ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tale Of Final Quest

    ลำดับตอนที่ #3 : บรรพที่สอง \" ความลับของราชวงศ์ \"

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 46


    ปฐมบทแห่งภาคมหาสงคราม

    บรรพที่  2

                                                         “ความลับของราชวงศ์”




    แสงดูน่า ( อาทิตย์ ) ส่องเข้าตาเขาเพื่อเตือนให้รู้ว่ารุ่งเช้าได้มาเยือนอีกครั้ง  เขาลุกขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์ภายใต้หมู่แมกไม้นานาพรรณ  สิ่งเหล่านี้ย้ำเตือนเขาอยู่ทุกวันว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่



    หลังจากเก็บสัมภาระที่จำเป็นเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง  เทือกเขาโบราณเอนเดรสตั้งตระหง่านท้าทายสายตาของเขา  หิมะบนยอดเขาสะท้อนแสงดูน่าทำให้ส่องแสงสีขาวบาดตายิ่งนัก  เขาอาศัยความชำนาญในการปีนเขาตั้งแต่ยังเด็กปีนขึ้นไปยังจุดหมายเบื้องบน  เพียงครึ่งวันเขาก็มาอยู่ยังปากทางเข้าอุโมงค์โบราณที่ชาวลีเจนไดส์สร้างไว้สำหรับการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างลีเจนไดส์กับไมโตส  มาบัดนี้ทางเข้านั้นได้ถูกปิดผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา



    เขาหยุดพักชั่วครู่เพื่อสังเกตสภาพต่างๆ หน้าปากทางเข้า  เมื่อพบว่ามีช่องเล็กๆ ที่เกิดจากสายลมรุนแรงยามเกิดพายุทำให้ไม้ที่ตีปิดไว้นั้นหลุดลอกออกไปบ้าง  เขาตวัดดาบเบาๆ เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เกิดช่องเล็กๆ ที่พอให้คลานเข้าไปได้



    เขาโยนหีบห่อสัมภาระเข้าไปก่อนจากนั้นจึงนอนลงกับพื้นแล้วเตรียมตัวหงายหน้าโดยใช้ไหล่ไถไปกับพื้น  เขาค่อยๆ ดันตัวเองเข้าไปจนกระทั่งเกินครึ่ง  มันใดนั้นเองดาบสีดำเล่มหนึ่งก็จ่ออยู่ที่คอหอยของเขา  รังสีอำมหิตครอบงำทั่วทุกบริเวณ



    ชายผิวดำคนนั้นแต่งตัวเหมือนทหารชั้นสูง  สีผมที่ดำเข้มดูกลืนไปกับสีของดาบที่เป็นเสมือนยมทูตที่คอยปลิดวิญญาณมนุษย์

    เพียงเสี้ยววินาที  เขาใช้ข้อมือยันดาบเล่มนั้นออกไปแล้วใช้มือข้างที่ว่างอยู่ตวัดดาบออกมาจู่โจมไปที่ขาของอีกฝ่าย  ชายผิวดำกระโจนหลบไปอย่างหวุดหวิด  ทำให้เขามีโอกาสที่จะไถลตัวออกมาจากช่องแคบนั้นได้  



    โดยไม่เสียเวลา  ทันทีที่เขาตั้งท่าได้  ชายผิวดำก็เริ่มลงมืออีกครั้ง  มันวิ่งเข้ามาราวกับสายฟ้าฟาด  ดาบสีดำเกิดรัศมีเปล่งออกมา  พื้นหญ้าปลิวสะบัด



    “ศาสตราระดับสูง?”  เขาตะลึง



    ดาบสีดำที่ตวัดลงมานั้นแรงและเร็ว  เขาใช้สันดาบยันวิถีดาบเอาไว้ก่อน  แต่ทว่าความรุนแรงเหนือกว่าที่เขาคาดหมาย  ทำให้เขากระเด็นออกไปข้างหลัง  เมื่อตั้งหลักได้  ดาบที่สองก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง



    คราวนี้เขาโต้ตอบบ้าง  มือที่จับดาบพลิกดาบให้คว่ำลงในลักษณะปลายดาบแนบไปกับข้อศอก  จากนั้นเขาก็เริ่มร่ายศาสตรา  รัศมีสีขาวจับทั่วบริเวณดาบส่องสว่างราวกับแสงแห่งดูน่า  ชายผิวดำร้องลั่นแล้วฟาดฟันดาบลงมา  เขาใช้คมดาบรับ  เสียงเปรี้ยงดังลั่นสะท้อนไปทั่วขุนเขา

    ต่างฝ่ายต่างกระเด็นออกไปจากที่ยืนอยู่เมื่อครู่  ดูเหมือนว่าชายผิวดำจะได้รับบาดเจ็บภายในจนถึงกับกระอักเลือดออกมา



    “หึหึ”  มันหัวเราะ  



    เขาเก็บดาบเข้าฝักใช้เพียงสายตาตรึงอีกฝ่ายไว้กับที่



    “สมแล้วที่ได้รับฉายาว่าสายฟ้าสีเงิน”



    เขาไม่เอ่ยอะไร



    “ท่านคงสงสัยสินะ  ว่าข้ามาทำอะไรที่นี่”



    “ท่านเป็นใคร”  เขาถาม



    “หึหึ  เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านสนใจชื่อข้า  นามของข้านั้นต่ำต้อยยิ่งนัก  มิอาจเปรียบได้กับนามอันสูงส่งของท่าน”



    “หมายความว่าไง”



    “หึหึ  ในเมื่อท่านสามารถรับมือข้าได้  คำตอบของท่านคงอยู่อีกไม่ไกล  ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้  จักเป็นเสมือนยากำลังให้ข้าฝึกฝนตนเองใหม่  จนกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง  ขอให้ท่านโชคดี  ไรซิ่งท๊อป  ไรอาซัน  สายฟ้าสีเงิน”



    พูดจบก็มีสายลมแรงพัดมาจากทิศตะวันตกหอบเอาร่างของชายผิวดำขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหายลับไป



    “ชายผู้แปลกประหลาด”  เขาพึมพำ  หลังจากที่แทรกตัวผ่านเข้าไปยังบานประตูทางเข้าที่ถูกปิดไว้ได้แล้วเขาก็เริ่มเดินทางต่อไป



    ภายในอุโมงค์โบราณนี้เต็มไปด้วยความมืด  กลิ่นเหม็นสาบโหยหวนชวนให้อาเจียน  ไรซิ่งต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้  กลิ่นพวกนี้อาจทำลายประสาทและสติสัมปชัญญะของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มวิ่งเพิ่อหาทางออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  สายลมอ่อนๆ ที่พัดมาจากเบื้องหน้าทำให้เขาสามารถรู้ได้ว่าทางออกอยู่ไม่ไกลนัก



    แสงสว่างส่องให้เห็นที่สุดปลายทาง  มันส่องลอดรูเล็กๆ ที่ปลายถ้ำออกมา  เขาวิ่งไปที่ปลายแสงนั้น  ทันใดนั้นแสงสว่างที่ลอดเข้ามาก็สะท้อนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าตาเขาจนทำให้ต้องละสายตาไปยังสิ่งนั้น



    เขาค่อยๆ เอื้อมมือลงไปเพื่อหยิบสิ่งนั้นขึ้นมา  มันเป็นล็อกเกตสีทองอร่ามที่ดูเก่าแก่มากไม่รู้ว่ามันสามารถผ่านมือขโมยต่างๆ มาได้อย่างไร  เขาปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามล็อกเกตนั้นออกหมดแล้วจึงค่อยๆ เปิดออกดู



    ภาพที่ปรากฏภายในคือชายรูปงามนั่งอยู่บนบัลลังก์รูปสิงโตท่าทางสง่างามน่าเกรงขาม  ที่ยืนเกาะแขนไว้คือหญิงงามนางหนึ่งสวมชุดขาวบริสุทธิ์  บนศรีษะของชายผู้นั้นประดับไว้ด้วยมงกุฏอันสูงค่าเพชรพลอยและจินดาต่างๆ ส่องแสงเป็นประกายเมื่อกระทบเข้ากับแสงแดด  รูปสลักทั้งหมดทำได้อย่างปราณีตบนเนื้อทองคำที่ล้ำค่า  เขาพลิกดูที่ด้านหลังปรากฏข้อความสั้นๆ หนึ่งบรรทัดเป็นภาษาลีเจนไดส์ว่า



    “ ราชวงค์  ไรอาซัน  แห่ง  ลีเจนไดส์  ”



    ………………………………………………………………………………………………………..





    อิสมาอีลรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่ออัลฟ่าเดินเข้ามาปลุกเขาเมื่อรุ่งสาง



    “หลับสบายมั้ยครับ”



    “ก็ดี  แต่เรื่องเมื่อคืนทำให้ผมคิดไม่ตกเลย  นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้”



    “ผมเองก็ยังคาดไม่ถึงเลย  ขนาดที่ว่าผมมาประจำการที่ลูโทมินัสได้  2  ปีแล้วนะครับ  ข่าวของเรื่องพวกนี้ยังไม่เคยตกมาถึงหูผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว”



    “ถ้าอย่างนั้น  รูปถ่ายพวกนี้มาได้อย่างไรล่ะ”



    “นั่นเป็นผลงานของพวกสนีคครับ”



    “สนีค?”



    “ครับ  พวกนี้ถูกส่งมาเพื่อแฝงตัวตามรัฐบาลของประเทศต่างๆ เพื่อจุดประสงค์ที่ต่างกันไป  อย่างครั้งนี้ก็เพื่อสังเกตการณ์เมื่อคราวที่เอเนทอร์เข้าพบปะกับจักรพรรดิเคลสม่าโดยเฉพาะ”



    “ผมสงสัยจริง  บีแอสเขาระแคะระคายเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกันนะ”



    “คุณก็รู้  อำนาจของบีแอสมีมากกว่าที่พวกเราคิดเสียอีก  โดยเฉพาะอดีตของเขา”



    “อดีตของเขา?  เคยได้ยินมาว่าเมื่อ  20  ปีที่แล้ว  ตอนที่สงครามจักรวรรดิยังคงคุกรุ่นอยู่นั้น  เขาเป็นวีรบุรุษสงครามในคราวนั้นด้วยนี่นา”



    “อืมมม  จริงๆ แล้ว…”



    เสียงระเบิดดังขึ้นทำให้การสนทนาจบลง  แชซวิ่งมาจากอีกด้านหนึ่งของป่า



    “เริ่มแล้ว”



    “นึกไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้”



    “หมายความว่าไงเนี่ย”  อิสมาอีลรีบคว้าอาวุธติดตัวแล้ววิ่งตามอีกสองคนไป



    “เมื่อคืนเราได้รับการติดต่อมาจากในเมือง  ได้ข่าวว่าสนีคของเราสืบมาได้ว่าวันนี้พวกแอนตี้ยูพีโอจะเริ่มปฏิบัติการก่อความไม่สงบอีก”



    “กลางป่าเนี่ยนะ”



    “ใช่  เพราะว่ากลางป่านี่มีสิ่งหนึ่งอยู่”



    “สิ่งหนึ่ง?”



    เสียงระเบิดดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อิสมาอีลหยิบสำรับไพ่ออกมาจากกระเป๋าพกข้างตัว  เปิดสลักออกแล้วกรีดไพ่ออกเป็นวงเตรียมพร้อมเอาไว้

    หลังจากที่ฝ่ากลุ่มควันออกมาได้  สภาพข้างหน้าก็เผยให้เห็นสนามต่อสู้ย่อมๆ สนามหนึ่ง  กลุ่มคนสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ที่บริเวณลานกว้างที่หญ้าและพืชพันธุ์อื่นๆ ไม่ค่อยขึ้นมากนักทำให้บริเวณนี้กลายเป็นที่ราบกว้างๆ ที่หนึ่ง



    “นี่มัน…”  อิสมาอีลอุทานออกมา



    ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือปืนใหญ่ขนาดมหึมาที่บรรทุกอยู่บนแท่นเคลื่อนย้าย  สภาพของมันแสดงให้เห็นว่าพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ

    “เทคโนโลยีของไลโนลีเซี่ยนนี่นา”  อิสมาอีลพูด



    “ใช่  นั่นคือ  แกรนด์เดรสทรอยเออร์ ( Grand-Destroyer )  ปืนใหญ่รุ่นใหม่ที่พัฒนาโดยประเทศไลโนลีเซี่ยน”  แชซเฉลย



    “และนั่นทำให้ข้อสงสัยของเราเป็นจริง”



    “ไม่น่าเชื่อเลยนะ  ว่าไลโนลีเซี่ยนคิดที่จะทำสิ่งนั้นจริงๆ”  อัลฟ่าบอก



    “นั่นสิ  แต่ก่อนอื่น”  อิสมาอีลสะบัดไพ่ในมือปรากฏแสงสีทองล้อมรอบมือของเขา  “ผมว่าเราต้องกำจัดเจ้าพวกนี้เสียก่อน”  พูดจบไพ่ที่อยู่บนมือของเขาก็พุ่งทะยานออกสู่สนามรบเบื้องหน้าทันที  



    ไพ่ศาสตราของเขาวิ่งเข้าใส่กองโจรทั้งหลายอย่างแม่นยำ  มันเสียบเข้าที่คอของพวกนั้นทุกใบราวกับมีดที่ลับมาจนคมกริบ



    “เป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้เห็นศาสตราระดับสูง”  อัลฟ่าตะโกนพลางรวบรวมสติเข้าไว้ที่ปืนของเขา  พริบตาเขาโยนปืนขึ้นไปบนอากาศแล้วถอดมันออกเป็นชิ้นๆ ศัตรูมองตามกันอย่างงงๆ



    “คราวนี้ใช้แค่ปืนกลระยะใกล้ก็คงพอ”  อัลฟ่ากระโดนขึ้นไปบนอากาศแล้วคว้าจับอุปกรณ์ที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่สายตาคนธรรมดาจะมองทัน  เพียงไม่ถึงวินาทีเขาก็ประกอบปืนเสร็จ  ปืนกลที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ พ่นกระสุนใส่ผู้คนที่ยืนอยู่ข้างล่างอย่างแม่นยำ  ส่งผลให้พวกโจรล้มตายไม่ค่ำกว่าสิบคน



    “เร็วและรุนแรง”  อิสมาอีลบอก



    “ขอบคุณ”  อัลฟ่าบรรจุกระสุนด้วยความรวดเร็ว



    ฝ่ายแอนตี้ยูพีโอแต่งชุดกันแบบทหารรับจ้างทั่วไปคือเสื้อสีเขียวลายพรางและใส่กางเกงทหาร  มีผ้าปิดปากปิดเอาไว้  บนหน้าอกด้านซ้ายจะเขียนตำแหน่งด้วยรหัสเฉพาะ  แชซจึงคอยมองหาเจ้าตัวหัวหน้าของงานครั้งนี้จากสัญลักษณ์นี้เอง  ในที่สุดเขาก็เจอเจ้าตัวหัวหน้าที่กำลังจุดสายชนวนของปืนใหญ่



    ด้วยความรวดเร็วดั่งตำนานกล่าวขาน  เขายกไม้เท้าประจำตัวขึ้นแล้วร่ายจักราทันที



    “โอม  พินาศ”  เขาเปล่งพลังออกจากไม้เท้า  ลำแสงสีดำแผ่พุ่งไปยังทิศทางที่ถูกกำหนดไว้ด้วยความรวดเร็ว  เจ้าตัวหัวหน้าหันหน้ามาเห็นเข้าจึงรีบลนลานถอยหนีออกมาจากที่ตั้งปืนใหญ่



    เสียงระเบิดของจักราดังกังวานไปทั่วป่า  ทุกสรรพสิ่งหยุดการเคลื่อนไหวของตนเองลงอย่างอัตโนมัติ  การโจมตีที่รุนแรงทำให้เกิดกลุ่มควันขนาดมหึมา  พอควันจางลง  อัลฟ่ากับอิสมาอีลก็จัดการกับพวกที่เหลือเสร็จเรียบร้อยแล้ว



    “พวกแก…”  ตัวหัวหน้าพูดเสียงสั่น



    “นายคงจะรู้นะว่าสถานะการณ์แบบนี้ใครสมควรที่จะเป็นผู้ถามมากกว่ากัน”  อัลฟ่าหันไปหาอิสมาอีล  เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วพูด



    “พวกนายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”



    “หึๆ แล้วพวกแกคิดว่าข้าตั้งใจจะทำอะไรเล่า  อย่าบอกนะว่าไอ้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้าเนี่ย  พวกแกไม่รู้จักกัน”



    “แกรนด์เดรสทรอยเออร์?  แกไปเอามันมาจากไหน”



    “นึกว่าพวกแกจะฉลาดกว่านี้เสียอีก”  มันแสยะยิ้ม  อัลฟ่าเตะเข้าที่ข้างตัวมันอีกทีหลังจากมัดมันไว้กับต้นไม้แถวนั้น



    “อย่าเล่นลิ้น”  เขาจ้องหน้ามัน  เล่นเอามันเงียบไปได้ซักพัก



    “คุณชื่ออะไร  สังกัดไหน”



    “ข้า  อีมาตี้  นายกองแห่งแอนตี้ยูพีโอที่  4008”



    “แกคงรู้ว่าเรามีสิทธิถามแกตามกฏบัตรยูพีโอว่าด้วยอนุสัญญาย่อยเชลยศึกและเชลยสงคราม”  อัลฟ่าบอก



    “ยังไงพวกแกก็เป็นคนออกกฏกันเองอยู่แล้วนี่นา  จะมาแคร์ทำไมกันวะ?”



    “บอกแล้วไงว่าพวกข้าเป็นคนถาม  ใครใช้ให้ถาม”



    “เอาเหอะ  ยังไงก็ทำตามกฏบัตรละกัน  คุณมีสิทธิ์ที่รู้จักพวกเราเช่นกัน  ผมอิสมาอีล  โยฮาร่า  แห่งสำนักงานใหญ่ยูพีโอ  หน่วยบัญชาการรบแห่งสภาสูง  นี่คุณ  แชซ  แห่งอัครเมธี  เป็นหนึ่งในสภาสูงแห่งยูพีโอ  และนี่…”



    “อัลฟ่า  ไฮนด์  โซโลวิง  ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองพิเศษ  ประจำการที่ลูโทมินัส”



    “ที่แท้ก็คนใหญ่คนโตทั้งนั้น  ว่าแต่ทำไม…”



    “ทำไมพวกเราถึงรู้นะเหรอ  เพราะพวกแกดูถูกยูพีโอมากเกินไปนะสิ  การที่พวกแกขนของที่มีขนาดใหญ่ขนาดแกรนด์เดรสทรอยเออร์ออกมมาที่ลูโทมินัสเนี่ยคิดว่ามันจะพ้นหูพ้นตาของพวกเราไปได้เหรอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  พวกแกไม่มีวิศวกรที่เก่งพอที่จะสร้างมันขึ้นมาเองได้”



    “หึๆ มันก็ถูกแค่ส่วนที่ว่าพวกเราขนมันมาเท่านั้นแหละ”



    “แล้วส่วนไหนที่ผิดล่ะ”



    “เรื่องอะไรที่ข้าจะบอกความลับขององค์กรให้แกรู้วะ  ให้มันตายกันให้หมดเลยไอ้พวกเห็นแก่ตัว”



    “เห็นแก่ตัว?  ยังไง?”  อิสมาอีลเริ่มสนใจกับคำพูดนั้น



    “การที่พวกแกตั้งกฏบัตรบ้าบออะไรนั่นขึ้นมาเนี่ย  ก็เอาแต่ความสบายของคนใหญ่คนโตทั้งนั้น  คนเล็กๆ อย่างพวกข้าไม่มีสิทธ์ไม่มีเสียงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก”



    “ถ้าอย่างนั้นแกก็ต้องไปโทษรัฐบาลของพวกแกเองสิวะ  ว่าทำไมไม่ทำประชาพิจารณ์”



    “เชอะ  แล้วคิดว่าถ้าทำไปแล้วมันจะเชื่อเหรอวะ  ทั้งกรณีแบ่งแยกไอร์กอน  แคปตาโมโปเลีย  คุกคอนอาก้า  บ่อน้ำมันกลางมหาสมุทรลูนอร์  สิทธิบ้าบออะไรของพวกไอ้พวกบ้าผลประโยชน์งี่เง่าพวกนี้วะ  ที่มันจะมาบงการชีวิตพวกคนอย่างข้า”



    อิสมาอีลนั่งเงียบไป  จริงอยู่ที่เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์แต่ก็เป็นเรื่องของมวลชนทั้งนั้น  เหมืองแร่ที่ไอร์กอนที่เป็นชนวนจุดระเบิดของสงครามเมื่อสามปีที่แล้วนั้นก็จบลงที่ประชาชนที่ทำอาชีพค้าแร่ต้องเสียภาษีที่ยูพีโอกำหนด  ดังนั้นตามที่อีมาตี้กล่าวไว้นั้นก็เป็นความจริงส่วนหนึ่งคือ  มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งนั้น  ส่วนแคปตาโมโปเลียนั้น  เป็นพื้นที่ที่ยูพีโอจัดไว้สำคัญเผ่าพันธืคนมีปีกเท่านั้นห้ามนุษย์ย่างกรายเข้าไปโดยเด็ดขาด  เนื่องจากสาเหตุบางประการ  ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ่อน้ำมัน  คุกคอนอาก้าล้วนแล้วแต่ทำขึ้นเพื่อเรียกร้องภาษีที่แพงลิบกับประชาชนทั้งนั้น



    “เอาล่ะ  อุดมการณ์ของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน  เพียงแต่ว่าคุณทำผิดกฏที่เราร่วมสร้างกันขึ้นมาและคนส่วนใหญ่ยอมรับดังนั้น  ในฐานะของยูพีโอผมจำเป็นต้องส่งตัวคุณไปยังศาลที่ลูโทมินัสเพื่อให้เขาดำเนินคดีต่อไป  อัลฟ่าฝากเรื่องนี้ด้วยนะ”



    อัลฟ่าพยักหน้าแล้วหยิบวิทยุสื่อสารออกมาจากเป้สะพายหลัง



    “จากซิกม่า-ลูโทมินัส  ถึงซิกม่า01  ทราบแล้วเปลี่ยน”



    “ชัดเจนลูโทมินัส  ว่ามาเลย”  เสียงซ่าๆ ดังมาจากอีกฟากหนึ่ง



    “ฉุกเฉินระดับซี  ส่งมาซัก  3  คนก็พอ  ขอรถลำเลียงด้วย”



    “ขอ  3  นาที”



    “เลิกกัน”



    อัลฟ่าหันมาพยักหน้าให้ทั้งสองคน



    “เดี๋ยวผมเฝ้าที่นี่เองครับ  พวกคุณทั้งสองเชิญตามสบาย”



    อิสมาอีลพยักหน้าขอบคุณแล้วชวนแชซให้เดินตรวจสถานที่  ทั่วบริเวณนั่นเต็มไปด้วยควันไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่เต็มไปหมด

    “ดีนะที่เราได้ข่าวเร็ว”



    “นั่นสิ  หากเราช้าเพียงก้าวเดียว  กระสุนจากปืนใหญ่นี้คงไปถึงใจกลางเมืองเป็นแน่  ไม่อยากคิดสถาพตอนนั้นเลยให้ตายสิ”  อิสมาอีลหยิบตราสัญลักษณ์ทหารของแอนตี้ยูพีโอขึ้นมาจากพื้นดิน  มันคงกระเด็นมาระหว่างการต่อสู้



    สายลมพัดพาหมู่ควันให้จางหายไปอย่างรวดเร็ว  สายฝนเริ่มพรำตกลงมากระทบใบไม้ต้นหญ้าเสียงดังลั่นไปทั่วป่า  ทั้งสองคนต่างนิ่งไปพูดอะไรต่อกันแม้แต่คำเดียว  บรรยากาศรอบข้างไม่เหมาะสมต่อการพูดคุยเป็นอย่างยิ่ง  ดังนั้นทั้งสองจึงได้เพียงแต่ตรวจหาสิ่งของสำคัญ  เช่น  รหัส  หรือโน๊ตลับ  หรือของทำนองนี้จากกระเป๋าของผู้ตาย



    เวลาผ่านไปจนกระทั่งหน่วยปฏิบัติการจับกุมมาถึงและทำการควบคุมตัวอีมาตี้ไปยังศาลยูพีโอ



    “ระดับคลาสเอสนะ”  อิสมาอีลย้ำกับเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติการ  เพื่อมิให้ความลับรั่วไหล



    “รับทราบครับ  ท่านช่วยเซ็นตรงนี้ด้วยครับ”



    หลังจากเก็บกวาดพื้นที่เรียบร้อยแล้วเขาก็หันไปถามอัลฟ่า



    “ต่อจากนี้ล่ะ”



    “ก็คงจะต้องเข้าเมืองหาข้อมูลกับสักพักน่ะครับ”



    “หลังจากที่ได้ดูรูปพวกนั้นแล้ว  จากนี้ไปเราก็คงอยู่อย่างปลอดภัยอีกต่อไปไม่ได้แล้ว”



    อิสมาอีลหวนนึกถึงรูปพวกนั้นแล้วนึก  อันตรายอยู่แค่เอื้อม  แถมตอนนี้พวกเขายังวิ่งเข้าหามันแล้วด้วย





    ………………………………………………………………………………………………………..







    เมฆค่อยๆ ลอยไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวสุกไสว  ไรซิ่งนอนก่ายหน้าผากคิดถึงเรื่องราวต่างๆนานาไปเรื่อยๆ จนผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว



    ในความฝันเขาเห็นสิ่งต่างๆ ย้อนกลับไปเมื่อ  20  ปีก่อนครั้งที่อาณาจักรลีเจนไดนส์แห่งนี้ยังรุ่งเรืองอยู่  ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขด้วยภายใต้การปกครองของราชวงศ์ไรอาซัน  กษัตริย์ไรซิ่ง  อาร์ค  ไรอาซัน  ทรงปกครองพสกนิกรด้วยทศพิศราชธรรม  เต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมและความสงบสุข  ใต้ฟ้าผืนนี้ลีเจนไดส์ไม่เคยเกิดสงครามเลยแม้แต่ครั้งเดียว



    ไรซิ่งพบว่าตัวเองเดินอยู่ที่ถนนแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยฝูงชน  พ่อค้าแม่ค้าต่างตะโกนเรียกลูกค้ากันเสียงเซ็งแซ่  เขาเเดินฝ่าฝูงคนเข้าไปยังกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ที่ตั้งโอบล้อมปราสาทแห่งลีเจนไดส์เอาไว้  ป้อมยามที่อยู่ทุกมุมของกำแพงสามารถมองเห็นได้ทั่วทุกบริเวณไม่ว่าศัตรูจะมาจากทางไหนก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาของเหล่าทหารยามไปได้



    ประตูเมืองอันใหญ่โตทำจากเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่หน้าเขา  โซ่ที่ใหญ่โตคอยชักประตูขึ้นลงด้วยระบบกลไก  ประตูที่เปิดอยู่ทำให้มองเห็นภายในเขตปราสาทได้ชัดเจน  ไรซิ่งแทบลืมไปว่าตนเองกำลังฝันอยู่



    ปราสาทไรอาซันอันโอ่อ่าประดับประดาไปด้วยผ้าแพรหลากสีสันบรรเจิดตาส่องสะท้อนแสงแดดยามเช้าระยิบระยับ  สีเหลือง-ดำตัดกันดูน่าเกรงขาม  มันคือสีแห่งราชวงค์ไรอาซัน  บนพื้นธงมีรูปวิหคอมตะในตำนาน  ลาเมียร์  สลักไว้ด้วยเส้นด้ายสีทองอย่างวิจิตรบรรจง  ทุกสิ่งต่างบ่งบอกถึงความโอ่อ่าและน่าเกรงขามของราชวงศ์นี้ทั้งสิ้น



    ไรซิ่งเดินสวนทางกับเหล่าทหารม้าองครักษ์ที่แต่งกายด้วยเกราะเหล็กกล้าชั้นเลิศสีเงินวับเข้าสู่มหาปราสาทแห่งตำนาน  เจ้าม้าสีดำตัวหนึ่งหันหน้ามามองเขาด้วยแววตาอัศจรรย์ใจ  เขาก้าวเดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูราชวัง  ทหารยามสองคนแต่งชุดเต็มยศคอยรักษาประตูนี้ไว้ตลอดเวลา  แต่เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปทั้งสองต่างก็ทำท่าคารวะเขาด้วยการย่อเข่าลง  เขาจึงก้าวเท้าต่อสู่ตัวปราสาท



    ข้างในปราสาทก่อสร้างขึ้นด้วยหินสลักอย่างดีสีขาวราวงาช้าง  เขาเอามือไล่ไปตามก้อนอิฐสีขาวที่วางซ้อนเหลี่ยมกันอย่างประณีต  ธงรบแขวนอยู่ตามผนังปราสาท  แผนที่ยุทธภูมิต่างๆ โคมไฟอัญมณีที่ห้อยจากเพดานลงมา  ล้วนแล้วแต่สวยงามจับตาจนเกินบรรยายออกมาเป็นบทกวีได้  ไรซิ่งหยุดยืนที่ตรงเชิงบันไดวนที่มุ่งสู่ห้องแห่งราชันย์  ตรงทางพักของบันไดจากตัวห้องโถงที่เขากำลังยืนอยู่นั้นมีภาพสีน้ำตั้งอยู่บนกำแพงที่ว่างด้านตรงข้ามกับเขา



    ภาพนั้นคือ  ไรซิ่งอาร์ค  ไรอาซัน  และองค์มเหสี  ทั้งสององค์กำลังประทับอยู่ ณ ราชบัลลังก์เหมือนที่เขาเห็นในล็อกเกตนั้น  แต่ที่แตกต่างออกไปก็คือชายอีกเด็กชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ในอ้อมแขนขององค์มเหสี



    เขาเดินตามบันไดวนขึ้นไปพาตัวเองเข้าสู่โลกแห่งความฝันที่ราวกับความจริง  สิ่งต่างๆ รอบๆกำแพงปราสาทผ่านสายตาของเขาไปประดุจว่าเขาอยู่ตรงใจกลางแห่งพายุ  เขาหยุดเท้าตรงที่หน้าประตูบานใหญ่ทำด้วยทองคำทั้งบานซึ่งมีรูปราชสีห์และวิหคอมตะอยู่ด้านซ้ายและขวาสลักไว้อย่างสวยงาม  เขาค่อยๆ ผลักประตูบานใหญ่นั้นออกเบาๆ แสงสว่างจากอีกฝากหนึ่งของประคูส่องสว่างออกมาจนเขาต้องเอามือขึ้นบัง

    ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเขามันทำให้เขาต้องทรุดตัวลงกับพื้น  ณ  เบื้องหน้าองค์มหากษัตริย์และองค์มเหสีนั่งประทับอยู่ ณ บัลลังก์ดั่งที่เขาเคยให้ในรูปราวกับภาพวาดที่มีแม่พิมพ์เดียวกัน



    องค์ราชาลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมาที่เขาอย่างเมตตา  ท่านเดินลงมาจากราชบัลลังก์แล้วค่อยๆ ย่างเท้ามายังที่ที่เขานั่งอยู่พลางตรัส



    “ลุกขึ้นเถิดบุตรแห่งนางฟ้าแลมนุษย์  เจ้ามิควรที่จะนั่งอยู่ที่ตรงนี้  ที่ที่เจ้าควรอยู่คือข้างกายของข้า”



    ไรซิ่งค่อยๆ มองพระพักตร์ท่านแล้วพูด



    “มิบังอาจ  ข้ามิควรที่จะอาจหาญเทียบรัศมีแห่งองค์ราชันย์”



    แล้วเขาก็รู้สึกตัว



    “เมื่อสักครู่ท่านตรัสว่า  ข้าคือบุตรแห่งนางฟ้าและมนุษย์  หมายความว่าท่านคงรู้เรื่องราวแห่งต้นกำเนิดของตัวข้ามใช่หรือ”



    องค์ราชันย์ย่อพระกายลงในระดับเดียวกับเขาแล้วตรัส



    “ถูกแล้ว  เจ้าคือไรซิ่งท๊อป  ดวงดูน่าแห่งไรอาห์  กษัตริย์องค์ต่อไปของรีเจนไดส์”



    “ข้าไม่เข้าใจ”



    “หึๆ ดูซิ  ซิซิเลีย  ลูกของเจ้าเหมือนเจ้าราวกับนางฟ้าได้วาดเอาไว้”



    “เพคะ”  ทางตรัสตอบ  พลางเช็ดน้ำตาที่พระพักตร์



    ไรซิ่งนิ่งตะลึงอื้ออึงไปหมด  เขารู้สึกราวกับว่าตกจากที่สูงแล้วหาจุดจบไม่เจอ  ชาติกำเนิดของเขาคืออะไรกันแน่



    “องค์ราชา  ท่านหมายความว่า”



    “จนบัดนี้แล้วยังเรียกองค์ราชาอีกหรือ  บุตรแห่งข้า”



    “ท่าน  ท่านพ่อ”  ไรซิ่งรู้สึกได้ว่าหยาดน้ำตาแห่งความปิติหลั่งไหลท่วมท้นออกมาเต็มใบหน้าของเขา  องค์ราชาเข้าสวมกอดบุตรแห่งตนเองอย่างแนบแน่นพลางกวักพระหัตถ์เรียกองค์มเหสีลงมาด้วย



    ทั้งสามได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว



    “ท่านพ่อแต่ว่าทำไม…”



    “ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามเยอะมาก  เอาเถอะข้าคงจะอยู่กับเจ้าได้ไม่นานนัก  เพราะเทพแห่งไรอาห์ท่านคงไม่พอใจนักหากพ่อฝืนคำสั่ง  พ่อจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟัง  ทั้งเรื่องสายเลือดแห่งเจ้า  และสงครามเมื่อ  20  ปีที่แล้ว”



    ทั้งสามลุกขึ้นยืน  ไรซิ่งอาร์ค  เดินนำไปสู่ห้องนั่งเล่นของปราสาท  ทรงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มเล่าเรื่อง



    “เมื่อหลายร้อยปีมาแล้วก่อนที่ทวีปต่างๆ ทั้งหลายจะดำรงอยู่เช่นทุกวันนี้  ปู่ทวดของเจ้า  ไรซิ่งเบลด  ไรอาซัน  เป็นผู้รวบรวมประเทศรีเจนไดส์เอาไว้  ภายใต้การรบกับพวกอมนุษย์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของไรอาห์



    การรบครั้งนั้นทำให้ปู่ทวดของเจ้าได้รับพรแห่งเทพอาเรมานด้า  องค์มารดาแห่งไรอาห์  ทำให้สายเลือดของเราเป็นนักต่อสู้ที่เสมือนตัวแทนแห่งเทพ  1  ใน  7  ผู้พิทักษ์ในตำนาน



    ต่อมาเมื่อปู่ของเจ้า  ไรซิ่งรัช  ไรอาซันได้ขึ้นสู่บัลลังก์  ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ไลโนเลเซี่ยนคิดที่จะเข้ามามีอำนาจในไรอาห์  การเข้าร่วมในสงครามแห่งไรอาห์ครั้งนั้น  ปู่ของเจ้าได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นเพราะสายเลือดของเราคือสายเลือดแห่งเทพ  ดังนั้นพวกมารอย่างจักรวรรดิปีศาสจนั้นไม่มีทางย่างกรายเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างแน่นอน



    ทว่า…ดินแดนข้างเคียงกลับกลายเป็นหนอนบ่อนไส้  หัวหน้าเผ่าของไมโตสได้หักหลังราชอาณาจักรของเรา  ทำให้จักรวรรดิไลโนลีเซี่ยนเข้ามาตั้งอยู่  ณ  ทวีปนี้ได้  จากรุ่นของพ่อข้าสู่รุ่นของข้า  กำแพงแห่งมหาราชวังกลับต้องทลายลงด้วยเงื้อมมือของอดีตมิตร  ผู้คนล้มตาย  เกิดโรคระบาดทั่วทุกหย่อมหญ้า  พ่อจำเป็นต้องสละราชบังลังก์และทำให้ราชวงศืไรอาซันสิ้นสุดลงนับแต่บัดนั้น  สิ่งสุดท้ายที่ข้าและพี่น้องสามารถทำได้คือ  ฆ่าเจ้ามาร  เอเนทอร์  เดธรายได้  แต่นั่นก็หมายความว่าข้าต้องแลกเอาชนะนี้มาด้วยชีวิต  ใช่รวมถึงแม่เจ้าด้วย”



    ไรซิ่งนั่งนิ่ง  มาบัดนี้ข้อปริศนาทั้งหมดก็ได้ไขกระจ่างหมดแล้ว  เขารู้สึกเคียดแค้นไลโนลีเซี่ยนเป็นอย่างมาก  ด้วยเหตุที่ทำให้สายเลือดของเขาต้องขาดสะบั้นและเขาต้องกลายมาเป็นกษัตริยืที่ไร้บัลลังก์  แต่ทั้งหมดนั่นกลับไม่ใช่เหตุผลที่เขาเจ็บใจมากที่สุด



    “ข้าต้องพรากจากพวกท่านนานถึง  20  ปีเต็ม  เป็นเสมือนคนไร้ซึ่งพัสถานพักพิง  ไร้ผู้ให้กำเนิด  ไร้ซึ่งสกุลรุนชาติ  ข้าแสนสมเพชตัวเองจึงพยายามประกาศให้ไรอาห์รู้ว่าข้าก็มีตัวตน”



    “ก่อนตาย  ข้าให้สหายรักของข้า  คาลาสม่า  เป็นผู้สั่งสอนเจ้าจนกว่าเจ้าจักสามารถชี้ชะตาตนเองได้”



    ไรซิ่งยิ้มเล็กน้อย



    “เป็นท่านพ่อนี่เองที่ให้อาจารย์เขี่ยวเข็ญข้า”



    “แต่เมื่อผลไม้ที่คาลาสม่าเพาะบ่มไว้สุกงอม  ใครเลยเล่าจะทราบได้ว่า  ผลไม้นั้นคือผลไม้แห่งสวรรค์”



    “ท่านพ่อพูดเกินไป”



    “ข้าไม่ได้พูดเกินไป  เจ้าผู้มีสายเลือดแห่งแสงสว่างของดวงดูน่าห์ย่อมพิเศษกว่าสายเลือดทั่วๆ ไป”



    ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกหัวเราะพร้อมกัน  เวลาแห่งความสุขไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันไม่อยากให้คนที่ยึดติดกับมันยืนอยู่  ณ  บางช่วงเวลามากเกินไป



    ในที่สุดเวลาก็ไม่ได้ให้เพียงแค่ความสุข



    “เอาล่ะ”  มหาราชันย์ลุกขึ้น  ทรงเดินไปยังแท่นประทับดาบที่อยู่สูงขึ้นไปบนเชิงเทิน



    “นี่คือดาบแห่งราชวงศ์เรา  ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะได้มันไปใช้”  ทรงหยิบดาบเล่มใหญ่ที่ด้ามประดับประดาไว้ด้วยผลึกต่างๆ อย่างดงาม  ตัวดาบเป็นสีแดงฉาดตลอดทั้งเล่ม



    “เวลาเจ้าฟาดดาบเล่มนี้ออกไปมันจะส่องประกายแสงสีทองออกมา  เป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์เรา  รับมันไว้ซะ  ไรซิ่งท๊อป  ไรอาซัน!  ข้าต้องไปแล้ว  จงกอบกู้ราชวงศ์ไรอาซันขึ้นมาให้ได้ด้วยสองมือของเจ้า  จดจำข้าและแม่เจ้ารวมทั้งบรรพชนทุกท่านเอาไว้ในหัวใจ  เพราะพวกเราจักอยุ่ในใจเจ้าตลอดไป  ข้ามห่วงแห่งเวลาและวนเวียนอยุ่รอบกายเจ้า  ลาก่อนบุตรแห่งข้า  ลาก่อน”

    ร่างของทั้งสองเริ่มลางเลือน  ปราสาทกลับกลายเป็นท้องทุ่งหญ้า  โคมไฟระย้ากลายเป็นก้อนเมฆ  และผนังกำแพงที่ประดับประดาไว้อย่างดีกลับกลายเป็นเพียงโขดหินขนาดใหญ่ที่วางรายล้อมท้องทุ่งหญ้าเท่านั้นเอง



    ไรซิ่งแหงนหน้ามองหมู่นกที่โผผิน  ลุกขึ้นยืนพร้อมกับดาบในมือ  หลับตาแล้วฟาดมันออกไป  ทั่วทั้งท้องฟ้าไรอาห์ก็ปรากฏแสงสว่างสีทองจ้าไปหมด



    บัดนี้ราชวงศ์ไรอาซันกลับมาทวงบัลลังก์แห่งเจ้าคืนแล้ว!





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×