ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ 25

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.15K
      344
      5 ก.ค. 58









    โอบตะวัน
    Chapter 25

     
    หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน
     
    หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง
     
    หนึ่งชั่วโมงมีหกสิบนาที
     
    ขี้คร้านจะนับเป็นวินาที เพราะแค่คิดว่านับจากครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเสียงนั่นมันนานเท่าไรแล้วก็ท้อในอก ความฝันที่เลือนรางก่อเป็นรูปเป็นร่าง แต่ดูไร้ค่าเหลือเกินเมื่อยืนโดดเดี่ยวลำพัง
     
     
     
     
    สายลมพัดเอาฤดูร้อนและแสงแดดจากพระอาทิตย์ดวงเดิมหายไป เหลือเพียงท้องฟ้าสีครึ้มฝน และใบไม้ที่งอกออกจากกิ่งก้านที่เคยแห้งแล้งขึ้นมาใหม่ นกตัวเดิมยังบินออกจากรัง ผมยังคงใช้ชีวิตต่อไปกับน้ำตาที่ไหลแทนเลือดในใจราวกับไม่หลงเหลือร่องรอยของความเจ็บปวด 
     
    แม้หัวใจจะแตกสลาย สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือมันยังคงเต้นเป็นจังหวะเดิม 
    จังหวะที่เชื่องช้า สม่ำเสมอ คงที่ราวกับเพื่อขับเคลื่อนให้ผ่านพ้นไปวันต่อวัน
     
     
    “หมอกฤช!”
     
    เสียงหวานเอ่ยทัก พี่นุ่นยิ้มร่า เดินอุ้ยอ้ายยกมือข้างหนึ่งดันหลัง อายุครรภ์หกเดือนกว่าแต่ท้องโตไม่สมดุลกับตัวผอม ๆ เลยสักนิด หลังจากงานแต่งไม่นานของขวัญชิ้นเล็ก ๆ ก็จุติขึ้นมาด้วยความรัก ความรักที่ผมยังคงมีแต่ไม่อาจเคียงข้างได้เหมือนรุ่นพี่คนสนิทและสามี
     
    “ช้า ๆ ก็ได้ครับคุณแม่”
     
    “ไม่ได้หรอก เดี๋ยวปุบปับ ๆ หายอีก” ผมยืนรอ ส่งยิ้มกลับไป “ไปอบรมมาเป็นยังไงบ้าง ดีไหม”
     
    “ก็ดีครับ สอนการจัดการธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ วิทยากรเป็นอาจารย์จาก คณะบริหารกับผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ ที่จริงพี่นุ่นก็น่าจะไป”
     
    “โอ๊ย ไม่ไหวหรอก ปูนบ่นแย่” คุณแม่มือใหม่โบกมือปฏิเสธ “กฤชไปแหละถูกแล้ว เป็นประโยชน์เวลาเปิดคลินิก แล้วยาที่สั่งไว้ได้หรือยังล่ะ เปิดร้านแล้วจะได้ไม่ฉุกละหุก”
     
    “ได้แล้วครับ ขาดเครื่องมืออีกนิดหน่อย แต่สั่งไว้แล้วเหมือนกัน ไม่น่ามีปัญหา”
     
    “ถ้ามีอะไรก็รีบบอกเลยนะ ใกล้วันเข้ามาทุกที” 
     
    ผมพยักหน้า สามปีที่ผ่านมาจะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าสั้นก็สั้น ผมลาออกจากไร่ตะวันฉาย ช่วยงานที่คลินิกของพี่นุ่น งานหลักคือเป็นสัตวแพทย์ของโรงพยาบาลสัตว์เอกชนในเมือง เงินเดือนไม่ดีนัก แต่ไม่แย่ มีมากพอที่จะตั้งตัวและส่งให้แม่ได้สบาย ๆ
     
    “พี่ดีใจนะที่กฤชมีวันนี้”
     
    พี่นุ่นตบบ่า ผมแจ้งทางโรงพยาบาลเมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่าตั้งใจจะไปเปิดกิจการของตัวเองที่บ้านเสียที แม่เองก็แก่ลงทุกวัน ถึงแม้จะยังแข็งแรงเดินเหินได้ปกติแต่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเดินทางจากตัวเมืองไปถึงได้ พี่นุ่นกับพี่ปูนรู้อยู่แต่ต้น ให้การสนับสนุนเต็มที่เหมือนเคย
     
    “ไว้บอกวันงานทำบุญเปิดร้านก็ได้ครับ ไม่เห็นต้องรีบ”
     
    “ก็บอกไว้ก่อน เผื่อวันนั้นไอ้หนูเกิดอยากออกมาส่องโลกขึ้นมาทำไง”
     
    มือขาวลูบบนหน้าท้องตัวเองไปมา ผมหัวเราะร่วน “เพิ่งหกเดือนกว่าเอง อีกตั้งสามเดือนถึงจะแข็งแรงดี”
     
    “ประมาทไม่ได้หรอก มีลูกตอนแก่แล้ว แล้วนี่จะไปไหนล่ะ เพิ่งเข้าโรงพยาบาลมาไม่ใช่เหรอ”
     
    “ออกไปดูม้าที่ฟาร์มรสรินครับ” ผมว่า “เห็นลุงกึ้งแกโทรมาบอกว่าม้าที่ฟาร์มทางไม่ค่อยดี น่าจะเสียดท้องตามเคย”
     
    “ไม่ใช่ว่าเสียวแข้งอีกล่ะ เตือนว่าให้ม้าพักบ้างก็ไม่ค่อยฟัง เอ้า รีบไปรีบกลับแล้วกัน สงสารสาว ๆ ที่นี่บ้าง ขาดหมอกฤชไปคนไม่มีอะไรให้มองเลย เดี๋ยวพี่ขึ้นไปหาปูนก่อน โทรตามสักพักแล้วไม่รู้มีอะไรมาให้กินอีก”
     
    “ทานเยอะ ๆ เผื่อหลานผมด้วยครับ ผมเห่อหลาน”
     
    พี่นุ่นฉีกยิ้มรับ 
     
    “จ้ะ” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
     
     
     
     
    “ลุงเอาอะไรให้มันกินไปครับ” 
     
    ผมบ่นเสียงหน่าย ม้าที่ฟาร์มนี้รักษาด้วยอาการคล้ายกันหลายครั้ง ลุงคนดูแลเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ได้รับค่าจ้างเดือนละไม่กี่พันบาท ทำหน้าเศร้าสร้อยเมื่อถูกหมอดุ
     
    “ถ้าสังเกตอาการว่ามันเสียดท้องเบื้องต้นให้จูงเดินนะครับ อย่าให้มันนอน กรดมันจะได้ไม่ไหลย้อนมากกว่าเดิม รอบที่แล้วผมห้ามน้ำมันพืช ไม่ให้กรอกเข้าไป ยาธาตุก็ไม่ได้นะลุง ม้ามันเรอหรือสำรอกไม่ได้ ถ้ายิ่งกินกระเพาะมันจะแตกเอา ถึงตอนนั้นผมก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วนา”
     
    ว่าพลางเหลือบตามองขวดยาสามัญประจำบ้านที่วางทิ้งระเกะระกะบนกองฟาง หยิบถุงมือขึ้นมาสวม ถอนหายใจหนัก
     
    “คราวหลังถ้าม้ามีอาการอย่างที่ผมบอก เบื้องต้นให้จูงม้าเดินนะครับ ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็เรียกผู้เชี่ยวชาญ แค่มือมันล้วงขี้ออกมาไม่หมดหรอก”
     
    “ช่วยมันด้วยนะหมอ ตัวนี้มันตัวโปรดของคุณรสด้วย”
     
    “ครับ” ผมว่าพลางล้วงมือเข้าล้วงของเสียที่ถะถังอยู่ในตัวม้าออก สอดมือเข้าไปคลำตรวจในลำไส้
     
    “ได้ยินมาว่าคุณกฤชจะไม่ได้ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วหรือครับ”
     
    ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “แต่ก็ยังมาช่วยที่โรงพยาบาลบ้างนะครับ สัปดาห์ละวันสองวัน”
     
    “เสียดาย ที่จริงคุณรสเธออยากให้หมอมาประจำอยู่ที่ฟาร์มเลย ไอ้ผมก็ไม่มีความรู้ เห็นมันป่วยก็ไม่สบายใจ”
     
    “ไม่สบายใจก็ต้องตามหมอครับ” ผมว่า “ม้ามันไม่เหมือนคนนะลุง อย่าคิดว่าอะไรก็ได้ มันเปราะบางกว่าคนเยอะ”
     
    “ถ้าเป็นหมอคนอื่นดุผมแย่”
     
    “นี่ผมก็ดุลุงอยู่นะ” ชายวัยชราขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย นับตั้งแต่พี่นุ่นท้องก็ไม่ได้ออกพื้นที่ กลายเป็นผมที่ดูแลงานนอกสถานที่เป็นประจำ
     
    “หมอกฤชดุไม่เหมือนหมอนุ่น หมอนุ่นดุทีผมกลัวมาก”
     
    “ผู้หญิงน่ะลุง” ผมหัวเราะ “เดี๋ยวหมอนุ่นคลอดก็คงกลับมาดูตรงนี้แล้ว เตรียมใจได้เลย แต่ถ้าทำตามที่ผมบอกอาจจะไม่ต้องเจอหมอนุ่นบ่อย ๆ ก็ได้นะ”
     
    “ผมจะทำอย่างเคร่งครัดเลยครับ” ลุงกึ้งแกตอบ หน้าตาไม่สู้ดีเท่าไรนัก
     
     
     
     
     
    ผมกลับโรงพยาบาลมาอีกครั้งในช่วงบ่าย รับเคสสุนัขมดลูกอักเสบมาดูแลกับเคสยิบย่อยอีกไม่กี่เคสก็เลิกงาน ส่งยิ้มให้เจ้าหน้าที่การเงินที่สนิทสนมกันดีระหว่างทาง
     
    “รีบกลับจังเลยค่ะ หมอกฤช ไปอบรมมาหลายวันยังไม่ทันเห็นหน้าให้หายคิดถึงเลย”
     
    ผมหัวเราะเป็นการตอบรับ “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าอยู่โรงพยาบาลให้พี่จ๋าเบื่อเลยครับ”
     
    “พี่จ๋าไม่เบื่อหรอกค่ะ เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอแล้ว เสียด๊ายเสียดาย ถ้าพี่ยังไม่แต่งงานนะหมอกฤชไม่ได้เดินหล่อ ๆ โสด ๆ แบบนี้มาสามปีหรอกค่ะ”
     
    “แหม ออกตัวแรงนะคะพี่จ๋า” ผู้ช่วยสัตวแพทย์อีกคนที่เดินผ่านมาพอดีทำเสียงแซว “หมอกฤชเขาเลือกหรอกค่ะถึงได้โสดจนป่านนี้ นี่หมอ จะสามสิบแล้วนะ ไม่รีบ ๆ หาแฟนเดี๋ยวป้าแถวนี้แกก็สิงเอาหรอก”
     
    “เอ๊ ยายอิ๋ว” พี่จ๋าลากเสียงยาวแล้วหันมาคุยกับผมในประโยคหลัง “คุณฐาที่เอาลูกหมาปั๊กมาบ่อย ๆ ก็น่ารักนะคะหมอ ดูเหมือนจะชอบหมอด้วย พี่ติดต่อให้ไหม”
     
    “นี่ก็ยุ่งเรื่องคนอื่นเขาจัง”
     
    “แกอยากได้หมอกฤชเองก็บอกเถอะ”
     
    คุณอิ๋วเดินมาเกี่ยวแขน ทำหน้าตาทะเล้นใส่พี่จ๋า พักเดียวเมื่อคุณนายภรรยาเจ้าของโรงพยาบาลเดินผ่าน เสียงต่อล้อต่อเถียงก็เงียบสงบลง
     
    “หมอกฤช เดี๋ยวพี่ฝากซื้อของเข้าร้านหน่อยนะ ค่ำ ๆ จะรีบตามไป แล้วสองคนนี้ไม่มีงานทำหรือไง” สิ้นเสียงวงสนทนาก็แตกฮือ ผมรับกระดาษมาจากพี่นุ่น รับมาก่อนกลับมายังรถวีโก้ถอยใหม่เมื่อปลายปีก่อนลำพัง
     
     
     
     
    พระอาทิตย์อัสดงไปแล้ว
     
    ชีวิตของผมยังคงดำเนินไปเหมือนเคย ตื่นมา ทำงานให้ยุ่งไว้ก่อน ทั้งที่โรงพยาบาล ทั้งคลินิกของพี่นุ่น เก็บหอมรอมริบเงินได้ก้อนใหญ่กับประสบการณ์ล้นมือ พี่ปูนส่งผมไปลงอบรมหาความรู้ไม่เคยได้ใช้เวลาว่างเปล่าประโยชน์จนกระทั่งวันเวลาที่เหมาะสมเดินทางมาถึง ผมเหลือบมองปฏิทิน ฤกษ์งามยามดีของคลินิกรักษาสัตว์ชานเมืองถูกวงไว้ด้วยปากกาสีแดง วันนั้นอาจเป็นวันที่ผมได้เจอใครบางคนอีกครั้ง คนที่ยังเป็นเจ้าของหัวใจดวงเดียวที่ผมมี
     
    นาน ๆ ครั้งผมจะกลับไปที่ไร่ เยี่ยมแม่ เยี่ยมไอ้โจ้ รู้มาว่าหลังจากผมออกมาเกือบปีคุณหนึ่งก็กลับมาเฝ้าไร่ตะวันฉายเป็นการถาวร แต่คล้ายโชคชะตาเล่นตลก ทุกครั้งที่กลับไปไอ้โจ้ก็บอกว่าคุณหนึ่งติดงานที่กรุงเทพฯ คลาดกันครั้งแล้วครั้งเล่า
     
    เหมือนกับพระจันทร์ ที่ไม่อาจพบเจอดวงตะวันได้อีกต่อไป
     
    เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ หนังสือกองพะเนินเทินทึกแทบถล่มทับร่าง นึกขอบคุณภูดิศที่ยกหนังสือธุรกิจให้อ่านเป็นการเปิดหูเปิดตา ความคิดที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองสักอย่างเริ่มขึ้นหลังจากใช้เวลาอ่านหนังสือของเขาจบ ส่วนแรงกระตุ้นต่อจากนั้นก็เป็นหนึ่งตะวันล้วน ๆ
     
    ผมเอนกายกับที่นอน ภาพใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของอีกฝ่ายยังปรากฏชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
     
    ความรักก็เช่นกัน...ไม่เคยจืดจางลงสักวินาที
     
    ป่านนี้จะมีคนอื่นไปแล้วหรือยัง ยังหลงเหลือความรู้สึกนั้นให้กันอยู่บ้างไหม
    เป็นสิ่งที่ผมคร่ำครวญถามเพียงในใจของตัวเอง
     
     
     
     
     
    งานเลี้ยงเปิดร้านจัดขึ้นในเขตตำบลเล็ก ๆ ที่ตั้งห่างจากตัวเมืองพอสมควร จากตรงนี้จะอยู่ท่ามกลางฟาร์มโคนมและไร่องุ่นตะวันฉาย เดินทางจากตัวเมืองไม่ลำบากนัก ติดถนนใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นทำเลทองที่พี่นุ่นกับพี่ปูนช่วยเฟ้นหา
     
    ช่วงแรกผมวางแผนใช้เวลาส่วนใหญ่ที่คลินิก อาจมีเข้าไปรักษาเคสต่อเนื่องของลูกค้าเก่าที่โรงพยาบาลบ้าง มีผู้ช่วยมือฉมังที่ฝึกปรือฝีมือที่คลินิกย้ายมาด้วย ปิ่นเป็นคนแถวนี้ ดังนั้นการย้ายกลับบ้านเกิดถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับทุกฝ่าย
     
    แม่ คุณชนินทร์ กระทั่งไอ้โจ้มาร่วมแสดงความยินดี มีเมนูอาหารฟรีให้เลือกตามใจชอบ ส่วนโปรโมชั่นเปิดร้านวันนี้แจกอาหารเม็ดสำหรับสุนัข บรรยากาศค่อนข้างวุ่นวายกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย ทว่าสายตาก็ยังสอดส่องหาใครบางคนที่อยากเจออีกสักครั้งให้ชื่นหัวใจ
     
    “ไม่มาเหรอ?” ผมถามไอ้โจ้ มันดูดเส้นขนมจีนน้ำยาป่าเต็มกระพุ้งแก้ม ทำหน้าเลิกลักถาม
     
    “ใครครับ?”
     
    “ก็...” ผมเว้นช่วง “...นายเอ็งน่ะ”
     
    “คุณชนินทร์ก็มานี่ครับ”
     
    “อย่ากวนตีนน่าไอ้โจ้” เริ่มหงุดหงิด “เอ็งก็รู้ว่าข้าถามถึงใคร”
     
    “โจ้ไม่รู้จริง ๆ”
     
    “อยากโดนเตะหรือไง” ผมมองค้อน ไอ้โจ้เบะปากน่าหมั่นไส้
     
    “เขาจะมาทำไมล่ะ ก็คุณกฤชทิ้งเขาอย่างไร้เยื่อใยขนาดนั้น”
     
    “ก็มาแสดงความยินดี” ผมว่า “อย่างน้อยก็คน...เคยรักกัน”
     
    “ตอนนี้ไม่รักแล้วก็ไม่เห็นต้องมา” มันว่า ยังทำหน้ายียวนเก่งเหมือนเก่า ผมถอนหายใจหนัก เอนตัวพิงกับเบาะ เขี่ยเส้นขนมจีนบนจานไปมา อย่างไร้จุดหมาย
     
    “อ้าว พระเอกของงาน ทำไมทำหน้าซึมกะทืออย่างนี้ล่ะ” คุณชนินทร์ทัก เมื่อเห็นว่าไม่มีเก้าอี้ว่างไอ้โจ้ก็อัปเปหิตัวเองพร้อมจานขนมจีนไปที่อื่น ผู้มีพระคุณนั่งแทนที่ ท่าทางสมบูรณ์แข็งแรงกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันโข
     
    “พี่หนึ่งเขาบอกไม่ค่อยสบายเมื่อเช้าเลยไม่ได้มาด้วย แต่ฝากความยินดีมาด้วยนะ ไม่ต้องน้อยใจไป”
     
    “ขอบคุณมากครับ” ผมว่า พี่นุ่นเดินผ่านด้านหลัง ยกมือไหว้ ชายวัยกลางคนยิ้มรับ
     
    “หนูนุ่นนี่ก็แต่งงานช้าไปหน่อย กว่าจะมีลูกก็สามสิบกว่าแล้ว”
     
    “บ้างานกันทั้งคู่น่ะครับ”
     
    “เราก็ด้วยแหละ” คุณชนินทร์ว่า “บ้านก็มี รถก็มี การงานก็มั่นคง ทำไมไม่หาคู่ชีวิตเสียล่ะ”
     
    “ยังไม่อยากมีครับ”
     
    “ตอบเหมือนกันเลยทั้งเราทั้งพี่หนึ่ง” คู่สนทนาว่า หัวเราะร่วนลงคอ “เจ้าลูกคนนั้นก็ 32 จะ 33 แล้ว ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะแต่งงานแต่งการหรอก รู้อยู่เต็มอกว่าชอบแบบไหน แต่จะหาแฟนเอาไว้ดูแลกันยามแก่ก็ไม่เอา เมื่อก่อนก็เข้าใจว่าคบหากันกับเจ้าพอร์ช แต่หลัง ๆ นี่เถียงคอเป็นเอ็นว่าคบกันแบบเพื่อนเฉย ๆ ฉันก็ระอาใจ”
     
    “คุณหนึ่งไม่มีแฟนเหรอครับ”
     
    “ไม่มีน่ะสิ จะว่าหน้าตาขี้ริ้วก็ไม่ใช่ ฉันล่ะห่วงจริง”
     
    เสียงถอนหายใจหนักหน่วงดังมาจากคู่สนทนา ขณะที่หัวใจผมกลับรู้สึกพองโตอีกครั้ง ฟูฟ่องคล้ายลูกโป่งอัดแก๊สไว้เต็มที่ ภาพของหนึ่งตะวันเมื่อสามปีก่อนยังคงเด่นชัด พระอาทิตย์ที่สวยสง่าและร้อนแรง ความรักที่ถูกกลบด้วยสีหน้านิ่งเรียบราวกับหัวใจเป็นเพียงนิทานปรัมปราที่ไม่มีจริง
     
    ความเจ็บปวดที่แสร้งทำเป็นไม่รู้สึก แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าแผลนั้นยังสดใหม่ แสบร้อนจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตาได้ทุกครั้งที่นึกถึง
     
    ถ้าอย่างนั้น ผมจะพอเข้าใจว่าตัวเองยังสามารถไขว่คว้าดวงตะวันดวงเดิมกลับมาได้หรือเปล่า?
     
    หนึ่งตะวันยังไม่มีใคร ดวงใจดวงนั้นแช่แข็งไว้เพื่อรอวันที่ผมพร้อมจะโอบกอดให้อุ่นหัวใจอีกทีหรือไม่
     
    เหม่อมองไปอย่างหมายมาด แม้หนึ่งตะวันไม่ต้องการ แต่แค่เพียงครั้ง อีกสักครั้งให้ผมได้พยายามอย่างสุดแรงเพื่อที่จะบอกกับเขาเต็มปากเต็มคำว่าพร้อมจะรักอีกฝ่ายแล้วจริง ๆ คุณหนึ่งยังรอผมอยู่ไหม
     
    ผม...ยังมีโอกาสอยู่หรือเปล่า
     
     
     
     
     
    ไร่ตะวันฉายยังคงเขียวชอุ่มไปด้วยใบของต้นองุ่นที่เลื้อยไปตามค้าง คนงานหลายคนเข้ามาใหม่ แต่ส่วนมากก็ยังคุ้นหน้า ยกมือขึ้นไหว้ผมทักทายเมื่อเห็นว่ากลับมาเยี่ยมที่ไร่
     
    ไอ้โจ้กำลังผูกเถาองุ่นกับค้าง เพิ่งสังเกตว่าตัวดำขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เยอะ แขนล่ำกล้ามโต รวม ๆ กับตัวเตี้ย ๆ แล้วดูตัน ๆ ยังไงชอบกล
     
     
    “ที่จริงเอ็งเปลี่ยนไปเยอะเลยนี่หว่า” ผมทัก คนที่เคยทำเป็นเล่นไปหมดกับงานไร่สะดุ้งโหยง มันหันหน้ากลับมา สอดส่องสายตาไปทั่ว 
     
    “คุณกฤช! จะมาที่ไร่ทำไมไม่บอก!”
     
    “ต้องแจ้งล่วงหน้าด้วยเรอะ”
     
    “ปกติก็บอกทุกครั้ง” มันว่า “แล้วมีอะไรหรือเปล่าครับ ที่คลินิกไม่มีลูกค้าหรือไง”
     
    “ปากมอม” มะเหงกเข้าให้ ไอ้โจ้รีบหลบตัวพลิ้ว “มาธุระที่นี่สองสามวัน ช่วงนี้ยังไม่มีลูกค้ามากหรอก คุณหนึ่งอยู่หรือเปล่า”
     
    “โอ๊ย ไปกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อวันก่อนยังไม่กลับมาเลยครับ” ไอ้โจ้ทำหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จับโกหกไอ้เตี้ยได้เสียที 
     
    “เมื่อวานคุณชนินทร์บอกข้าว่านายน้อยอยู่ที่ไร่”
     
    คนตัวเล็กถึงกับหน้าถอดสี มันใช้หลังมือเปื้อนฝุ่นปาดเหงื่อที่หน้าผากตัวเอง “กะ...ก็”
     
    “เอ็งโกหกข้ามาสามปีเต็มเลยสินะ”
     
    “ก็คุณกฤชจะอยากเจอนายน้อยทำไมล่ะ” อดีตลูกสมุนบ่น ทำปากงุบงิบไปด้วย “สงสารนายน้อยจะตาย”
     
    “สงสารทำไม”
     
    “ก็คุณกฤชทำอะไรไว้ก่อนไปล่ะ คนอื่นเขาก็มีหัวจิตหัวใจ ไม่ได้มีไว้ให้คนอื่นขยำเล่น นายน้อยน่ะ คิดถึงคุณกฤชมาก แล้วก็เสียใจมากที่คุณกฤชไม่ฟังนายน้อยสักอย่าง ถึงนายน้อยจะทะเลาะกับคุณกฤชยังไง ไม่คุยกันนานแค่ไหนก็ไม่คิดจะปล่อยมือเลยนะ คุณกฤชเห็นแก่ตัว ทำอะไรเอาตัวเองสบายใจคนเดียว"
     
    “ข้าแค่อยากพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ความรู้สึกของคุณหนึ่งเท่านั้นเอง”
     
    “เฮอะ” มันทำเสียงกระเง้ากระงอด มองผมค้อน “พิสูจน์ด้วยการทำร้ายจิตใจคนอื่น คิดว่าตัวเองมีเรื่องต้องพิสูจน์คนเดียวหรือไง นายน้อยวิ่งตามคุณกฤชมาตลอดตั้งแต่แรก คนเขาก็เหนื่อยเป็นรู้ไหม”
     
    “ข้ารู้” ผมตอบด้วยใจจริง “กำลังจะมาขอโทษอยู่นี่ไง”
     
    “ไม่ต้องหรอก คุณกฤชจะรื้อแผลของคุณหนึ่งให้เจ็บขึ้นมาเสียเปล่า” คนงานตัวเล็กว่าพลางถอนหายใจ “โจ้ไม่ให้คุณกฤชเจอนายน้อยของโจ้หรอก”
     
    “ไอ้โจ้”
     
    “โจ้พูดจริง” มันว่า มองผมเขม็ง “คุณกฤชเลิกยุ่งกับนายน้อยเสียทีเถอะ”
     
     
     
     
     
    แสงฟ้าเป็นม้าตัวเดียวที่อยู่ในคอกกว้าง ตัวสะอาด สุขภาพแข็งแรง สุขอนามัยที่อยู่ถูกดูแลดีเหมือนตอนที่ผมอยู่ไม่ผิดเพี้ยน สามปีที่ผ่านมาทำให้มันชราลงบ้างแต่ไม่ถึงกับวิ่งไม่ไหว ส่วนแสงเพชร ม้าสีขาวคู่ใจเจ้าของไร่หายไป เดาได้ไม่ยากว่าหนึ่งตะวันคงเอาไปขี่เล่นที่ไหนสักที่โดยที่ไอ้โจ้ไม่ปริปากบอก
     
    ผมเดินเข้าคอกม้า จูงมันออกมาด้านนอก เห็นทีจะดึงไอ้โจ้แปรพักตร์กลับมาอยู่ด้วยกันคงไม่ไหว หนึ่งตะวันเก่งนักที่จะทำให้คนรัก ผิดกับผม ที่ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจคนรอบตัวไปเสียหมด
     
    ผมปีนขึ้นหลังม้า พยายามนึกถึงพื้นที่กว้างใหญ่ของไร่ตะวันฉายว่าจะมีตรงไหนให้หนึ่งตะวันออกไปเที่ยวเล่นได้บ้าง ภาพของลำธารท้ายไร่ก็ผุดขึ้น ควบม้าไปยังปลายทางอย่างเชื่องช้าแม้จิตใจกำลังร้อนรน
     
    ใต้ฟ้าผืนเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับหลบลี้หนีหน้าได้ถึงสามปี
     
    ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่ต้องการพบเจอ หรือผมเองที่ไม่พยายามไถ่ถามจริงจังกันแน่
     
     
    นึก ๆ ดูแล้ว ก่อนหน้านี้ ถ้าเจอกันตอนที่ผมไม่มีอะไร ไม่มีความสำเร็จติดมือมา หรือแม้กระทั่งหากหนึ่งตะวันมีคู่รักอยู่แล้วการพบเจอหน้าอีกครั้งคงก่อให้เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจใช่เล่น 
     
    การอำลาครั้งสุดท้ายไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจเท่าไร เราต่างสัมผัสถึงความเจ็บปวดของกันและกัน แต่เหมือนนกเจ็บที่ต่างไม่อาจลุกขึ้นบินไปเยียวยาอีกฝ่ายได้ทั้งคู่
     
     
     
    เสียงของน้ำไหลดังชัดเจนขึ้นเมื่อแสงฟ้าเดินทางมาถึงช่วงดินอ่อน ผมผูกมันไว้ใต้ต้นไม้แถบนั้นแล้วเดินเท้ามายังคนที่นั่งห้อยขาลงลำธาร เดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ กระทั่งใกล้พอก็ยกมือขึ้นแตะบ่าลาดด้วยปลายนิ้ว
     
    “คุณหนึ่ง”
     
    “อ๊ะ!”
     
    เจ้าของชื่อสะบัดตัวแทบจะในทันที เขาผุดลุกขึ้นในน้ำทำให้ร่างเอนไหว หนึ่งตะวันผอมลงกว่าเมื่อก่อน ผิวขาวเหมือนหยวกกล้วยอีกครั้งเมื่อไม่ต้องตากแดดตากลมลงไร่ ผมช้อนตัวอีกฝ่ายเข้าหา แต่ความลื่นของโขดหินก็ทำให้เราต่างร่วงหล่นสู่ผืนน้ำกันทั้งคู่ ร่างกายเปียกแฉะ แต่ไม่ถึงกับบาดเจ็บรุนแรง
     
    “กฤช!”
     
    “ครับ ผมเอง คุณชนินทร์บอกว่าไม่ค่อยสบายไม่ใช่เหรอ ทำไมมาเล่นน้ำแบบนี้”
     
    หนึ่งตะวันจ้องหน้าผมตาไม่กะพริบ ไม่ตอบคำถาม ไม่มีความยินดีฉายออกมาจากแววตา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น เมื่อผมเอียงตัวหมายจะดึงอีกฝ่ายเข้ากอดก็เบี่ยงตัวหนี
     
    “ทำไมโจ้ไม่บอกว่านายจะมา”
     
    “ผมไม่ได้บอกมันล่วงหน้า” ผมว่า ยังคงจับจ้องไปยังเจ้าของเสียงแข็งกระด้างด้วยแววตาเว้าวอน “คุณจะได้ไม่หนีผมไปอีก”
     
    “เรื่องงานบุญเปิดคลินิกเมื่อวาน ขอโทษที...พอดีรู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ยินดีด้วยนะ”
     
    “ไม่น่ายินดีเลยสักนิดครับ” 
     
    สายตาเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้ผมปวดแปลบ ยังสายเกินไปแล้วหรือยังที่จะขอดวงตะวันมาโอบกอดไว้อีกครั้ง 
     
    “ผมอยากมีคุณหนึ่งข้าง ๆ”
     
    “ไม่ตลกเลย”
     
    “หนึ่ง...คือ...ผม...”
     
    หนึ่งตะวันลุกขึ้นยืนพรวดพราด เดินขากะเผลกเพราะมีแผลจากการลื่นล้มเมื่อครู่บนหัวเข่า ผมลุกเดินตาม แต่ดูเหมือนจะเป็นการเร่งเร้าให้อีกฝ่ายขยับก้าวเร็วขึ้นอีก
     
    “คุณหนึ่ง ขาคุณเจ็บ อย่าเดินเร็วสิ”
     
    “ฉันดูแลตัวเองได้” หนึ่งตะวันว่า เขาตอบโดยที่ไม่เหลียวหลังกลับมามองเลยสักนิด แก้ปมที่มัดแสงเพชรออก เหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้าด้วยความคล่องแคล่ว ไม่เงอะงะไม่รู้ประสาเหมือนครั้งเก่าก่อน
     
    “ไม่จำเป็นให้นายต้องมาเป็นห่วงอีก”
     
    สิ้นเสียงนั้นชายหนุ่มก็ควบอาชาจากไป เสียงที่บ่งบอกว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ผมเดินได้สองก้าวก็เอนตัวพิงกับต้นไม้ใหญ่ ก้มลงมอง เพิ่งเห็นเลือดสีแดงฉานไหลซึมจากคมของก้อนหินเมื่อบาดลึก ความปวดแปลบที่เกิดขึ้นเดินทางมาถึงช้าเหลือเกิน
     
    กว่าจะรู้ตัว แผลนั้นก็เหวอะหวะเกินเยียวยา
     
     
     
     
    TBC
     
     
    เกร้สสส มาต่อแล้ววว รอบก่อนพี่หนึ่งโดนหนักมากค่ะ หนักจริง ๆ แต่อยากขอความเห็นใจให้หนึ่งตะวันผู้โง่เขลาด้วย ท้าย ๆ จะมีเฉลยค่ะว่าทำไมเรื่องราวถึงเป็นแบบนี้ อย่าไปไหนกันนะเธอวว์ 
    เราว่าตอนนี้หายดราม่าแล้วนะ พระนายเค้าจะคุยกันแล้ว โจโจ้ #ทีมหนึ่ง นะ อย่าว่า 555555555555
    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ เป็นแรงใจให้กลับไปทบทวนปรับบทตามสมควรจริง ๆ เหมือนทุก ๆ คนช่วยกันแต่งเรื่องนี้ไปด้วยกันโนะ /ใครแต่งเรื่องนี้กับแกนังเวสต์
    อีกสองตอนจบแล้ววว เดี๋ยวจะมีตอนพิเศษของพี่หนึ่งมาแก้ต่างนิดนึง..
    เจอกันอีกทีวันพุธนะคะ ฮือออ คิดว่าเรื่องนี้จบแล้วต้องเหงาแน่ ๆ เลยยยย #งอแงหนักมาก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×