ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่17 เสียงอะไรที่หัวใจต้องการ 

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.91K
      82
      28 ก.พ. 59


    Dahlia 17



    เป็นเช้าวันทำงานอีกวันที่น่าเบื่อหน่าย ผมลืมตาตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตตามวัฏจักรเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ต่างออกไปคงเป็นจิตใจที่ไม่สงบเหมือนเดิม คล้ายมีเรื่องราวอะไรสักอย่างวนเจียนอยู่ในหัวพาลให้สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว นั่งทำงานเป็นเครื่องจักรดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา พอเที่ยงก็ไปกินข้าวกับขุนศึก เดือนนี้ไอ้ต้นออกไปทำงานต่างจังหวัด ไอ้อ้วนขุนเลยประจ๋อประแจ๋ ไม่ค่อยปากหมาใส่ผมเท่าไหร่ กลัวพาลจะไม่มีคนคบ คือปกติผมเป็นพวกไปไหนกับใครก็ได้ ไม่ค่อยแคร์โลก แต่ถ้าเป็นมิสเตอร์ขุนศึกเนี่ยต้องมีดูโอ้ตลอด มันบอกเวลาไปรวมกลุ่มกับคนอื่นแล้วไม่ค่อยself รู้สึกหล่อน้อยกว่าเวลาเดินกับผมหรือไอ้ต้น ไม่รู้ว่ามันหมายถึงผมกับไอ้ต้นขี้เหร่กว่ามัน หรือพยายามบอกว่าหนุ่มคลีโอแพคคู่กันแล้วจะเจิดจรัสกว่ากันแน่ อย่าไปหาคำตอบเลยครับ ปวดกบาลเปล่าๆ

    พูดถึงขุนศึก ที่จริงแล้วมันเป็นคนอ้วนหน้าตาดีนะ คือถ้าไปลดน้ำหนักหน่อยมันคงเป็นอาตี๋แว่นพรรค์เดียวกับพี่เอิร์ธ ตอนเข้าทำงานใหม่ๆมันก็ผอมดีอยู่ สาวๆนี่กรี๊ดกันให้ลึ่ม แต่พอมีแฟนเมื่อประมาณหก-เจ็ดเดือนก่อนก็อ้วนเอาๆ ไม่รู้ว่าแข่งกันเจ้าเนื้อหรือยังไง น้องนกแฟนมันก็ใกล้เป็นพะยูนเต็มแก่ เจ้าเนื้อพอกัน



    “มีร้านเค้กเปิดใหม่แถวศาลาแดง วันก่อนกูพานกไปแดกแม่งแจ่มมาก ว่างๆมึงซื้อไปฝากแม่ไอ้เอิร์ธดิ รายนั้นชอบของหวาน”


    จู่ๆคนกินข้าวฝั่งตรงข้ามผมก็พูดขึ้นลอยๆ ถ้าจะเดาพี่เอิร์ธคงคุยอะไรกับขุนสักอย่างเกี่ยวกับผมและแม่เพราะเมื่อเช้ารายนั้นเพิ่งบอกว่าอาทิตย์นี้ทำตัวให้ว่างสักวันจะพาเข้าบ้าน แม่พี่เอิร์ธเองก็อยากเห็นหน้าผมเหมือนกัน 



    “อย่างมึงแดกอะไรก็อร่อย ไม่ต้องทำแนะนำกูเลย”


    ผมแกล้งแขวะมันกลับ ขุนศึกรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน “อร่อยจริงๆ ร้านที่กูไปดารายังไปกันเยอะเลย อ้อ เคยเจอน้องแฟนเก่ามึงที่ร้านด้วย ไปกันทั้งกองถ่ายเลยมั้งวันนั้น ร้านแทบแตก แฟนคลับแม่งทะลักมาก”


    ประโยคสำทับของเพื่อนร่วมงานทำให้ช้อนส้อมผมชะงัก ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เจอมินอีก ถ้าจำไม่ผิดที่มันเคยบอกคงเป็นพรุ่งนี้ที่จะบินไปทำงานที่ญี่ปุ่นเป็นเดือน คิดพลางถอนหายใจพลาง ไม่รู้ว่าควรปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้หรือโทรไปคุยกับมินให้รู้เรื่องสักครั้งดี ความรู้สึกผมคือคาราคาซังสุดๆ ใจหนึ่งก็อยากเคลียร์ให้จบๆ อีกใจก็คิดว่าถ้าเจอหน้ามิน ผมคงโอนอ่อนไปกับมันไม่หยุด ลึกๆที่ผมบอกตัวเองว่าผมจะเลือกเชื่อพี่เอิร์ธอีกครั้ง ยังมีภาพของตัวเองกับมินอยู่ปรากฏซ้อนอยู่ ผมรู้ว่ามันไม่ดี แต่ผมก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าตัวเองก็รู้สึกดีที่มีมันอยู่ใกล้ๆเหมือนกัน 



    “เครปเค้กอร่อย กูแนะนำเลย วันนั้นซัดกับนกไปคนละสองชิ้น โอย พากันพุงโย้ทั้งคู่”


    “มึงก็โย้ตลอดแหละ แดกอะไรไปหัดออกกำลังกายบ้างนะโว้ย ตอนขยับเอวซอยพุงกระเพื่อมมันไม่งาม อายนกบ้าง”


    ผมแซวมันไปหนึ่งที ไอ้ขุนอายจนหน้าแดงก่ำบ่นงุบงิบในลำคอคนเดียว เห็นแล้วตลกดี “ใครจะไปเป๊ะเท่าพี่เอิร์ธของมึง สันดาน...” 

    มันว่าอะไรนะ? ผมได้ยินไม่ถนัดเลย







    สุดท้ายเย็นวันเดียวกันผมก็ได้เครปเค้กร้านดังกล่าวมาตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมงานโดยมีใหญ่เป็นผู้เคราะห์ร้าย คือเสือกโทรมาตอนห้าโมงครึ่งพอดีเด๊ะว่าอยากไปเดินเล่น กลับมาไทยไม่นานอยู่แต่บ้านแล้วเบื่อเลยตกเป็นเหยื่อให้ผมลากขึ้นบีทีเอสซะ ทีนี้คุณชายบ่นอุบเลยครับ ขึ้นรถไฟฟ้าตอนเลิกงาน ออกมาตัวแทบแบน จุกันเป็นปลากระป๋องอัดเม็ดมาก



    “นึกเหี้ยอะไรอยากลองแดกเค้กวะ ปกติกับของหวานนี่ได้ข่าวว่าขยาดสุดๆ”


    ไอ้ใหญ่ทำท่าประกอบคำให้การ ชูถุงเครปเค้กในมือขึ้นโชว์แล้วเหลือบตามองผม “สารภาพกับกูมาซะดีๆ หน้าอย่างมึงไม่แดกหรอก”


    “ซื้อมาฝากเพื่อน”


     ผมบอกปัดๆ ก็เพื่อนจริงนะ ผมไม่ได้ตั้งใจซื้อมากินเอง เห็นขุนบอกว่ามินเคยไปร้านนั้นผมว่าคงถูกใจมันอยู่แหละ กะซื้อให้มันกินจะได้คุยกันสักทีด้วย หลอกถามด้วยว่าอร่อยไหมวันหลังจะซื้อไปฝากแม่พี่เอิร์ธ ดูชั้วชั่ว แต่เรื่องถนัดเลย ไม่คิดว่าไอ้มุกปลิ้นปล้อนนี่นอกจากจะใช้กับสาวๆสมัยกิ๊กเยอะแล้ววันนึงจะได้ใช้กับผู้ชายด้วยกัน


    “เพื่อนที่ไหน?”


    “กูไม่บอก”


    “เฮ้ย เดี๋ยวนี้มีความลับ”


    “อย่าให้กูพูด ไอ้เชี่ยใหญ่ ถ้าวันนั้นพี่เอิร์ธไม่บอกกูว่ารอยบนตัวกูมายังไงป่านนี้กูก็เป็นไอ้โง่อยู่นั่นว่าใครทำ แล้วมึงนี่ยังไง ไหนบอกว่าไม่ชอบพี่เอิร์ธ ทำไมปล่อยกูไว้กับมัน”


    ผมตวัดหางตามองเพื่อนรักคาดโทษเปลี่ยนประเด็น ไอ้ใหญ่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากหน้าระรื่นไม่ได้สลดลงแม้แต่น้อยเวลาโดนด่า “มึงไม่เห็นหน้ามันวันนั้น ตอนที่กูแบกมึงลงมาจากรถเนี่ยแทบจะแดกหัวกูอยู่แล้ว แต่มันก็พูดจาดีนะ มีถามไถ่กูตามประสารุ่นพี่ว่ากูกลับมาเมื่อไหร่ กลับมากี่วัน สบายดีไหม ตบท้ายด้วยคำว่า ขอบใจที่วันนั้นดูแลมึงให้ พอดึงมึงไปจากแขนกูได้ก็โอบเอวแสดงความเป็นเจ้าของสุดฤทธิ์ ทำเป็นหึง โถ่ นี่ถ้ากูจะเอามึงนะ หลอกปล้ำตั้งแต่ตอนมันทิ้งมึงแล้ว ตอนนั้นโคตรโง่”


    “ไอ้เหี้ย กูก็เลือกนะเว้ย”


    ผมชกที่ไหล่มันเบาๆ ไอ้ใหญ่ยักคิ้วกวนตีน “ทำไม กูไม่ดีตรงไหนมึงว่ามา”


    “มึงเป็นเพื่อนกู แล้วกูก็ไม่เอาเพื่อนมาทำเมีย จบปะ”


    “ถุย พูดนี่น่าโดนจัดหนักสักยกนะมึง เอ้า แล้วจะให้กูขึ้นไปห้องไหม ไม่กดลิฟท์เนี่ย”


    ผมยิ้ม แล้วเอื้อมมือไปกดลิฟท์คอนโด มองดูตัวเลขชั้นด้านบนที่ลดลงมาเรื่อยๆ พักเดียวก็มีคนมายืนอีกข้างรอลิฟท์ตัวเดียวกัน ผมปรายตามองเห็นว่าเป็นผู้ชายตัวสูงสวมหมวกและแว่นก็รู้ว่าเป็นใคร มันไม่ทักผม ยืนนิ่งเหมือนคนไม่รู้จัก กระทั่งลิฟท์มาเราสามคนก็เข้าไปอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆด้วยกัน บรรยากาศในใจผมยิ่งคุกรุ่นขึ้น ส่วนไอ้ใหญ่ยืนหลบมุมเล่นโทรศัพท์เงียบๆไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรด้วย สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว หันไปยัดกุญแจห้องใส่มือใหญ่แล้วดึงถุงเค้กกลับ เพื่อนสนิททำหน้าเหรอหรา แต่เห็นผมปรายตามองบุคคลที่สามมันก็หุบปากฉับเหมือนอ่านใจผมออกว่ามึงอย่าเพิ่งซักเหี้ยอะไรให้มันมาก ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิด ใหญ่ก็รีบก้าวนำเราสองคนเข้าห้องไป ส่วนผมก็เดินตามมินเงียบๆ กระทั่งมินไขประตูห้องตัวเอง ผมเลยคว้าแขนมันไว้



    “พรุ่งนี้ขึ้นเครื่องกี่โมง?”


    “หนึ่งทุ่ม”


    “วันนั้น กูขอโทษ”


    มินไม่พูดอะไร มันเดินเข้าห้องและพยายามจะปิดประตู ผมเลยใช้ฝ่ามือดันไว้ “คุยกับกูก่อน”


    “กูรีบกลับมาเก็บของเตรียมตัว ไม่ว่าง”


    “งั้นกูช่วยมึงเก็บเอง” 


    ผมออกแรงมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อจะเข้าไปในห้องมัน ภูมินทร์ขมวดคิ้วไม่พอใจแต่สุดท้ายก็ยอมให้ผมเข้ามาในห้องมัน ภายในห้องถูกตบแต่งเป็นระเบียบ มีของใช้เก๋ๆกว่าห้องคนทั่วไปเหมือนจ้างอินทีเรียมาออกแบบโดยเฉพาะ ทุกอย่างออกโทนสีเดียวกัน สไตล์เดียวกันหมด บอกตรงๆว่าน่าอยู่มากกว่าห้องผมเยอะ



    “มึงจะเอายังไงกับกู...”


    “อะไรคือเอายังไง”


    “ถ้ามึงเลือกมันก็ไม่ต้องมายุ่งกับกูเลย”


    “หน่ะ ทีเรื่องของตัวเองกับเจมส์ล่ะไม่พูด” ผมยกยิ้มที่มุมปาก เห็นรูปถ่ายคู่ของมันบนหัวเตียงแล้วอดแขวะไม่ได้ จริงๆมันก็คันยิบๆนะ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่มีสิทธิ์อะไร 


    “งั้นก็ดีที่สุดใช่ไหม มึงอยู่กับไอ้เอิร์ธ ไปให้มันหลอกฟันฟรีแล้วกูก็อยู่กับเจมส์ แบบนี้ใช่ไหมที่มึงอยากได้นักหนา กันต์ ถ้าแบบนั้นจะตามเข้ามาทำไม มึงจะขอโทษกูทำไม”


    มันพูดทั้งๆที่เดินไปหยิบโน่นจับนี่เหมือนตัวเองยุ่งเสียเต็มประดา ผมวางถุงเค้กลงบนโต๊ะแล้วเดินไปจับให้ไอ้มินหยุดเดินเสียที พยายามจ้องตามันแต่อีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนีเป็นสาวน้อย สุดท้ายก็เหลือเพียงความเงียบเมื่อเรายืนอยู่ใกล้กัน ผมก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร พอต้องเลือกระหว่างมินกับพี่เอิร์ธผมก็เป็นฝ่ายบอกให้มินไป แต่ทุกครั้งก็จะมานั่งกังวลว่ามินจะรู้สึกยังไง มินจะเสียใจไหม เราจะคุยกันได้เหมือนเดิมหรือเปล่า มันเป็นความเห็นแก่ตัวตรงที่สุดท้ายผมก็เลือกที่ยื้อมันไว้เพราะอย่างน้อยก็อยากเห็นว่ามันยิ้มอยู่ข้างกัน หรือไม่ คงอยากเห็นมันยินดีกับผมที่มีความสุข อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ผมตอบตัวเองได้ว่ามันโอเค



    “มิน... “


    จนแล้วจนรอดภูมินทร์ก็ไม่ยอมสบตา ผมเลื่อนมือไปกอดรอบคอมัน พักเดียวพระเอกหนุ่มก็หันหน้ากลับมาหอมแก้มผาแล้วดันคางขึ้นหมายจะจูบ ถ้าเพียงแต่เสียงเปิดประตูแกรกไม่ดังตามมาก่อน



    “พี่มิน!”








    “แก้มไปโดนอะไรมา?”


    นี่ไม่ใช่เสียงแรกที่ทัก อันที่จริง ผมถูกถามแบบนี้ตั้งแต่เมื่อคืนที่กลับไปห้องแล้ว แน่นอนคนถามมันหัวเราะก๊ากไปสมน้ำหน้าไปตัวดิ้นตัวงอ ไอ้เชี่ยใหญ่ไม่แม้แต่ถามผมสักคำว่าเจ็บไหม


    ไม่น่าเชื่อว่าอย่างมึงจะต้องมาตบกับใครแย่งผู้ชาย หมดกันศิษย์กู’


    ปากคอน่ากระทืบสุด ผมมุ่ยหน้าเถียงเพื่อนรักกลับว่าไม่ได้ตบกัน แต่โดนต่อยฝ่ายเดียว มีแค่มันที่รู้ว่าผมไปทำอะไรมาแก้มเลยม่วงช้ำมาขนาดนี้ ส่วนคนอื่นผมแค่บอกว่าเดินชนโต๊ะชนตู้ บางคนทำหน้าไม่เชื่อ แต่ไอ้ขุนกลับหัวเราะก๊ากด่าว่าผมโง่สารพัดสารเพ



    “ชนประตูตู้ครับ”


    เป็นอีกครั้งที่ผมเลือกจะโกหก พี่เอิร์ธเลิกคิ้วขึ้น จะให้บอกได้ยังไงว่าน้องเจมส์ของไอ้มินซัดมาเต็มแรงข้อหาที่ผมอยู่ในฉากล่อแหลมกับมัน มีหวังได้ม่วงกันอีกข้างกันพอดี ไม่คุ้มเลย จะไปง้อให้หายโกรธกลายเป็นเจ็บตัวฟรี มินโผจับเจมส์ที่โวยวายทั้งน้ำตาถามถึงความสัมพันธ์ของผมกับพระเอกหนุ่มสารพัด ไอ้มินไล่ผมกลับห้อง ส่วนมันกอดรัดแฟนตัวเองจนผมหายลับไปหลังบานประตู ท้ายที่สุดผมก็เห็นเงารางๆว่ามันง้อกันท่าไหนบนเตียงจากผ้าม่านผืนบางริมระเบียง แล้วได้แต่ปาบุหรี่ลงพื้น 



    “ทายาหรือยัง มันบวมๆนะ”


    “ไม่เอาอะพี่เอิร์ธ แสบตา เดี๋ยวเป็นสิวด้วย”


    “หน้าเหวอะขนาดนี้ห่วงแผลก่อนห่วงสิวดีไหม? เดี๋ยวเข้าบ้านพี่หายาให้แล้วกัน เอาแบบซอฟท์ๆ”


    คนพูดเลี้ยวรถเข้าบ้านในเวลาต่อมา ถูกแล้วครับ วันนี้หลังเลิกงานพี่เอิร์ธมารับผมที่ออฟฟิศพากลับมาทานมื้อเย็นที่บ้าน ผมมีเครปเค้กที่สุดท้ายก็ยังไม่มีใครยืนยันว่าอร่อยนอกจากไอ้ขุนมาหนึ่งกล่อง บ้านพี่เอิร์ธเป็นบ้านเดี่ยวขนาดกลางในซอยย่านธุรกิจ หน้าบ้านมีร้านขายยาเปิดไว้แต่ไม่มีคนเฝ้า ผมเห็นโนตเล็กๆว่าถ้าจะซื้อของให้กดกริ่งเรียกเหมือนอารมณ์เปิดทิ้งๆไว้มากกว่า ใกล้ลานจอดรถมีสวนเล็กๆถูกตบแต่งด้วยหินและต้นไม้สวยงาม พอลงจากรถได้ก็เดินตามพี่เอิร์ธเข้าบ้าน หญิงวัยกลางคนกำลังนั่งถักเสื้อจากไหมพรมเป็นก้อนโดยแมวบนตักหล่อนนอนเขี่ยมันไปมาสบายใจ



    “แม่ น้องซื้อขนมมาฝากครับ”


    สิ้นเสียงลูกชายคนเดียว แม่พี่เอิร์ธก็เงยหน้าขึ้นมามองลอดแว่นสายตายาว ผมยกมือไหว้เกร็งๆ รอยยิ้มสวยก็ผุดขึ้นบนหน้า ผมรู้แล้วว่าลักยิ้มของพี่เอิร์ธได้มาจากใคร



    “ไหว้พระเถอะลูก แล้วซื้ออะไรมาทำไม ลำบากเปล่าๆ”


    “อ่า..เครปเค้กครับ มีคนแนะนำว่าอร่อยผมเลย...”


    “โอย คนแก่เบาหวานขึ้นพอดี ขาวลงไปก่อน แม่ไปรับพี่เขาแป๊บนึง”


    แม่พี่เอิร์ธหันไปพูดกับแมวตัวขาวแล้วยื้อลูกบอลไหมพรมออกห่าง แมวเหมียวร้องแง้วๆประท้วงแป๊บเดียวก็โดดลงจากตักมาคลอเคลียรอบขาพี่เอิร์ธแทน



    “อ้าว แม่กลัวเบาหวานขึ้นแบบนี้สงสัยจะลาภปากแกแล้วว่ะขาว”


    “เอ้ เจ้าเอิร์ธ น้องเขาซื้อมาฝากแม่จะไปให้แมวกินได้ยังไง ไหนให้แม่ดูใกล้ๆหน่อยซิ คนแบบไหนนะที่แม่จะฝากลูกชายแม่ไว้ได้”


    คำพูดของหญิงวัยกลางคนทำเอาผมจุกขึ้นมาในลำคอ หันมองเสี้ยวหน้าของพี่เอิร์ธที่อุ้มแมวขึ้นวางเกาะบ่าตระหนก พี่เอิร์ธออกแรงดันผมนิดเดียว แม่พี่เอิร์ธก็หัวเราะใหญ่



    “ขี้อายเหรอ?”


    “ครับ? เปล่าครับ เอ่อ...”


    “กลัวแม่เหรอลูก?”


    ผมมองผู้หญิงที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เคยทำให้ผมเสียใจเป็นวรรคเป็นเวรแล้วพยายามลบความทรงจำทั้งหมดออกไป เธอยิ้มสวยและบรรจงลูบผมของผมอ่อนโยน “แม่กับเอิร์ธมีกันสองคน เมื่อก่อนแม่ก็กังวลว่าคนแบบไหนที่จะมาอยู่กับเอิร์ธแทนแม่เวลาที่แม่ต้องไม่อยู่...”


    “แต่ตอนนี้แม่มั่นใจว่าเอิร์ธโตแล้ว แล้วเอิร์ธก็เลือกแล้ว.. แม่กลัวนะ แต่แม่เชื่อว่าเอิร์ธจะตัดสินใจถูก ตานี่น่ะเลือกหนูมาตั้งนานแล้ว ดีจังที่โลกกลมให้กลับมาเจอกันอีก ไม่อย่างนั้นแม่คงรู้สึกผิดกับลูกชายคนเดียวแย่ที่ทำตัวเป็นไม่เลื้อยเพราะตัวเอง”
     

    “แม่ก็ ไม้เลื้อยอะไรล่ะ”


    “อย่าให้แม่เผานะตาเอิร์ธ วีรกรรมเราน่ะใช่น้อยที่ไหน ดีหน่อยที่ไม่เคยพาใครมาที่บ้าน ไม่อย่างนั้นฉันคงหัวใจวายตาย”


    “แม่ก็พูดไป วันนี้ทำอะไรทานครับ หรือจะออกไปหาอะไรกินกันข้างนอกดี?”


    พี่เอิร์ธกอดเอวแม่ถาม แต่หันมาขยิบตากับผม  สุดท้ายได้ความว่าแม่เตรียมมื้อเย็นสำหรับสามคนจนหนำ แม่พี่เอิร์ธเป็นคนน่ารัก พอทานข้าวเสร็จผมก็อาสาล้างจานโดยพี่เอิร์ธส่งแม่เข้านอนกับไอ้ขาวก่อน ผมมองชะเง้ออกไปหลังบ้าน เป็นที่ดินยาวออกไป เหมือนมีโกดังกับโรงงานไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่ด้านหลังประตูรั้วอีกที มีคนงานเดินกันอยู่บ้างช่วงหัวค่ำ แต่อยู่แยกกันกับตัวบ้านเป็นสัดส่วนชัดเจน กระทั่งสัมผัสอุ่นแนบลงกลางหลัง ผมก็เผลอสะดุ้งหันไปให้พี่เอิร์ธใช้จมูกชนกับแผลเก่าพอดิบพอดี



    “โอ๊ะ”


    “ขอโทษๆ.. เจ็บไหม? ไปทายาหน่อยเถอะ จานก็ล้างเสร็จแล้วนี่”


    คนพูดบรรจงวางมือลงบนรอยช้ำที่โหนกแก้ม พี่เอิร์ธใช้สายตาเป็นห่วงมองลอดแว่นให้ผมหลบวูบ ใบหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาเหมือนทุกครั้งที่เจอสายตาแบบนั้น มันพาลให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดุด้วยผู้ชายด้วยกันโดยที่ไม่มีข้อโต้แย้ง สุดท้าย ก็กลายเป็นผมนั่งนิ่งให้เภสัชกรหนุ่มทายาบนห้องนอนด้วยครีมอะไรสักอย่างไม่ยักจะเป็นยาหม่องแบบที่ผมคิด ปลายนิ้วที่ละเลียดป้ายยาอุ่นแต่ผมกลับรู้สึกว่าหน้าตัวเองอุ่นกว่า พี่เอิร์ธยักยิ้มนิดเดียวตอนผละถอยออกแล้วลุกไปล้างมือ เก็บยาลงกระเป๋าผมพลางกำชับว่าให้ทาบ่อยๆ จะได้หายไวๆแล้วอย่าเซ่อซ่าชนประตูตู้อีก



    “คืนนี้นอนนี่ไหม?”


    คนที่เดินกลับมาจากห้องน้ำถาม ผมส่ายหน้าแต่พี่เอิร์ธกลับหัวเราะไม่สนใจ มันโยนผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟันกับชุดนอนมาให้ผมหน้าตาเฉย



    “ไปอาบน้ำไป พรุ่งนี้เช้าจะรีบส่งไปทำงาน”


    “บังคับ?”


    “อย่าว่ายากนัก ไปอาบน้ำครับ จะได้มานอนอ่านหนังสือกัน”


    คนพูดยกหนังสือขึ้นโชว์สองเล่ม ผมผุดหัวเราะในลำคอถาม “รู้ได้ไงว่ากันต์ชอบอ่านหนังสือ?”


    “ก็เห็นอยู่ ที่ห้องก็มีอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด นี่พี่ยืมเพื่อนมา ไม่รู้กันต์อ่านหรือยังนะ”


    ผมจะยื่นมือไปหยิบ รุ่นพี่คนสนิทก็ยกหนีขึ้นเหนือหัว หลิ่วตาไปมองชุดอาบน้ำบนเตียงเชิงเตือนอีกครั้งเลยยอมคอตกกอดผ้าเช็ดตัวเข้าห้อง พอพ้นหลังบานประตูไปก็แอบยิ้มกับตัวเอง มันรู้สึกดีนะครับเวลามีคนใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของเราว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไรโดยไม่ต้องตั้งคำถาม พี่เอิร์ธมักจะเป็นแบบนี้กับผม มันคือภาพของรุ่นพี่ ม.6 กับรุ่นน้อง ม.5 เหมือนที่เราไปกินไอศครีมหลังเลิกเรียนแล้วพี่เอิร์ธสั่งให้ผมหลังจากที่ผมสั่งเองแค่ครั้งสองครั้ง มันคือความใส่ใจที่บอกว่าวิชาไหนของผมถนัด ไม่ถนัดและสาเหตุคืออะไร มันคือความประทับใจที่ทำให้หัวใจผมพองขึ้นเหมือนบอลลูนยักษ์ด้วยการกระทำง่ายๆที่ไม่มีคำพูดอะไรให้ชวนเคลิบเคลิ้ม





    ไฟโคมข้างหัวเตียงเป็นสีส้มเหลือง เปิดแข่งกับไฟนีออนบนเพดานชวนให้อ่านหนังสือกระดาษถนอมสายตาสบายตา ส่วนพนักพิงหลังก็สมส่วนสบายตัว ไม่ใช่อะไร พอผมออกจากห้องน้ำพี่เอิร์ธก็รีบจัดแจงให้ผมนั่งอ่านหนังสือบนเตียงส่วนตัวเองก็เช็ดผมให้ผมใหญ่ พอผมแห้งก็เริ่มเลี้อย กลายเป็นผมนั่งอยู่ระหว่างหว่างขายาวโดยพิงหลังกับอกแกร่งซึ่งแปะติดกับหัวเตียงอีกทีไปทั้งตัว เจ้าของคนตัวสูงใช้คางเกยที่บ่าผม ใช้สายตามองลอดแว่นหนามาอ่านตัวอักษรเดียวกันไปเรื่อยๆจนเวลาผ่านมาค่อนคืน



    “นอนเถอะกันต์ ดึกแล้ว”


    “ยังอ่านไม่จบเลย”


    “ไว้เก็บไปอ่านที่บ้านก็ได้ พี่ให้ยืม”


    เภสัชกรหนุ่มกล่าวเสียงทุ้ม ขยับตัวเอาตัวเองออกแล้วพลิกผมนอนราบบนเตียง ยื้อหนังสือในมือไปรวดเร็วก่อนคั่นพับเอาไว้ด้วยเศษกระดาษ แล้วลุกไปปิดไฟนอน ผมดันตัวเองลุกขึ้นมาหาหนังสือเล่มเดิมก็ถูกซ่อนไปแล้ว คนเจ้าเล่ห์หันมายิ้มมุมปากเพราะรู้ทันว่าผมยังไม่ยอมนอนจนกว่าจะอ่านหนังสือจบเลยรีบเอาไปซุกแล้วเดินมานั่งบนเตียงเดียวกัน



    “พี่เอิร์ธ ให้กันต์อ่านอีกบทดิ”


    “ไม่เอา นอนได้แล้ว นี่พี่ให้กันต์อ่านมาครึ่งเล่มแล้วนะครับ อย่าดื้อ แก่แล้วทำตัวแบบนี้ไม่น่ารักนะ”


    “กันต์แก่พี่เอิร์ธก็แก่กว่าเหอะ เพิ่งจะ 24 ย่าง25....”


    “เกิน20 เขาก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่งอแงแล้วนอนดีๆเลย พี่จะปิดไฟแล้ว”


    ผมทำหน้ายุ่ง แต่ยอมล้มตัวลงนอน พี่เอิร์ธกดปิดไฟโคมก่อนล้มตัวลงข้างๆกัน เป็นครั้งแรกที่ผมนอนเตียงเดียวกับพี่เอิร์ธ เป็นครั้งแรกที่ถูกอีกฝ่ายดึงเอวเข้าไปกอด และเป็นครั้งแรกที่พี่เอิร์ธจูบเบาๆบนหน้าผากผมพร้อมกล่าวราตรีสวัสดิ์สั้นๆ


    ถึงปากจะปิดแน่น แต่หัวใจผมกลับเต้นแรงเสียจนเหนื่อย



    tbc
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×