อารายยยย อ้ายแท กูจาหลี่ครายเมิงเคยเเคร์ด้วยงะ?......หรือนี่เด็กเมิง!!!" โฮซอกชี้หน้าผมทำตาโตใส่เหมือนพยายามจะจับผิด
"เด็กบ้านป้ามึงสิ มึงไม่เห็นไงว่าเขากลัวมึง ไอ้หื่นนี่!!"
"อย่ามาอำกูวว เมิงเมเด็กทามมายไม่เคยบอกแว้!! เน่ หนูจ๋า หนูเปนเด็กอ้าย คิม แทแท น่ะเคดถูกเเล้ว ถึงหน้าม่างจะโครตตุ๊ด แต่แม่งก็โครตตตตตตตต รวยเลยนะน้องง ป๋ามันคือ คุณคิม นัมจุน เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ของเมืองเน้เลยน้าาา เจ๋งช่ายป่าว เจ๋งเน้อออ!" ไอ้ม้าหน้าหม้อเนียนเดินเซไปเกาะไหล่พ่อกระต่ายตากลมหลวมๆพร้อมกับสาธยายประวัติของผมเสร็จสรรพ ไอ้ห่านี่มึงจะอวยป๊ากูอะไรตอนนี้!!! ขนาดเมามึงยังไม่เว้นเลยนะ!!
" ........คิม นัมจุน.... "
แววตากลมโตมองเข้าลึกไปยังใบหน้าหล่อคมที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีน้ำตาลตรงหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันมามองที่เจ้าตัวโดยตรงแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาลืมเลือนใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ไปได้ คนที่ได้ชื่อว่าพ่อกระต่ายน้อยนึกคิดอยู่ในภวังค์ซักพักทอดมองดูคนสองคนที่เป็นเพื่อนกันทะเลาะกันอย่างไม่มีทีท่าลดละ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆให้กับอีกฝ่ายอีกครั้งแม้คิมแทฮยองจะไม่ได้สนใจมันก็ตาม
"เป็นคุณจริงๆด้วย..."
29 . 05 . 2013 เวลา 11.19 น.
"อือ....." เสียงอิดออดครางออกมาจากลำคอของชายหนุ่มวัย 21 ปี มันไม่ค่อยจะสู้ดีนักคงเพราะการขาดน้ำจนคอแห้ง คิ้วที่ขมวดเป็นปมเพราะอาการปวดหัวจากการเมาค้างเสียจนคนที่อยู่ในห้วงนิทราต้องถึงกับตื่นขึ้น
"เหี้ย......กี่โมงเเล้ววะ...." หนุ่มน้อยเจ้าของเรือนผมสีแดงบ่นพึมพำขณะที่กำลังพยายามถ่างตาให้ขึ้นสู้กับแสงแดดในยามเช้า มือข้างก็ได้แต่ยกขึ้นมาแตะหัวตัวเองเบาๆเหมือนกับมีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น
"11 โมง แล้วก็ตื่นได้แล้วสัส มันเกะกะทางเข้าบ้านกู!!!!" โฮซอกตื่นรับแสงตะวันยามสายด้วยฝ่าเท้าอันทรงพลังของผมเข้าอย่างจัง ผมถีบมันตกโซฟาห้องรับแขกแบบไม่เเคร์ว่าเพื่อนจะเจ็บรึไม่ ปั้ก!! ร่างของมันกลิ้งล้มไปตามแรงถีบของผม เห็นแล้วสะใจชะมัด!
"อือออออออออ ที่นี่ที่ไหน??" สภาพของคนเมาที่กำลังแพงกิ้งอยู่กลางบ้าน ได้แต่ทำเสียงงัวเงียก่อนจะค่อยๆพยุงร่างของตัวเองยันขึ้นมานั่ง
"บ้านกูไอ้โง่ เมื่อคืนมึงเมาจะเละเทะไปทั่ว กลับบ้านเองก็ไม่ได้ กูเลยต้องลากมึงมาบ้านกูนี่ไง" ผมอธิบายให้มันฟัง แต่จะเรียกว่าตะคอกใส่ก็ได้นะ เมื่อคืนนี่ขอบอกเลยว่าปวดหัวกับมันมากกกกกกก ผมไม่เคยเห็นมันเมาเเล้วเละเทะอะไรขนาดนี้มาก่อน เรียกได้ว่าแทบจะคลานกลับบ้านเลยด้วยซ้ำ คนอะไรเมาอย่างหมา หน้าอย่างม้า คิมแทเครียดครับ เครียด!!
"เออ เสื้อมึงอ่ะ ม๊ากูเอาไปซักนะ มึงอ้วกซะจนเลอะไปหมดเดี๋ยวแห้งกูเอาไปคืนให้ มึงใส่เสื้อกูไปก่อนละกัน รีบเปลี่ยนแล้วก็รีบกินข้าว เดี๋ยวนูน่าจะมารับมึงกลับบ้าน" บทสนทนาที่เร่งรีบของผมพร้อมกับเสื้อเชิ๊ตสีขาวเรียบง่ายโยนเข้าลงกลางกระหม่อมโฮซอกเต็มๆ
"อืมมมมมม.......หืม? เมื่อกี้มึงว่าไงนะ!...." จู่โฮซอกคนเมาเมื่อได้ยินคำพูดของผมก็ถึงกับตั้งสติได้ สร่างเมาได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที
"มึงนี่....ก็พี่สาวมึงไง นูน่าอุตส่าเข้างานสายเพราะต้องมารับมึงเลยนะโว้ย" ผมหัวเสียกับไอ้เพื่อนขี้เมาเล็กน้อย ผมมองดูมันที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าถอดสี
"นี่มึงโทรเรียกเจ๊มางั้นเหรอ!!!" โฮซอกตะโกนลั่นด้วยความกระวนกระวาย
"กุเปล่าเหอะ เมื่อเช้านูน่าโทรมาหากูเอง ถามว่ามึงอยู่ไหนน่ะดิ่"
"แล้วมึงก็เลยบอกความจริงไปอ่ะนะ!! ไอ้แทโว้ยยยย!!! มึงก็รู้ว่าเจ๊กูเป็นคนยังไง"
"ให้กูทำไงได้ กูจะโกหกมันก็ใช่เรื่องปะวะ นูน่าเหมือนจะมีเรื่องด่วนจะคุยกับมึงนี่หว่า"
"แม่งเอ้ยยย กูหนีทันมั้ยเนี่ย.......แล้วเจ๊โทรหามึงนานยังวะ?"
"ก็...ประมาณชั่วโมงก่อนได้ ป่านนี้นูน่าคง....."
แอ๊ด.....
ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ประตูบานใหญ่ที่หมายถึงประตูบานหลักของบ้านผมเปิดอ้าออกโดยที่คนในบ้านซึ่งก็คือผมกับโฮซอกที่อยู่ห้องรับแขกไม่ได้เป็นคนเปิดมันออกจากด้านใน นั่นก็แปลว่าต้องมีคนจากด้านนอกเปิดมันเข้ามา
ภาพตรงหน้าปรากฏผู้มาเยือนคนใหม่ที่ทำให้โฮซอกถึงกับต้องอ้าปากค้าง เรียวขาเล็กสวยถูกปกคลุมด้วยถุงน่องดำขลับ เสื้อโค้ทสีครีมอ่อนห่อหุ้มร่างกายบอบบางน่าเอ็นดูกับใบหน้าหวานสวยแก้มอมชมพูน่าถะนุถนอม ผมสีเข้มถูกปล่อยยาวถึงกลางหลัง ชนิดที่บอกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นหญิงสาวที่หน้าตาน่ารักมากคนหนึ่ง แต่ ณ วินาทีนี้โฮซอกคงไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะการมาของเธอคนนี้เป็นตัวบอกถึงโชคชะตาของเขาได้ดี
" จอง โฮซอก!!!!!! เมื่อคืนทำไมนายไม่กลับบ้านยะ เจ้าน้องบ้า!!!!!!!!! "
โป้ก!!!!
พอสิ้นสุดการลงโทษของพี่ใหญ่ตระกูลจอง ตอนนี้น้องชายของหล่อน หรือก็คือเพื่อนสนิทของผมได้โดนอภิมหากำปั้นลงตรงกลางกระหม่อมจนหัวแทบปูด
"เจ็บๆๆๆๆๆ เจ๊อ่ะ! ทำไมต้องใช้กำลังด้วยเนี่ย!" ผู้ถูกกระทำรีบเอามือกุมศรีษะชนิดที่ว่าไม่อยากจะโดนอีกเป็นครั้งที่สอง
"ฉันอุตส่าเป็นห่วงแกแทบตาย โทรไปหาก็ไม่รับสาย ออกไปไหนก็ไม่บอกซักคำ นี่ยังจะไม่ให้ใช้กำลังอีกเหรอหะ! แค่นี้มันน้อยไปด้วยซ้ำย่ะ!!!"
โป้ก!!!!!!
อืม....โดนไปอีก 1 HIT
"แล้วดูสิว่าแกไปทำอะไรมา แกดูนี่ ดู!!!!" นูน่าคนน่ารักแต่ตอนนี้เหมือนยักษ์เข้าสิงชูบิลเก็บค่าเสียหายขึ้นตรงหน้าผมกับโฮซอก พอลองอ่านรายละเอียดดูดีๆ มันคือบิลที่มาจากบาร์ที่พวกผมไปมาเมื่อคืนนั่นเอง
"นี่ไรอ่ะ? ใบแจ้งค่าเหล้าเหรอ โอ้ย!!" ยันไม่ทันจบประโยค เจ๊แกก็ฟาดลงกลางหัวอีกเป็นรอบที่สาม
"ไม่ใช่ย่ะ เด็กบ้า ร้านโทรมาหาฉันตอนเช้าว่านายไปเมาจนอาละวาดในร้านเขา แถมยังพังข้าวของไปทั่วด้วย! รวมแล้วค่าเสียหายที่นายทำลงไป ทั้งหมด สองแสน!" นูน่าตะโกนขึ้นแล้วจี้ไปที่บิลค่าเสียหายที่มีเลขสองพร้อมกับเลขศูนย์อีกห้าตัวเพียวๆ
"ห่ะ!!!!!! สองแสน!!!!!!!!!" คราวนี้เป็นผมกับโฮซอกที่ตะโกนบ้าง มองตัวเลขในบิลแล้วแทบลมจับ คนบ้าอะไรมันจะทำความเสียหายได้ตั้งสองแสน เอ็งไปขโมยเพชรมาเหรอ!
"เห้ย เป็นไปได้ไงวะ ไอ้แท มึงน่าจะอยู่กับกูตลอดไม่ใช่เหรอวะ ทำไมปล่อยให้กุเป็นแบบนี้เนี่ย" โฮซอกพยายามจดจ้องไปที่บิลนั้นดีๆเผื่อว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริง(...) มันหันมาโบยใส่ผมเหมือนกับโยนความผิดทันที
"มึงอ่ะไม่ต้องพูดเลย ตอนที่กูนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์มึงก็เอาแต่เต้นอยู่ในฟลอร์ไม่ใช่รึไง แล้วมึงก็เดินมาหากู จากนั้นมึงก็......" ผมหยุดชะงักกับการเล่าเหตุการณ์เมื่อคืน เมื่อสมองกำลังพยายามนึกย้อนอดีตที่เคยหวนมา
"อะไรมึง? แล้วไงต่อ หลังจากนั้นเกิดไรขึ้น?? "
".....มึงก็........"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"เน่ น้องคับ น้องชื่อรายอ่าาาา" โฮซอกที่ยังคงมึนเมาในรสแอลกอฮอลก็ยังพยายามที่จะรุกล้ำตัวของเด็กที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกอย่างไม่ลดละความพยายาม
"ไอ้สัสนี่ กูบอกว่าอย่าไปยุ่งกับเขาไง ไอ้ขี้เมา!" เป็นเสียงของผมที่ดังขึ้นก่อนจะตบหัวมันเบาๆไปทีนึง
"อาราย อย่ามาทำเปงหวงเซว้าาา ไม่ถามชื่อก้อด้าย มา! มา เซลลล เฟ่ กานน" ไม่ทันให้ใครอณุญาตดี โฮซอกรีบฉวยโอกาสที่น้องกระต่ายและผมเผลอ หยิบมือถือคู่ใจขึ้นมา ตัวของมันที่จากเดิมยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ยืดตัวเข้าไปข้างๆน้องกระต่าย ก่อนจะกดชัตเตอร์ลง
แชะ!
คนที่ถูกถ่ายรูปคู่อย่างกระทันหันทำสีหน้าที่ตกใจสุดขีด ในตอนแรกผมคาดเดาว่ามันอาจจะเกิดจากการที่โฮซอกมันเข้าใกล้ตัวของเขามากเกินไป ดังนั้นสิ่งที่เขาทำก็คือ ปัดโทรศัพท์ในมือของโฮซอกออก แล้วก็ผลักตัวโฮซอกอย่างแรงจนแทบเซก่อนที่ร่างขาวน่าชังจะรีบวิ่งออกไปเหมือนกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง
พลั่ก!!
'"โอ้ย!!!"
"อ่าวเฮ้ย! โฮซอก!! นี่คุณ ทำไรวะเนี่ย แล้วนั่นจะไปไหน!!" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ผมตั้งสติไม่ทัน ชายหนุ่มปริศนาวิ่งออกไปแล้ว แถมยังไวชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ในชั่วขณะที่ผมกำลังจะตัดสินใจเลือกระหว่างตามเขาไปกับหันมาดูอาการโฮซอกที่ล้มลงด้วยแรงผลัก เพราะว่าที่นี่ขึ้นชื่อว่าผับที่มีจำนวนคนเรียกได้ว่าหนาแน่น ขาแทบจะก้าวออกไปยังแทบจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
"เชี่ยละ มึงอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวกูมา" เหมือนสมองผมยังไม่ทันได้คำนวณอะไร หัวใจมันก็บอกให้ผมต้องตามเขาคนนั้นไปเสีย ฝั่งเพื่อนขี้เมาที่ล้มพับไปก็ได้แต่ทำหน้ามึนงงด้วยฤทธิ์เหล้าอย่างช่วยไม่ได้ โทษนะเพื่อน ช่วยตัวเองไปก่อนนะ....
"อ้ายสาสสส ทำกูเจบแล้งหนีเหรอว้า" คนหัวแดงพยายามดันตัวเองขึ้นมาจากพื้น แต่ไม่วายความมึนเมาในหัวที่ยังไม่หมดไปเสียทีก็ทำเอาเจ้าตัวเซไปชนคนนั้นคนนี้ที
'"เฮ้ย ไอ้น้อง ชนกูแบบนี้อยากมีเรื่องเหรอวะ?" หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่โฮซอกเผลอไปชนหลังเข้า หันหน้ามาอย่างไม่พอใจ โฮซอกที่ทำหน้าทำตาไม่รู้เรื่องก็ได้แต่ต่อปากกวนตีนไปจนทั่ว
'"แล้วจาทามมาย เมิงจาทามมายกู!!"
"นี่มึงกวนตีนเหรอ ได้!! รุมมัน!!! "
ปัก!! ปัก!!!
ตุ๊บ!!
เพล้งง!!!
"กรี๊ดดดด มีคนตีกัน!!"
"เฮ้ย นี่พวกคุณ จะทำอะไร จะพังร้านนรึไงเนี่ย!!!!"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"............."
สองพี่น้องจ้องมองผมกันด้วยแววตาที่มีคิ้วขมวดเป็นปมใหญ่อยู่ตรงกลางหน้าผาก
"กูยังไม่ทันกลับเข้าไป มึงก็วิ่งตาตื่นแล้วบอกให้กูรีบกลับบ้านทันที กูก็ว่าทำไมเสียงข้างในมันดังจัง ที่แท้มึงก็ไปก่อเรื่องนี่เอง มึงนี่เหี้ยจริง"
"มึงนั่นแหล่ะ ไอ้บ้าแท!!!" สองมือแกร่งคว้าเข้าที่ปกเสื้อของผมแล้วเขย่าไปมา หัวของผมก็ขยับไปตามแรง
"แทนที่มึงจะช่วยกู มึงเสือกเลือกคนที่มึงเพิ่งเจอไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กับเพื่อนที่คบกับมึงมาครึ่งชีวิตตต ไอ้ชิบหายย!!"
โป้ก!!
โป้ก!!
คราวนี้ไม่ใช่แค่โฮซอกที่โดนฝ่ามือของนูน่ากระแทกเข้าที่หัว ผมเองก็โดนไปหนึ่งทีเช่นกัน เจ็บใช่เล่นเลยนะครับพี่สาว!!!
"พอเลยทั้งสองคน! ฉันล่ะอยากจะเชื่อเลย โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กไปได้นะ ไป ไอ้โฮซอก ฉันต้องรีบไปทำงานต่อ!" นิ้วเรียวสวยของนูน่าหยิกเข้าตรงที่ใบหูของโฮซอก ก่อนจะออกแรงดึงลากให้ผู้เป็นน้องเดินตามตนมา สีหน้าของมันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ็บโครตๆ ผมมองดูพี่น้องสกุลจองที่ส่งเสียงโวยวายไปตลอดทางจนเดินลับออกไปนอกบ้าน ตัวผมได้แต่ยืนมองด้วยความไว้อาลัยแด่เพื่อนรัก
เรื่องของไอ้โฮซอกก็ถือว่ากระจ่างแล้วล่ะนะ....แต่เรื่องที่ยังคาใจผมอยู่จนถึงตอนนี้น่ะ
เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้เล่าให้มันฟัง....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ร่างหนาในชุดดำพยายามออกแรงวิ่งตามติดเจ้าของใบหน้าหวานปริศนาที่กำลังวิ่งหนีเขาชนิดที่ว่าเหมือนเจอซอมบี้บุก ผมรีบก้าวเท้ายาวตามพ่อกระต่ายน้อยไปแบบติดๆ ถึงจะพูดว่าติดๆ แต่มันก็ทิ้งระยะห่างพอสมควร
ผมสังเกตุเห็นขาไวๆที่กำลังวิ่งออกไปทางประตูทางออกฉุกเฉินของร้าน บริเวณนั้นมันค่อนข้างจะมืดพอสมควร จะมีก็แต่แสงไฟตรงป้ายสีเขียวที่เขียนว่า EXIT นี่แหล่ะ ผมได้ยินเสียงประตูเปิดพร้อมกับขอบประตูที่ลากไปตามพื้นอิฐ เมื่อเลี้ยวตรงหัวมุมผมก็เห็นว่าประตูบานนั้นมันเปิดอ้าอยุ่เล็กน้อย นั่นทำให้ผมคาดคะเนว่าเขาจะต้องออกไปทางประตูหลังแน่นอน
เมื่อผมรีบผลักประตูนั้นออก ผมก็พยายามมองไปรอบๆ....แต่สภาพที่ผมเห็นนั้นคือ บริเวณหลังร้านนั้นน่ะ
มันเป็นแค่โซนทิ้งขยะแคบๆ ที่พอเดินออกไปได้ห้าหกเก้าก็มีกำแพงอิฐหน้าสูงประมาณสี่เมตรกั้นอยู่ ข้างซ้ายขวาถ้าไม่นับกองขยะที่ถมกันเป็นภูเขาก็คือกรงลวดอย่างดีที่คอยกันอาณาเขตไว้ซึ่งมันก็สูงพอๆกับกำแพงอิฐตรงหน้าผมนี่แหล่ะ
แล้ว....หมอนั่นหายไปไหนล่ะ?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
พอลองกลับมาคิดดูแล้ว ผมพยายามวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ซักครู่ใหญ่พอสมควร มันจะเป็นไปได้มั้ยถ้าเขาจะพยายามปีนกองขยะพวกนี้แล้วข้ามกรงลวดเพื่อไปยังถนนเส้นหลักที่อยู่ตรงหน้าทางเข้าร้าน แต่กองขยะพวกนี้มันไม่ได้แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของคนธรรมดาๆได้เลย หรือถ้ามันทำได้จริง คนเราจะทำสำเร็จได้ในครั้งเดียวงั้นเหรอ? แถมระยะเวลาที่ผมวิ่งตามเขามามันก็แทบจะเฉลี่ยไม่ถึง 5 วินาทีด้วยซ้ำไป นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ใช่คนแล้วเหาะข้ามกำแพงไปเกาะกับต้นไม้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำแพงอิฐนี่แล้วล่ะ
อ้อ ลืมไป ผมไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาตินี่นะ
ผมส่ายหัวให้กับเรื่องเมื่อคืนอย่างหัวเสีย ช่างมันดีกว่า เก็บมาคิดให้หนักหัวทำไมกันวะตู ใครก็ไม่รู้จัก ไม่เห็นจะต้องคิดมากเลย ไม่สมกับเป็นคิม แทฮยองเลยนะ!
"อาหารเสร็จแล้วนะแทแท อ้าว แล้วโฮซอกล่ะ?" เป็นเสียงของม๊าของผมที่โผล่ออกมาจากห้องครัวพร้อมกับผ้ากันเปื้อนสีชมพูซากุระดูน่ารัก ทอดมองผมที่ยืนอยู่คนเดียวบริเวณห้องรับแขกแล้วนึกสงสัยเพื่อนผมที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงเมื่อกี้
"นูน่าพากลับไปแล้วเมื่อกี้นี้อ่ะม๊า" เป็นผมที่เดินเข้าไปในห้องครัวแล้วบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่นาทีก่อน ส่วนเรื่องสองแสนนั่น...อย่าให้รู้เลยจะดีกว่า เหอๆ
"อ่าว แล้วกัน! ม๊าอุตส่าทำกับข้าวเผื่อโฮซอกด้วยนะ หนีกันแบบนี้แล้วใครจะกินอาหารฝีมือม๊าอ่ะ!" แม่ครัวคนสวยของบ้านเริ่มออกลายงอแงอีกครั้ง เอาแล้วไง สร้างปัญหาให้กุอีกละโฮซอก รับมือกับนูน่าไม่พอ ต้องมารับมือกับออมม่าอีก
"เอาน่าๆ เดี๋ยวผมจะจัดการกินมันทีหลังละกัน ไม่งั้นม๊าก็เรียกให้ป๊ามากินแทน"
"จะบ้าเหรอ ไอ้เด็กนี่! ป๊าทานอาหารมนุษย์ไม่ได้ แกก็น่าจะรู้ข้อนี้ดีนี่!!" ม๊าขึ้นเสียงใส่ผมเล็กน้อยเมื่อผมพูดอะไรที่ไม่เข้าหูเธอเข้า ผมดันพูดเรื่องจี้จุดม๊าเข้าให้นี่ เพราะว่าแวมไพร์ทุกตนเหมือนต้องคำสาปบางอย่าง
พวกเขาจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้ ซึ่งจุดอ่อนนั้นของป๊าผมนั่นก็คือ ป๊าไม่สามารถทานอาหารของมนุษย์ได้เลย ไม่ว่าจะประเภทไหนก็ตาม นอกจากเลือดสดกับแคปซูลสีแดง อยากจะบอกว่าน่าเสียดายมากกกกเพราะม๊าทำอาหารได้อร่อยสุดยอด น่าเศร้าจริงๆที่ภรรยาแสนดีไม่สามารถทำอาหารที่ดีๆให้กับสามีของเขาได้ คิดแล้วก็เสียใจแทนม๊านะเนี่ย
"แหมม ผมขอโทษษ ไว้เจอไอ้โฮซอกอีกที ผมจะยัดของอร่อยๆของม๊าเข้าปากมันให้ได้เลย ผมสัญญา" เป็นผมที่ต้องออกตัวง้อคนช่างงอน มือแกร่งของผมจับเข้าที่ไหล่กว้างสองข้างแล้วออกแรงนวดเบาๆเหมือนพยายามจะเอาอกเอาใจ ม๊าที่ทำงอนอยู่หน่อยๆก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วสายหัวให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา
"เอ้อ จริงสิ ถ้าแทแทเจอโฮซอกก็เอานี่ให้เขาด้วยนะ นี่ว่าถ้าถึงเวลากินข้าวแล้วจะเอาให้ แต่ดันกลับไปก่อนแบบนี้ ม๊าคงต้องให้แทแทเอาไปคืนแทนเเล้วล่ะ" มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนกำลังหาอะไรบ้างอย่าง ผมที่ได้แต่มองก็นึกสงสัยสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังกระทำ
"ตอนม๊าจะซักเสื้อผ้าโฮซอก ม๊าดันไปเจอเข้าน่ะ ดีนะที่ยังไม่พังซะก่อน" สิ่งที่ม๊ายื่นมาให้ผม มันคือโทรศัพท์ไอโฟนสีขาวที่ใส่เคสลายกราฟิตี้สีแดงน้ำเงินประดับอยู่ บ่งบอกเลยว่าเจ้าของเครื่องมันต้องเป็นของคนที่ขี้เมาชวนตีเมื่อคืนเป็นแน่ ผมตอบรับม๊าโดยการรับโทรศัพท์ราคาแพงนั้นมาไว้ในมือ คนตรงข้ามผมพอเสร็จธุระก็เดินแยกกลับไปทำงานบ้านดังเดิม ผมที่ได้แต่ถอนหายใจมองความเซ่อของมันที่ดันลืมโทรศัพท์ไว้แบบนี้ ผมเดินมานั่งบริเวณโซฟาห้องรับแขกก่อนจะถือวิสาสะเปิดโทรศัพท์ของมันกะว่าจะส่องอะไรสนุกๆ
แต่พอผมเปิดโทรศัพท์ดู ก็พบว่าเครื่องของโฮซอกยังเปิดระบบกล้องถ่ายรูปค้างไว้ จนตัวเครื่องเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาว่าเปิดค้างนานเกินไป
หรือว่า....จะเปิดค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
ผมลองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อวาน ที่มันใช้โทรศัพท์ครั้งล่าสุด คงจะเป็นตอนที่มันพยายามจะเซลฟี่กับน้องกระต่ายคนนั้นสินะ....มือไวกล่าสมอง ผมรีบปลดล็อคโทรศัพท์ของมันแล้วกดเข้าไปดูรูปภาพล่าสุดของไอ้โฮซอกทันที
ภาพที่ผมเห็น มันเป็นภาพเซลฟี่ของไอ้โฮซอกคนเมื่อวานจริงๆ ทั้งท่าทาง หน้าตาที่ดูมึนเมา และแสงกับบรรยากาศของผับเมื่อวาน ด้านข้างที่มีมุมบาร์เล็กๆที่ติดมาด้วย ผมเห็นโฮซอกที่อยู่ตรงมุมภาพทางด้านซ้าย แขนของมันกำลังเอื่อมไปโอบอะไรบางอย่าง
แต่ว่า ภาพที่ผมเห็นมัน....
มีแค่โฮซอกอยู่คนเดียว
ทางด้านขวาของรูปมันว่างเปล่า เหมือนกับโฮซอกโอบแค่อากาศ เหมือนกับว่ามันมีคนอยู่ตรงนั้น แต่มันก็ไม่มี ผมจดจ้องเข้าไปในรูปนั้น ขยี้ตาตัวเองหลายรอบเพื่อให้สมองสั่งการความคิดกับตัวเองว่าตาฝาดรึเปล่า ผมจำได้ว่าตอนนั้นคนที่โฮซอกมันโอบคออยู่ก็คือเขาคนนั้น คนเดียวกับที่วิ่งหนีผมไปทางประตูหลังร้านแล้วหายไปอย่างปริศนา
นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย??
"นายเนี่ยนะ ชอบทำให้ฉันเป็นห่วงตลอดเลย งานบ้านก็ไม่เคยจะช่วย นี่แค่นายได้เข้ามหาลัยมันก็ดีแค่ไหนอยู่แล้วหะ แถมพอเข้าไปก็ไม่ใช่ว่าจะตั้งใจเรียนนี่ ได้ข่าวว่าแอบไปเรียนเต้นอีกใช่มั้ยล่ะ แกนี่มัน...."
ยาวครับ....บอกเลยว่ายาวๆไป
ภายในรถสีแดงสวยที่นูน่าเป็นเจ้าของขับไปตามทางถนนแบบไม่ช้าไม่เร็ว แต่มันก็ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับโฮซอกคนนี้เหลือเกิน ก็เจ๊เล่นบ่นตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว นี่มันก็ปาไปยี่สิบนาทีแล้วนะ! นี่เจ๊แกจะบ่นหรือจะแร๊ปวะเนี่ย โฮซอกหูชาไปหมดแล้วครับบ!
"แล้วนี่ดูสิว่านายสร้างปัญหาอะไรให้ฉันอีกเนี่ย สองแสนเลยนะ สองแสน! คิดว่าฉันทำงานกี่ปีกันกว่าจะเช่าอาพาร์ทเม้นท์ได้หมดกันหะ"
"เจ๊อ่ะ อย่าพูดเหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่ได้ปะ"
"นี่ไม่ใหญ่รึไง ตอนนายทำ นายไม่คิดถึงคนอื่นบ้างเลยไง?"
"ผมก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดปะ?"
"นี่เถียงฉันเหรอ ที่ฉันพูดก็เพราะเป็นห่วงนายนะ"
"แล้วใครใช้ให้เป็นห่วงล่ะ พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่แล้ว เจ๊ไม่เห็นต้องแคร์ผมเลยนี่!!"
"จอง โฮซอก!!!!!!!!!"
เสียงหวานตะหวาดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันมาคุในรถแคบๆที่มีเพียงแค่สองพี่น้องเอาแต่ทะเลาะกันไปมา ผมเห็นพี่สาวแท้ๆหมดความอดทนกับการต่อปากต่อคำของผม ก่อนจะถอนหายใจแรงๆแล้วทำหน้าตึงเครียดหันไปทางข้างหน้า
"ก็เพราะพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วนี่ไง ฉันถึงได้แคร์นายมากที่สุด.....นายเป็นน้องฉันนะ..."
ผมได้แต่นั่งเงียบไม่ปริปากพูดออกมา ในใจก็เอาแต่รู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นน้องชายที่ไม่เอาไหน ต้องให้พี่สาวคอยดูแลตัวเองอยู่ตลอดตั้งแต่ยังเด็กจนกระทั่งโตเอาป่านนี้ก็ยังต้องคอยให้ดูแลอยู่
"ไม่ให้ฉันห่วงนาย....แล้วจะให้ฉันไปห่วงหมาที่ไหนล่ะ...."
"หมายถึงเจ้ามิกกี้น่ะเหรอ?"
"อย่าขัดได้ปะ!!!"
เจ๊ตะหวาดขึ้นอีกรอบเมื่อเจอผมพูดกวนๆใส่เธอ แต่รอบนี้อาจจะเบาลงมาหน่อยแล้วมันก็ฟังดูอารมณ์ดีกว่าตอนแรกเยอะ ผมกับพี่สาวมองหน้ากันซักพักก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วก็หัวเราะออกมา
"......ขอโทษ....ผมมันไม่ดีเองแหล่ะ..."
"รู้ตัวดีนี่.....แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันรับได้อยู่แล้ว" นูน่าคนสวยเลิกคิ้วขึ้นกวนๆมาทางผมที่พยายามจะสำนึกผิด บอกได้คำเดียวเลยว่าที่ผมมีนิสัยกวนตีนได้ก็ต้องบอกเลยว่าพี่สาวผมก็ใช่ย่อย เพราะเรามีอะไรที่คล้ายๆกัน มันเลยทำให้เราทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ แต่ก็เพราะแบบนั้นเราถึงเป็นพี่น้องกันไงล่ะ เกลียดกันไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ยังไงผมกับเจ๊ก็ต้องอยู่ด้วยกันจนวันตายอยู่แล้ว
ก็เรามีกันแค่สองคนพี่น้องนี่นะ
เอี๊ยดด!
รถสีแดงคันสวยจอดเข้าตรงบริเวณริมถนนที่ไหนซักแห่งในตัวเมือง อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่อพาร์ทเม้นท์ที่ผมกับเจ๊อาศัยอยู่แน่ๆ พื้นที่รอบๆมันค่อนข้างสงบและมีภูมิประเทศเป็นที่ราบเสียส่วนใหญ่ เจ๊ขับรถมาจอดลงตรงหน้าบ้านที่สร้างด้วยปูนเปลือยสีเทาหม่น รอบข้างประดับด้วยพืชพรรณสีเขียวชะอุ่ม บริเวณหน้าบ้านเป็นกระจกใสบานใหญ่ที่ทำให้เห็นข้างในตัวบ้านได้เกือบทุกมุม....มองดีๆ มันดูไม่เหมือนบ้านคนเท่าไหร่นะ.....
เหมือนคาเฟ่มากกว่า
"นี่ไม่ใช่บ้านเรานะเจ๊ เจ๊หลงปะเนี่ย?" ผมชะเง้อมองคาเฟ่ที่อยู่ตรงริมถนน เเปลกแฮะ มันมีคาเฟ่มาเปิดแถวนี้ด้วยเหรอหรือว่าเพิ่งเปิดใหม่ แล้วเจ๊พาผมมาทำไมกันเนี่ย
"ฉันรู้ย่ะว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ซุกหัวนอนของนาย แต่เป็นที่ที่ให้นายใช้หนี้สองแสนต่างหาก" นูน่ามองบนให้กับความพูดกวนๆของผมเมื่อซักครู่ ก่อนจะพูดตอกกลับผมไปแบบเรียบ แล้วเจ้าตัวก็เปิดประตูรถ เดินเข้าไปทางเข้าหน้าร้านทันที
หะ? ใช้หนี้?
"มัวทำไรอยู่ยะ ลงมาสิ!!" แม่สาวที่ออกไปนอกรถก่อนแล้วตะโกนเข้ามาในรถเป็นสัญญาณเตือนให้ผมรีบเดินตามเธอเข้าไปในร้าน ในระหว่างที่ผมยังมึนงงอยู่ขาของผมก็เดินตามพี่สาวตัวเล็กเข้าไปในร้านคาเฟ่สไตล์มินิมอล
ทันทีที่เข้ามา บรรยากาศในร้านมันสวยเอามากๆ ทั้งๆที่เฟอนิเจอร์ก็ออกไปโทนสีขาวเทาสะอาดตาดูเรียบๆ แต่มันกลับถูกจัดวางได้ดี ต้นไม้สีเขียวตัดกับกำแพงสีปูนถูกแขวนประดับตามเพดานอย่างง่าย แสงจากธรรมชาติที่ผ่านกระจกบานใหญ่ทำให้บริเวณร้านดูสว่างมากขึ้น ผมต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นร้านสไตล์ใหม่ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในเมืองนี้
ระหว่างที่ผมมัวแต่ชื่นชมบรรยากาศในร้านอยู่นั้น พี่สาวผมก็เข้ามาหาผมก่อนจะดึงผมให้ตามเธอไปยังห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งผมขอเดาว่ามันน่าจะเป็นโซนห้องครัว
"ฉันจะให้นายมาเป็นลูกจ้างของร้านนี้"
"หะ!?"
"ห้ามปฎิเสธ ห้ามโวยวาย ห้ามบ่นด้วย สองแสนที่นายทำไว้เมื่อคืน ฉันจะจัดการให้เองแต่ต้องแลกกับการที่นายทำงานหาเงินมาใช้ฉันคืน"
"เดี๋ยวดิ่เจ๊ ไม่ถงไม่ถามผมเลยเหรอว่าอยากทำมั้ยอ่ะ? อย่ามัดมือชกผมดิ่"
"นี่ ไอ้น้องเนรคุณ ยังไงนายก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่นายทำไว้อยู่แล้ว แล้วนี่ฉันหางานให้นายทำน่ะดีแล้ว ขืนนายไปหาเงินเองมีหวังหาเรื่องให้ฉันปวดหัวอีกแน่ แล้วก็ไม่ต้องห่วงหรอก นี่เป็นร้านเปิดใหม่ที่เพื่อนฉันแนะนำมา เงินดี สวัสดิการดี แถมเจ้าของร้านยังหน้าตาดีอีก"
"ผมว่าอย่างหลังไม่ใช่ละมั้งเจ๊ แล้วนี่มันคาเฟ่อะไรยังไม่รู้เลย ผมทำอะไรได้บ้างล่ะ? ชงกาแฟ? ทำเบเกอรี่? เขาจะให้ผมทำอะไรล่ะ??"
"อย่ามาเกะกะงานฉัน นั่นแหล่ะหน้าที่ของนาย"
เสียงเย็นดังขึ้นตรงหน้าผมกับพี่สาวเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี ระหว่างที่ผมกับพี่เดินเถียงกันไปเถียงกันมา จนมาถึงห้องครัวด้านในสุดที่เต็มไปด้วยความอุ่นประมาณอุณภูมิห้อง ข้าวของเครื่องใช้ที่เอาไว้ทำขนมหลากหลายชนิดเรียงกันบนชั้นวางของเตาอบขนาดใหญ่สองเตาที่ตั้งอยู่ติดกำแพงอิฐสีเทา มองตรงไปยังโต๊ะกลางห้องครัวผมเห็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัดใส่เสื้อสีขาวสะอาดตาตัดกับกางเกงสีดำสนิทและผ้ากันเปื้อนคาดเอวสีน้ำตาลแก่กำลังบรรจงหยิบถาดอบคุกกี้กลิ่นหอมน่าทานออกมาจากเตาอย่างถะนุถนอม ก่อนจะวางมันลงตรงโต๊ะไม้สีน้ำตาล มือที่หุ้มด้วยถุงมือกันความร้อนค่อยๆถอดมันออก ขาที่กระชับด้วยกางเกงสีดำก้าวเท้าเข้ามาใกล้เราสองพี่น้องมากขึ้น จนผมมองเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน
ร่างบางที่พอยืนใกล้กับผมก็ทำให้เห็นถึงสัดส่วนตัวที่ชัดเจน คนตรงหน้านั้นเตี้ยกว่าผมพอสมควร ใบหน้าที่สวยได้รูป ดวงตาคมเล็กตี่ดูมีเสน่ห์ นัยตาสีเทาหม่นที่มองเข้าไปแล้วช่างน่าค้นหา ผมสีขาวขุ่นปกคลุมใบหน้าเนียน ทรงผมที่เซ็ทเข้ากับโครงหน้าได้อย่างลงตัว ปากสีชมพูอ่อนเป็นกระจับ สีหน้าของเขาที่ดูเหมือนจะตีหน้าเซ็งอยู่ตลอดเวลานั้นมันทำให้ผมละสายตาจากเขาไม่ได้เลยจริงๆ
สเปคกูเลยนี่หว่า...
"โฮซอก นี่คุณ มิน ยุนกิ เจ้าของคาเฟ่ AGUS แห่งนี้ ส่วนนี่ จอง โฮซอก น้องชายฉันที่เคยเล่าให้ฟังไงคะคุณมิน ยังไงก็ฝากดูแลมันด้วยนะคะ "
คนที่ได้ชื่อว่าเจ้าของคาเฟ่ ชายตามองมาที่ผมช้าๆ ทุกๆการกระทำของเขามันดูเชื่องช้าแต่ก็น่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน แม้จะตัวเล็กกว่าแต่แววตาของเขากำลังแสดงถึงอำนาจความเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแล้วสุขุมเอามากๆ มากเสียจนผมเกร็งไปหมด
"ดูเซ่อซ่า แต่ก็คงจะใช้ประโยชน์ได้" หลังจากว่าที่เจ้านายคนใหม่ตรวจเช็คลูกจ้างของเขาด้วยการมองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็พูดด้วยเสียงเรียบๆขึ้นมา ทำเอาผมกับเจ๊ถึงกับอ้าปากค้างไปตามๆกัน เดี๋ยวนะครับ นี่คือวิธีการคัดพนักงานเหรอ!?
"สิบโมงเช้าเริ่มงาน อย่าสาย ไม่งั้นหักเงินเดือน" ไม่วายเจ้าตัวคนขาวก็พูดขึ้นต่อ ผมที่ได้แต่มองเจ้านายใหม่ที่ดูแล้วน่าจะไม่เป็นมิตร ก็ทำได้แค่พนักหน้ารับตามคำสั่งที่อีกฝ่ายบอกกล่าว
"เป็นใบ้เหรอ? ไม่มีหางเสียงรึไง?"
"อะ เอ่อ.....ครับคุณมิน" เกิดมาในชีวิตไม่เคยลนอะไรขนาดนี้ ผมไม่ใช่คนที่ชอบทำตามคำสั่งใครเท่าไหร่ แต่กับคนนี้ คนที่มีออร่ามืดอะไรบางอย่างที่ทำเอาผมไม่กล้าพูดอะไรก็ได้แต่ตอบกลับไปตามที่เขาสั่ง นี่มันไม่ใช่ผมเอาซะเลยแฮะ ผมรู้สึกหงุดหงิดเป็นบ้า
แต่กลับกัน มันก็ทำให้ผม...รู้สึกสนใจเขามากเช่นกัน
"ใครให้นายเรียกฉันแบบนั้น?" คนตัวเล็กกว่ายังคงทำท่าทางวางอำนาจไม่เลิก พอถึงจุดนี้ผมคิดว่าผมคงจะไม่อดทนอะไรอีกแล้ว ถึงจะเป็นคนที่ดูน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม แต่อย่าคิดว่าโฮซอกคนนี้จะยอมโดนปราบซะล่ะครับ
"ต่อไปนี้ เรียกฉันว่า บอส เข้าใจมั้ย? จอง โฮซอก"
ผมนี่แหล่ะจะเป็นคนปราบคุณเอง
"อืมม.....ถ้าเรียก บอส ไม่ถนัด เรียกว่า ที่รัก แทนได้ป่ะครับ? ;)"
แผนการจีบคุณเจ้านายใหม่ เริ่มได้!!!
ลงชื่อ คิม แทฮยอง
29 . 05 . 2013
29 . 05 . 2013
ไดอารี่สีน้ำตาล
-- TBC --
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาช้า.....ดีกว่าไม่มานะค---- //โดนตรบ
แนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกที ครีมมี่ ครีมหมีย์ ครีม เรียกเราว่าอะไรก็ได้เลย (เป็นทางการมั้ยเนี่ย)
ขออภัยในความล่าช้าค่ะ ฮือ เราพยายามเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด หวังว่ามันจะออกมาดีนะ ; - ;
ตอนนี้ทั้งสามคู่ก็มาเจอกันครบทุกคนแล้ว เย้ เย้ *จุดพลุ* จนถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าเรื่องจะเริ่มปูเข้ามาทีละนิดๆแล้วล่ะค่ะ
ส่วนตัวอยากให้รูทแรกเป็นการปรับตัวของจกุกกับพี่ก้าเสียส่วนใหญ่ แต่ประเด็นเรื่องหลักก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ ต้องรอติดตามดูค่ะ!
ตอนหน้าจะเข้ารูทการจีบของพ่อม้าที่น่ารักของเราแล้ว ส่วนวีกุกจะเป็นยังไง แล้วจกุกจะมีบทพูดมากกว่าสองประโยคเหมือนตอนนี้หรือไม่
เอาเป็นว่า จะรีบเเต่งให้เร็วที่สุดค่ะ!!
รักคนอ่านมาากกกเลยล่ะ ไม่คอมเม้นก็ไม่เป็นไรนะ กดกำลังใจให้เรา เราก็มีความสุขเเล้ว
ไม่เป็นไรจริงๆ จริงๆนะ ;; v ;;
#ไดอารี่วีกุก
SP THANKS
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น