ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ 18

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.84K
      369
      10 มิ.ย. 58









    โอบตะวัน
    Chapter 18


    “ที่จริง...” 
     
    ท่ามกลางแอร์เย็น ๆ ของห้างสรรพสินค้า ผมพูดขึ้นมาเมื่อหนึ่งตะวันเอาเสื้อตัวที่สามมาทาบกับแผ่นหลัง ในมือพนักงานในชุดยูนิฟอร์มเรียบหรูตามนโยบายของร้านค้าแบรนด์ดังถือค้างไว้อีกหลายตัว ส่วนมากแล้วเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีอ่อนกับเนกไทลายสวยงาม นายน้อยเลิกคิ้วขึ้น เบี่ยงตัวออกจากแผ่นหลังมาสบตาผม
     
     
    “อะไร?”
     
    “ผมจะบอกว่าที่จริงคุณหนึ่งน่าจะไปกับคุณพอร์ช”
     
    “ไม่อะ พานายไปด้วยดีแล้ว จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่มีอะไรมากหรอก กินข้าว พูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อก่อนฉันก็ไปกับคุณพ่ออยู่ช่วงหนึ่ง”
     
    “คุณหนึ่งชินแต่ผมไม่ชินนี่ครับ” 
     
    ถึงพูดแบบนั้นก็รับเสื้อกับเนกไทที่ถูกใจคนเลือกมาถือไว้ในมืออยู่ดี ผมถอนหายใจ ความยุ่งยากแบบนี้เห็นจะเกิดขึ้นครั้งเดียวตอนสมัยรับปริญญาหลังจากนั้นก็ไม่แต่งตัวเป็นพิธีการอีก ทำงานในไร่ ถนัดจะสวมเสื้อผ้าสบาย ๆ ซักง่ายจะได้ไม่ลำบากแม่นัก
     
     
    “ทีฉันยังเข้าไปในโลกของนายเลย ทำไมแค่นี้ทำอิดออดไปได้ ไม่มีผู้หญิงมากรี๊ด ๆ ไล่จับผู้ชายเหมือนในหนังหรอกน่า กลัวอะไร”
     
    “กลัวจะไปทำให้คุณหนึ่งเสียหน้าเข้าน่ะสิ”
     
    “นายทำฉันเสียหน้าตั้งแต่ที่มาหยอดแล้วบอกว่าไม่คิดอะไรแล้วล่ะ แค่นี้ทำเป็นกังวล” 
     
    คู่สนทนาถลึงตาใส่ ผลักผมเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้าแล้วตามติดมาด้วย ห้องขนาดเล็กเท่าแมวดิ้นตาย เมื่อรูดม่านปิดก็เหลือผมกับเขาที่หายใจรดกันในที่แคบ ๆ
     
    “อีกอย่าง อย่าทำเหมือนเป็นบ้านนอกเข้าเมืองนักได้ไหม ไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาไม่มีการศึกษาเสียหน่อย มารยาททางสังคมทั่วไปนายก็รู้ เผลอ ๆ รู้ดีกว่าฉันด้วยซ้ำ เอาล่ะ ถอดเสื้อออก”
     
    “คุณหนึ่งไม่ออกไปรอข้างนอกเหรอครับ”
     
    “จะมาอายอะไร” คนเจ้ากี้เจ้าการพูดเสียงดุ “เมื่อคืนเกือบจะทำกันแล้วแท้ ๆ”
     
    “แต่ก็ไม่ได้ทำ”
     
    “รีบนักหรือไง”
     
    “ถ้าได้ไว ๆ ก็ดีไม่ใช่เหรอครับ”
     
    “ไอ้กฤช” 
     
    คราวนี้ผมยิ้มเผล่รับคำแทนโต้แย้ง ระล่ำระลักถอดเสื้อโปโลที่สวมอยู่รวดเร็ว หนึ่งตะวันบังคับให้ผมหันหลัง คอยจับเสื้อให้สวมเข้าทรงแล้วหมุนตัวกลับมาเพื่อผูกเนกไทให้เรียบร้อย ผมมองขนตายาวเป็นแพหนาเมื่ออีกฝ่ายหลุบตาลง คิ้วขมวดเข้าหากัน มือไม้สาละวนกับการจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ 
     
    “ค่อยดูเป็นผู้ดีขึ้นมาหน่อย” ว่าพลางเอื้อมมือคล้องคอ จับเส้นผมที่ยาวประบ่าของผมรวบเข้าหากัน 
     
    “เหลือกางเกง เสื้อสูท แล้วจะพาไปตัดผม เสื้อสูทคงต้องเช่าเอาแล้ว ไม่อย่างนั้นตัดไม่ทันแน่ ฉันพอรู้จักร้านดี ๆ อยู่ หุ่นอย่างนายยิ่งน่าจะหาง่าย”
     
    “หุ่นอย่างผม?”
     
    “เหมือนหุ่นที่วางหน้าตู้โชว์นั่นไง” หนึ่งตะวันว่าพลางหมุนผมให้กลับไปมองกระจกด้านหลัง เขาสวมกอด แล้วซุกตัวผ่านท่อนแขนให้เหมือนกับผมเป็นฝ่ายล็อกคออีกฝ่ายเข้ากับตัว 
     
    “ใส่แล้วดูคุณชายชะมัด ฉันเอาแบบนี้อีกตัวดีกว่า”
     
    “เหมือนกันเลยน่ะเหรอครับ”
     
    “ค่อยไปเลือกสูทคนละแบบเอาก็ได้ ปะ ถอดเสื้อออกได้แล้ว เดี๋ยวฉันออกไปดูกางเกงให้ เอวเท่าไร”
     
    “แล้วจะเข้ามาช่วยผมรูดซิปหรือเปล่า”
     
    “กวนประสาท แต่งเองไม่เป็นหรือไง”
     
    “ทีเสื้อยังเข้ามาช่วยแต่งเลย”
     
    หนึ่งตะวันแยกเขี้ยวแทนคำตอบ เขาปลดม่านเดินออกไปด้านนอก ทิ้งให้ผมมองภาพตัวเองผ่านกระจกเพียงลำพัง
     
     
     
     
    ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ไม่ทันตั้งตัว หมุนไปมาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังพักเดียวก็ได้ถุงกระดาษใส่เสื้อผ้ามาเต็มมือ ผมถูกบังคับให้ไปนั่งร้านตัดผมพร้อมคนสั่ง หนึ่งตะวันนั่งเก้าอี้ตัวติดกับผม เขาตัดทรงเดิม แค่ให้สั้นขึ้นมานิดหน่อย ขณะที่ผมยาวประบ่าของผมถูกหั่นจนเห็นต้นคอสะอาดจากด้านหลัง ผมไม่เห็นยอดเงินที่ถูกเผาไปในวันนี้ หนึ่งตะวันเพียงแต่รูดบัตรเครดิตการ์ดสีทองแล้วเซ็นท้ายใบเสร็จด้วยความคล่องแคล่ว เขาช็อปปิ้งอย่างคนบ้า เสื้อผ้า นาฬิกา เข็มขัด แม้กระทั่งรองเท้าถุงเท้าก็ซื้อใหม่ทั้งหมด เกินครึ่งเป็นของผม และนั่นทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก
     
     
    "วันนี้หมดไปกี่บาทครับ"
     
    เมื่อขึ้นรถมาก็เอ่ยถาม เจ้าของรถเปิดประทุนสองที่นั่งสีขาวปลอดกดเพลงฟังไม่สนใจคำถาม รถคันนี้เป็นของหนึ่งตะวัน เจ้าตัวรักนักหนาแต่ป้าจิ๋วบอกว่าแอบเอาไปแข่งจนชนยับกลับมาหลายรอบ เสียเงินเท่าไรไม่ว่า ขอให้ซ่อมกลับมาเหมือนเก่า เป็นรถคันแรกที่คุณชนินทร์ซื้อให้เป็นของขวัญวันรับปริญญา 
     
     
    "คุณหนึ่งช่วยหักไปจากเงินเดือนแต่ละเดือนของผมได้หรือเปล่า"
     
    "ไม่ ฉันซื้อให้ จะทำไม ไม่อยากรับหรือไง"
     
    "มันไม่ดี" ผมว่า "ไม่มีผู้ชายดี ๆ ที่ไหนอยากถูกแฟนเลี้ยงดูหรอกครับ"
     
    "ช่างคนอื่นสิ ฉันอยากให้แฟนฉันหล่อ ผิดอะไร อีกอย่าง นายก็อายุน้อยกว่า ไม่น่าเกลียดสักหน่อย"
     
    "ผมไม่สบายใจ" ยังยืนยันคำเดิมแม้หนึ่งตะวันจะลอยหน้าลอยตาฮัมเพลงไปกับทำนองเนิบช้าของวิทยุ ดูท่าแล้วจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษหลังจากไม่มีโอกาสได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยมาเสียนาน
     
    "ถ้าไม่สบายใจก็ตอบแทนฉันด้วยการเป็นเด็กดีของฉันสิ ไม่เห็นยากเลย ก่อนอื่นเลิกทำหน้างอเดี๋ยวนี้"
     
    "คุณหนึ่งเอาแต่ใจ"
     
    "ไม่เลิกใช่ไหม งั้นจอดรถ ข้างทางนี่แหละ"
     
    ผมถอนหายใจหนัก โชคดีที่พ้นช่วงการจราจรคับขันมาแล้วจึงตีไฟเลี้ยวตามคำสั่งได้ นายน้อยปลดเบลท์ที่คาดไว้ออก เอื้อมมือมาจับผมให้เอียงหน้าหา เราสบตากัน ผมยังคงไม่พอใจที่อีกฝ่ายตั้งท่าจะเลี้ยงดูผมแบบนี้ จะว่าหัวโบราณก็ได้ แต่ผมเป็นผู้ชาย ถูกอบรมมาตลอดว่าอย่าทำตัวเหมือนเกาะใครกิน
     
    "หน้าจะแก่นำฉันไปแล้ว"
     
    "ผมไม่ชอบให้ใครซื้อของให้”
     
    “เรื่องของนาย แต่ฉันชอบซื้อของให้คนที่ฉันรัก แล้วก็ไม่ชอบเห็นนายหน้าบึ้งแบบนี้”
     
    “คุณมันเอาแต่ใจ อยู่กับคุณแล้วผมปวดหัว"
     
    "จริงเหรอ" 
     
    คนถามเลิกคิ้วขึ้น จังหวะทีผมจะสะบัดคางออกจากมือเล็กหนึ่งตะวันกลับจู่โจมเสียก่อน ใบหน้าขาวชะโงกมาใกล้ ผมเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มขนาดโตเมื่อจมูกเราเกี่ยวกันก่อนที่ริมฝีปากจะถูกบดเบียด ความหยุ่นชื้นของกลีบปากอีกฝ่ายแนบแน่น ดูดดึงเป็นเสียงจ๊วบเบา ๆ เมื่อถอนปากออก
     
    "ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า" 
     
    หนึ่งตะวันยักยิ้ม เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และแสนซน ผมผ่อนลมหายใจ แต่ไม่วายจะบ่นต่อ "คุณนี่มันสุด ๆ เลย ทำไมนับวันยิ่งเป็นปีศาจแบบนี้"
     
    คนถูกติไหวไหล่ เขายังคงไม่แยแสกับอารมณ์ขุ่น ๆ ของผมเหมือนเดิม "ถ้ารู้ตัวว่าพลาดก็ยอมเป็นทาสที่น่ารัก ๆ ของฉันสิ เสื้อผ้าพวกนี้ไม่กี่บาทหรอก ฉันแค่อยากเห็นนายในมาดคุณชายบ้างเท่านั้นเอง ทีนายยังจับฉันใส่หมวกฟางบ้า ๆ นั่นได้เลย อย่าโยเยน่า เราไม่ใช่คนอื่นกันแล้ว ไม่ใช่แค่เจ้านายกับลูกน้องด้วย"
     
    หนึ่งตะวันช้อนสายตามอง ความหมายในแววตาคู่นั้นล้ำลึกและอบอุ่น "ให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อนายบ้างอย่าปฏิเสธกันเลย"
     
    ท้ายที่สุด ผมก็ยอมจำนนเลิกคิดเรื่องเงินทองที่สิ้นเปลืองไปวันนี้ได้เสียที
     
     
     
     
    งานเลี้ยงที่จัดขึ้นในช่วงค่ำของวันเสาร์เป็นงานเปิดตัวลูกชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่ผมกับหนึ่งตะวันไปเผาเงินเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้ร่วมงานล้วนแต่เป็นนักธุรกิจไฮโซชื่อดัง แค่ก้าวเข้ามาในงานก็ดูเหมือนทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว แม้แต่หนึ่งตะวันที่บอกว่ามีแค่ช่วงระยะสั้น ๆ เท่านั้นที่ตามติดคุณชนินทร์มาด้วยยังมีคนมาทักทายไม่ขาดสาย
     
    ภูดิศยืนถือแก้วพันช์คุยกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีภายในงาน เมื่อผมกับหนึ่งตะวันปรากฏตัวก็ชูแก้วทักทาย ชวนเพื่อนสนิทให้เข้าร่วมวงสนทนาด้วย
     
    “สวัสดีครับ น้องเอ็ม”
     
    “ครับ ดีใจจังพี่หนึ่งจำเอ็มได้ด้วย ขอคุยกับคุณพอร์ชระหว่างรอพี่หนึ่งมาไม่โกรธกันใช่ไหม”
     
    “ไม่โกรธเลย” หนึ่งตะวันหัวเราะ ยิ้มแปลก ๆ ให้ภูดิศกับเด็กหนุ่มที่ว่า “ตามสบายเลยครับ ไม่เจอกันเสียนานเลยแวะมาทักทายหน่อย นี่กฤช ผู้ช่วยผม กฤช นี่เอ็ม ลูกคุณนิวาส ทำธุรกิจเครื่องดื่มเหมือนกัน”
     
    “แต่ไม่ใช่แอลกอฮอล์” เด็กหนุ่มคนดังกล่าวยิ้มทัก ดวงตาเป็นประกายแพรวพราว “พี่หนึ่งเอาคนหน้าตาดีขนาดนี้มาไว้ใกล้ตัวพี่พอร์ชไม่อกแตกตายเหรอครับเนี่ย”
     
    “คนอกแตกตายน่าจะเป็นคุณกฤชมากกว่า” ภูดิศหัวเราะร่วน “เอาตะวันไปเลี้ยง วินาศสันตะโรชัด ๆ”
     
    “พอร์ช เดี๋ยวนี้กูไม่ใช่แบบนั้นแล้วไหมวะ”
     
    “จะไปรู้เหรอ” เพื่อนคนพิเศษไหวไหล่ หลิ่วตามองผมล้อ “เรื่องนั้นต้องถามเจ้าตัวว่าปวดหัวแค่ไหน”
     
    “ว่าแต่ช่วงนี้พี่หนึ่งไปดูแลที่ไร่ตะวันฉายเหรอครับ ไม่ค่อยได้เจอเลย ไม่มีคนคุมพี่พอร์ชนะซนยิ่งกว่าเก่า”
     
    “มันก็ซนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะน้องเอ็ม”
     
    “นี่ ช่วงที่พี่หนึ่งไม่อยู่พี่พอร์ชมาอ้อนเอ็มด้วยแหละ”
     
    “อ๋อ เหรอครับ” หนึ่งตะวันแกล้งร้องกลั้วหัวเราะ ดูยียวนอย่างประหลาด “มันก็อ้อนไปทั่วแหละเอ็ม อย่าไปเอาอะไรกับไอ้พอร์ชมากเลย หรือถ้าคิดว่าหยุดมันได้จริง ๆ ก็ลองดู รู้จักมันแค่ไหนล่ะ”
     
    “พี่หนึ่งก็ห่าง ๆ ไปแล้วเมื่อก่อนกับตอนนี้อาจไม่เหมือนพี่พอร์ชที่พี่หนึ่งรู้จักก็ได้”
     
    หนึ่งตะวันทำท่าจะเถียงต่อ แต่ภูดิศยั้งบทสนทนาไว้ จับข้อศอกเล็กของเด็กหนุ่มชวนไปทางอื่น ขณะที่หนึ่งตะวันเบ้หน้าไม่ชอบใจอยู่ข้างผม
     
    “ทำไมทำท่าเหมือนกับหึงคุณพอร์ชอย่างนั้นล่ะครับ”
     
    “ไม่ได้หึง” คนขี้หงุดหงิดเถียงทันที “ฉันไม่ชอบไอ้เด็กนั่น เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย ไอ้พอร์ชได้มานานแล้ว แต่สลัดไม่หลุดสักที มีโอกาสก็มาแง้ว ๆ ใส่ตลอด”
     
    “เหมือนใคร ๆ ก็เข้าใจว่าคุณกับคุณภูดิศคบหากัน”
     
    “เห็นว่าสนิทกันล่ะมั้ง” 
     
    ผมถอนหายใจ ไม่ชอบที่ใครเข้าใจแบบนั้น รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่แสดงตัวว่าเป็นคนรักของหนึ่งตะวันแทนภูดิศไม่ได้ 
     
    “ไม่เห็นมีใครเดินมาถามความจริงสักที ก็คิดกันไปเองทั้งนั้น”
     
    “ถ้าอย่างนั้นผมถามได้ไหมครับ คุณกับภูดิศคบกันแบบไหนกันแน่”
     
    หนึ่งตะวันหันกลับมามอง จ้องตาผม มีแววขุ่นเคืองเจืออยู่ในนั้น 
     
    “ถามบ้าอะไรของนาย”
     
    “ก็ผมไม่ชอบใจ”
     
    “ถ้าฉันเป็นแฟนกับพอร์ชมันจะปล่อยให้ฉันจีบนายแบบนี้ไหม อย่าซื่อบื้อให้มันมากนักได้ไหม เริ่มเหนื่อยแล้วนะ”
     
    “ก็เลิกสนิทสนมกันแบบนี้เสียทีสิครับ” ผมว่า “เลิกทำตัวเหมือนหึงหวงด้วย แบบนี้จะให้คนอื่นเข้าใจยังไง คุณไม่ต้องประกาศกับใครว่าคบกับผมก็ได้นะหนึ่งตะวัน แต่ผมก็ไม่ชอบให้คนที่ตัวเองคบอยู่ทำตัวเหมือนมีพันธะกับคนอื่นเหมือนกัน”
     
    หนึ่งตะวันเงียบไปอึดใจ สักพักก็ใช้ข้อศอกสะกิด “นี่หึงใช่ปะ”
     
    “เปล่า”
     
    “หึงอะดิ”
     
    “บอกว่าไม่ได้หึงไง” ผมยกมือขึ้นปัดจมูก สักพักคนที่หงุดหงิดไม่แพ้กันเมื่อครู่ก็เปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้าม หนึ่งตะวันหัวเราะคิกคักแล้วใช้หัวไหล่เบียดกระแซะ
     
    “เพิ่งรู้ว่าขี้หึง”
     
    “ผมไม่ได้หึง แต่ไม่ชอบ”
     
    “ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” หนึ่งตะวันฉีกยิ้ม ดวงตาพราวระยับ “แค่จะบอกว่าน่ารักดี”
     
    ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ฝืนตัวเองไม่ให้ยิ้มขณะที่อีกฝ่ายจ้องจะล้อท่าเดียว แววตาวับวับของหนึ่งตะวัน รอยยิ้มเฉิดฉายที่มุมปากเห็นแล้วจะหลุดมาดขรึมไปด้วยจนได้ “ไม่คุยกับคุณหนึ่งแล้ว ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า”
     
    “อื้ม เอางั้นก็ได้ ฉันคุยกับเพื่อนคุณพ่อสักพักแล้วจะออกไปตามแล้วกัน เดี๋ยวไปหาของกินเยาวราชกันไหม ยังไม่ดึกเท่าไร น่าจะกำลังครึกครื้น”
     
    “ครับ” 
     
    ผมเลี่ยงออกมาจากห้องบอลลูมใหญ่ของโรงแรมหกดาวมายังแถบระเบียงที่มองเห็นเข้าไปในงาน ผู้คนมากมายในงานส่วนมากเป็นระดับผู้บริหาร มีอายุไล่เลี่ยกับคุณชนินทร์และมาพร้อมบุตรชายบุตรสาว บ้างก็ส่งมาแค่ทายาทเพื่อคุยธุรกิจเท่านั้น หนึ่งตะวันในเวลานี้กลมกลืนกับทุกคนไปหมด เหมือนกับว่านี่คือที่ของเขา ที่ที่นายน้อยควรจะอยู่
     
     
    “ไง” 
     
    ในมุมมืด คนที่พาคุณเอ็มหลบไปอีกฝั่งเมื่อครู่กำลังยืนสูบบุหรี่ เขาดีดขี้เถ้าจากปลายนิ้ว แสงสีส้มสว่างวาบเมื่ออัดอากาศผ่านก้นกรอง “ไอ้ตะวันพลาดฉิบเป๋งพานายมางานนี้”
     
    “ครับ?”
     
    “สาว ๆ จ้องตาเป็นมัน”
     
    ภูดิศกล่าวกลั้วหัวเราะ ผมไม่ทันสังเกต สายตาจับจ้องแต่ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีเดียวกันเท่านั้น “คงไม่อยากให้เป็นอาหารตาเลยถีบกระเด็นมานี่ล่ะมั้ง”
     
    “ผมขอออกมาเองครับ”
     
    “โอ้ ยิ่งเข้าทาง” คู่สนทนายังกล่าวด้วยน้ำเสียงแบบเดิม เขาเงียบไปชั่วอึดใจ อัดควันบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง “ยังหึงฉันกับไอ้ตะวันอยู่ล่ะสิ”
     
    “ก็...”
     
    “เฮ้ย ฉันเข้าใจ ผู้ชายที่ไหนจะยอมรับง่าย ๆ เสียฟอร์มหมด มันเหมือนเราไม่มั่นใจตัวเอง จริงไหม” ผมไม่ตอบ ปล่อยให้ภูดิศเป็นคนกล่าวนำต่อ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะถนัดในการโน้มน้าวชักจูงใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “ฉันโตมากับมัน ตั้งแต่ประถม หรืออาจจะก่อนหน้านั้น เหตุผลคล้าย ๆ กัน แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว ของฉันพ่อแม่ไม่ค่อยอยู่ไทย ส่วนไอ้ตะวันคือที่บ้านไม่มีเวลาให้ ที่จริงก็น่าสงสาร อย่างที่บอก มันมีปมของมัน ชอบแอบไปร้องไห้คนเดียวบ่อย ๆ ฉันเห็นก็สงสาร ทำไปทำมาเลยติดกันเป็นตังเม”
     
    “ผมพอจะเห็นอยู่”
     
    “จะให้เทียบ ฉันก็เหมือนเป็นพี่ชายมันนั่นแหละ พี่น้องที่คลานตามกันมา พอจะเข้าใจไหม”
     
    “แต่ก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ อีกอย่าง...คุณเองก็...”
     
    “เฮ้ย เกย์ก็คบกันอย่างเพื่อนได้นะเว้ย ไม่ใช่เอะอะจะเสียบกันท่าเดียวเสียหน่อย” ภูดิศพูดกลั้วหัวเราะ ผมได้กลิ่นมินต์ออกมาจากลมหายใจ “ที่จริงมันก็น่ารักจริง ๆ นั่นแหละ แถมเข้ากันได้เกือบทุกเรื่อง แต่เห็นกันมาตั้งแต่เจี๊ยวเท่ายาเม็ดแก้อักเสบ เอาอะไรไปพิศวาสมันวะ คนที่นายต้องกังวลน่ะ พระเอกของงานนี้ต่างหาก”
     
    “ครับ?”
     
    “พี่ตุลย์น่ะสิ” 
     
    ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คุณตุลย์ที่ว่าคือลูกชายห้างสรรพสินค้าที่มีสาขาอยู่ทั่วกรุงเทพและมีนโยบายที่จะขยายไปยังหัวเมืองใหญ่เร็ว ๆ นี้ อันที่จริงหนึ่งตะวันก็พูดถึงบนรถบ้างว่าฝ่ายนั้นทำงานมาพักใหญ่ เพียงแต่เร็ว ๆ นี้จะขึ้นมาเป็นประธานบริษัทเต็มตัวเสียที อายุมากกว่าคุณหนึ่งไม่มาก ถือว่าเป็นนักธุรกิจอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จมากทีเดียว
     
    “พี่ตุลย์เป็นแฟนคนแรกของตะวัน เป็นคนที่มีอิทธิพลมากเสียด้วย”
     
    “อิทธิพลยังไงเหรอครับ”
     
    “เป็นคนเดียวที่เคยทิ้งมัน” 
     
    ภูดิศขยี้มวนบุหรี่ที่ไหม้ไปเกินครึ่งลงบนทรายเหนือถังขยะ ควันสีขาวอมเทายังพวยพุ่งออกมาจากจมูกเป็นสันคม “มันมีแฟนคนแรกตอนมหาวิทยาลัยนี่แหละ พี่ตุลย์มาจีบมัน ทำให้มันรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ อยู่กับฉันตั้งหลายปีมันยังไม่สงสัยว่าตัวเองจะชอบผู้ชายเลยสักนิด จีบมันแค่สามเดือนก็ติดแล้ว คบกันเกือบปีได้ คนอื่นมันชิงทิ้งก่อนตลอด”
     
    “แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะครับ”
     
    สายตาคมมองทอดออกไป เขาพยักพเยิดให้สัญลักษณ์ว่าชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่เดินตรงมาหาหนึ่งตะวันตอนนี้คือคนที่กำลังพูดถึง 
     
    “เซ็กซ์น่ะ”
     
    “ครับ?”
     
    “มันไม่ยอม” ภูดิศพูดพลางถอนหายใจ “ถึงได้บอกไงว่ามันป๊อด คนเหี้ยอะไรมีแฟนแต่ไม่อยากมีเซ็กซ์ ทะเลาะกันหลายครั้ง ตอนหลังพี่แกก็เบื่อ คบไปก็ไม่ได้เอา ไปหาคนง่าย ๆ ดีกว่า ไม่เสียเวลา”
     
    ผมครางรับ มองภาพของหนึ่งตะวันที่ยืนหันหน้าเข้าหาคนรักเก่าด้วยใบหน้าระรื่น เหมือนอดีตที่ขุ่นมัวไม่อาจทำร้ายเขาได้อีก ในขณะที่โล่งใจ ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
     
    หนึ่งตะวันไม่เจ็บปวดกับรักแรกอีกแล้ว แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะวางใจได้ว่าความรู้สึกอื่นจะจางหายไปด้วยหรือไม่
     
    “แล้วคุณพอร์ชพอจะทราบไหมครับว่าตอนนี้คุณตุลย์ตอนนี้มีแฟนหรือยัง”
     
    “ได้ยินว่ามีผู้หญิงที่ทางบ้านอยากให้แต่งงานด้วยอยู่หรอกนะ แต่เข้าใจใช่ไหม เขาเป็นเกย์ ยังไงก็ต้องการผู้ชายมากกว่าอยู่แล้ว”
     
    “แล้วคุณหนึ่ง...”
     
    “ถึงได้บอกไงว่าเอาเวลาที่หึงมันกับฉันไประวังทางนั้นดีกว่า” 
     
    ภูดิศทิ้งระเบิดไว้เท่านั้น เขาตบบ่าสองครั้งเชิงให้กำลังใจแล้วเดินกลับเข้ามาในงาน ทันทีที่คุณเอ็มเห็นการปรากฏตัวของชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาพร้อมแก้วเครื่องดื่มเย็น ๆ ในทันที
     
    ผมมองภาพของหนึ่งตะวันที่พูดคุยกับคนรักเก่านิ่งเงียบ ปล่อยให้สะเก็ดความไม่พอใจสะกิดอยู่ข้างใน ระหว่างทางหนึ่งตะวันพูดถึงคุณตุลย์หลายอย่าง แต่สิ่งเดียวที่ไม่ปริปากบอกออกมาเลยคือความสัมพันธ์ที่เคยมีกับชายหนุ่ม เขายืนตรงนั้น ส่งแก้วไวน์ให้กัน พูดคุยอย่างสนิทชิดเชื้อและเหมาะสมกันอย่างไม่มีที่ติ เหมาะสมกว่าภูดิศกับคุณหนึ่งด้วยซ้ำ คุณตุลย์ดูเป็นผู้ใหญ่ อารมณ์ดีที่ควบคุมหนึ่งตะวันได้ เขาร่างกายสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน กิริยามารยาทก็ดูนุ่มนวลไปหมด ผมเห็นประกายในแววตาคู่นั้น มันหวานเยิ้มและหว่านล้อมเกี้ยวพาราสีอีกฝ่ายในที หนึ่งตะวันเฉไฉ แต่ไม่ยอมเลี่ยงออกมาให้เด็ดขาด
    รู้ตัวอีกที ผมก็ไปยืนคู่นายน้อยของไร่ตะวันฉายเสียแล้ว
     
    “คุณหนึ่ง”
     
    “อ้าว เบื่อแล้วเหรอ” หนึ่งตะวันหันมาถาม ส่งแก้วเปล่าให้บริกรมารับ ขณะที่คุณตุลย์ส่งแก้วใหม่ให้ ไม่ลืมที่จะยื่นเผื่อมาทางผมอีกแก้ว
     
    “เพื่อนหนึ่งเหรอ”
     
    “ผู้ช่วยคนสนิทครับ” หนึ่งตะวันตอบยิ้ม ๆ อย่างมีนัยยะ ชายหนุ่มอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แสดงความแปลกใจ
     
    “สนิทมากหรือเปล่า”
     
    “ก็…ครับ พอดีทำงานด้วยกันด้วย”
     
    “ที่เล่าให้ฟังว่าเป็นคนสอนงานที่ไร่ใช่ไหม”
     
    หนึ่งตะวันพยักหน้า สายตาของคุณตุลย์ที่มองผมวูบหนึ่งฉายความรู้สึกหยามเหยียดจากก้นบึ้งจิตใจ แต่ครู่เดียวก็โปรยยิ้มให้อย่างเป็นมิตร คล้ายหน้ากากที่สวมอยู่นั่นไม่เคยเผยความรู้สึกภายในออกมาแม้แต่น้อย 
     
    “โชคดีนะ ได้คนฝีมือดีมาข้างกาย ท่าทางทะมัดทะแมงเป็นงานนี่”
     
    “ครับ” หนึ่งตะวันตอบ “ไม่ได้กฤชหนึ่งก็แย่เหมือนกัน แต่ว่าพี่ตุลย์ไม่ไปคุยกับแขกคนอื่นบ้างเหรอ เดี๋ยวคุณเอมอรก็หาว่าหนึ่งกั๊กลูกชายมาไว้คนเดียว”
     
    “ก็บอกแม่ว่าคุยเรื่องไวน์ที่จะเอามาวางเพิ่มในห้างพี่สิ” ตุลย์ส่งยิ้มอย่างมีนัยยะ “พี่มีโครงการจะขยายสาขาไปโคราชอยู่นะ ไว้ถ้ามีโอกาสไปเมื่อไรจะรบกวนไร่ตะวันฉายได้หรือเปล่า”
     
    “พร้อมเสมอครับ มาเถอะ พี่ตุลย์จะได้ชิมไวน์ดี ๆ ที่พ่อเก็บไว้ที่ไร่ด้วย ขนาดหนึ่งยังไม่ได้แตะเลย สงสัยต้องรอแขกคนสำคัญ”
     
    “ได้เลย ถ้างั้นพี่ไปคุยกับคุณเอนกก่อนนะครับ ยังไงพี่จะโทรหาอีกที ฝากบอกคุณพ่อด้วยว่าหายไว ๆ เมื่อวานพี่ส่งกระเช้าไปเยี่ยมแล้ว ของบำรุงทั้งนั้น บังคับคุณพ่อให้ทานให้หมดล่ะ แล้วนี่จะกลับกันเลยเหรอ”
     
    “ครับ ไม่อยากให้คุณพ่ออยู่ที่บ้านคนเดียว”
     
    “เด็ก ๆ ที่บ้านเยอะแยะไป น่าจะอยู่ด้วยกันอีกหน่อย ยังไม่ทันหายคิดถึงเลย แต่เอาเถอะ ไว้จะไปเยี่ยมที่บ้านก็ได้” 
     
    หนึ่งตะวันฉีกยิ้มรับคำ ร่างสูงใหญ่เดินเฉียดไหล่ผมไป ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง ผมถอนหายใจหลังจากยืนแน่นิ่งอยู่นาน 
     
    “คุยงานน่ะ นานหน่อย ไปเยาวราชกันไหม หิวรึเปล่า อาหารค็อกเทลไม่อยู่ท้องหรอก”
     
    “ผมอยากกลับบ้านมากกว่า”
     
    “เหนื่อยเหรอ”
     
    “ครับ”
     
    “ก็ได้ งั้นแวะร้านบะหมี่ข้างทางเอาก็ได้ ฉันหิวมากเลย”
     
    หนึ่งตะวันยิ้มตาปิด แตะข้อศอกผมแล้วพากันออกจากงานเงียบ ๆ เมื่อพ้นเขตที่คนพลุกพล่าน แขนขาวก็สอดเข้าคล้องข้อศอกผมไว้ เอนศีรษะซบบ่าออดอ้อนเอาใจ 
     
    “กฤช เป็นคนขี้หึงมากหรือเปล่า”
     
    “ถามทำไมครับ”
     
    “ฉันอยากรู้ จะได้รู้ว่าขอบเขตตัวเองทำได้แค่ไหนเราถึงจะไม่มีปัญหากัน”
     
    “อะไรที่คิดว่าทำแล้วไม่เหมาะก็อย่าทำครับ” ผมพูดแค่นั้น และไม่มีการขยายความใด ๆ เพิ่มเติม
     
     
     
    TBC

    มาสามตอนติดเลยค่ะ
    ขอโทษที่ไม่ได้ทักทายกัน ขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ไม่ได้ตอบคอมเมนต์แต่ก็อ่านทุกอัน ช่วยให้มีแรงเขียนต่อไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×