ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 01 โลกที่หายไป

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.6K
      140
      28 ก.พ. 59



     
    Dahlia 01



    ชนกันต์ แปลว่าเป็นที่รักของคนทั้งหลาย


    ชื่อนี้เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งใจตั้งให้ตั้งแต่อัลตร้าซาวด์เจอสิ่งมีชีวิตตัวผู้ในท้องหาใช่ผมตั้งเองเพราะพฤติกรรมเปิดฮาเร็มแต่อ้อนแต่ออกแต่อย่างใด 


    ครับ ผมชื่อชนกันต์ ชนกันต์  ภู่สมบูรณ์ พ่อแม่เป็นครู บ้านอยู่ดาวคะนองแต่ตัวเองทำงานอยู่นนทบุรี มีน้องสาวหนึ่งคนชื่อชนากานต์ ความหมายไม่ต่างกันเท่าไหร่เช่นกันพฤติกรรมก็ไม่ต่างสมกับเป็นลูกไม้ต้นเดียวกัน ผมกับน้องห่างกันเจ็ดปี ตอนนี้เจ้าหล่อนอายุ17ขวบบริบูรณ์วัยกำลังขบเผาะ นั่นหมายถึงกำลังเป็นช่วงรุ่งเรืองของชีวิตวัยมัธยม ผิดกับผม พอเข้าสู่วัยทำงานได้ปีสองปีออร่าบลิ๊งบลั๊งก็ร่วงโรยไปโข เด็กๆในสต๊อกที่มีก็วนเวียนไม่แปลกหน้าจากสมัยเรียนนัก ทำเอานึกถึงช่วงมหาวิทยาลัยที่เพื่อนๆจะเรียก “เด็กมึงคนนั้น...” ให้ผมเดาไปแปดชาติเศษว่า “คนไหนวะ?” เป็นตาแก่รำลึกความหลัง

    บางทีสาเหตุอาจเป็นเพราะคนเรามักตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งในช่วงอายุยี่สิบต้นๆ ช่วงปีสี่ผมจริงจังกับแฟนคนล่าสุดที่คบมหาศาล แต่พอเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์อะไรๆหลายอย่างมักผิดแผกจากที่มันเคยมีเคยเป็น ผมเริ่มไม่มีเวลาทั้งดูแลตัวเองให้หน้าเด้งเหมือนช่วงวัยรุ่น ไม่มีเวลาให้เด็กๆในสังกัด ไม่มีเวลาไปหยอดคนนั้นนิดคนนี้หน่อย ไม่มีเวลาให้กระทั่งคนรักทั้งที่เคยวาดฝันกันไปถึงขั้นแต่งงานแต่งการ ทำให้สุดท้ายต้องใส่คอนเวิร์สเซย์กู้ดบายกันไปคนละทาง ไอ้ประเด็นหลังสุดนี่แหละที่เล่นเอาผมไม่กล้าคบใครจริงจังไปพักใหญ่ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าไอ้พักใหญ่ของผมเนี่ย แม่งจะสิ้นสุดตรงไหนด้วยซ้ำ

    “ขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างไอ้กันต์เนี่ยนะจะบ้างาน”

    ญาติๆผมเคยพูดกับแม่เสียงขึ้นจมูกตอนซอกแซกอยากรู้ว่าทำไมผมถึงเลิกกับพี่เม  โถ่ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย ผมเองก็ไม่เคยวาดภาพตัวเองต้องนั่งเคลียร์เอกสารจนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งมาก่อนเหมือนกันจนได้งานที่นี่เนี่ย คิดแล้วกลุ้มใจกับความเป็นยอดมนุษย์เงินเดือนของตัวเองสุดๆเลยมายบุดด้า! 
    แต่ก็นั่นแหละครับ ผมทำตัวเป็นลูกรักของหัวหน้าได้ปีเศษๆ พอเลิกกับพี่เมได้สักสอง – สามเดือนก็เริ่มรู้สึกแล้วว่ากูโหมงานเอาโล่เหรอวะ ไม่รู้ว่าจะขวนขวายหาความก้าวหน้าเก็บเงินเก็บทองไปทำไมมากมาย ปลายทางก็ไม่มีใครรออยู่แล้ว ก็เริ่มทำตัวเป็นลูกชัง  แปดโมงตรงเข้าทำงาน ห้าโมงเด้งกลับบ้าน งานไม่เสร็จก็ช่างแม่ง กร๊ากกกกกกก



    เช่นกันกับเช้าวันนี้ ผมเดินเกาตูดออกจากลิฟท์หลังแสกนนิ้วตรงเวลา 8นาฬิกา 00 นาที 59 วินาที ดูดกาแฟโบราณถุงละ12 ที่แวะซื้อตรงป้ายรถเมล์ให้เย็นชื่นใจแล้วยิ้มแฉ่งให้เพื่อนรักที่นั่งประจำโต๊ะรออยู่แล้ว



    “กันต์ มึงเป็นเกย์ปะวะ”


    สวัสดีรุ่งอรุณวันจันทร์อันแสนน่าเบื่อ ไอ้เชี่ยเอ๊ย! กาแฟโบราณแทบพุ่งพรวดออกทางจมูกหลังจากได้ยินประโยคทักทายของไอ้อ้วนขุน เป็นห่าอะไร ทำงานอยู่ด้วยกันมาปีเศษวันนี้เสือกทะลึ่งมาถามผมหน้าตาเฉย  แต่ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่มันคนแรกที่มาถามผมอย่างนี้ อันที่จริงไอ้ต้น พนักงานที่เข้าทำงานหลังผมเกือบๆปีเคยแย้บถามอยู่ว่า ’พี่กันต์อย่าโกรธผมนะ แต่พี่เป็นเกย์ปะวะ’ มาครั้งหนึ่งแล้ว แค่ไม่คิดว่าวันนึงจะเป็นไอ้ขุน ไอ้อ้วนขุนศึกที่ตบบ่าบอกผมในร้านเหล้าว่า “ไม่เป็นไรเว้ยกันต์ ผู้หญิงไม่ไร้เท่าใบพุทรา มึงมันหล่ออยู่แล้ว เลิกกับพี่เมไปเดี๋ยวก็มีแหล่มๆเข้ามาให้เลือก คราวนี้เอาเด็กๆ โดนสาวอายุมากกว่าอย่างเมธาวีทิ้ง เสียใจแต่อย่าได้แคร์ เชื่อกู” เมื่อห้าเดือนก่อน



    “อยากโดนต่อยรับวันจันทร์ต้นเดือนเหรอไอ้ห่านี่”


    “เฮ้ย เปล่าๆ พอดีมีคนฝากถาม...” มันรีบปฏิเสธพัลวัน 

    อันที่จริงผมเคยถามไอ้ต้นครับว่าทำไมถึงคิดว่าผมเป็นเกย์ ไอ้รากถั่วงอกนั่นยิ้มแฉ่งโชว์ฟันเบี้ยวๆของตัวเองแล้วตอบหน้าซื่อว่าผมหล่อ ไม่ได้หล่อแบบบอร์นทูบีนะ แต่เป็นผู้ชายที่หล่อแบบดูแลตัวเอง ผิวไม่ได้ขาวจั๊วะเหมือนซากไก่แต่ก็ไม่จัดว่าดำเพราะมีเชื้อจีนจางๆปนอยู่ในเลือดชั่ว มัดกล้ามตรงต้นแขนก็พอมีเล็กน้อยเท่าๆกับพุงพลุ้ยๆ คิ้วหนาตากลม จมูกปากรับกันลงตัว ตัวไม่สูงไม่เตี้ยอยู่ที่ร้อยเจ็ดสิบปลาย คือรูปร่างหน้าตาเนี่ยจะหาแฟนผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ลำบาก รวมกับคารมชวนคล้อยตามอีกปะไร อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องหลีสาวเลย ต่อให้เป็นการเป็นงานที่จริงผมแม่งก็ลิ้นทองราวสาลิกา พูดไปพูดมาก็จัดการให้ทั้งห้องประชุมมีความเห็นตรงกับแรงชักจูงได้ไม่ยากเย็น มันเลยแปลกใจว่าทำไม๊ ทำไม หลังจากถูกสะบั้นรักครั้งก่อนถึงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขา สาวๆใน-นอกแผนกคอยกันจนเหงือกแห้งแต่ก็ไม่ยักมีทีท่าว่าจะสนใคร วันๆตัวติดกับไอ้ขุนยังกับเป็นผัวหรือเมียมันสักอย่าง ซ้ำร้าย หน้าวอลเฟสบุคยังมีไอ้เหยา จีนยูนานผสมไทยใหญ่จากดอยอ่างขางซึ่งเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนเพราะเคยอยู่หอเดียวกันมาโพสเหี้ยห่าอะไรมากมายเต็มไปหมดอีกต่างหาก

    คือถ้าเป็นคนอื่นอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาสามานย์มากครับที่จะเห็นเพื่อนสนิทมาโพสชวนไปกินเหล้า หรือสั่งให้โทรหา แต่ไอ้ห่าเหยาเป็นผู้ชายที่ถูกตราหน้าว่าเป็นตุ๊ดมาตลอดชีวิตเลยตกเป็นจำเลยสังคมคู่ผมตั้งแต่ปีหนึ่งยันเรียนจบ ไม่ใช่ว่ามันตุ้งติ้งหรอกนะ แต่นึกถึงฟีลคนจีนแท้เข้าไว้ครับ ผิวขาวตัวเล็กปากแดง แต่เสือกใส่บิ๊กอายปกปิดปมด้อยตาชั้นเดียวของตัวเอง ถามจริง ผู้ชายแท้ๆที่ไหนมันใส่บิ๊กอายขนาด19 มม.บ้าง นั่นแหละ สมแล้วที่แม่งจะถูกครหาว่าเป็นอีแอบทั้งๆที่มันก็มีเมียเป็นตัวเป็นตน หึ.. แล้วไงล่ะ ใครเดือดร้อน ก็กูไง! เหมือนมีตราบาปแปะหน้าผากตั้งแต่อายุยังไม่เข้าเลขสองว่าอยู่กินกะเมียกระเทยเป็นตัวเป็นตนแล้วยังทำเนียนคบผู้หญิงปิดข่าวอีก เวรชัดๆ! นึกถึงตรงนี้ก็เริ่มเคืองว่าใคร๊ ใครวะแม่งช่างกล้าไม่เก็บความสงสัยไว้ในใจแต่กลับใช้ปากปีจอมาถามผม ไม่กลัวโดนตีนหรือยังไงไอ้ระยำ



    “ใครฝากมึงมาถาม ให้แม่งมาถามเองดิ๊ ถ้าเป็นผู้หญิงกูจะจัดให้ซักดอก เป็นผู้ชายขอต่อยซักทีพอ” ผมส่งค้อนวงใหญ่ให้เพื่อนร่วมงาน ไอ้ขุนเลยรีบยกมือขึ้นมาปราม


    “เฮ้ยใจเย็น อย่าโหดดิวะ... เพื่อนกูเอง”


    “เพื่อนมึง? เพื่อนที่ไหน?”


    “เพื่อนมัธยม มันเจอรูปมึงถ่ายกับกูในเฟสบุควันรับปริญญาแล้วเกิดสนอกสนใจ เลยมาถามกู คือกูควรมีวิธีที่ละมุนละม่อมกว่านี้นะ แต่มึงกับกูเพื่อนกันนิ่ ถามตรงๆเลยดีกว่า” ไอ้ขุนพูดพลางยึดแก้วกาแฟผมไปดื่มแล้ววางลงที่เดิม เนียนสัตว์อะ!


    “เดี๋ยวๆ โรงเรียนมัธยมมึงโรงเรียนชายล้วนไม่ใช่เหรอ?”


    จำได้ดิ สมัยหัวเกรียนๆโรงเรียนผมกับโรงเรียนมันเจอกันทีไรยังต้องไล่เตะกันตลอด จะเดินสยามทีต้องเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวท ไม่งั้นได้วิ่งหนีเป็นเจอรี่กับทอม ไอ้ขุนศึกยิ้มรับตาหยีใต้แว่น แก้มอูมไขมันขดเป็นก้อนกลมแล้วพยักหน้าลงรับหน้าตาเฉย



    “พ่อง!”


    “กูเลยมาถามไง เผื่อเพื่อนกูมีหวัง”


    “หวังเหี้ยอะไร กูยังชอบแดกหอยอยู่”


    “ก็ช่วงนี้ดูมึงงด กูก็ถามเผื่อมัน เพื่อนกูนิสัยดีนะเว่ย หน้าตาดีด้วย ตอนเรียนเภสัชแม่งโคตรป๊อบ”


    “พอเหอะ จะอ้วก”


    ที่จริงก็พูดไปงั้นแหละครับ ที่จริงผมไม่ได้รังเกียจเกย์ ตุ๊ด กระเทยอะไร จบชายล้วนเรื่องแบบนี้เห็นมาจนชินตา แต่ถ้าเป็นทอมนี่เกลียดแน่ๆ แฟนคนแรกถูกทอมแย่งครับ คิดแล้วแค้นไม่หาย อันที่จริงสมัยมัธยมผมก็เคยมีอะไรกุ๊กกิ๊กๆกับเด็กโรงเรียนเดียวกันอยู่ตามกระแสเหมือนกันไง ป๊อบปี้เลิฟอะ

    ตอนนั้นผมเป็นนักว่ายน้ำของโรงเรียน มีคนมาจีบเยอะ แต่ดันไปพลาดท่าให้รุ่นพี่ที่เป็นสต๊าฟว่ายน้ำงานกีฬาสี ไอ้หมอนั่นเป็นคนแรกที่ทำให้ผมหวั่นไหวจนเสียความเป็นตัวของตัวเอง ที่รู้ตัวว่าชอบมันเข้าแล้วก็เพราะสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่ๆบนหัวเกรียนในวันจบการศึกษาของมันที่ทำให้ผมวูบโหวงขึ้นมาในใจ ระยะเวลาแค่เทอมเดียวที่มันเทคแคร์ใส่ใจเกินรุ่นพี่มาตลอดทำผมน้ำตาเล็ดถ้าจะต้องยอมรับว่าเทอมหน้ามาโรงเรียนจะไม่เจอมันซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมาฝากอีกแล้ว


    โถ่..คิดแล้วยังอนาถตัวเองไม่หาย 


    ผมดราม่าอยู่คนเดียวได้เกือบเดือนหลังจากเปิดเทอม ม.6 ก็ได้ข่าววงในว่าพอเข้ามหาวิทยาลัยไอ้สต๊าฟสารเลวนั่นก็ไปมีแฟนเป็นดาวคณะแบบปัจจุบันทันด่วน  ผมเริ่มกินเหล้าสูบบุหรี่ เข้าใจความหมายของคำว่าอกหักลึกลงแก่นกระดูก และหลังจากช่วงอัปยศนั่นก็ไม่คบ ไม่เข้าใกล้ ไม่ปันใจกับผู้ชาย กลายเป็นหนุ่มน้อยน่ารักคอยหักอกสาวๆไปแทน


    แต่ก็นะ หักอกประสาอะไรไม่รู้ มีแฟนกับเขามาสองคน ก็ถูกทิ้งทั้งสองคน แม่งเศร้า



    “แต่กูให้เบอร์มันไปแล้วว่ะกันต์ เมื่อวานมันแอดเฟสมึงไปแล้วมึงกดรับเฟรน เลยคิดว่ามึงจะโอเค นี่ไลน์ก็น่าจะขึ้นแล้วด้วยมั้ง”


    ไอ้ตี๋เด็กสมบูรณ์พูดหน้ายิ้ม! ผมไม่เข้าใจโลจิกส์มันครับ ตอนนี้ได้แต่มองหน้ามันทำตาปริบๆ คือไม่ใช่มนุษย์โซเชียลเน็ตเวิร์คนัก มีเฟสไว้ส่อง แอดไปเฉพาะผู้หญิงส่วนกรณีใครแอดมาแล้วมีmanual friendเป็นที่ไว้ใจได้ว่าจะไม่มาแปะรูปเงินเป็นฟ่อนหน้าวอลผมก็รับหมด ส่วนไลน์น่ะผมตั้งเป็นออโตเมติกแอด คือเม็มเบอร์โทรไปปุ๊บก็เป็นเฟรนด์กันปั๊บ ตอนนี้มีเพื่อนในกล่องรอแชทอยู่เป็นร้อย ผมไม่สนใจนักหรอกว่าใครจะแอดมา คนมีไลน์ผมแล้วไม่คุยกันเยอะแยะไป จะไปแคร์ทำไม ไม่มีธุระเขาก็คงไม่คุย มีธุระก็คุย ไม่เห็นต้องกังวลอะไรมาก แต่พอไอ้เชี่ยขุนบอก ผมก็ผวาขึ้นมา รีบแจ้นไปเปิดหน้าเฟสว่าใครวะๆ ประเดี๋ยวกูจะรีบบลอคดีลีท รีพอร์ทสแปมแถมให้เลยเอ้า กระทั่งเห็นรูปโปรไฟล์ มือกลับชาและทั้งร่างก็นิ่งงันเหมือนถูกเสก


    ลืมไปสนิทเลยว่าไอ้ขุนมันเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี แต่ก็ไม่คิดว่าไอ้คนที่ผุดมาในห้วงความคิดผมเมื่อกี้จะเป็นเพื่อนโรงเรียนมันซึ่งเป็นรุ่นพี่โรงเรียนผมได้



    “พี่เอิร์ธ..”


    “อ้าว มึงรู้จักเหรอ?”


    “ก็... เขาอยู่โรงเรียนกู”


    “เอ้อ ใช่ๆ กูลืมไป ตอนม.6มันย้ายโรงเรียนไปอยู่โรงเรียนมึงเพราะพ่อเสีย ต้องกลับไปอยู่โรงเรียนใกล้บ้านจะได้คอยดูแลแม่ ช่วงนั้นแม่ไอ้เอิร์ธเป็นโรคซึมเศร้า มันต้องหาเวลาอยู่ด้วยบ่อยๆ แถวโรงเรียนกูแม่งรถติด กว่าจะถึงบ้านชอบบ่นว่านั่งรถเป็นชั่วโมง ยิ่งเย็นๆกลัวแม่คิดอะไรตื้นๆ บรรยากาศชวนฆ่าตัวตายเลยทำเรื่องย้ายซะ มันเรียนดี จะย้ายโรงเรียนไปไหนที่ใหม่เขาก็เปิดรับง่ายๆ”


    “อ่า เรอะ?”


    ผมพยายามกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ในใจท่องบทแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรมลายหายไปซะ เรื่องส่วนตัวของมันหรือของผมตอนนั้นเราไม่ได้รู้อะไรกันลึกซึ้งหรอก มันสอบติดมหาวิทยาลัยอะไร คณะอะไรยังไม่เคยถาม แค่ได้ยินต่อๆมาจากเอฟซีเหล่านางฟ้าของมันเท่านั้น 

    ไอ้พี่เอิร์ธเป็นคนดังของโรงเรียนครับ อย่างที่ขุนศึกบอก เรียนเด่น กีฬาดัง หน้าตาดี ครบวงจรจนถึงขั้นกลายเป็นแอดเจคทีฟของรุ่นน้องใช้ชื่อมันเป็นศัพย์นิยามกันเลยด้วยซ้ำ


    ‘ก็กูแม่งไม่เอิร์ธ ทำเชี่ยอะไรก็ผิดหมด’

    เป็นประโยคที่ผมได้ยินบ่อยๆ ไอ้ต้นตำรับก็รับรู้คาหูมาแล้วเหมือนกัน มันก็แค่ยิ้มที่มุมปากให้ดูมีสเน่ห์นิดๆ แล้วนิ่งเฉยวางตัวเป็นไอดอลของโลกต่อไป 

    แม่งโคตรเท่ห์ แม้แต่ผมก็ยังคิดแบบนั้น กระทั่งวันงานกีฬาสีที่นักกีฬาของสีผมเสือกวิ่งตกบันไดขาหัก พี่เอิร์ธเดินมาหาผมและประโยคแรกที่เราคุยกันก็คือ



    “กันต์ว่ายท่ากบเป็นไหม? ลงแทนไอ้ซีไหวหรือเปล่า?”


    สรุปคือกีฬาสีปีนั้นผมลงเต็มอัตราครับ เดี่ยวฟรีสไตล์25เมตร เดี่ยวฟรีสไตล์50เมตร ผลัดฟรีสไตล์25เมตร ผลัดฟรีสไตล์50เมตร เดี่ยวกบ 25เมตร เดี่ยวกบ50เมตร ผลัดกบ25เมตร ผลัดกบ50 เมตร เหนื่อยนรกแตกอะ พอแข่งขันเสร็จพี่เอิร์ธก็เดินถือขวดสปอนเซอร์มาให้ผมแล้วนั่งยองๆข้างๆ



    “ไปกินข้าวเย็นด้วยกันสิ พี่เลี้ยง”


    ผมสบตามัน มันสบตาผม อาตี๋ตัวโตใส่แว่นตอนนั้นมองยังไง๊ยังไงไม่หมอก็เภสัช หน้าตาท่าทางดูสุภาพครับ เคยได้ยินว่าที่ทำธุรกิจผลิตยาขนาดย่อม ที่จริงก็น่าจะเดาได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเอ็นทรานท์พี่แกจะเลือกคณะอะไร แต่ก็ไม่เคยได้ยินด้วยหูของตัวเอง มันส่งยิ้มให้ผมทั้งตาทั้งปาก เอาผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินที่พาดบ่าตัวเองอยู่โยนลงหัวเกรียนๆของผมดังฟุ่บ!



    “ไปล้างตัวเปลี่ยนชุดได้แล้ว เดี๋ยวค่ำมากที่บ้านจะเป็นห่วง”


    พูดจบมันก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สองมือล้วงกระเป๋านักเรียนสีน้ำเงินเดินห่างออกไป ไม่ต้องทำห่าอะไรเลย แค่มันทำท่าใจดีใส่ผมตอนนั้นสายตาตัวเองก็เผลอมองจนแผ่นหลังกว้างหายลับไปกับฝูงชนเสียแล้ว



    โง่บรม ตาถั่วโคตร คิดถึงตอนนี้ยังเจ็บใจตัวเองที่เผลอไปหลงมึนเมาในออร่าสว่างแสบตาของมันเมื่อหลายปีก่อน เผลอพ่นลมหายใจผ่านร่องจมูกออกมายาว 



    “แล้วมึงว่าไงวะ อย่างนี้ก็คุยง่ายนิ่ รุ่นพี่โรงเรียนด้วย” ไอ้ขุนกระเซ้า แรงตบปุหนักๆที่บ่าทำให้ผมแทบทรุด ไอ้ห่านี่วอนตีนกูจริงๆ


     “ไอ้สัตว์ กูไม่ใช่เกย์”


    “เอาน่า ในฐานะที่เคยรู้จักกัน มึงก็ลองคุยๆกันไปก่อนสิวะ”


    “ถามจริงเถอะ พี่เอิร์ธให้ตังมึงเท่าไหร่?”


    “ตังเติงเหี้ยอะไร กูเห็นว่ามันเป็นคนดีเลยแนะนำให้ ที่มหาลัยมันโคตรป๊อบเลยนะเว้ย สาวๆแท้สาวเทียมรุมจีบกันหึ่ง โอกาสเป็นของมึงกูก็ไม่อยากให้เสีย”


    ร้อยเอาอีแปะเดียว กรอกตาตี่ๆไปมาใต้แว่นเหนือกระพุ้งแก้มแบบนี้ตอแหลชัดๆ ผมส่ายหัว ปิดเฟสบุคแล้วเปิดโปรแกรมเอ็กเซลขึ้นเพื่อยุติบทสนทนา ได้ยินเสียงนายขุนศึกพ่นลมหายใจผ่านจมูกแบนๆของตัวเองบ้างแล้วอยากยิ้มเยาะ



    ไม่รู้ว่าเยาะมันหรือตัวเอง


    จากที่ตั้งใจจะอันเฟรนด์ ถึงได้ปล่อยให้มันเข้ามาส่องเฟสผมได้ในฐานะเพื่อน

    เอาวะ อย่างน้อยก็เคยรู้จักกัน ถึงเรื่องแม่งจะผ่านมาหกเจ็ดปีแล้วก็ตาม..



    TBC

    เรื่องนี้เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2013 ค่ะ
    จะพยายามทยอยมาลงผลงานเก่า ๆ ให้อ่านกันทุกเรื่อง(ที่ไม่ติดลิขสิทธิ์)นะคะ
    ฝากชนกันต์คนโลเลด้วยค่ะ :)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×