ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่15 เศษเสี้ยวของความจริงที่หายไป 

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.9K
      74
      28 ก.พ. 59



    Dahlia 15



    สุดท้ายผมกับภูมินทร์ก็กลับมาทำกับข้าวกินกันเองที่คอนโด ผมโทรหาพี่เอิร์ธแต่รายนั้นไม่รับสายเลย ไลน์ไปหาก็ไม่กดอ่าน ไม่หือไม่อือ ไม่อะไรสักอย่างจนผมท้อใจ คาโบนาร่าควันหอมฉุยมาตั้งไว้ที่โต๊ะกลาง เชฟมือดีเดินมาแย่งหมอนการ์ฟิวส์ที่ผมกอดไว้ไปก่อนเปลี่ยนช่องโทรทัศน์จากทีวีไดเร็กเป็นพุชอินบูทที่ฉายวนซ้ำนับครั้งไม่ได้ในรอบเดือน



    "ไปกินกัน หิวแล้ว"


    "อือ มึงเอาก่อนเลย กูยังไม่หิว"


    ผมหันไปตอบมิน มองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองไปด้วย ความรู้สึกค้างๆคาๆทำให้ผมอึดอัด ภูมินทร์ไม่ได้เกรี้ยวกราดตามนิสัย แต่กลับนั่งลงบนพื้นแล้วเอนหัวซบตักผมอ้อนๆ



    "กันต์ อย่าชอบไอ้พี่เอิร์ธได้ไหม กูขอร้อง"


    "กู..."


    "กูไม่อยากให้มึงเสียใจ อย่าชอบมันเลยนะ"


    คำพูดของคนที่อยู่บนตักทำให้หัวคิ้วของผมกระตุก ไอ้มินกอดเอวผมเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ส่วนอีกข้างกลับเขี่ยไปมาบนหน้าขา เสียงถอนหายใจดังระรวยยิ่งสะท้อนให้ผมรับรู้ว่ามันหมายความตามที่พูดจริงๆ



    " มึงไม่ควรพูดใส่ความคนอื่นด้วยแค่เซนส์ของตัวเอง"


    "กูไม่ได้ใช้เซนส์ มันเป็นคนไม่ดีจริงๆ มันก็แค่อยากได้มึง อยากเอามึง พอมันได้มึงมันก็จะทิ้งมึง เหมือนที่มันชอบทำ เชื่อกูสักครั้งได้ไหม?"


    "มิน! พี่เอิร์ธไม่ใช่..."


    "กันต์ มึงรู้จักอะไรมันดีแค่ไหนเชียว.. มันมีแฟนมากี่คน มันเลิกเพราะอะไร แฟนแต่ละคนมันคบนานแค่ไหน มันเป็นแค่รุ่นพี่ที่หายไปจากชีวิตมึง 6ปีนะกันต์..."


    "...6 ปี มึงเอาอะไรมามั่นใจวะว่ามันเป็นคนดีของมึงจริงๆ"


    "แล้วการเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง มึงเอาอะไรมามั่นใจวะมินว่าพี่เอิร์ธเหี้ยจริงๆ..." ผมเว้นจังหวะนิดเดียว หรี่ตาลงมองคนบนตัก"หรือมึงรู้จักพี่เอิร์ธมาก่อน?"


    "กูแค่พูดไปตามทฤษฏี ไม่อยากให้มึงถลำตัวปักใจกับภาพที่มันสร้างมาก"


    ภูมินทร์ไม่ได้มีพิรุธเลย มันคงระแวดระวังตามปกติ พักเดียวเจ้าของสายตาคมก็เงยขึ้นมองอ้อน



    "เป็นกูได้ไหม  มึงชอบกูได้ไหม?"


    “มิน.....” ผมยังไม่ทันพูดได้จบประโยค คนที่นั่งบนพื้นก็ยันตัวเองลุกขึ้นกักผมไว้ในแขนทั้งสองข้างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อกระชั้นเข้าหาด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที เป็นอีกครั้งที่มันจูบผม ใช้ปลายลิ้นนุ่มแทรกตัวเข้ามาอย่างเคยคุ้นพลางกดจมูกลงข้างแก้มคลอเคลียไม่ห่าง ผมหลับตาใช้มือเกาะบ่ามันไว้ ไม่ได้ดึงรั้งเข้าหาแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ กลิ่นอ่อนๆเฉพาะตัวของมินเป็นสิ่งที่น่าค้นหาคล้ายพี่เม กระทั่งรู้สึกว่าเริ่มถูกรุกไล่มากเกินไปผมก็ออกแรงดันให้มันถอย แต่เจ้าของอาณาเขตกลับยิ่งกระโจนใส่ทวีเท่าตัว ครู่เดียว สัมผัสอ่อนนุ่มจากผิวเนื้อก็แตะผ่านสาบเสื้อเข้าหาเอวผมเงียบเชียบ เสียงของน้ำลายยามลิ้นแลกเปลี่ยนกันดังก้องอยู่ในหู หัวใจผมเต้นแรงขึ้น และแรงขึ้นเมื่ออาการเสียวปลาบถูกจุดบนยอดอก 



    “กันต์...เป็นของมินได้ไหม...”



    “อย่า!”


    ผมร้องเมื่อเสียงกระซิบถามชิดกกหู ผมตวัดตาที่รื้นด้วยหยาดน้ำมองผู้ชายตรงหน้า ภูมินทร์ชะงักทุกการกระทำเมื่อได้ยินเสียงแข็งๆ ภาพของมินเวลาอ้อนแฟนมันสะท้อนอยู่ในอก มันก็คงทำแบบนี้กับเจมส์ ซึ่งไม่สมควรเลยที่จะให้เกิดเรื่องพรรค์นี้กับผม


    ผมที่เป็นอดีตพี่เขยมันทางพฤตินัย



    “ถ้าเจมส์รู้...”


    “กูบอกว่าอย่าเอามาเกี่ยวกัน เจมส์มันก็แค่เด็กใจแตกที่...”


    “มึงก็พูดกับเจมส์แบบนี้ใช่ไหม อย่าเอามาเกี่ยวกัน กูก็แค่แฟนเก่าของพี่สาวมึง...”


    “กันต์...”


    “ไม่เห็นแก่แฟนมึง ก็เห็นแก่พี่สาวมึงเถอะมิน!”



    “เห็นแก่พี่เม หรือเห็นแก่ไอ้เหี้ยเอิร์ธกันแน่!”


    ไม่อาจมีใครควบคุมเลือดที่แล่นพล่านในตัวได้ ณ เวลานี้ ภูมินทร์เริ่มออกแรงกดที่ไหล่เพราะอารมณ์ที่ดีดตัวสูงขึ้น ตาคมจ้องลึกด้วยโทสะ ผมเองก็ปัดป้องจากการเกาะกุมด้วยท่าทีแข็งขืนเช่นกัน



    “ปล่อยกู”


    “กูไม่ปล่อย”


    “ไอ้เหี้ยมิน มึงกลับห้องมึงไปเลย”


    “กูไม่กลับ”


    “อย่ากวนตีนกู!”


    “ถ้ากูกวน มึงจะทำไม?”


    พลั่ก!

    เพราะแขนทั้งสองข้างถูกล็อค ผมเลยยืดขาไปยันไอ้มินเต็มแรง พระเอกหนุ่มล้มก้นจ้ำเบ้าตวัดตาขึ้นมองค้อน ก่อนที่มันจะลุกขึ้นได้ผมก็รีบกระโจนออกจากโซฟา แต่กลับช้ากว่าแขนยาวๆของอาคันตุกะที่คว้าหมับแล้วโยนผมลงบนพื้นพรมได้ก่อนจนหลังกระแทกพื้นดังอั้ก


    “กูเจ็บ!”


    “เดี๋ยวมึงจะเจ็บกว่านี้!”


    “ไอ้มิน!!!  หยุดนะ มึงจะทำเหี้ยอะไร!! ปล่อยกู! หูหนวกรึไง“


    “เงียบ! ไอ้สัตว์! อย่าดิ้น!!”


    “อึ้ก!! หยุด...มิน ไอ้มิน...กูพูดจริงๆ ไอ้เหี้ย! ”


    เพียะ...!~


    ในจังหวะชุลมุน เสียงหลังมือกระทบข้างแก้มทำให้คนที่อยู่ด้านบนซึ่งพยายามก้มลงมาซุกไซ้ซอกคอผมหันเสี้ยวหน้าสะบัด ภูมินทร์นิ่ง ดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะค่อยๆคลายอ่อน ผมไม่ได้ขอโทษ ไม่ได้ถามว่ามันเจ็บหรือเปล่า มีเพียงความเงียบเชียบและภาพเสมือนรูปถ่ายนิ่งค้างในวินาทีนั้น หัวใจผมเต้นแรง คาดเดาเหตุการณ์ไม่ถูกว่าวินาทีต่อจากนั้นอะไรๆจะดีขึ้นหรือแย่ลง ผมไม่ได้ตัวเล็กกว่ามินมากนักแต่ด้วยยุทธศาตร์ตอนนี้ไม่อาจจำลองเหตุการณ์ในหัวออกเลยสักนิดว่าจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร แต่มินไม่ทิ้งให้ผมตั้งคำถามในใจได้นาน พักเดียวมันก็ดึงผมขึ้นไปกอดแน่นสุดแรง แต่เสียงกระซิบกลับเบาติดข้างหู



    “กูขอโทษ.....”



    ผมเงียบ ไม่กอดมันตอบเหมือนทุกที หัวใจยังเต้นแรงเพราะความตระหนกกลัว พักเดียวจากนั้นภูมินทร์ก็ตัวสั่น ผมหลับตาลงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอ่อนไหวของมัน



    “กันต์ กูขอโทษ พูดอะไรกับกูหน่อยได้ไหม..... อย่าโกรธกู อย่าเกลียดกูนะ กูขอโทษ...”


    ผมยังคงเงียบ ในใจยังต่อต้านและไม่ให้อภัยการกระทำที่ฉาบฉวยและหักหาญน้ำใจนั้น แต่ลึกๆแล้วผมกลับตอบว่าไม่เป็นไรตั้งแต่มันเอ่ยคำขอโทษเหมือนทุกที



    “กูแค่กลัวจะเสียมึงไปให้มัน... ขอโทษ กันต์..”


    ผมกระพริบตาปริบอีกครั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นเร็วมาก ซากความเสียหายคือเสื้อที่ถูกดึงจนกระดุมแยกออกจากกันและหมอนกาฟิวส์ที่ถูกปัดทิ้งระเกะระกะ โซฟาขยับไปจากเดิมนิดหน่อยและเสี้ยวหน้าแดงๆของมิน ตลอดถึงรอยเปียกชื้นบนลาดไหล่ผม


    “มิน... กลับห้องไปก่อนได้ไหม”


    “บอกก่อนว่าจะไม่โกรธกู...”


    “กลับไปก่อน มึงทำให้กูกลัวนะ”


    ผมหลับตา มินยิ่งกอดผมแน่นกว่าเดิม แต่หยุดพูดคำว่าขอโทษแล้ว พักเดียวมันก็ปล่อย ผมลืมตาขึ้นมาพอดีกับที่ปากสีสดวางนาบบนหน้าผาก ตาของมินแดงช้ำตามลักษณะของคนขาว เช่นกันกับแก้มที่ปรากฏด้วยรอยห้านิ้ว ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเพราะมินเป็นคนที่ต้องอาศัยหน้าตาเป็นเครื่องมือในการทำงาน ถ้าช้ำไปถึงพรุ่งนี้คงวุ่นวายกันหมดทั้งกองถ่าย



    “..กลับก็ได้... อย่าลืมกินคาโบนาร่าของกูนะ”


    ผมพยักหน้า มินขยับเข้ามาหาผมอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตัวเองกลับเบี่ยงหน้าหลบให้มันได้แค่หอมเบาๆที่แก้ม มินนิ่งไปอีกพักใหญ่เพราะไม่เคยสักครั้งที่ผมจะปฎิเสธมัน ก่อนยอมถอดใจลุกออกไป เหลือไว้แค่ผมที่ยักมือขึ้นก่ายหน้าผากกับลมหายใจหนักๆที่ถอนรวยรินอย่างไร้ซึ่งความหมาย



    นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรอยู่กันแน่...





    เสียงเข็มนาฬิกาเดินนวยนาดของบ่ายวันเสาร์ทำให้ผมเคาะบุหรี่ลงกระถางอยู่ริมระเบียง การเดินทางของเวลาช่างน่าเบื่อเมื่อเรารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับอะไรสักอย่าง ผมมองผ้าม่านห้องข้างๆปลิวสไวเพราะเจ้าของไม่ยอมปิดประตูกระจกลมจึงแทรกตัวผ่านช่องว่างของมุ้งลวดได้อย่างง่ายดาย ผมไม่เคยเข้าไปในห้องของมิน ต่างจากมันที่เข้านอกออกในห้องผมจนกลายเป็นกิจวัตร นึกสงสัยอยู่ครามครันว่ามันจะจัดการห้องตัวเองยังไง 
    ดูมันขอบความเป็นระเบียบแต่ตัวเองกลับขี้เกียจทำอะไรให้เรียบร้อย ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองพลาดที่เมื่อวานไล่มันกลับไปก่อนกินคาโบนาร่าเสร็จ เพราะพอยกจานเข้าไปเก็บในซิงค์กลับพบซากอารยธรรมไว้เต็มอ่างจนต้องตบกบาลตัวเองแรงๆ มินเป็นเชฟที่ดี คือทำอาหารอร่อย ตบแต่งจานสวยงามน่ารับประทาน แต่บอกตรงๆผมเกลียดที่มันทิ้งหม้อ กระทะให้ผมล้างเป็นที่สุด นั่นเป็นนิสัยง่ายๆที่ทำให้ผมพอมองมินออก แม้ไม่ได้เก่งในเรื่องของการอ่านนิสัยคนอื่นแม้แต่น้อย 

    และหลังจากที่ได้อยู่คนเดียวในห้องเงียบๆตั้งแต่คืนวานตลอดจนอีกครึ่งวันของวันนี้ ผมก็ได้ลองตรองถึงเรื่องราวระหว่างผมกับพี่เอิร์ธและมินอยู่ในหัว แม้สุดท้ายจะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่เราจะเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละคนเพราะแท้ที่จริงแล้วการตัดสินใจรักใครมันเป็นแค่เรื่องของความรู้สึกล้วนๆก็พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับมินอาจเป็นเพราะนิสัยเราคล้ายกัน เวลาอยู่ด้วยกันความคิดความอ่านและทัศนคติจึงไปกันได้ดีเป็นพิเศษ บางคนเรียกเคมีตรงกัน ผมสามารถทำตัวสบายๆกับมันได้ทุกเมื่อแบบไม่ต้องเกรงใจ แต่ก็นั่นแหละ เพราะความไม่เกรงใจทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างเมื่อวานขึ้นได้ง่ายดาย และถ้าเรื่องราวดำเนินไปมากกว่านั้น รับรองเลยว่าความสัมพันธ์ที่ดูไม่กดดันของเราจะกลายเป็นแก้วที่แตกโดยไม่ตั้งใจ 
    ต่างกับพี่เอิร์ธที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นรองอยู่ตลอดเวลา ผมเกรงใจ เคารพ และลึกๆแล้วยังชื่นชมเหมือนเมื่อหกปีก่อน พี่เอิร์ธเป็นคนยิ้มง่าย แต่เมื่อไหร่ที่พี่เอิร์ธเลิกยิ้มจะกลายเป็นคนน่ากลัว ไม่ได้กลัวว่าเขาจะดุดันหรืออะไรทั้งนั้น ผมแค่กลัว กลัวว่าผมจะเป็นคนทำความสุขของพี่เอิร์ธหายไป แต่อีกใจก็ยังกังวล บางทีผมอาจยังไม่รู้จักตัวตนของพี่เอิร์ธภายใต้รอยยิ้มที่ว่าหลังจากเวลาผ่านมาหกปีแล้วเลยตามที่มินบอกก็ได้


    ผมถอนหายใจอีกครั้งในรอบวัน มันบ่อยจนผมเลิกนับไปแล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่



    เสียงโทรศัพท์จากในห้องนั่งเล่นดังขึ้นในเวลาต่อมา ผมรีบปรี่เข้าไปดูเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกก็ปล่อยให้สายตัดไป ใจหนึ่งยังอยากให้เป็นใครในสักสองคนที่ผมนึกถึงบ้าง แต่พอไม่ใช่ก็กลับอยากอยู่คนเดียวเงียบๆมากกว่า ผมเลื่อนมือกดดูปฏิทินในโทรศัพท์ ในนั้นเม็มเอาไว้หมดว่าพี่เอิร์ธเข้าเวรวันไหนไม่เข้าวันไหน อย่างเช่นวันนี้ที่เป็นคิวว่าง แต่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาไม่มาหาผมเมื่อมีโอกาส ส่วนมิน มีถ่ายละครตั้งแต่เช้า ผมรู้เพราะมันเคาะประตูเอาคาโบนาร่ามาเสริฟให้ผมก่อนออกไปอีกแล้ว เห็นว่าตื่นมาทำเพราะกลัวผมไม่ได้กินเมื่อวาน พอถามว่าไม่ทำอย่างอื่นบ้างหรือไงกลับได้คำตอบที่ทำให้มันหน้ามุ่ยส่วนผมยิ้มได้

    “กูทำเป็นอย่างเดียว”

    ถึงว่าทำไมมันถึงบอกคาโบนาร่าของมันอร่อยที่สุด 



    ผมยิ้มให้โทรศัพท์นิ่งๆได้ไม่นาน มันก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเบอร์โทรเดิมที่ไม่ได้เม็มชื่อเอาไว้ ผมกดรับหน่ายๆ กรอกเสียงไปตามสายแค่คำว่า “ครับ”



    “ไอ้สัตว์กี้....”


    “ใครวะ?”


    “กูกลับมาไทยสองสัปดาห์ เย็นนี้มากราบตีนต้อนรับกูที่บ้านด่วน อย่าเบี้ยว”


    “เหี้ยใหญ่?”



    ผมยิ้มอีกครั้ง ชดเชยกับที่ถอนหายใจมาตลอดทั้งวัน





    สุดท้ายเราก็มาจบกันที่ไนท์คลับย่านเศรษฐกิจของเมืองหลวง ไอ้ใหญ่สวมเชิร์ตลายตารางหมากรุกสีแดง ผมรองทรงเซ็ทเท่ห์ หน้าตี๋ๆของมันดูกวนส้นตีนมากเป็นพิเศษเมื่อยักคิ้วหลิ่วตาให้สาวๆ นาทีแรกที่ผมเจอมันถึงกับกระโดดกอดเป็นลูกลิง ส่วนไอ้คนตัวใหญ่สมชื่อกลับตบหลังผมปุๆจนแทบยอก มันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว ทั้งเหล้า ยา บุหรี่ และหญิง ยังอยู่ครบ แต่จากการพูดคุยแล้วผมคิดว่าความคิดความอ่านของมันโตกว่าเดิมราวคนละคน



    “กูทำงานที่ร้านอาหารที่โน่น ใช้ชีวิตโคตรสถุล พอกลับมาไทยเป็นคุณชาย ขี้เกียจกลับเลยทีนี้”


    “มึงไปใช้ชีวิตคุณชายที่โน่นก็ได้นี่ เตี่ยมึงก็ส่งเงินให้ไม่ใช่เหรอ?”


    “ไม่ค่อยอยากใช้เงินเตี่ยว่ะ เดี๋ยวรำเลิกบุญคุญกู อีกอย่าง อายุเราๆขอเงินที่บ้านใช้นี่ฝั่งยุโรปเหม็นหน้าเลยนะโว้ย กากสัตว์”


    “ไม่ใช่เพราะทำงานไปเรียนไปเพราะจะยื้อๆให้เรียนจบช้าเหรอ? ทำเป็นปากดีไปเถอะ มึงไม่ได้อยากกลับไทยจริงๆหรอกกูว่า ไม่งั้นไปโน่นตั้งนาน คงกลับมาบ้าง”


    “กระแนะกระแหนกูเป็นตุ๊ดเลยไอ้กี้  โอ๋ๆ ไม่เอาน่า กูอยากกลับมาหามึงจะแย่ดาร์หลิง ชนหน่อยๆ หมดแก้ว”


    ผมหัวเราะ ยกนิ้วกลางสรรเสริญมันไปหนึ่งทีตามด้วยยกแก้วขึ้นชนกับมันก่อนดื่ม ใหญ่เป็นพวกดื่มเก่งมาก ยกรวดเดียวหมดต่างจากผมที่ต้องพักหายใจเป็นระยะ



    “แล้วเป็นไงวะ มีเมียรึเปล่าช่วงนี้?” 


    “ไม่มีอะ ทำแต่งาน มึงล่ะ”


    “ไม่มีเหมือนกัน กูไม่ชอบฝรั่ง เอเชียที่โน่นก็ไม่สวยเลย เออ แต่กูเล็งๆเด็กผู้ชายไว้คนนึงเหมือนกันนะ เสียดาย ของรูมเมท”


    “เฮ้ย พูดเป็นเล่น? มึงเนี่ยนะ? เป็นเกย์เหรอวะ?”


    “แค่เซ็กส์น่า ไม่ได้คิดจะคบ เห็นหน้าตี๋ๆตัวขาวๆ ขาวกว่ามึงกับกูอีก ขาวเหมือนศพเลย นึกแล้วก็อยากเลยว่ะ ฮ่าๆ”


    ผมส่ายหัวกับนิสัยแบบนี้ของมัน ใหญ่ชงเหล้าให้ผมเพิ่ม มันรู้ว่าลิมิตผมแค่ไหนและมันขี้เกียจดูแล สุดท้ายผมเลยได้เครื่องดื่มอ่อนๆมาอีกแก้ว



    “แต่นะ... กูก็มีคนคุยๆอยู่ว่ะ” ผมตัดสินใจบอกมันด้วยแววตาโลเล มองกราดไปยังหนุ่มสาวในสถานบันเทิงอย่างไร้จุดหมายแล้วยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้ง ขณะที่เพื่อนสนิทดีดนิ้วเปาะ “กูว่าแล้ว สันดานแบบมึงอยู่ตัวเดียวได้ที่ไหน ใครล่ะทีนี้”


    “ก็.... ดูๆอยู่สองคน”


    “รุ่นพี่?”


    “ก็รุ่นพี่คน รุ่นเดียวกันคน”


    “เอ้า สเปคมึงสาวแก่ไม่ใช่เหรอ?”


    “อืม... แต่ครั้งนี้ไม่ใช่สาว”


    คิ้วหนาของเพื่อนรักเลิกขึ้นแปลกใจ “กูอุตส่าห์พามึงออกจากวงจรสีม่วง พอไม่อยู่ก็ถูกดูดกลับไปอีกจนได้นะ คราวนี้ใคร?”


    “คนนึงน้องพี่เม...”


    “ไอ้เหี้ย เล่นง่ายนะ น้องเมียเก่า ฮ่าๆ” ใหญ่หัวเราะก๊ากหลังประโยคนั้นจบ ผมมองหน้ามันแล้วส่ายหัวยิ้มๆ รอจนมันหยุดขำแล้วพูดต่อ “ส่วนอีกคนก็พี่เอิร์ธ...” 


    คนยกแก้วขึ้นจรดปากชะงัก มันไม่หัวเราะแล้วแต่ยังแค่นยิ้มที่มุมปาก “ไอ้เทพบุตรนั่น? ตั้งหกปีแล้วยังกลับมาเจอกันอีกเหรอวะ?... แล้วมันบอกมึงหรือเปล่าว่าทำไมตอนนั้นทำไมถึงหายไป?”


    ผมพยักหน้า ส่วนไอ้ใหญ่มองผมเงียบๆ ที่จริงผมคิดว่าใหญ่น่าจะรู้ มันเป็นคนกว้างขวางเพียงแค่ตอนนั้นมันไม่บอกผมว่ามันรู้เรื่องอะไรของพี่เอิร์ธมาบ้าง สิ่งที่ใหญ่ทำคือปลอบและให้ผมตัดใจเท่านั้น ไม่เคยปริปากเรื่องพี่เอิร์ธออกมาสักคำ



    “พี่เอิร์ธไปนอนกับคนอื่น”


    “แค่นั้น?”


    ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปม ไอ้ใหญ่หัวเราะในลำคอขำๆพลางส่ายหัว “มึงรู้ไหมทำไมกูถึงไม่ชอบไอ้พี่เอิร์ธของมึงนอกจากเรื่องที่มันเกลียดกูก่อน”

    เป็นอีกครั้งที่ผมต้องสะบัดหน้าโง่ๆ เพื่อนสนิทนยังคงหัวเราะในลำคอเหมือนทีแรก ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มกวนๆตามสไตล์มัน “มันคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกละครไทยมั้ง... โง่และน่าหมั่นไส้”


    “?”


    “เรื่องผู้หญิงน่ะเรื่องรอง เรื่องนั้นจบคือจบ แต่เรื่องที่ไม่มีวันจบแล้วกูจะบอกให้มึงทำใจไว้เลยคือแม่มัน ตอนนั้นแม่พี่เอิร์ธรู้เรื่องมึงกับมันเลยขอให้พี่เอิร์ธเลิกเป็นเกย์ มึงก็รู้พี่แกเหลือแม่แค่คนเดียว เลยคิดตื้นๆด้วยการเลิกสนใจมึงแล้วไปคบคนผู้หญิงตามใจแม่ พี่เอิร์ธคงไม่พูดเรื่องแม่ให้มึงฟังใช่ไหม? แหงล่ะ มันเป็นลูกกตัญญู เพราะงั้นกูบอกให้มึงทำใจได้เลยว่าสุดท้ายต่อให้มึงสองคนรักกันจริงๆแล้วมันต้องเลือก ไอ้พี่เอิร์ธมันก็จะทิ้งมึงอีกเหมือนเคย มันไม่คิดจะสู้กับแม่มันเพื่อมึงหรอกไอ้โง่กันต์”


    ผมรู้สึกอื้ออึงในหัว ใจหนึ่งกลับยินดีว่าไม่ใช่เหตุผลแค่เพราะเวลาและความห่างที่ทำให้พี่เอิร์ธเปลี่ยนไป แต่อีกใจกลับฝ่อแฟบเมื่อรู้ความจริงที่พี่เอิร์ธไม่ได้ตอบในวันที่ผมถาม และสิ่งที่ปราดเข้ามากรีดในความรู้สึกของไอ้โง่กันต์ของใหญ่คือ พี่เอิร์ธจะทิ้งผมไปอีก...



    “มึงรู้ตัวไหมว่ามึงเป็นคนใจอ่อนเกินไป มึงให้อภัยคนอื่นง่ายๆ มึงไม่เคยรู้สึกโกรธใคร มึงทำเป็นแต่เสียใจ กูล่ะเป็นห่วงมึงจริงๆ”


    ผมพยักหน้าลง ยกแก้วขึ้นดื่ม ยีตากับไฟที่สาดเข้าม่านตาจนแสบ


    แสบจนรู้สึกว่ามีน้ำเอ่อคลออยู่ใต้กรอบตาคู่นั้น




    สุดท้ายแล้ว พี่เอิร์ธ...ก็จะทิ้งผมไปอยู่ดี



    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×