ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #20 : ตอนที่20 เรื่องที่ไม่มีคนพูดถึง 

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.88K
      69
      28 ก.พ. 59


    Dahlia 20



    สมาชิกคนที่ 4 ของบ้านดูเป็นเรื่องปกติของเจ้า ขาว’ แมวไทยสีขาวล้วนไปเสียแล้ว จากที่ในวันแรกมันแทบไม่ชายหางตามองผมเลย วันนี้กลับร้องแง้ว แง้ว คลอเคลียขอเศษอาหารอยู่ใต้โต๊ะระหว่างมื้อเช้าไม่เลิก แม่พี่เอิร์ธสั่งกำชับเด็ดขาดว่าห้ามให้อาหารเจ้าขาวระหว่างมื้ออาหาร เพราะเดี๋ยวจะเป็นแมวนิสัยเสีย ต้องรอจนเก็บจานล้างกันเสร็จสรรพค่อยคลุกข้าวกับปลาทูให้มัน ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นหน้าที่ของพี่เอิร์ธ แต่วันนี้เจ้าตัวบ่ายเบี่ยงรีบออกมาตั้งแต่ก่อนเวลางาน


    “เดี๋ยวกันต์ไปส่งพี่ที่โรงพยาบาลแล้วเอารถไปใช้ต่อเลย วันนี้กว่าพี่จะเลิกก็ดึกๆโน่น กันต์ค่อยมารับพี่อีกทีก็ได้”

    เจ้าของแคมรีสี่ขาวมุกพูดพลางโยนลูกกุญแจให้รับ ผมนิ่วหน้าลงเล็กน้อย “กันต์เรียกแท็กซี่ไปก็ได้นะ”


    “เอาไปเถอะ ก็เอาไปรับใหญ่ด้วยไง ไหนเมื่อคืนบอกว่าใหญ่ไม่อยากให้ที่บ้านไปส่งไม่ใช่เหรอ?”


    ผมพยักหน้า สุดท้ายก็ยอมเป็นคนขับให้พี่เอิร์ธหนึ่งวัน ผมไม่มีรถส่วนตัวก็จริงแต่ก็ขับรถคล่อง ทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนกับที่บ้านก็เป็นสารถีให้พ่อแม่ตลอด พี่เอิร์ธเองนั่งฮัมเพลงกับวิทยุไปตลอดทางไม่ได้มีทีท่าว่าจะเกร็งอะไร จนถึงโรงพยาบาลผมก็เข้าจอดที่ลานแล้วลงมาด้วย พี่เอิร์ธเลิกคิ้วขึ้นสงสัยเพราะวันนี้ผมต้องส่งใหญ่ขึ้นเครื่องไปอังกฤษแต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะรีบร้อนอะไร



    “ไม่ไปต่อเลยหรือ?”


    “ไปส่งพี่เอิร์ธเข้างานก่อนก่อน”


    ผมควงกุญแจรถในมือเดินนำ เภสัชกรหนุ่มหัวเราะแล้วเดินตามมาติดๆ ยังไม่ทันเข้าโรงพยาบาลดีก็เจอผู้หญิงท่าทางกระฉับกระเฉงคนเดิมยิ้มหวานให้นายอติวิชญ์อีกครั้ง หนุ่มแว่นผงกหัวให้ยิ้มอ่อนๆรับตามมารยาท



    “วันนี้มาเช้านะคะ อ้าว น้องชายก็มาด้วย”


    “วันนี้ให้กันต์เอารถไปใช้น่ะครับ ผมเลยให้แวะมาส่งก่อน”


    สิ้นคำเภสัชกรหนุ่ม คุณหนิงก็ยิ้มหวาน “คุณเอิร์ธนี่ใจดีนะคะ แล้วทานอะไรมาหรือยัง ไปนั่งโอปองแปงกันก่อนไหม พอมีเวลาก่อนเข้างาน”


    ผมตวัดหางตามองพี่เอิร์ธทันทีที่ฝ่ายหญิงชวนไปนั่งร้านค้าสวัสดิการดิ์ในโรงพยาบาล เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกยังยิ้มให้คุณหนิงไม่หยุดจนผมต้องยกมือขึ้นกอดอกหน้าตึง ไม่เข้าใจว่าจะยิ้มแย้มอะไรนักหนา กระทั่งข้อศอกใต้เชิร์ตแขนยาวยกมาเกยบ่า ใช้มือยีหัวเล่นผมถึงได้คลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันลงบ้าง คุณหนิงเหมือนนิ่งไปเมื่อเห็นท่าทางสนิทสนมของผมกับพี่เอิร์ธแต่ยังจ้องหนุ่มแว่นตาเป็นประกายไม่ต่างจากเดิม



    “ผมทานมื้อเช้ามาแล้วครับ อีกอย่างต้องรีบเคลียร์งานด้วย เย็นนี้กันต์มารับจะได้ไม่ต้องรอ พาลอารมณ์เสียเดี๋ยวง้อกันยาว”


    สายตาของคุณหนิงเปลี่ยนเป็นความเคลือบแคลงสงสัยทันทีเมื่อจบประโยค ยิ่งพี่เอิร์ธปล่อยมือจากผมแล้วมาหยิกจมูกเบาๆหล่อนยิ่งกรอกตามองพี่เอิร์ธสลับกับผมไปมา ผมเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย เริ่มร้อนบนผิวหน้าเมื่อหันไปเจอสายตากระลิ้มกระเหลี่ยของหมอยาที่สื่อทะเล้นออกมาไม่ปิดบัง



    “...อะไรเล่า”


    ผมบอกปัด พี่เอิร์ธหัวเราะต่ำพลางไล่  “ไปได้แล้ว เดี๋ยวใหญ่ก็ตกเครื่องกันพอดี ขับรถระวังๆด้วย ที่พูดนี่ห่วงคนนะ ไม่ได้ห่วงรถ”


    ผมพยักหน้ารับ พอจะพลิกตัวกลับพี่เอิร์ธก็คว้าข้นแขนผมจากด้านหลัง โน้มตัวลงมากระซิบชิดใบหู เสียงทุ้มกดต่ำให้ได้ยินกันแค่สองคนเป็นวลีสั้นๆที่ว่า“ขี้หึง” ก่อนขโมยกัดใบหูเบาๆ ผมค้อนขวับมองคนตัวสูงที่ยักคิ้วกวนให้หนึ่งทีด้วยสายตาคาดโทษ พี่เอิร์ธไม่อยู่ฟังผมโวยวาย เดินรุนหลังคุณหนิงเข้าโรงพยาบาลไปโดยฝ่ายหญิงหันมามองผมเป็นระยะราวกับมีเรื่องคาใจมากมายในหัว ผมลูบหูซ้ายของตัวเองขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วส่ายหน้า ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มยวนพอใจที่พี่เอิร์ธพยายามบอก คนนอก กลายๆว่าระหว่างผมกับเขาใช่เพียงแค่ น้องชาย อย่างที่คุณหนิงเข้าใจ


    ++++++++++++++

    ผมกลับมาจากส่งใหญ่ขึ้นเครื่องบินตอนเกือบๆเที่ยง แวะหาอะไรกินรองท้องก่อนเข้าออฟฟิศ ใหญ่บอกไปครั้งนี้กว่าจะกลับมาอีกทีก็คงเป็นตอนเรียนจบ ผมกำชับนักหนาให้มันตั้งใจเรียนได้แล้ว แต่ฝ่ายนั้นกลับโยกโย้บอกเบื่อประเทศไทยเต็มแก่ ผมรู้ว่ามันไม่ได้เบื่ออะไร เพียงแต่เหนื่อยหน่ายกับวิถีชีวิตในกรอบของที่บ้านมันเท่านั้น 
    ใหญ่เป็นคนเกเร แต่น้อยคนนักจะยอมรับว่านิสัยเกเรของมันนี่แหละที่สอนใหญ่ให้โตเกินตัว มันเป็นคนมีความคิดเปิดกว้างและเป็นสากล เป็นเพื่อนที่ดีและไม่ดีพอๆกัน ผมกอดใหญ่แน่นก่อนขึ้นเครื่องเหมือนครั้งที่แล้วที่มาส่งมัน แต่ครั้งนี้ไม่ร้องไห้ให้มันล้อเหมือนครั้งก่อน ทว่าก็ยอมรับว่าตัวเองซึมลงไปถนัด มันเป็นคนที่ช่วยเหลือผมตลอด ไม่ว่าจะเป็นเมื่อหกปีก่อนหรือหกวันที่แล้ว ใหญ่เข้าใจผมยิ่งกว่าเข้าใจตัวเอง อายุเท่ากันจริงๆแต่มันเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ชาย เป็นเหมือนโลกอีกใบที่ผมต้องมีไว้ตลอดเวลา


    “กูว่าแล้วไงว่าแม่งต้องมากกว่าเพื่อนธรรมดา ไอ้ห่ากันต์”


    ขุนศึกโวยวายในช่วงบ่ายที่หัวหน้าไม่อยู่ ผมนั่งที่พาทิชั่นตัวเอง ลากเมาส์แก้แบบโครงสร้างในโปรแกรมออโต้แคดเปื่อยๆ ปรายหางตามองคนที่ขโมยมะม่วงน้ำปลาหวานของสาวฝั่งบัญชีมาหน้าซื่อแล้วถอนหายใจขี้เกียจจะเถียง



    “ซึมเป็นหมาถูกทิ้ง นั่นชู้มึงจริงๆใช่ไหม?”


    “มันใช่ที่ไหนเล่า เลิกเพ้อเจ้อเถอะมึง แดกๆไปน้ำปลาหวานน่ะ ปากจะได้ไม่ว่าง”


    “ทำไมวะ ไอ้เอิร์ธคนเดียวไม่พอเหรอกันต์ เมื่อไหร่มึงจะหยุด” ขุนศึกดูจริงจังมาก มันซีเรียสยิ่งกว่าพี่เอิร์ธหรือคนไหนๆในชีวิตผม ปากเคี้ยวมะม่วงกร้วมขณะที่จ้องผมตาเขม็ง


    “กูหยุดแล้ว ไอ้ใหญ่มันเพื่อน โวะ.. กูชักจะรำคาญมึงแล้วนะไอ้อ้วน กลับโต๊ะไปเลยไป”


    ผมรำคาญสุดๆ ยันเก้าอี้ล้อเลื่อนของเพื่อนสนิทในสำนักงานให้ถอยกลับโต๊ะตัวเอง แต่แทนที่ขุนศึกจะขยับกลายเป็นผมเองที่เลื่อนไปด้านหลัง มวลแพ้มันราบคาบ



    “ร้อนตัว...”


    “ร้อนตัวห่าอะไร มึงแม่งพูดจาไม่รู้เรื่อง”


    ขุนเบะปากนิดๆหยิบโน่นหยิบนี่บนโต๊ะผมเล่นก่อนจะไปหยุดที่ปฏิทิน ผมวงตัวเลขวันสุดสัปดาห์นี้ไว้แล้วเขียนว่างานเลี้ยงพี่นิค ต่อมอยากรู้อยากเห็นของขุนศึกกระเตื้องขึ้นมาทันที ใช้นิ้วป้อมๆจิ้มวันงานพลางถามตาแป๋ว



    “พี่นิคไหนวะ?”


    “พี่นิคแฟนเก่าพี่เอิร์ธเรียนจบ เขาชวนกูไปงานเลี้ยงด้วย”


    “อ้อ คนตัวขาวๆ เรียบร้อยๆน่ะเหรอ? คนนั้นคบนานที่สุดเลยมั้ง”


    ผมปรายหางตามองไอ้ขุน มันยังมองปฏิทินผมเหมือนไม่รู้ตัวว่าพูดเรื่องไม่น่าฟังออกมา “จะว่าเหี้ยก็เหี้ย เห็นว่าไอ้เอิร์ธมันไปแย่งคนอื่นมา แรกๆดูโคตรรักกันเลย ปกติเพื่อนโรงเรียนเก่าอย่างกูไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก นี่พามาเปิดตัวเลย แต่ไม่รู้ว่าทำไมเลิกว่ะ”

    ผมไม่ได้ตอบอะไร เบี่ยงตัวลุกจากที่นั่งไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมารับรู้เรื่องราวหลังจากที่ผมห่างกับพี่เอิร์ธไปในตอนนั้น พี่เอิร์ธคบใคร พี่เอิร์ธดูแลคนอื่นยังไง ความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหน ทุกอย่างมันรีรันกลับมาให้ไม่สบอารมณ์ แม้จ้องหน้าตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาและพยายามบอกว่านั่นเป็นแค่อดีต ผมต้องเชื่อใจพี่เอิร์ธที่เลือกผมวันนี้ให้มากกว่านี้ กระนั้น แรงบีบอัดในใจก็ไม่ได้ทุเลาลงแม้แต่น้อย


    ผมกลัว กลัวตลอดเวลาว่าพี่เอิร์ธจะทิ้งผมไป...
    เพราะคนที่ทำให้ผมเจ็บจนขยาดที่จะทุ่มความรักไปให้ใครแค่คนเดียว คือคนคนเดียวกับคนที่ผมรักหมดหัวใจ..


    ผมมองตัวเองในกระจกห้องน้ำอยู่พักใหญ่ วักน้ำมาราดหน้าลวกๆแล้วเช็ดด้วยแขนเสื้อตัวเอง จู่ๆโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น เบอร์ที่โทรเข้าเป็นใครบางคนที่เราไม่ได้คุยกันมาเนิ่นนาน วันที่จบกันยิ่งย้ำให้เห็นว่าเป็นเพราะตัวผมเองที่เลิกนิสัยขี้ระแวงไปไม่ได้สักที



    “พี่เม....”


    “อืม..เป็นยังไงบ้างกันต์ สบายดีไหม?”


    “ก็...ดีครับ พี่เมล่ะ?”


    “ก็เรื่อยๆ ยังไม่มีแฟนใหม่น่ะ พอดีเมื่อเช้าพี่เห็นกันต์ที่สนามบินแต่ทักไม่ทันเลยโทรมาหา ไปส่งเพื่อนเหรอ?”


    “ครับ...”


    “มีแฟนใหม่หรือยัง?”


    ผมเงียบแทนคำตอบ ปลายสายก็เช่นกัน นึกขันว่าถ้าในทางกลับกัน คนที่อยู่ในใจของผม เป็นมินรู้สึกจะกระอักกระอ่วนขนาดไหน แค่จะบอกว่าตอนนี้’คนใหม่’ของตัวเองเป็นผู้ชายยังรู้สึกผิดกับอดีตแฟนสาวพิกล

    พี่เมถอนหายใจยาว เอ่ยชวนผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ 




    “ไว้ว่างๆ ทานข้าวกันหน่อยดีไหม?”


    +++++++++++++++++

    ผมไม่ได้บอกพีเอิร์ธเรื่องที่พี่เมโทรมาหาวันก่อน อันที่จริงไม่ได้บอกใครเลยด้วยซ้ำ คำตอบที่ผมมีให้พี่เมวันนั้นคือความว่างเปล่า ปลายสายหัวเราะเบาพูดกับผมเสียงหวานถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปบางอย่าง ตอนคบกับเมธาวี ผมจริงจังถึงขั้นคิดจะสร้างครอบครัวด้วยแต่ฝ่ายหญิงบอกเสมอว่าอันที่จริงผมแทบจะไม่ใส่ใจพี่เมเลย ไม่มีเวลาให้ ไม่แคร์รายละเอียดของความรู้สึก มีคนชวนไปไหนมาไหนก็ไปกับเขาตลอด ทั้งที่ตัวเองทำตัวเป็นไม้เลื้อย แต่กลับทำตัวขี้หึงใส่แฟนจนน่าขยาด ผมหัวเราะไม่ปฏิเสธ นึกถึงเรื่องเก่าๆนอกจากเวลาที่ไม่มีให้แล้วก็คงเป็นเรื่องมือที่สามนี่แหละที่ทำให้ทะเลาะกันจนเอือมระอา เราคุยกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนผมวางสายขอกลับไปทำงาน และจากวันนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก

    ผมคิดว่าเรื่องมันคงจบแค่นั้น และเช่นกัน สำหรับพี่เอิร์ธกับพี่นิคแล้วคงไม่มีอะไรเจือจางในความรู้สึกเหมือนผมกับพี่เม ผมไม่ถามถึงอดีต พี่เอิร์ธก็ไม่ได้เล่าอะไรนอกเหนือจากที่เคยกล่าวถึงว่าเป็นเพื่อนกัน พี่นิคมีแฟนใหม่ไปหลายคนแล้ว แต่ละคนคบได้ไม่นานนักซึ่งพี่เอิร์ธไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเพราะอะไร ส่วนตัวผมเองก็ไม่เคยใส่ใจจะถามเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว


    ในวันตามปฏิทินที่วงกลมไว้ ผมยืนอยู่ในบ้านขนาดกลางของอาจารย์ระดับขั้นมหาวิทยาลัยที่คว้าใบปริญญาเอกได้เมื่อไม่นานมานี้ ในงานเลี้ยงเล็กๆมีผู้คนไม่มากนักแต่ก็เยอะพอจะทำให้บรรยากาศครึกครื้น ที่ตั้งของโต๊ะอาหารในรูปแบบบาร์วางอยู่ริมสระน้ำ พ่อแม่ของพี่นิคดูเป็นผู้ใหญ่ท่าทางภูมิฐาน ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งซึ่งผมมารู้ภายหลังว่าท่านเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยที่พี่นิคทำงานอยู่ พี่เอิร์ธพาผมไปไหว้พ่อแม่พี่นิคและส่งของขวัญกล่องเล็กๆแสดงความยินดีให้ จากนั้นก็แยกออกมาตักอาหาร เพื่อนพี่นิคทักทายพี่เอิร์ธกันหลายคน คุยกันออกรสชาติแสดงว่าสนิทสนมกันพอสมควรก่อนเบี่ยงประเด็นมาถามถึงผม พี่เอิร์ธยิ้มแล้วบอกแค่ชื่อไม่ได้เอ่ยถึงว่าเราอยู่ในสถานะใด แต่เพื่อนๆกลับแซวโห่ฮากันเสียงลั่น



    “ฮั่นแน่ะ ร้ายไม่เบา กูล่ะอยากรู้ว่าไอ้เอิร์ธมันมีอะไรดีว่ะ เห็นที่ควงทั้งคนเก่า คนใหม่ หน้าตายังกับนายแบบแคทวอล์ค”


    “คนเก่าคนใหม่อะไรพี่หนุ่ย พี่น้องกัน” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่พี่เอิร์ธกลับเกี่ยวเอวผมเข้าใกล้ ผมเหลือบตามองคนตัวสูงนิดๆ ฝ่ายนั้นยิ้มตาเยิ้มจ้องกลับไม่ปิดบัง มือขวายื่นแซนวิชขนาดพอดีคำให้ผมกัดก่อนจะกินที่เหลือต่อหน้าตาเฉย


    “พี่น้องแต่เสือกมาโชว์หวานใส่ ไอ้หนูมานี่ซิ เฮียขอดูหน้าใกล้ๆหน่อยว่ะ “ พี่หนุ่ยเมาอ้อแอ้ ดึงข้อมือผมเข้าหาแต่พี่เอิร์ธกลับรั้งเอวไว้แน่น ปากยังยิ้มแม้สายตาคมจะจ้องคนเมากริบแสดงอารมณ์ไม่ถูกใจนักออกมาชัด



    “หนุ่ย อย่าแกล้งน้อง” พี่นิคเห็นอาการไม่ค่อยดีเลยรีบปราม พี่เอิร์ธดึงผมออกมาอีกฝั่ง แต่ยังกอดเอวเอาไว้แน่น


    “เมาเป็นหมาเลย” เจ้าบ้านส่ายหัวซ้ำ แต่คนถูกกล่าวหากลับทำเสียงอ้อแอ้แซวกลับ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสลดลงสักนิด


    “ระวังหมาเลียปากนะครับ นุ้กนิค” 
    พี่เอิร์ธเห็นท่าไม่ดีเลยรีบกระแอมไอปราม  เพื่อนคนอื่นเห็นท่าทางนั้นก็เริ่มเปลี่ยนประเด็นจากผมเป็นเภสัชกรหน้าอ่อนแทน


    “ทำเป็นหมาหวงก้างเหรอมึง? ทิ้งเขาไปแล้วยังทำเจนท์ “


    “เปล่าครับ ....”


    “เป็นห่วงอะดิ๊? พูดจริงๆนะ นี่ถ้ามึงกลับมาคบไอ้นิคได้จะดีมากเลย เหมาะกันดี”พี่ที่ชื่อหนุ่ยเริ่มพูดอีก ยกนิ้วชี้สองนิ้วมาประกบคู่กัน พี่เอิร์ธหัวเราะในลำคอ เบือนหน้าไปทางอื่นไม่ยอมสบตาใคร ขณะที่พี่นิคไม่ขำด้วย ดีดหน้าผากเพื่อนปากมอมแล้วปรายตามองผมเกร็งๆ “พูดอะไร หนุ่ย เกรงใจแฟนเอิร์ธบ้าง”


    “อ้าว ไหนบอกเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน?”


    พี่หนุ่ยทำเป็นแกล้งซื่อ ตอนแรกยังแซวที่พี่เอิร์ธพาผมมาเปิดตัวไม่หยุด พี่นิคเริ่มทำท่าไม่พอใจเช่นเดียวกับผมที่รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาเหมือนกัน “บอสเอามันไปนอนเถอะ เลอะเทอะใหญ่แล้ว กันต์อย่าไปถือสาอะไรมันนะ พวกนี้ก็แบบนี้แหละ เห็นพี่โสดแล้วเที่ยวเติมเชื้อไฟตลอด”


    “ก็กูเห็นตอนมึงคบกันมีความสุขดี...”


    พี่หนุ่ยยังพูดไม่หยุด คนที่ชื่อบอสส่ายหัวเดินมาลากพี่หนุ่ยออกจากวงสนทนา ส่วนผมก็บอกพี่เอิร์ธขอเลี่ยงมาเข้าห้องน้ำแทน พร้อมกันนั้นมีใครบางคนที่เป็นเพื่อนพี่นิคเดินหน้าตื่นมาหาเจ้าของงาน ผมไม่ได้ใส่ใจ ไม่มีอารมณ์จะใส่ใจ กระทั่งพ้นจากผู้คนได้สักระยะก็จุดบุหรี่ที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าขึ้นสูบ ผมไม่เคยสูบบุหรี่ต่อหน้าพี่เอิร์ธเพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบ เคยถูกขอให้เลิกแต่ก็แค่บอกว่าจะพยายาม อันที่จริงผมก็ไม่ได้ติดอะไร แต่เวลาที่ไม่สบายใจหรือหงุดหงิดมันเป็นหนึ่งในหลายทางออกให้ผมรู้สึกโล่งหัวได้ง่ายที่สุด


    กลุ่มควันลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ผมเริ่มได้ยินเสียงเอะอะมะเท่งดังมาแต่ไกล แต่เพราะตัวเองนั่งหลบมุมอยู่ใต้ต้นจามจุรีริมรั้วบ้านทำให้ไม่เป็นที่สังเกต เงารางของเจ้าของบ้านเดินอยู่ข้างหลัง โดยมีอีกคนเป็นคนฉุดกระชากแขนที่แม้อยู่ในที่แสงน้อยยังส่องประกายขาวจัดชัดเจน 



    “เจ็บแล้วไม่จำเลยหรือยังไง!”


    เสียงทุ้มตกคอกดุ ผมเห็นร่างพี่นิคสั่นไหวพยายามบิดข้อมือออกจากพันธนาการ ดวงตาหวานเป็นประกายวาววับเอ่อคลอด้วยน้ำเมื่อสะท้อนแสงไฟนีออนจากตัวบ้าน



    “พี่ไม่ได้เป็นอะไร พี่ลืมเอิร์ธแล้ว...”


    “โกหกใครก็โกหกไปเถอะ! พี่นิคคบกับผมมากี่ปีคิดว่าผมมองไม่ออกเหรอ? ผมใส่ใจทุกเรื่องของพี่ แคร์ทุกเรื่องของพี่ มีแต่พี่นั่นแหละที่ไม่เคยรักตัวเอง”


    พิ่นิคเม้มปากเข้าหากัน ไม่ต่อล้อต่อเถียงแต่ใครสักคนที่แสนจะคุ้นตาก็ยังตะคอกใส่ไม่หยุด  “ถ้าพี่ลืมมันแล้ว พี่จะชวนมันมาทำไม!.... มันทิ้งพี่ไปนะ วันที่พี่กอดขามันร้องไห้มันเคยมองพี่ไหม ทำไมไม่จำบ้าง! จะเอามันกลับมาสะกิดแผลตัวเองอีกทำไม!”


    “ก็เหมือนกันนั่นแหละ!”


    เจ้าของบ้านเริ่มเถียงกลับ ผมโยนบุหรี่ลงพื้นแล้วขยี้ธุลีไฟด้วยปลายเท้า มองหาทางเลี่ยงที่จะรับรู้เรื่องราวของคนอื่นเงียบๆ ทว่าน้ำเสียงสั่นเครือของพี่นิคกลับกระชากร่างผมให้นิ่งงัน ตากลมเพ่งมองไปยังความมืดให้เห็นใครคนนั้นที่ต่อล้อต่อเถียงกันเด่นชัด



    “นายกลับมาทำไม พี่เป็นคนทิ้งมินไปทำไมไม่จำบ้าง! กลับมาอีกทำไม!”


    มินเงียบ ปล่อยแขนที่จับอีกฝ่ายด้วยโทสะลู่ลงขนาบข้างลำตัว พี่นิคใช้จังหวะนั้นสะบัดตัวหนีกลับเข้าไปในงานโดยทิ้งคู่สนทนาให้เงยหน้าขึ้นฟ้าไล่น้ำตาที่เอ่ออยู่ให้กลับลงกรอบตา ในหูผมได้ยินเสียงอื้ออึง นึกถึงเรื่องราวและคำพูดมากมายนับตั้งแต่วันที่ภูมินทร์เดินเข้ามา คำเตือนในเรื่องของพี่เอิร์ธซึ่งฟังดูน่าหวาดระแวง สายตาชิงชังของนายแบบหนุ่มกับท่าทียียวนของสุภาพบุรุษรุ่นพี่





    “....มันเป็นคนไม่ดีจริงๆ มันก็แค่อยากได้มึง อยากเอามึง พอมันได้มึงมันก็จะทิ้งมึง เหมือนที่มันชอบทำ เชื่อกูสักครั้งได้ไหม?"


    ”อย่าคิดว่ากูไม่รู้ว่ามึงคิดจะทำอะไร”


    “จะว่าเหี้ยก็เหี้ย เห็นว่าไอ้เอิร์ธมันไปแย่งคนอื่นมา....”



    ความเจ็บปวดที่สุดคือทั้งสองคนกำลังเล่นอะไรบางอย่างกับความรู้สึก   
    สิ่งที่ลึกลงไปกว่านั้นคือวันที่ผมกางไพ่ วางมีดและกำแพงทุกอย่างรอบตัวลง 
    ภูมินทร์เป็นเสมือนมิตรสหายที่สามารถปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ขณะที่พี่เอิร์ธคือคนที่ผมยินยอมมอบใจให้อีกครั้งอย่างสวามิภักดิ์ ทว่าสิ่งที่ผมเผชิญ ณ ขณะนี้คือตัวเองเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของคนสองคน คนที่มองหน้ากันแล้วรู้เรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันโดยที่มีผมเป็นไอ้โง่...  เป็นเพียงตัวในกระดานเพื่อการแก้แค้นของเกมส์เก่าที่มีพี่นิคเป็นตัวเดิมพัน


    คงจะดีกว่านี้ถ้าวันนั้นผมถามพี่เมสักคำว่าที่บังเอิญเจอผมที่สุวรรณภูมินั่นเพราะไปรับใคร.. อย่างน้อยผมคงไม่ประหลาดใจในการปรากฏตัวของภูมินทร์ในวันนี้


    เสียงเหยียบเศษใบไม้ดังกรอบแกรบมาจากที่มืด พระเอกหนุ่มที่จากกำหนดการณ์แล้วเวลานี้ควรนอนอุ่นๆในโรงแรมที่ฮีตเตอร์ทำงานอย่างหนักในญี่ปุ่นหันมายังต้นเสียง ดวงตาคมของชายหนุ่มผู้มีเชื้อสายอิตาเลียนเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครเดินออกมาจากต่อมตมแห่งความมืด เราจ้องหน้ากันภายใต้แรงกดดันในใจครู่หนึ่ง ผมพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ



    “......มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน...?”



    โกหกก็ได้... แต่อย่าบอกว่าแท้ที่จริงแล้ว ผมไม่ได้มีค่าสำหรับใครเลย

    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×