ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *:: KRISHAN WINTER PROJECT ::*

    ลำดับตอนที่ #2 : WRONG (by Darknez)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 58


    Title : WRONG
    BY : Darknez
    Tag : #007fic #ficอาหลาน
    Note : ฝากคุณอาของเสี่ยวลู่ และ เสี่ยวลู่ของคุณอาด้วยนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ
    แก้คำผิดรอบที่1 ถ้าใครเจออีกรบกวนแจ้งเราด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ 
     



    ความสัมพันธ์บนโลกใบนี้มีหลากหลายรูปแบบ และรูปแบบอันมากมายเหล่านั้นก็ล้วนถูกกำหนดด้วยมนุษย์ทั้งสิ้น

    ทัศนคติ อคติ เจตคติ ไม่ว่าจะเรียกขานมันว่าอะไร ทั้งหมดล้วนเป็นกระบวนการคิดที่ถูกแปรผลออกมาเป็นทฤษฏีความสัมพันธ์

    ความสันพันธ์ที่ถูกยอมรับ

    ความสัมพันธ์ที่โดนต่อต้าน

    ไม่ว่าใครจะกำหนดมันไว้เช่นไร ก็ปล่อยให้เขากำหนดมันไปเถอะ....

     


     

    เข็มนาฬิกาสีดำกำลังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าไปบนหน้าปัดสีขาวที่มีเพียงขีดสีเงินสี่อันบนวงกลมเรียบง่าย ดวงตากลมโตจับจ้องเข็มสั้นที่เคลื่อนเข้าสู่ขีดสีเงินด้านบนและเข็มยาวที่ชี้ลงขีดสีเงินด้านล่าง เขาหาวหวอดด้วยความอ่อนล้า แม้ดวงตาทั้งสองข้างจะร้อนผ่าวเพราะฝืนถ่างตารอมาค่อนคืนแต่เขาก็ยังอดทนเฝ้าคอยต่อไป

    “ทำไมคุณอามาช้า หรือว่ารถม้ากลายเป็นฟักทองไปแล้ว?”เสียงของเด็กชายที่ยังไม่แตกหนุ่มถามตัวเองเพื่อขับไล่ความเงียบที่โรยตัวโอบล้อม สองแขนเรียวขาวโอบกระชับหมอนอิงใบใหญ่ สองตาจ้องประตูเขม็งราวจะสะกดจิตประตูไม้นั้นให้ดีดออกในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

    “นี่เสี่ยวลู่ง่วงนอนแล้วนะ”เสียงงัวเงียระลอกสุดท้ายดังขึ้นพร้อมด้วยเข็มยาวที่เคลื่อนขึ้นมาใกล้ขีดสีเงินตรงกลาง ดวงตากลมโตที่เบิกโตตลอดทั้งคืนก็ปิดสนิทลง

     

    เสียงลูกบิดดังขึ้นอย่างแผ่วเบาที่สุดเพราะเจ้าของห้องตระหนักถึงเวลาที่ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่มาค่อนชั่วโมง เขาถอดรองเท้าไว้ที่หน้าประตูอย่างไม่เรียบร้อยแล้วเดินย่องเหมือนแมวขโมยผ่านโถงทางเดินที่ไฟสว่างโร่

    บนโซฟามีก้อนกลมๆของเด็กชายที่ขดตัวเหมือนลูกแมวขี้เซานอนกอดหมอนอิงหันหน้าออกมาทางประตู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสี่ยวลู่ตัวน้อยคงถ่างตารอเขากลับบ้านเหมือนเช่นปกติ

    อู๋อี้ฝาน สาวเท้าเข้าไปใกล้โซฟา เงาของเขาบดบังแสงไฟจนทั้งร่างของหลานชายตัวเล็กจมอยู่ใต้เงาสูงใหญ่ของเขา สองมือยื่นผ่านอากาศทำท่าเหมือนจะวาดแขนโอบกอดค้างไว้ก่อนเขาจะรีบผละออกมาแล้วเดินไปหยิบผ้าห่มออกมาจากห้องนอนของเด็กชาย

    ชายหนุ่มคลี่ผ้าห่มนวมหนานุ่มคลุมร่างผอมบางที่ขดตัวอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางที่ไม่น่านอนสบายเท่าไหร่แล้วก็ทำได้แค่หักห้ามตัวเองให้ใจแข็งอย่าก้มลงไปแตะต้องผิวกายขาวผ่องอุ่นอวลนั้น

    เขากลัวตัวเองจะพ่ายแพ้ต่อความเย้ายวนที่ถูกสัญชาติญาณกระตุ้นเร้า เขากลัวว่าทุกอย่างมันจะล้ำเส้นมากเสียจนผิดรูปผิดรอยจากที่ควรจะเป็น


    ลู่หานสมควรจะเป็นแค่หลานชายคนโปรดของเขา

    และให้เขาได้เป็นแค่คุณอาของเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนั้น มากกว่าสถานะอื่นใดก็ตาม...

     




     

    กล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลอ่อนผูกโบว์สีขาวละมุนตามีการ์ดสีเขียวเข้มเรียบๆดูหรูหราและออกจะเป็นทางการวางไว้อยู่ที่มุมโต๊ะ

    อู๋อี้ฝานยิ้มกับของขวัญที่เขามั่นใจว่าถ้าถึงมือคนรับเด็กน้อยของเขาจะต้องพอใจมากแน่ๆแล้วก็อยากจะหมุนเข็มนาฬิกาให้ถึงเย็นเสียเร็วๆ

    “บอสคะ มาดามอู๋เรียนว่าเย็นนี้คุณเซียงหยูจะเข้ามาทานข้าวที่บ้าน ท่านเรียนเชิญบอสให้กลับไปทานข้าวด้วยกันค่ะ”

    “ขอบคุณมากเลขาเจียง เดี๋ยวผมโทรหาคุณแม่เอง”เจ้านายหนุ่มรูปงามยิ้มบางๆให้เลขา แล้วหมุนโทรศัพท์หามารดา เขารอสายเพียงไม่กี่วินาทีปลายสายก็ตอบกลับมาพร้อมถ้อยความทุกอย่างที่เขาควรรู้

    “แต่เย็นนี้ผมนัดลู่หานไว้ว่าจะพาไปทานข้าวฉลองที่เขาสอบได้เกรดดี”

    “แม่จะให้คนขับรถไปรับลู่หานมาทานข้าวที่บ้านใหญ่ด้วยเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงนะ”

    อู๋อี้ฝานคุยกับมารดาอีกไม่กี่คำก็วางสายในใจรู้สึกทั้งโล่งอกและขัดใจขึ้นมาบางๆอย่างน่าประหลาด ด้วยความรู้สึกที่ผู้บริหารวัยสามสิบเช่นเขาเองก็เรียบเรียงไม่ถูก...

     




     

    เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลและดวงหน้าน่าเอ็นดูสมวัยในเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังของปักกิ่งเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ด้วยอาการสำรวม แม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้มบางๆแต้มไว้แต่ก็รับรู้อารมณ์ของเด็กหนุ่มได้ว่ามันไม่ได้เป็นสุขเท่าที่รอยยิ้มสวยแสดงออก

    “เสี่ยวลู่ มาแล้วเหรอลูก มานั่งข้างย่าสิคะ”หญิงสูงวัยที่ยังดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงร้องเรียกหลานชายเพียงคนเดียวให้เข้าไปนั่งใกล้ๆยังเก้าอี้ด้านซ้ายที่เว้นไว้ให้หลานคนโปรดโดยเฉพาะ

    “สวัสดีครับคุณย่า สวัสดีครับคุณปู่ คุณอาแล้วก็พี่สาว”ลู่หานแต้มยิ้มละมุนไว้บนเรียวปากเอ่ยทักทายทุกคนบนโต๊ะอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะยิ้มอย่างเกรงใจให้พี่สาวแปลกหน้าทีโผล่มาร่วมโต๊ะด้วยกันในวันนี้

    “พี่สาวที่ไหนกันคะ นั่นน่ะว่าที่อาหญิงของเราต่างหาก ทักทายคุณอาเซียงหยูสิคะ”

    “สวัสดีครับคุณอาเซียงหยู”แม้ลู่หานจะยังคลี่ยิ้มทักทายแต่มือบอบบางทั้งสองข้างที่อยู่บนตักใต้โต๊ะอาหารกลับกำจิกแน่นจนขึ้นข้อขาว

    หญิงสาวแปลกหน้ายิ้มทักทายตอบกลับอย่างมีไมตรีแล้วมื้อค่ำอย่างเรียบง่ายก็ดำเนินไปโดยที่ลู่หานไม่อยากรับรู้อะไรเลยสักนิด

    “คืนนี้นอนนี่มั้ยลูก?”

    “ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เสี่ยวลู่จะไปโรงเรียนลำบาก”ลูกชายคนเล็กยกหลานชายตัวน้อยขึ้นมาอ้าง เขาเห็นใบหน้าหวานที่ดูซีดเซียวตั้งแต่บนโต๊ะอาหารแล้วก็ห่วงจับใจ เขาโอบไหล่เล็กเข้ามาใกล้ตัวแล้วบอกลาพ่อแม่ก่อนจะพากันออกจากบ้านไป

    “ไม่สบายเหรอ?”

    “ไม่ครับคุณอา ผมสบายดี”ลู่หานตอบด้วยเสียงราบเรียบก่อนจะเอนศีรษะลงพิงกับพนักเบาะแล้วปิดตาลงอย่างอ่อนล้า เขารู้สึกเหมือนพื้นที่สำหรับตัวเองในครอบครัวเหลือน้อยลงทุกที

    ตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่แยกทางกันแล้วทอดทิ้งเขาเอาไว้ในคฤหาสน์สกุลอู๋ที่ปักกิ่ง เขามีแค่คุณอาที่สละเวลาส่วนตัวมาดูแลเอาใจใส่ ตั้งแต่เล็กจนโตเขามีเพียงคุณอาจนกระทั่งลืมคิดไปว่าวันหนึ่งคุณอาก็จะต้องมีครอบครัวเหมือนเช่นวันนี้ แล้วถ้าคุณอาแต่งงานไป เขาจะอยู่กับใคร

    จะมีใครเอาใจใส่ จะมีใครดูแล ใครจะห่วงใยเขาแล้วกอดเขาไว้เวลาฝันร้าย ใครจะนั่งฟังเวลาเขามีปัญหา

    บนโลกกว้างๆใบนี้ถ้าไม่มีคุณอาแล้ว ลู่หานจะยังเหลือใคร....

     



     

    ความเงียบที่น่าอึดอัดโรยตัวอยู่ในห้องโดยสารของรถหรู เจ้าของรถละสายตาจากถนนเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนสีแล้วหัวใจของเขาก็ต้องกระตุกเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยที่นั่งเงียบกำลังร้องไห้

    ลู่หานเป็นเด็กที่เก็บอารมณ์เก่งจนเรียกได้ว่าไม่กล้าแสดงออกถึงความรู้สึกตัวเองเพราะหวาดกลัวว่าจะทำให้คนรอบข้างรำคาญแล้วพากันหนีหาย เขาจึงไม่เคยเห็นน้ำตาของเด็กน้อยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มากแค่ไหน

    แต่วันนี้ลู่หานกำลังปล่อยให้ตัวเองน้ำตาไหลแล้วเม้มริมฝีปากบางจนแน่นสนิทเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดลอดลำคอออกมา

    อู๋อี้ฝานที่เคยเห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานว่ามันจะช่วยให้เขารอดพ้นจากภาวะอันยุ่งยากที่เขากำลังรู้สึกแปลกๆกับหลานชายที่นับวันยิ่งโตก็ยิ่งแกว่งใจของเขาให้สั่น แต่พอเห็นว่าการตัดสินใจที่ไม่ได้คิดให้รอบครอบนั้นพาให้ลู่หานต้องร้องไห้เขาก็อยากจะวนรถกลับไปบ้านใหญ่แล้วบอกทุกคนว่าเขาขอล้มเลิกงานแต่งงานเสีย

     

     

    สิบปีที่เขาดูแลลู่หานไม่มีวันไหนที่เด็กน้อยจะร้องไห้ ต่อให้เศร้าหรือเจ็บปวดมากแค่ไหนลู่หานก็ทำแค่แสดงแววตาหม่นๆแล้วซุกซ่อนทุกความเจ็บช้ำของตัวเองใต้รอยยิ้มเบาบางบนริมฝีปาก

    เขาเคยคิดว่าอยากจะให้ลู่หานลองแสดงออกถึงอารมณ์จริงๆของตัวเองบ้าง แต่มันไม่ได้หมายถึงอารมณ์เศร้าจนโลกทั้งใบถูกย้อมเป็นสีของน้ำตาเช่นนี้

     

     

    “เสี่ยวลู่ อายังไม่ได้ให้ของขวัญหลานเลย”กล่องของขวัญใบน้อยที่วางอยู่หลังเบาะถูกเมินเมื่อเด็กชายวัยสิบห้าปีทำแค่คว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาแล้วส่งยิ้มบางๆให้เขา

    “เท่าที่ได้รับวันนี้ก็มากพอแล้วครับคุณอา ผมรู้สึกไม่ค่อยดี ขอตัวก่อนนะครับ”ร่างเล็กค้อมตัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้องนอนสีขาวที่เขามั่นใจว่าไม่ได้เห็นมันเปิดมานานนับเดือนด้วยความอ่อนใจ

    ลู่หานที่มักจะฝืนความง่วงถ่างตารอเขาที่โซฟาเสมอไม่ว่าจะดึกแค่ไหน วันนี้กลับทิ้งเขาให้ยืนอยู่กลางห้องโถงคนเดียวแล้วปิดประตูกันเขาเอาไว้ข้างนอกนี่

    ทุกอย่างพังลงแล้วจริงๆแค่เพราะความโง่ของเขา...

     



     

    แทบทั้งคืนที่ลู่หานทำได้แค่พลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงแต่ข่มตาให้หลับไม่ได้ อากาศของฤดูหนาวที่ใกล้ศูนย์องศาทำให้เขาหนาวลึกถึงกระดูก แม้ฮีทเตอร์ทำงานได้ดีไม่มีข้อบกพร่องแต่ความยะเยือกที่แผ่ออกมาจากหัวใจทำให้แม้เขาจะกอดตัวเองให้แน่นเข้าแต่ก็ยังต้านทานไม่ได้

    ดวงตากลมโตที่ชอกช้ำเบิกโพลงอยู่ในความมืด หมอนหนุนหนานุ่มกลายเป็นแอ่งน้ำตา เสียงสะอื้นที่เขากลั้นเก็บจนริมฝีปากปริแตกถูกสำแดงออกมาด้วยเสียงหวีดร้องราวสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บ

    โลกทั้งใบของเขากำลังจะทลายลงแล้ว ทำไมถึงต้องเป็นเขาที่ต้องจมอยู่กับความเดียวดายเสมอ

    ทำไมทุกคนถึงทิ้งเขาไป...

    โลกใบนี้ช่างโหดร้ายต่อเขาเหลือเกิน...




     

    ยามเช้ามาถึงเร็วไปหรือเปล่า? อู๋อี้ฝานรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้พัก เมื่อคืนตั้งแต่ลู่หานปิดประตูกลับเข้าห้องไปก็เป็นตัวเขาเองที่ทิ้งตัวลงโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง ทิ้งให้อากาศเย็นจัดเพราะหิมะโปรยปรายกัดกร่อนร่างกายเสียจนอ่อนล้า

    เสียงลูกบิดประตูสีขาวดังขึ้นก่อนร่างเล็กในชุดนักเรียนตัวใหม่เดินออกมา ดวงตากลมโตที่ปูดบวมทำให้เขาใจเสีย ยิ่งเด็กน้อยยิ้มเจื่อนจืดมาให้พร้อมก้มหน้าก้มตาเดินผ่านไปนั้นทำให้เขาใจไม่ดีเลยจริงๆ

    “ผมไปเรียนแล้วนะครับ”เสียงใสแว่วขึ้นเบาๆก่อนประตูห้องพักจะเปิดและปิดลงอย่างรวดเร็ว เจ้าของห้องตัวโตถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ถ้าหากว่าลู่หานกำลังพยายามจะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง แล้วตัวเขาล่ะจะอยู่ด้วยตัวเองโดยไม่มีเด็กน้อยคนนั้นได้หรือไม่

     




     

    รถโดยสารประจำทางที่มีผู้คนแน่นขนัดแออัดเหมือนปลากระป๋องเป็นเช่นไรลู่หานพึ่งจะได้พิสูจน์มันในนาทีนี้ เขาเกาะราวเหล็กด้านบนไม่ถึง แม้จะมีสายเชือกห้อยลงมาให้จับแขนสั้นๆของเขาก็ยังตะกายเกี่ยวไว้ไม่ถึง ทำได้แค่เพียงทรงตัวเกาะพนักเก้าอี้ท่ามกลางความเบียดเสียด

    กลิ่นอับๆของเสื้อผ้าและกลิ่นน้ำหอมที่ปนเปกันไปหมดทำให้ลู่หานรู้สึกคลื่นเหียนเหงื่อเม็ดใสจึงซึมออกมาจากไรผมสีน้ำตาลคาราเมลนุ่มนิ่มเหมือนขนแมว

    ลู่หานได้แต่ภาวนาให้การจราจรคล่องตัวเพื่อที่เขาจะได้ลงรถเร็วๆก่อนที่จะเป็นลมไปเสียก่อน

    ปกติการเดินทางไปโรงเรียนในแต่ละวันของลู่หานมีคุณอาเป็นคนขับรถไปส่ง ส่วนตอนเย็นถ้าคุณอาไม่ว่างไปรับก็จะมีคนขับรถของที่บ้านรับเขาพาไปทานข้าวที่บ้านใหญ่ก่อนจะพากลับไปส่งที่ห้อง

    ในชีวิตของลู่หานมีเงินจับจ่ายไม่ขาดมือมีความสะดวกสบายรอคอยพร้อมทุกอย่าง ไม่เรียกว่าลำบากแต่ที่หนักหนาที่สุดคือไม่มีใครรักเขา..


    ราวกับเป็นคำสาปที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิดและลู่หานก็เหน็ดเหนื่อยเหลือเกินต่อการดิ้นรนอันไร้ซึ่งหนทางออกเช่นนั้น

    เขาอยากมีใครสักคนที่เป็นของเขา แค่เขาเท่านั้นที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ





     

     

    วันนั้นทั้งวันอู๋อี้ฝานไม่มีสติพอจะทำงาน ยิ่งเห็นหิมะโปรยปรายลงมาจากนอกหน้าต่างห้องทำงานด้วยแล้วใจเขายิ่งกระวนกระวาย เมื่อเช้าตอนลู่หานออกจากบ้านเด็กคนนั้นแค่สะพายเป้ออกไป ไม่มีแม้กระทั่งผ้าพันคอหรือเสื้อโค้ตไว้ให้ความอบอุ่น แล้วยิ่งเป็นเด็กขี้หนาวด้วยแล้วจะทนไหวได้ยังไง

    “เลขาเจียง ถ้ามีงานด่วนให้นำไปที่บ้านผมนะครับ แต่ถ้ารอพรุ่งนี้ได้ ผมจะรีบเข้ามาสะสางให้แต่เช้า”

    “แล้วนัดกับคุณเซียงเย็นนี้ละคะ”

    “ยกเลิกให้ด้วยนะครับ บอกว่าผมมีนัดกับลูกค้าคนสำคัญ”อู๋อี้ฝานคว้าเอาเสื้อโค๊ตตัวหนาที่แขนอยู่ในตู้ข้างผนังออกมาแล้วเดินสาวเท้าเร็วๆออกไปจากห้อง

     



     

    รถหรูจอดเทียบอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังแต่ยามไม่ยอมให้เขาผ่านรั้วโรงเรียนเข้าไป ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วถอนหายใจออกมา

    เขารีบร้อนทิ้งงานและนัดเย็นนี้เพื่อมาดักรอหลานชายหน้าโรงเรียนก่อนเวลาเลิกเรียนเป็นชั่วโมงเพียงเพราะกังวลว่าเด็กน้อยของเขาจะเจ็บไข้ แต่ความห่วงใยที่มากล้นของเขามันส่งไปไม่ถึงลู่หานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

     


     

    ชายหนุ่มนั่งอยู่ในรถดับเครื่องแล้วมองออกไปนอกกระจกนิ่งๆราวชั่วโมงได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังบอกเวลาเลิกเรียนเขาจึงลงจากรถพร้อมด้วยโค้ตที่พาดอยู่บนหัวไหล่ เขาเดินลงมายืนพิงรถท่ามกลางหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาอีกระรอกและเพียงไม่ถึงอึดใจเด็กน้อยของเขาก็เดินตัวสั่นออกมาจากโรงเรียน

    ดวงหน้าน่าเอ็นดูซีดเผือดเหมือนไม่มีสีเลือดแต่ริมฝีปากกลับเป็นสีคล้ำ สองแขนเรียวในเครื่องแบบสวมกอดตัวเองแน่นจนสั่นระริกแต่ก็ยังต้านทานความเย็นของอากาศไม่ได้

    อู๋อี้ฝานเดินเข้าไปหาคนที่ก้มหน้าก้มตาเดินสู้ลมหนาวอย่างอวดดี เขาปลดเสื้อโค้ตลงจากไหล่แล้วกางออกคลุมลงไปบนร่างผอมที่เดินสั่นสะท้านอยู่ข้างหน้า พอคลุมเสื้อลงไปได้เสร็จเขาก็สวมกอดร่างเล็กเอาไว้ในวงแขนท่ามกลางสายตาของเด็กนักเรียนทั้งหลายที่จ้องมองมาทางนี้อย่างตื่นตะลึง


     “คุณอา..”ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองเจ้าของความอบอุ่นที่โอบกระชับร่างกายตัวเองอยู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย มันทั้งสุขและเศร้าในเวลาเดียวกัน

    “ขึ้นรถเถอะ อย่ายืนตากลมนานๆเดี๋ยวจะไม่สบาย”

    ท่อนแขนแข็งแรงโอบประครองร่างเล็กให้เดินไปที่รถหรูเขาเปิดประตูแล้วส่งลู่หานขึ้นนั่งข้างเบาะคนขับก่อนจะปิดประตูแล้วเดินไปนั่งประจำที่นั่ง ท่วงท่าราวฉากหนึ่งในละครที่ดูบ่อยๆทำให้ลู่หานใจเต้นระรัวจนเจ็บหน่วงไปทั้งอก เพราะเขาไม่ใช่นางเอกละครและคุณอาก็ไม่ใช่พระเอก

    สุดท้ายไม่ว่าจะได้รับการดูแลดีมากแค่ไหน ลู่หานก็ยังเป็นแค่หลานชายคนโปรด ไม่ใช่คนรักหรือคู่ครองของคุณอาอยู่ดี...

     



     

    ทันทีที่เข้ามาถึงห้องลู่หานก็ตรงดิ่งเตรียมจะเข้าห้องเหมือนเคยแต่คุณอาของเขากลับรั้งข้อมือผอมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยให้เขาทำได้ตามใจ

    ดวงตาคมเข้มที่จับจ้องใบหน้าหวานของหลานชายที่เอาแต่ก้มมองปลายเท้าตัวเองมันทำให้เขาขัดใจ พอเอื้อมมือไปแตะใบหน้านั้นกระแสร้อนผ่าวก็วิ่งจากปลายนิ้วเข้าสู่หัวใจของเขา

    “ไม่สบายไม่ใช่เหรอ อย่าอาบน้ำเลย เดี๋ยวอาเช็ดตัวให้”

    “แต่คุณอามีนัดเย็นนี้ไม่ใช่เหรอ?”

    “รู้ได้ยังไง?”

    ลู่หานเม้มริมฝีปากอย่างลำบากใจที่จะตอบ เขาเลือกจะส่ายหน้าเบาๆแทนแล้วเดินเข้าไปในห้อง ถอดเสื้อโค้ตตัวยาวของคุณอาแขวนไว้ที่ตะขอเกี่ยวข้างประตูแล้วปลดสูทตัวนอกของชุดนักเรียนออกจนเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อบาง เข็มขัดหนังเครื่องแบบลู่หานก็ถอดวางมันไว้บนโต๊ะ แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนอนเพราะรู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ

    วันนี้เขาทั้งผจญกับจำนวนคนมหาศาลบนรถประจำทาง แล้วยังจะทำกิจกรรมกลางแจ้งสู้ลมหนาว ถ้าหากว่าเขาต้องกลับบ้านเองโดยไม่มีคุณอาไปรับ เขาคงลากสังขารของตัวเองกลับมาไม่ถึงบ้านเป็นแน่




    ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มในกะละมังใบน้อยมีน้ำอุ่นๆและหัวหอมฝานบางๆลอยอยู่ อี้ฝานล้างมือแล้วพับชานแขนเสื้อตัวยาวขึ้นจนถึงข้อศอก จัดแจงเตรียมยาและน้ำเปล่าเอาไว้ในถาดแล้วยกมันเข้าไปในห้องลู่หานพร้อมกัน

    ห้องนอนของเด็กน้อยของเขายังคงเหมือนเดิม มีแต่หนังสือเรียนที่กองสูงขึ้นแต่นอกนั้นแล้วแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้ ลู่หานไม่มีงานอดิเรกแบบเด็กคนอื่นที่ควรจะมี เด็กคนนี้เก็บเนื้อเก็บตัวเอาแต่ตามติดเขาไปตลอดเวลา เขาเคยถามว่าลู่หานอยากจะทำกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษแต่ที่เด็กคนนั้นตอบคืออยากอยู่กับเขา..

    เขาจำได้ว่าตัวเองหัวเราะขำแล้วไม่ได้ตอบอะไร ความอิ่มเอมตอนนั้นเขายังจำได้ไม่ลืม แต่กลับเป็นเขาเองที่เลือกจะถอยออกมาทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเองกับลู่หาน เพราะเขาเองที่เริ่มรู้สึกเกินเลยกว่าที่อาหลานทั่วไปควรจะเป็น

    มันนานมากแล้วสำหรับการคุยกันแบบยาวๆระหว่างเราสองคนอาหลาน ครั้งสุดท้ายที่ได้ไปเที่ยวกันก็ยังผ่านไปแล้วเป็นปี ตั้งแต่ลู่หานขึ้นชั้นมัธยมปลายเขาก็รู้ว่าตัวเองเข้าใกล้ลู่หานน้อยลง เขาเริ่มกลัวความคิดตัวเองที่เอาแต่คิดไม่ดีกับลู่หานมากขึ้นเรื่อยๆจนเหมือนคนบ้า

    แต่เขาถอยออกมาไม่ได้อีกแล้ว เพราะการเห็นน้ำตาลู่หานมันทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าการหักห้ามตัวเองเสียอีก...

     

     



     

    ลู่หานนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง สติของเด็กชายเหมือนจะเลื่อนลอยไปแล้วเพราะพิษไข้ เขาจับร่างผอมบางผลิกให้นอนหงายบนหมอนดีๆแล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลงแล้วเอาผ้าขนหนูบิดหมาดๆเช็ดตัวให้

    เขาปลดกระดุมกางเกงของลู่หานลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก เหมือนว่าความร้อนจากร่างผอมบางที่ครางอือ-อาเพราะความไม่สบายตัวจะถ่ายทอดความร้อนมาสู่ร่างกายของเขาเสียจนรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด

    ชายหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเช็ดตัวให้คนอื่นจะยากเย็นได้ถึงเพียงนี้ เขาพยายามห้ามสายตาไม่ให้มองสำรวจผิวขาวที่แดงระเรื่อเพราะพิษไข้แล้วก็พยายามปิดหูไม่ฟังเสียงยั่วเย้าลวงใจ สุดท้ายก็สามารถเอาชนะตัวเองเช็ดตัวหลานชายได้สำเร็จโดยที่เขานั้นเหงื่ออาบราววิ่งตากน้ำ

    “คุณอา...”เสียงพร่าของลู่หานร้องเรียกพร้อมทั้งร่างผอมที่เปลือยท่อนบนโผเข้ากอดซุกซบใบหน้าร้อนผ่าวลงที่กลางแผ่นหลังของเขา

    “ผมทำอะไรผิดเหรอครับ? ทำไมคุณอาถึงจะทิ้งผมไปล่ะ?”เมื่อรับรู้ว่าร่างสูงใหญ่ในอ้อมแขนแกะมือเขาออก ลู่หานก็ดื้อดึงที่จะกอดรัดเอาไว้ให้แน่นขึ้นด้วยแรงทั้งหมด

    แต่คนป่วยตัวน้อยก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอในการยื้อยุด สุดท้ายเขาถูกถูกผลักลงจมเตียงนอนพร้อมร่างสูงใหญ่ที่ตามมาทาบทับปิดบังรัศมีการมองเห็นของเขาให้เหลือเพียงแผ่นอกกว้างและใบหน้าคมคายที่เต็มไปด้วยอารมณ์ซึ่งเด็กน้อยอ่านไม่ออก

    “คุณอา..”ลู่หานร้องเรียกราวกับว่าคำนี้เป็นเพียงคำเดียวในโลกที่เขาพูดได้ แต่คนฟังไม่อยากฟังมันอีกแล้วจึงก้มลงบดขยี้กลีบปากบางที่เปล่งเสียงเรียกฐานะที่ทำให้เขาหนักอกหนักใจจนถึงวันนี้

    ปลายลิ้นร้อนแทรกเข้าทำลายเสียงหวานพร่าที่รังแต่จะทำให้เขาขาดสติแล้วสองมือก็เลิกยึดข้อมือผอมบางเปลี่ยนมาเป็นสำรวจเรือนกายขาวผ่องน่าถนอมนั้นด้วยแรงอารมณ์ที่เขาจะไม่ต้านทานมันอีกแล้ว




     

    ลู่หานบิดกายอย่างยากลำบากเพราะแรงกดทับจากด้านบน ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะกระพริบถี่ เมื่อคุณอาขยับกายออกไปเพียงเล็กน้อยเพื่อปลดเปลื้องเสื้อเชิ้ตบนกายทิ้งแล้วคลายเข็มขัดกางเกงลง

    “คุณอา..ไม่เอานะ..”ลู่หานร้องเสียงลั่น ตะกายตัวขึ้นหนีแต่เรียวขาขาวกลับถูกกระชากกลับมาที่เดิมพร้อมกางเกงนักเรียนที่ถูกดึงทึ้งจนขาดบาดผิวเนื้อนุ่มนิ่มตรงต้นขาได้รอยแดงเป็นปื้นและความเจ็บจนน้ำตาแทบไหล

    “ทำไมล่ะลู่หาน หลานถามไม่ใช่หรือว่าทำอะไรผิด อากำลังจะบอกอยู่นี่ไง”มือใหญ่ยึดใบหน้าหวานที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาของเด็กชายตัวน้อยไว้แน่น สีหน้าตื่นตระหนกและแววตาวูบไหวทำให้เขาสั่นสะท้านแต่เขาปล่อยมือจากลู่หานไม่ได้อีกแล้ว

    “ผม..กลัว..”

     “อย่ากลัวเลยเด็กน้อย เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง”

    ปากอิ่มกระตุกวาดยิ้ม ก่อนจะคลายสัมผัสที่ใบหน้าหวานลงแล้วขยับกายอย่างเชื่องช้า เขากดน้ำหนักลงบนต้นขาขาวทั้งคู่ตรึงให้ติดอยู่กับเตียงกว้าง

    เขาเริ่มต้นสัมผัสผิวกายกึ่งเปลือยเปล่าของลู่หานอีกครั้ง แม้เด็กน้อยจะตื่นตกใจแต่ก็ไม่ดิ้นรนขัดขืนเหมือนเช่นเมื่อครู่ แผ่นอกบางที่หอบหายใจจนร่างสั่นสะท้านก่อนสองแขนเรียวขาวจะเอื้อมออกมาโอบกอดเขาไว้

    “เจ็บ..คุณอาครับ..มันเจ็บ”ลู่หานร้องเสียงแผ่วเมื่อรู้สึกถึงความแข็งขืนที่สัมผัสอยู่ตรงปากทางคับแน่น

    “อดทนหน่อยเด็กดี อดทนเพื่อฉัน”คุณอาหนุ่มปลอบประโลมแล้วดันขาเรียวขาวขึ้นสูงเพื่อให้เขาขยับกายเข้าหาได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

    เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีที่อ่อนเดียงสากัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงร้องที่อยากจะหวีดออกมาด้วยความเจ็บราวร่างกำลังถูกฉีกทึ้งแล้วขย้ำผ้าปูที่นอนแน่นจนมันแทบขาด แต่เขากลับไม่เอ่ยปากห้ามคนตัวโตที่กำลังแทรกผ่านความเจ็บร้าวเข้ามา

    นี่เป็นความยินยอมที่เขาไม่อาจปฏิเสธ มันคือความยินดีที่เขาจะยกทุกสิ่งที่ตัวเองมีให้ เพื่อที่จะได้มีใครสักคนที่อยู่เพื่อเขาและเป็นของเขาแค่เพียงคนเดียว

     



     

    เช้าวันอาทิตย์ที่อากาศหนาวเย็นบาดจิต ลู่หานขยับตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบากแต่เสียงโวยวายจากภายนอกทำให้เขาต้องฝืนสังขารลุกขึ้นมาอย่างไม่มีทางเลือก มือขาวเกี่ยวเสื้อเชิ้ตที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นสวมก่อนจะพบว่าเขาหยิบเสื้อของคุณอาได้แทนเสื้อของตัวเองที่คงเป็นเศษผ้าไปแล้ว

    “แกกล้าทำแบบนี้ได้ยังไงห๊ะ!”เสียงตวาดลั่นทำให้มือที่กำลังกลัดกระดุมของลู่หานกระตุก เขาตัวสั่นอยู่บนเตียงกอดผ้าห่มแน่นแล้วเพียงไม่นานประตูห้องนอนก็ดีดออกพร้อมใบหน้าเกรี้ยวกราดของคุณปู่และหญิงสาวผู้เป็นว่าที่อาหญิงของคุณอา


    ลู่หานที่ตัวสั่นกลางเตียงนอนกับสภาพยับเยินที่ไม่ต้องใช้คำอธิบายอะไรก็เห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างถูกคุณปู่พยุงออกมานั่งที่โซฟาตรงกลางระหว่างคุณปู่และคุณย่า ทั้งสองคนโอบกอดเขาอย่างระมัดระวังราวกลัวเขาแหลกสลาย ส่วนคุณอาก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีหญิงสาวพูดพล่ามไม่หยุดชวนรำคาญไม่น้อย

    “ไม่พอใจก็ถอนหมั้น แล้วจบกันตรงนี้เลยดีกว่า คุณไม่ต้องเสียอารมณ์ส่วนผมไม่ต้องเสียเวลา”

    “คุณจะทำให้ฉันขายหน้าเขาเหรอ?”

    “ระหว่างคุณกับผม เราไม่ได้น้อยหน้ากันหรอก ผมเป็นเกย์เล่นหลานตัวเอง ส่วนคุณก็แค่จับผู้ชายผิดคนเราเลิกกันเถอะ”

    มือเรียวงามที่ทาเล็บสีจัดจ้านตัดสีผิวตวัดตบใบหน้าหล่อเหลาแบบไม่ยั้งแรงจนชายหนุ่มหน้าหัน เธอกัดฟันด้วยความเกรี้ยวกราด ก้มหัวลงบอกลาคุณท่านและมาดามอู๋อย่างขอไปทีก่อนจะเดินจากไปพร้อมคำสาปส่งที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์

     


     

    ทั้งห้องเงียบสงบเมื่อคนแปลกหน้าจากไปแล้ว ลู่หานบีบมือตัวเองแน่นด้วยความกดดันที่ทั้งคุณปู่คุณย่าและคุณอากำลังเล่นแง่ใส่กันอยู่ เขาขยับตัวอย่างรู้สึกไม่สบายเท่าไหร่ ก่อนจะสูดปากด้วยความร้าวรานที่แล่นขึ้นมาจากเบื้องล่าง

    “เป็นอะไรมากมั้ยลูก”คุณย่าถาม มือเรียวที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของวันเวลาลูบไล้เส้นผมยุ่งเหยิงสีอ่อนของลู่หานให้เข้าที แต่เธอก็ต้องสะบัดมือราวจับของร้อนเมื่อเกลี่ยเส้นผมตรงท้ายทอยแล้วมองเห็นจ้ำแดงที่ระบายอยู่รอบลำคอขาว

    “แกกล้าทำแบบนี้ได้ยังไง! นี่หลานแกนะ!!”นายท่านอู๋คำรามลั่น ตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธเมื่อคิดว่าเกิดเรื่องบัดซบมากแค่ไหนขึ้นบ้างเมื่อคืนนี้เขาก็อยากจะลุกขึ้นมาฟาดหัวลูกชายให้สมกับความโกรธา

    “หลานงั้นเหรอ พ่อคงไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนเราสองคนสนุกกันแค่ไหน”

    “อี้ฝาน!!!”นายท่านอู๋ตะโกนลั่น มือใหญ่ฟาดเข้าที่ใบหน้าลูกชายแรงเสียงจนเสียงกะทบดังกึกก้องในห้องกว้าง


    ลู่หานกระตุกชายเสื้อของคุณปู่ที่กำลังโมโหไม่เบาแรงนัก เขาคลี่ยิ้มเศร้าด้วยท่าทางน่าสงสารก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์นัก

    “ขอโทษนะครับคุณปู่ คุณย่าที่ผมทำให้ผิดหวัง อย่าลงโทษคุณอาอีกเลยครับ ทุกอย่างผิดที่ผมเอง”

    ลู่หานคุกเข่าลงตรงหน้าทุกคนแล้วคำนับท่านอย่างขอโทษ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเศร้า

    “ผมแค่อยากให้คุณอารักผมบ้างแต่ผมคงลืมไปว่าขนาดพ่อแม่ยังไม่รักผมเลย ที่ผมทำให้คุณอาลำบากใจและทำให้คุณปู่คุณย่าโกรธ ผมขอโทษครับ”

    น้ำตาที่ไหลลงมาจากดวงตากลมสวยทำให้ทุกคนรู้สึกสะเทือนใจจนพูดอะไรไม่ออก ลู่หานค้อมหัวจรดพื้นคำนับอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินโซซัดโซเซกลับเข้าห้องของตัวเอง

     


     

    ความเครียดโอบล้อมพวกเขาทุกคนไว้ มีแต่ความเงียบที่น่าอึดอัดภายในห้องรับรองแห่งนี้ ลูกชายคนเล็กลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาสูดหายใจเข้าลึกมองประตูห้องที่ปิดสนิทลงแล้วหันกลับมามองสีหน้าเคร่งเครียดของพ่อและแม่

    “ผมอยากจะอยู่กับลู่หาน เราจะอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเหมือนที่เคยผ่านมา”

    “แต่..”มาดามอู๋อยากขัดแต่สามีของเธอห้ามเอาไว้

    “ผมไม่มีลู่หานได้ แต่ถ้าไม่มีผมลู่หานคงอยู่ไม่ได้หรอกครับ”

    นายท่านอู๋ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เรื่องบางอย่างพวกเขาเรียนรู้ด้วยชีวิตที่ผ่านมาว่าแม้จะพยายามฝืนควบคุมแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ทำไม่ได้

    ลู่หานคือหลักฐานความผิดพลาดที่ประจานความเผด็จการณ์ของพวกเขา ความเจ็บปวดและน้ำตาของหลานชายคนโปรดที่เกิดมาแล้วถูกทิ้งขว้างนั่นคือตัวแทนของความร้ายกาจที่พวกเขาฝืนจะทำ แต่สุดท้ายคนที่ต้องรับผลทั้งหมดคือหลานชายผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

    ลู่หานเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวเพราะพ่อแม่แยกทางกัน เด็กคนนั้นแสวงหาความรักจนกระทั่งเกิดเรื่องบ้าๆนี่ขึ้น

    ความผิดในอดีตที่ไล่ตามมาเหมือนเงาทำให้นายท่านและมาดามอู๋ไม่กล้าแม้แต่จะเสี่ยงควบคุมผลลัพธ์อีกครั้ง


    “แค่ปล่อยพวกเราไปก็พอครับ เพราะผมห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว”

    อู๋อี้ฝานค้อมตัวลงเขารู้สึกขอโทษกับเรื่องที่เกิด แต่สายไปแล้วหากจะให้หยุดเพื่อกลับไปแก้ไข เขาทอดทิ้งเด็กน้อยที่โดดเดี่ยวอย่างลู่หานไม่ได้ และเขาก็ห้ามความหวามไหวในอกที่มีต่อลู่หานไม่ทันอีกแล้ว

    นานราวสิบนาทีกว่าผู้ใหญ่ทั้งคู่จะทำใจได้แล้วยอมลุกจากไปเงียบๆ ไม่มีคำพูดแสดงการยอมรับแต่การยอมถอยบอกชัดที่สุดแล้วว่าทั้งสองคนมีจุดยืนเช่นไร

    อู๋อี้ฝานปิดประตูห้องให้เรียบร้อย เขาโยนโทรศัพท์มือถือที่เป็นหลักฐานมัดตัวเขาในเหตุการณ์เมื่อคืนทิ้งลงถังขยะหลังจากมันโดยทำลายเสียจนย่อยยับด้วยอารมณ์ของผู้เป็นบิดาเขาเมื่อเช้า

    เขาเลือกที่จะโทรออกไปให้ผู้หญิงแซ่เซียงฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนี้บ้างแล้วปล่อยให้เธอดิ้นเร่าๆพาพ่อกับแม่มาจัดการเขาที่นี่ แม้จะเจ็บตัวไปบ้างแต่ผลลัพธ์ของมันไม่ทำให้เขาผิดหวังแม้แต่น้อย

    เขาเคาะประตูห้องลู่หานเบาๆก่อนจะผลักมันเข้าไป เด็กน้อยที่โศกเศร้าของเขานั่งห้อยขาอยู่ที่ปลายเตียง เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่โคร่งที่ปกปิดผิวกายขาวนั่นคือของเขาที่ลู่หานใส่ผิดเพราะความรีบร้อนเมื่อเช้า


    “ได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย?”

    ลู่หานพยักหน้าลงอย่างช้าๆ มุมปากวาดออกเป็นรอยยิ้มดวงตาหวานอมโศกทอประกายแห่งความหวังที่เต็มตื้นขึ้นมาในหัวใจ ต่อชีวิตของเขาให้ยืดยาวออกไป

    “ไม่มีใครขวางเราได้อีกแล้ว เข้าใจมั้ย”อู๋อี้ฟานกระซิบรั้งร่างผอมบางเข้ามากอดเอาไว้อย่างทะนุถนอม หอมแก้มซ้ายขวาอย่างรักใคร่แล้วบรรจงจูบด้วยความเสน่หา

    ชายหนุ่มเกี่ยวร่างผอมให้ขึ้นมานั่งซ้อนอยู่บนตักแล้วปรนเปรอจูบอย่างอ้อยอิ่งระมัดระวังไม่ให้แผลมุมปากแตกมากขึ้น

    ลู่หานยิ้มหวานแล้วประครองใบหน้าหล่อเหลาไว้ในอุ้งมือ เขายิ้มตอบรับยิ้มหวานจับใจนั่นแล้วกอดกระชับลู่หานให้แนบแน่นจนไม่มีช่องว่างให้แทรกผ่าน

    “คุณอาของผม”เสียงหวานกระซิบที่ข้างหูแล้วแนบจูบลงมาอย่างเอาอกเอาใจ

    “ใช่ฉันเป็นของนายลู่หาน อาเป็นของหลานคนเดียว”อี้ฝานยิ้มเขายินดีจะเป็นของลู่หาน เหมือนเช่นที่ลู่หานเป็นของเขา

     


     

    ทั้งๆที่รู้ชัดว่าผิดและสังคมไม่ยอมรับแต่เขาไม่คิดจะใส่ใจ ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่สมควรและไม่เหมาะสมแต่เขาเลือกจะไม่แยแส
    ในเมื่อเสี่ยวลู่ตัวน้อยของเขาถูกทอดทิ้งอย่างเลือดเย็นแล้วทำไมเขาถึงจะรับเลี้ยงดูแลไม่ได้


    ถ้าหากว่าทุกคนบนโลกหันหลังให้เราและไม่ยอมรับความรักนี้ ก็ไม่เป็นไร

    เขาจะเป็นโลกทั้งใบ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้เสี่ยวลู่ของเขาเอง...

     

     

     
    Darknez Talk...
    ไม่นึกฝันว่าจะได้ร่วมอยู่ในโครงการพิเศษนี้ด้วย
    ขอบคุณพี่@Pan_noona ที่ชักชวนนะคะ 
    สำหรับฟิคเลิฟก็คงไม่หวือหวาอะไรมากค่ะ คราวนี้แค่ดูหม่นนิดๆให้เข้ากับสีท้องฟ้าฤดูหนาวเท่านั้นเอง
    ยังไงก็ฝากแท็ก#ficอาหลาน #007fic ต้องติดสองอันพร้อมกันนะคะ
     ขอบคุณค่ะ 
     


     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×