ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่02 ความคิดถึงไม่ต้องพึ่งปาฏิหารย์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.62K
      131
      28 ก.พ. 59


    Dahlia 02



    “เลี้ยงหมูกระทะ?”


    ผมเลิ่กคิ้วขึ้น ซ้ำยังทวนรอบสองให้ไอ้คนชวนทบทวนตัวเองอีกครั้งในบ่ายแก่ๆของวันศุกร์ ไอ้ขุนยิ้มแฉ่งโชว์ฟันเหลืองเกือบครบสามสิบสองซี่แล้วพยักหน้ารัว ผมเลยเอามือเอาหัวตัวเองแกรกๆสับสนในอารมณ์ปรวนแปรของเพื่อนซี้วัยทำงาน



    “ถูกหวยเหรอมึง?”


    “เปล่า กูแค่อยากแดก แต่นะ ชวนมึงไปแบบไม่เลี้ยงมึงจะไปกับกูเหรอไอ้ขี้เกลือ”


    ผมดีดนิ้วเผาะเห็นด้วย นิดนึงครับ เงินเดือนออกทีผ่อนคอนโดไปเกือบครึ่ง ส่งทางบ้านอีกส่วน เหลือใช้แค่เศษเสี้ยว เรื่องแดกของเกินราคา 50 บาทนี่ลืมไปได้เลย เก็บตังค์ไว้ลงขวดคุ้มกว่า ดังนั้นวันนี้ฟ้าประทานความใจดีมาสู่ไอ้เพื่อนขุนทั้งทีมีหรือผมจะกล้าปฏิเสธ 



    “ใครไปบ้างวะ?” ถามไปงั้น ที่จริงก็ตัดสินใจไปอยู่แล้ว


    “เมื่อกี้ไอ้ต้นบอกจะไปด้วย ทำไม? มึงจะชวนเหยาหมิงไปด้วยป่าว?”


    “มันชื่อเหยาเฉยๆ ไปเรียกเหยาหมิงโดนเจ๊กต่อยกูไม่ช่วยนะ”


    “โถะ กูแค่แซวเล่น แต่เพื่อนมึงไปกูไม่เลี้ยงนะ”


    “เออๆ โทรถามมันก่อน”


    ว่าแล้วก็กดไอโฟนมาสไลด์เปิด โทรออกหาเบอร์ที่ทำเป็นเฟเวอริสไว้อันดับต้นๆ รอฟังเสียงรอสายได้ไม่นานปลายสายก็รับกระซิบกระซาบ



    “อะไร กูประชุมอยู่” ไอ้ถุย ประชุมโพ่งงง แอบรับสาย


    “หมูกระทะป่าว?”


    “กี่โมง” แสดงว่าไป


    “เลิกงานมาที่ออฟฟิศกู”


    “เออ แค่นี้ก่อน เดี๋ยวโดนด่า”


    พูดจบก็ตัดสายฉับ ผมหันไปยิ้มแฉ่งให้ไอ้ขุนที่นั่งเคี้ยวมะขามจี๊ดจ๊าดในขวดพลาสติกแก้ง่วงของผมตุ้ยๆ ไอ้ห่านี่ มาทีไรเนียนแดกของฟรีกูตัลหลอด!



    “เอาน่า เย็นนี้ก็ได้แดกหมูกระทะฟรีแล้ว อีแค่มะขามจี๊ดจ๊าดไม่กี่บาท อย่างกหน่อยเลย”


    มันอ่านสายตาผมออกเลยพูดหน้าตาเฉย พอเสพสมบ่มิสมเสร็จมันแล้วก็วางแหมะลงที่เดิม สัตว์! กูคุยกะไอ้เหยาได้ไม่ถึงนาทีหายไปค่อนกระปุก เขมือบไปยังกับตัวเองเป็นเครื่องดูดฝุ่น ผมเงยหน้าขึ้นจะมองค้อนมันอีกรอบไอ้ขุนก็เดินนวยนาดกลับไปโต๊ะตัวเองตั้งหน้าตั้งตาทำงาน กะให้กูละอายใจที่เดินไปด่าว่างั้น เออ ก็ได้วะ เพราะวันนี้แม่งจะเลี้ยงหมูกระทะกูหรอกนะถึงปล่อยไป ไอ้อ้วนเอ๊ย



    ครืด.. ครืด... 
    ผมถอนใจกับไอ้ขุนได้ไม่นานพอกลับมาเปิดตารางเอ็กเซลทำงานต่อนอนทิฟิเคชั่นก็สั่นเตือน ไอ้เหยาไลน์มา คงแอบเล่นในห้องประชุม กูล่ะดีใจแทนเจ้านายมึงจริงๆ พ่อพนักงานดีเด่น

    Yao said ไอ้จ๊อบจะแต่งงานสิ้นเดือนนี้ มึงไปป่าว

    Gun said ตลก ใครมาอำมึง อายุ24เนี่ยนะ จะแต่งงาน มันไปทำเอ้ท้องเหรอ?

    Yao said ไม่รู้ว่ะ ได้ยินจากตาลมา ไม่มีใครพูดถึงเรื่องท้องนะ

    Gun said รีบจังวะ แต่ไอ้จ๊อบมันไม่ได้ชวนกู คงไม่ไปอะ

    Yao said เฮ้ย ไปดิ ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย

    Gun said มึงก็ไปกับตาลหนิ คนมีคู่ไม่รู้หรอก เซ็งว่ะ

    Yao said มึงก็ไปหาเพื่อนเจ้าสาวในงานซักคนดิ ตาลคงอยู่กับเพื่อนๆอะวันนั้น กูโดนลอยแพชัวร์

    Yao said อย่าลีลาน่า คิดซะว่าไปหาของฟรีแดก 

    Gun said ฟรีเหี้ยไร ต้องใส่ซอง

    Yao said งั้นคิดซะว่าไปส่องสาว ไปเถ้ออ กูไหว้ล่ะ 

    Gun said สัตว์! ตลอดอะ ไปก็ได้ แล้วนี่ประชุมอยู่ไม่ใช่เหรอ?

    Yao said เออ  จะหลับอยู่แล้ว พล่ามไรก็ไม่รู้ ไว้ค่อยคุยก็ได้


    ผมไม่ได้ตอบไอ้เหยาไปต่อจากเดิม กดปิดบทสนทนากับเพื่อนสนิท ก่อนเลื่อนลงไปดูรายชื่อเพื่อนในลิสท์



    Earth ---  ความคิดถึงไม่ต้องพึ่งปาฏิหารย์


    โถ พี่เอิร์ธ เพลงเสร่อสัตว์อะ ฟังแพนเค้กด้วย กูก็นึกว่าจะฟังมารูนไฟว์อะไรแบบนั้นซะอีก ผมเผลอยิ้มแล้วกดไปดูรูปดิสเพลย์มัน เป็นรูปตัวเองหน้าตายิ้มแย้มใส่เสื้อกาวน์ของเภสัช ใต้แว่นกรอบดำตาตี่ๆนั่นหวานเยิ้มเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยนเลย ตั้งแต่แอดมาก็ไม่เคยทักผมสักครั้ง ไม่รู้ว่าจะแอดไลน์มาทำห่าอะไร เฟซบุคก็เหมือนกัน ผมออน มันออน แต่ก็ไม่เคยคุยกันสักที อย่างเก่งก็มากดไลค์รูปที่ผมอัพบ้าง เป็นต้นว่ารูปโต๊ะทำงานรกๆ หรือส้มตำไข่เค็มใต้คอนโดที่ถูกซัดเรียบ คือพี่จะจีบผมทำไมพี่ไม่ไปไลค์รูปหน้าตาอันหล่อเหลาของผมวะ เสือกมาถูกใจภาพที่ไม่จรรโลงใจติดๆกันสองสามรูปซะงั้น

    ผมส่ายหัวแล้วลอคปุ่มกดยัดโทรศัพท์ลงเก๊ะ นั่งเคลียร์งานที่กองพะเนินเทินทึกอยู่บนโต๊ะให้เสร็จก่อนห้าโมงครึ่ง ใคร๊ ใครมันบอกเวลาแห่งความทุกข์มันเดินช้า แม่งเดินไวโคตรครับ ยิ่งตอนส่งงานไม่ทันเนี่ย ถามจริงเข็มวินาทีมันกระโดดทีละไมล์รึยังไง กูทำมือแทบหงิกเคลียร์ไปได้สามหน้า จรดจ่ออยู่กับงานจนไม่ได้นึกติดใจอะไรคนในไลน์ และก็คงไม่นึกคิดติดใจอะไรจริงถ้าคนที่ตามมาร้านหมูกระทะหลังสุดน่ะ... ไม่ใช่คนที่ผมเพิ่งคิดเล่นๆในใจว่าแอดไลน์แอดเฟซมาทำซากอะไรเมื่อช่วงที่ผมแปลงร่างเป็นทศกัณฐ์ปั่นงาน



    ครับ.. ผมจะเล่าให้ฟัง

    เหตุเกิด ณ ร้านหมูกระทะ เมื่อเวลา 19.27 น.


    ไอ้พี่เอิร์ธใส่เชิร์ตสีฟ้าแขนยาว พับมาจนถึงศอก กระดุมบนปลดไปสองเม็ด กับกางเกงสแลคทรงสุภาพ ดูเนี๊ยบสะอาดสะอ้านสมกับอาชีพหมอยาเดินเข้ามาในร้าน ยิ้มหวานโชว์ฟันเรียงสวยให้ผมหนึ่งทีก่อนนั่งลงข้างๆไอ้ขุนแบบไม่มีอาการเก้อเขินแต่อย่างใด


    ณ เวลานั้น โลกผมเหมือนพร่าเรือนไปชั่วขณะ



    “โทษทีว่ะ พอดีที่โรงบาลมีเรื่องนิดหน่อยเลยมาช้า”


    คนมาใหม่รีบชี้แจงเพื่อนตัวเองที่ไม่ได้ทำหน้าตาอยากรู้เลยสักนิดแล้วหันกลับมายักคิ้วให้ผมหนึ่งที ตักน้ำแข็งใส่แก้วว่างเทน้ำเปล่าใส่ด้วยท่าทีสบายๆ ไม่สนว่าไอ้คนที่มันยักคิ้วให้เนี่ยจะอ้าปากค้างคีบหมูดิบไม่กระดิกอยู่พักใหญ่ กระทั่งไอ้เหยาใช้ตะเกียบมันดึงหมูจากผมไปวางบนเตาให้แทนเป็นที่เรียบร้อยนั่นแหละ ปากที่พะงาบๆอยู่ถึงเป็นอันพับลงเปลี่ยนเป็นก้มหน้าก้มตาทำท่าไม่ถูก




    “ใครวะ ขุน” ยงยุทธ หรือนายเหยาถามทั้งๆที่ก้มหน้าก้มตาปิ้งหมูในเตา มันเป็นคนประเภทมารยาทดี หมายถึง อะไรๆก็’ตามมารยาท’มาแต่ไหนแต่ไร จับเอาความรู้สึกห่วงหาอาทรหรือใส่ใจใดๆจากมันไม่ได้หรอก ดังนั้นไอ้คำถามเนี่ย ความใส่ใจอยากรู้คำตอบมีไม่ถึง5% ที่เหลือก็ ถามตามมารยาทไปงั้นๆ



    “เพื่อนกูเอง ชื่อเอิร์ธ ไอ้เอิร์ธ นี่เหยาเพื่อนไอ้กันต์ ส่วนนี่ต้น น้องที่ออฟฟิศกู”


    ขุนศึกแนะนำคนรอบๆตัวโดยไม่กล่าวถึงผมมากไปกว่าเป็นแหล่งอ้างอิงที่มาของไอ้เหยา ผมไม่พูดอะไรแค่มองไอ้เชี่ยขุนตาขวางๆ ระยำนี่ เล่นกูแบบนี้เลยใช่ไหม รอก่อนนะมึง อย่าให้ถึงทีกูนะ จะล่อให้ถึงที่สุดอะ จะกราบจะไหว้กูก็ไม่เห็นใจ คอยดู หึ!



    “เปิดเบียร์ไหม เดี๋ยวผมเลี้ยง”


    “เอาจริงดิ” ไอ้สัตว์เหยา มึงไม่ต้องหูตั้งหางกระดิกขนาดนั้น ทีเวลาแบบนี้มารยาทน่ะหายไปไหน ผมยกมือขึ้นโบกหัวทุยๆของเพื่อนรักไปหนึ่งทีก่อนหันไปปฏิเสธพ่อบุญทุ่ม



    “ไม่เป็นไรครับพี่เอิร์ธ เดี๋ยวพวกกันต์ไปเมาที่ผับกันเอง”


    “อ้าว นี่จะไปเที่ยวกันต่ออีกเหรอ? ดีเลย พี่ไม่ได้ไปเปิดหูเปิดตานานแล้ว”


    เดี๋ยวนะ กูมั่นใจโคตรพ่อโคตรแม่ว่าประโยคเมื่อกี้ไม่ใช่ประโยคเชิญชวน คือบอกเล่า มึงเขาใจไหมไอ้หมอยาสระอาไม่มีว่ามันเป็นประโยคบอกเล่า ผมทำหน้าหงิกไม่สบอารมณ์ผิดกับผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม พี้กัญชาก่อนมาหรือไงวะไอ้ห่านี่ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โชว์ลักยิ้มอยู่ได้ แก้มมึงจะไปดันแว่นเลื่อนไปถึงคิ้วแล้วไอ้หมอตี๋


    “เฮ้ย กันต์ แต่วันนี้กูอยู่ดึกไม่ได้ว่ะ พรุ่งนี้ต้องพาตาลไปซื้อชุดไปงานแต่ง”


    เสียงไอ้เหยาเรียกสติผมที่เคี้ยวปลาหมึกอย่างบ้าคลั่งราวกับจะบดให้แหลกราญเหมือนไอ้ผู้ชายใหญ่แต่ตัวตรงหน้าให้มลายสิ้น ก่อนตัดสินใจคว้าเอาทิชชู่รีไซเคิลสีชมพูน่าใช้มาคายซากปลาหมึกลง  เหนียวสัตว์อะ สาบานนะว่านี่ปลาหมึกไม่ใช่ล้อรถยนต์



    “อีกตั้งนานไม่ใช่เหรอ?” ผมถามไปห่อซากอารยธรรมไปด้วย


    “มึงน่าจะเข้าใจอารมณ์ผู้หญิงน่า สงสารกูเหอะ แฮงค์ ตื่นสายพรุ่งนี้เมียเล่นกูเละแน่”


    ไอ้เหยายกมือไหว้ปลกๆ ผมเบะปากแล้วแย่งไก่ปิ้งในจานมันมากินเป็นการแก้เค้น เคี้ยวปลาหมึกไม่ขาด แดกไก่ของไอ้เหยาก็ได้วะ สุกหรือยังเนี่ย



    “อ้าว ถ้าพี่เหยากลับเร็วต้นก็ต้องกลับเร็วด้วยดิ” บ้านต้นอยู่ใกล้คอนโดไอ้เหยา เวลาไปเที่ยวสองตัวนี้จะไปกลับด้วยกันตลอด พอไอ้ต้นพูดผมเลยเหมือนนึกขึ้นได้ 


    ไอ้สัตว์ ถ้าให้กูอยู่ปิดจ๊อบกับเชี่ยขุนแอนด์เดอะเฟรนด์นี่ ไอ้พี่เอิร์ธปิดจ๊อบกูแน่ ดูหน้าขุนศึกสิครับ มันรักผมเสียที่ไหน แทบจะจับใส่เตียงโยนเควายแถมกับถุงยางชนิดบางพิเศษประเคนให้เพื่อนมันอยู่แล้ว



    “เออๆ งั้นไม่ไปก็ได้ สั่งเบียร์มาแดกที่นี่แหละ น้อง ลีโอสาม”


    หล่อ ใจดี สปอร์ต แบบนี้กูอยากจะรู้จริงๆว่าบ้านมันอยู่ไหน ถ้าบอกว่าละแวกโรงเรียนผมก็ในกรุงเทพโน่น แล้วถ่อมาทำอะไรที่นี่เวลานี้ แต่เอาน่า ไหนๆมึงจะใจปล้ำมาถึงนนทบุรีทั้งที กูขอใช้ความใจดีให้คุ้มเลยแล้วกัน



    “เต็มที่เลย” พี่เอิร์ธพูดเป็นตาแก่ โถ...ไม่ต้องบอกหรอกโว้ยลุง หนังหน้าอย่างกูสะกดคำว่าเกรงใจไม่เป็น ป๋านักเดี๋ยวกูจัดให้กระเป๋าเบาเลยดีไหม ผมเบะปากหมั่นไส้แล้วหันไปยกโค้กในแก้วกินให้หมด แสตนด์บายรอเบียร์เป็นคนแรก พี่เอิร์ธยิ้มให้ผมกว้างกว่าเก่าแล้วกุลีกุจอหยิบแก้วเปล่าไปเติมน้ำแข็งให้ พอเบียร์มาเสิร์ฟก็ทำตัวเป็นเด็กเชียร์เบียร์ รินให้อีก แต่ขอโทษเถอะ ฟองฟอด!

    บอกตรงๆ มื้อนี้อร่อย ฟรี แต่อึดอัดครับ ผมไม่คุยกับมันตรงๆ เหมือนกับที่มันไม่คุยกับผมตรงๆ ผมไม่มองหน้ามัน แต่แม่งผิด  ผิดตรงมันเอาแต่จ้องหน้าผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หลังจากกินจนพุงปลิ้นก็เปลี่ยนเป็นนั่งซดเบียร์พลางเชียร์บอลไทย  ร้านหมูกระทะเจ้าดังเปิดทรูวิชั่นขึ้นจอยักษ์เอาใจลูกค้าเป็นประเด็นให้พูดคุยกันเซ็งเซ่แถมยังมีโหวกเหวกน่าหนวกหูตอนช่วงที่ทีมใดทีมหนึ่งเกือบทำแต้มได้อีก 
    ทว่าท่ามกลางเสียงน่าหนวกหูก็ยังมีโต๊ะที่เหมือนมีคนใบ้นั่งอยู่ในร้านเวลานี้ด้วย ไม่ต้องไปหาไกล ก็โต๊ะทำเลดีที่ผมนั่งนี่แหละครับ ยิ่งมันมองผมยิ่งหลบตา ปากมีไว้จิบแอลกอฮอล์สลับกับกินหมูกะทะที่ใกล้หมดบนเตา เล่นสงครามประสาทแล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นกระดกซ้ำแล้วซ้ำเล่าพยายามไม่ให้ปากว่างให้มันชวนคุย แต่ก็เสือกยังเป็นประเด็นให้เจ้าภาพแม่งปรามจนได้


     
    “ดื่มเยอะไปหรือเปล่ากันต์”

    ชะอุ้ย! นั่งเงียบๆของมึงไปสิ กูใบ้แดก จะชวนคุยทำเตี่ยอะไร



    “นิดนึงพี่ เดี๋ยวกันต์มานะ”


    ก่อนที่ผมจะปั้นหน้าไม่ถูกไปกว่านี้เลยรีบชิ่งมาห้องน้ำ ไอ้พี่เอิร์ธพยักหน้ารับรู้แต่ก็ยังมองตาม ผมเข้าห้องน้ำมาทำธุระส่วนตัว พอเสร็จก็มองกลับไปที่โต๊ะเห็นมันชะเง้อคอมองอยู่ก็ถอนหายใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าต้องการเหี้ยอะไร คือมึงแม่งเอาจริงเหรอวะ? ผมเกาหัวตัวเองแกรกก่อนหยิบบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบ ใช้มือข้างหนึ่งสอดกระเป๋ากางเกงนึกถึงภาพมันเมื่อก่อนเทียบกับตอนนี้

       

    พี่เอิร์ธเหมือนเดิม เหมือนเดิมทุกอย่างเป็นผู้ชายผิวขาวชมพู ใส่แว่นกรอบสีดำ พูดจาสุภาพอ่อนหวาน ใจดี อ่อนโยนราวกับพระรองหนังเกาหลี อีกทั้งรอยยิ้มพระอาทิตย์ที่ดูกี่ทีๆก็ไม่เบื่อยังคงเหมือนเดิม แปลกที่วันนี้ทั้งๆที่มันเคยทำให้ผมอุ่นใจตัวเองกลับรู้สึกไม่ได้ถึงความอบอุ่นในตอนนั้น ยังไงดีวะ อธิบายยังไงก็ไม่เข้าใจกันใช่ไหมล่ะ

    ไม่อยากจะยกตัวอย่างขึ้นเทียบเพื่อให้เห็นความชัดเจนเลยจริงๆ ดูผมตอนนี้เถอะครับ ทั้งกาก สถุล เกรียน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ปี้หญิงยังกับพระเอกหนังเมกาเถื่อนๆ  เห็นแก็ปช่องว่างราวหลุมดำของผมกับมันเต็มไปหมด ไม่เข้าใจว่าจะมาสานต่อทำไม ยังไงๆมันก็ไม่ติด ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ไม่อยากให้มันมาเสียเวลา เลี่ยงๆเดินคนละทางกันเหมือนเดิมคงจะดีกว่า เรื่องก็ผ่านมานาน นานจนความรู้สึกของผมมันเลือนลางไปหมดแล้วจริงๆ



    “สูบบุหรี่ด้วยเหรอ?”


    จู่ๆเสียงคุ้นๆเหมือนคนที่อยู่ในมโนผมก็แจ่มชัดขึ้นมา ผมหันกลับไปเห็นพี่เอิร์ธกอดอกมองดุอยู่ก็ใจหายแว้บ กระพริบตาปริบก่อนส่งยิ้มแห้งไปทั้งๆที่อีกฝ่ายดูไม่ได้ชอบใจรอยยิ้มเจื่อนของผมเลยสักนิด


    “นานๆทีน่ะพี่”


    “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


    “ม.หกครับ เอาน่าพี่ ตอนนั้นมันก็วัยอยากรู้อยากลอง”


    “เลิกซะ พี่ขอ”


    อ่าวเฮ้ย พูดจบก็ดึงมวนบุหรี่ในมือผมโยนลงพื้น ใช้ปลายเท้าขยี้ขยำไปพร้อมหัวใจดวงน้อยของผม ไอ้เหี้ยยยย รู้ไหมตั้งแต่บุหรี่ขึ้นราคามันมีค่ามากกับกูขนาดไหน ทำไมใจร้ายกับกูแบบนี้ไอ้พี่เอิร์ธ... ทำไมมมมม



    “แอลกอฮอล์ก็เหมือนกัน ดื่มพอเป็นกระษัยพี่ไม่ว่า อย่าดื่มเยอะแบบนี้ มันไม่ดีต่อสุขภาพ”


    “เฮ้ยพี่เอิร์ธ โตๆกันแล้วน่า” อย่าเสือกเรื่องของกูเลย ไหว้ล่ะ


    “โตแล้วไม่ได้หมายความว่ามีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายตัวเองแบบนี้นี่ ..กันต์ ด็กผู้ชายน่ารักๆคนนั้นของพี่หายไปไหน”


    ตอนนั้นเกิดสภาวะเงียบไปชั่วขณะ


    ผมยืนกระพริบตาปริบๆ แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ สตั๊นต์สามวิ อารมณ์นั้นน่ะ ส่วนไอ้คนพูดน่ะเหรอ ยืนจ้องผมเขม็งเหมือนผู้ปกครองจับได้ว่าลูกชายแอบทำความผิดยังไงอย่างงั้น จะให้ผมพูดว่าไง ก็ตั้งแต่ที่พี่ทิ้งผมไปมีแฟน เด็กผู้ชายน่ารักๆคนนั้นของพี่เลยตายไปแล้ว อย่างนั้นเหรอ? บรึ๋ยส์ ไม่ใช่หรอก อันที่จริงอารมณ์อ่อนไหวของผมในช่วงอายุนั้นมันเป็นไปตามฮอร์โมนเฉยๆ เจอหน้ากันใหม่ก็ไม่ได้ตึ๊กตั๊กเหมือนเพลงของบี้สักเท่าไหร่ ติดจะอึดอัดเหมือนคนไม่ได้ขี้มาแปดเดือนได้เสียมากกว่า



    “ขอโทษที่ตอนนั้น...”


    “พี่เอิร์ธ กันต์กับพี่เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันนะครับ”


    ชิงพูดก่อนเลยแล้วกัน อย่ามาทำกูเขวเลย ครองสเตตัสผู้ชายใจสิงห์มาได้ขนาดนี้แล้วอย่าให้ผมกลับไปเป็นเกย์เลยพี่ ไหว้ล่ะ รอบสองแล้วเนี่ย



    “ยังโกรธอยู่เหรอ?”


    “กันต์ไม่ได้โกรธ จะให้พูดยังไงล่ะ มันเปลี่ยนไปแล้ว”


    ทั้งเวลา ทั้งความรู้สึก ไม่แปลกหรอกถ้ากราฟความสัมพันธ์เราจะเปลี่ยนแบบผกผัน จากลู่เข้าสู่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ตอนนี้ผมก็อยากให้มันเป็นแค่อดีตเท่านั้น



    “พี่ยังเหมือนเดิม ตอนที่เห็นรูปกันต์อีกทีในเฟสไอ้ขุน พี่ก็รู้ว่าจริงๆที่พี่คบใครจริงจังไม่ได้เพราะพี่ยังรอใครบางคน”



    ไอ้เวรขุนศึก ทำไมมึงไม่รับปริญญาพร้อมเพื่อนๆ กูจะได้ไม่ไปงานมึง ไม่มีรูปถ่ายคู่กับมึง สะเออะไปเรียนทำอาหารอยู่อิตาลี่ครึ่งปีแล้วค่อยบินมารับปริญญาพร้อมรุ่นน้องเนี่ยงานเข้ากูเลยไหม ผมเม้มปากเข้าหากันเป็นเส้นตรง มือทั้งสองข้างกำแล้วคลายๆอยู่ในกระเป๋ากางเกง ไม่ชอบบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกหายใจไม่เต็มปอดแบบนี้เลย

    ปลายรองเท้าหนังของหมอยาขยับเข้ามา ผมเห็นเพราะสายตาเอาแต่ทอดต่ำ เสียงถอนหายใจของพี่เอิร์ธชัดมาก เหนื่อย ท้อ หมดหวัง อะไรก็ไม่รู้ในความคิดของมัน ใครจะไปตรัสรู้ได้ บางทีมันอาจไม่ชอบสถานการณ์อึดอัดๆเหมือนผม สถานการณ์ที่ได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินติ๊ก ติ๊กนวยนาดอยู่ในสมอง แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้



    “กลิ่นเหล้าหึ่งเลย”


    พี่เอิร์ธกระซิบ แต่เสียงกลับดังชัดเกินไป ผมเงยหน้าขึ้นเห็นว่ารุ่นพี่โน้มตัวลงมาใกล้เกินความจำเป็นแล้วก็สะดุ้งก้าวถอยหลัง แต่ไอ้ฉิบหาย ทีหลังกูจะไม่ยืนพิงกำแพงดูดบุหรี่อีกตลอดชีวิต พอมันเอามือข้างหนึ่งมาดันผนังหลังผมเอาไว้ก็เหมือนตัวเองถูกกักไว้ในอ้อมแขนโดยปริยาย ครั้นจะผละหนีไปอีกฝั่งพี่เอิร์ธก็ก้มหน้ามากันไว้ราวกับบอกว่า มึงหนีสิ แต่ก่อนมึงจะเดินหนีไปต้องเอาจมูกมาชนแก้มกูเป็นค่าผ่านทางก่อน เจ้าเล่ห์ชะมัด!



    “พี่เอิร์ธ เล่นบ้าอะไรวะ ถอยไป”


    เนียนหนีไม่ได้ก็ขู่ฟ่อ แต่แทนที่ไอ้หมาป่าจะขยับถอยตามบัญชามันกลับรุกหน้าเดินเข้าเบียดจนผมต้องเอามือในกางเกงมาดันอกมันไว้ไม่ให้เข้าใกล้กว่านี้ ระยำ!



    “พี่คิดถึงกันต์”


    ไชโย! มันยอมเอาแขนที่กักผมไว้ออกแล้วครับ ทำไมถึงเอาออกน่ะเหรอ?
    เพราะมันฉวยเอามือที่ผมใช้ยันมันไว้มากุมไว้น่ะสิ พ่อเจ้าพระคุณมองผมตาหวานเยิ้มใต้แว่น ใช้นิ้วโป้งไล้หลังมือผมอีก เฮ้ยมึงพยายามส่งซิกส์อะไรกับกูวะ!



    “กันต์ล่ะ...   คิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า”





    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×