คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : สิ่งที่กำลังจะเกิด
09 สิ่งที่กำลังจะเกิด
กีฬากระชับความสัมพันธ์ระหว่างคณะเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นทุกปีหลังจากสอบมิดเทอมเสร็จ
ผมไม่เคยสนใจหรอกครับ เล่นกีฬาไม่เก่ง
ตอนมัธยมเคยถูกบังคับให้เล่นบาสอยู่ในช่วงที่ขาดแคลนนักกีฬาจริงๆตอน ม.4เท่านั้น
วิ่งได้สิบนาทีก็ยืนหอบแฮกข้างสนาม สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ลงแข่งอีกแล้วตลอดชีวิต
เล่นขำๆน่ะพอได้ แต่พอมีเหรียญมาเดิมพันแล้วเครียด ผมไม่ชอบแบกความหวังของใคร
ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่แตะเรื่องแบบนี้เลย
แต่บางทีความจำเป็นของแต่ละคนก็มีคำนิยามต่างกันไป
"มันจำเป็นจริง ๆ โว้ยยู มึงดูปีหนึ่งปีนี้ดิ กากกันฉิบหาย
มีแต่ตัวอรชรอ้อนแอ้น น่าา มาลงเล่นให้หน่อย ขำๆ เอาแค่คนครบ
มึงก็รู้พวกกูไม่หวังเหรียญ"
ไอ้คนพูดมันเป็นตัวยืนเรื่องกิจกรรมโดยเฉพาะ
เป็นพวกจับคนว่างยัดทำกิจกรรมนั่นนี่ ตอนปี2ผมเคยโดนหลอกไปค่ายธรรมมะเพราะมันนี่แหละ ปีนี้จะมาหลอกกูลงบาส ฝันไปเหอะ
"เป็นแค่ตัวสำรอง ถ้าไม่สุดวิสัยจริง ๆ กูไม่ให้มึงลงหรอกยู ช่วยหน่อย”
“กูเล่นไม่เป็น”
“มันจะไปยากอะไรวะ แค่ยัดลูกลงห่วง ช่วยกูเหอะ ไหว้ล่ะ
ไอ้อั้มช่วยพูดหน่อยดิ๊”
นักกีฬาบาสที่พาทีมแพ้ทุกสมัยหัวเราะ
หันมองผมกับกอล์ฟ คนไหว้วานแล้วพูดส่งๆในฐานะผู้ถูกพาดพิง “มึงก็ลงชื่อไปเหอะ
รำคาญไอ้กอล์ฟมัน แง้วๆอยู่ได้ หนวกหู”
ไอ้คนโดนด่าว่าน่ารำคาญไม่สลด
ใช้โอกาสนี้ยื่นใบสมัครยัดใส่มือผมพร้อมปากกาแลนเซอร์หัวแตก
ผมส่ายหน้าหน่ายแต่สุดท้ายก็ยอมช่วยให้จบเรื่องไป วงเล็บข้างหลังย้ำ ๆ
ด้วยว่าตัวสำรอง เดี๋ยวเสือกทำมึนใส่ชื่อกูไปเป็นตัวจริงอีกจะซวยเข้า ไอ้อั้มพอเห็นผมแพ้ก็หัวเราะชอบใจใหญ่ผมเลยส่งนิ้วกลางงามๆไปให้หนึ่งที
“ทำเป็นเข้ม สุดท้ายก็ใจอ่อนทุกที”
“ก็แทนที่มึงจะช่วยกู เสือกไปพูดช่วยมัน”
“กูไม่พูดมึงก็ยอม เป็นคนแบบเนี้ยเด็กมันเลยติดไง
ปากบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนา หึๆๆ”
มันพูดถึงใครวะ
ฟังแล้วระคายหูทนไม่ไหวต้องเดินไปตบเกรียนมันหนึ่งที
ไอ้อั้มโยกตัวหลบซ้ายหลบขวาผมเลยหักหลังเปลี่ยนเป็นเตะป้าบที่ก้นเข้าให้
ยังไงก็ไม่ต้องใช้อยู่แล้ว เดี๋ยวกูซ้ำอีกสองสามรอบให้ตูดช้ำไปเลย กวนตีน
“เฮ้ยๆ แซวแค่นี้ถึงกับเขินจนลุกมาเตะ แน่นอนจริงๆว่ะอินทรี
ทำเพื่อนกูเป๋ได้ ว่าแต่ไอ้อินมันก็นักกีฬาบาสไม่ใช่เหรอวะ
งี้ก็ได้คลุกวงในกันนัวเลยดิ”
“วงในพ่อง กูเป็นตัวสำรอง ไม่ลงไปเล่นด้วยหรอก มึงจะไม่เลิกกวนกูใช่ไหม
เดี๋ยวพ่อจับทำเมีย”
“กลัวแล้วคร้าบบ ใครจะกล้าแหย่พี่ยูลง พอๆ
เดี๋ยวกูไปคุยเรื่องโปรเจ็กต์กับแอดไวเซอร์ต่อ เล่นเหี้ยอะไรของมึงเสื้อกูยับหมดแล้ว
ถ้าวันนี้คนครบรอเช็กตารางซ้อมด้วยแล้วกัน ไปละ”
ผมยกมือไล่ไอ้อั้มให้รีบไปก่อนที่จะกวนรมณ์ผมไปมากกว่านี้แล้วค่อยแยกไปอีกทาง
หิวว่ะ เพิ่งลงมาจากห้องพักอาจารย์เหมือนกัน รายงานความคืบหน้าตามประเพณี
ไม่มีอะไรมาก ก่อนส่งอาจารย์ผมให้พี่เฟยช่วยตรวจอีกรอบแล้วค่อยมา
แอดไวเซอร์คนนี้เคยเป็นที่ปรึกษาให้พี่เฟยเหมือนกัน
เฮียแกพอจะเดาทางถูกว่าแบบไหนถึงจะถูกใจเลยไม่ยากมาก
“โอรีโอ้ไวท์มอลท์ครับ”
สั่งน้ำปั่นอย่างแรกเลย
เดินวนรอบโรงอาหารคนเป็นล้านมาหาน้ำเย็นๆประทังชีวิตไปก่อนแล้วกัน ร้านนี้มีคนขายหลายคนครับ
รับออร์เดอร์ผมไปก็ตะโกนถามคนข้างหลังได้เลย เครื่องปั่นยังว่างอยู่
แต่ไอ้คนต่อคิวผมมันไม่พูดแม่ค้าเลยถามซ้ำ
พอหันกลับไปมองหน้าก็พอจะเข้าใจครับว่าทำไมมันเงียบ
ไอ้น้องคิวยืนหน้าซีดอยู่หลังผมนี่แหละ คงเพิ่งเห็นเหมือนกัน
“กินอะไรล่ะ พี่เลี้ยง”
ผมยิ้มให้แต่คิวไม่ตอบ
ทำท่าจะเดินหนีไปดื้อ ๆ ผมเลยคว้าแขนไว้
เด็กหนุ่มพยายามบิดออกแบบไม่ให้เป็นที่สั่งเกตของคนรอบข้างสักพัก
พอไม่เป็นผลเลยยืนเม้มปากแน่นไม่พูดไม่จา ผมไม่ชอบแบบนี้ว่ะ จบก็จบ
เราไม่ได้เกลียดกันไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำตัวเหมือนผมไม่ใช่พี่ภาคมันด้วย
“ไม่สั่งงั้นกินกับพี่นะ มากับเพื่อนหรือเปล่า?”
คิวพยักหน้าแต่ไม่ตอบ
ผมเห็นกลุ่มเพื่อนมันบางคนซื้อข้าวอยู่เลยถือวิสาสะลากมันออกไปอีกฝั่งของโรงอาหาร
ข้าวปลายังไม่ได้ซื้อหรอกครับ มีน้ำแก้วเดียววางตรงหน้าคิว
รุ่นน้องผมก็เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาสักคำ
“คิว… พี่ไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้ หลบหน้าพี่ทำไม?”
“ผม…”
“กลัวพี่โกรธอยู่ หรือเพราะไปรับปากอินไว้ว่าจะไม่ยุ่งกับพี่อีก”
เด็กหนุ่มมองมือที่ผมยังจับไว้แล้วดึงออก
“ผมขอโทษ ผมรู้สึกไม่ดีจริง ๆ ที่ทำแบบนั้น ปกติพี่อินจะทำท่าไม่ค่อยชอบผม
แต่วันนั้นพี่อินมาบอกว่าชอบผม แล้วก็หึงที่ผมสนิทกับพี่…”
คำว่าชอบไอ้อินมันพูดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ
ผมถอนหายใจยาว จริงๆคิวก็คงอยากระบายเหมือนกันติดก็แต่ไม่มีโอกาสพอ ๆกับที่ไม่กล้า
ถ้าไม่ถูกจับตัวมาคุยกันสองต่อสองแบบนี้ก็คงไม่พูด
“ผมขอโทษ พี่ยู แต่พี่อิน…”
“มันทั้งหล่อ ทั้งรวย…”
ปากหวานด้วย
ทำไมผมจะไม่รู้ เทียวไล้เทียวขื่อผมมาเป็นเดือนแล้วยังไม่ถอยทัพกลับไปเสียที
คิวพยักหน้า จริงอย่างที่อินว่า ใครๆก็อยากได้มัน “แต่พอผมนอนกับพี่อินแล้ว
เขาก็บอกผมว่าห้ามคุยกับพี่อีกถ้าไม่อยากให้เรื่องที่ผมง่ายกระจายออกไป…
ผมขอโทษพี่ยู ถ้าย้อนเวลากลับไปได้…”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้โกรธคิว แต่อยากให้เราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน
ไม่ใช่เอาแต่หลบหน้าหรือเจอก็ทำเป็นมองไม่เห็น”
ผมพูดแค่นี้เขื่อนก็แตกครับ
น้องคิวของผมปล่อยโฮออกมาหมด หมดจริง ๆ เวรกรรม อยู่กลางโรงอาหารแบบนี้คนก็มองดิ
ผมไม่ได้ทำอะไรนะเฮ้ยใจเย็น อย่าเพิ่งด่ากันทางสายตาแบบนั้น
“คิว… ไปห้องน้ำ”
ผมกระซิบแล้วลากรุ่นน้องออกไปด้วย
พยายามใช้ตัวบังไม่ให้ใครเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้
พอหลบคนได้คิวก็โผเข้ากอดผมแน่น เช็ดน้ำตากับอกพี่ได้เลยน้อง กูแม่งโคตรเท่
“ร้องออกมาให้หมดแล้วไม่ต้องคิดมาก เรื่องอินก็ไม่ต้องกังวล มันไม่พูดหรอก”
“คิวไม่เข้าใจ พี่ยู
คิวไม่เข้าใจว่าทำไมพี่อินถึงต้องทำแบบนี้..คิวนึกว่าเขาพูดจริง ๆ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ
บางวูบผมก็เชื่ออย่างที่มันบอก อินมันชอบผมจริง ๆ มีความสุขเวลาที่อยู่ด้วยกันจริง
ๆ แต่บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่ผมหลงเข้าใจผิดไปเองเหมือนที่คิวโดนก่อนหน้านี้
“ไม่เป็นไรนะคิว เรายังมีพี่ชายอยู่ตรงนี้อีกคน”
ป่านนี้แม่บนสวรรค์คงดีใจ
อยู่ดีๆ มีลูกชายเพิ่มเป็นโขยง เฮ้อ….
ผมกลับมาที่ห้องด้วยความรู้สึกโหวง
ๆ ในอกพิกล อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร
ตอนแรกที่ว่าหิวข้าวพอเจอคิวก็พาลกินอะไรไม่ลง
ไม่ใช่ความผิดของน้องหรอกแต่นึกถึงเรื่องที่คิวเล่าให้ฟังแล้วมันจุก เบื่ออาหาร
ยังไงไม่รู้ แต่อารมณ์มันหม่น ๆ ไม่ค่อยจะสู้ดี
ผมหิ้วกีต้าออกมาที่ระเบียง
แดดร่มลมตก เกาไปเกามาก็เป็นเพลง เพลงเก่าแล้วแต่จู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาในหัว
ไม่ได้ร้องออกเสียงแต่เนื้อเพลงมันวิ่งงวนๆไปกับทำนองที่ดีดนิ้วขึ้นลง
เผลอทุกทีที่เธอมากอด
เผลอว่าเธอสุขใจ
ที่เราได้เจอ
เคลิ้มไปตามที่เธอ
ทำและเกือบหลงรักเธอ
ดีที่รู้ทัน
ว่าเธอไม่ได้คิดอะไร…
ผิดหวัง..
ไม่รู้ว่าทำไมความรู้สึกแบบนี้มันถึงแน่นขึ้นมาในอกได้
ผมคิดว่าอินจะจริงจังกว่านี้อย่างน้อยที่สุดคำที่บอกว่าชอบก็ไม่ควรให้กับใครก็ได้
พูดออกมาง่ายๆเหมือนมันไม่มีค่า
หรือบางที
คำนั้นสำหรับมันคงไม่มีค่าจริงๆนั่นแหละ
ผมหยุดเล่นดนตรีแล้วเอากีต้าร์กลับมาวางในห้อง
วันสองวันนี้อินทรีไม่ค่อยมาหาเพราะมันโดนล็อคตัวอยู่ซ้อมบาสที่มหาลัย
ผมว่าพอจะรู้แล้วแหละว่าทำไมงานกีฬาถาปัตย์แม่งแพ้ตลอด
ดูสิครับทีมอื่นเขาฟอร์มทีมแล้วคณะผมยังวิ่งวุ่นหานักกีฬาอยู่เลย ดีเหมือนกัน
มันจะได้ยุ่ง ๆ ไม่มีเวลามากวนใจ เหม็นหน้าจะตายห่า อย่าให้เจอนะจะไล่กลับบ้านให้
โว้ยยย ทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนี้ด้วยวะ
ผมทิ้งตัวลงบนเตียง
นอนมองฝ้าเพดานสีขาวปล่อยความคิดให้มันลอยไป ผมเป็นอะไรของผมวะ
ทำไมต้องไม่พอใจที่รู้ว่าไอ้อินบอกว่าชอบคนอื่น เปล่าเลย ไม่ใช่หึงอินแน่ๆ ไม่ใช่...มันต้องไม่ใช่
คิดทบทวนอยู่นานกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก็ลุกมารับ
เป็นเบอร์จากต่างประเทศ มีคนเดียวนั่นแหละครับ
“ไง เละป่าว”
ทักดีเชียวพี่ผม
“จะเละได้ไงครับ โค้ชดีขนาดนี้”
“เหอะๆ ปากดีเหมือนเดิม
แต่น้ำเสียงแปลก ๆ เป็นไร”
ช่วงหลัง
ๆ นี่พี่เฟยโทรหาผมบ่อยครับ สอนงานผ่านเมลมันไม่ค่อยเก็ท แต่จะโทรมาเวลาค่ำ ๆ
ของอังกฤษ ผมน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้วไหน ๆ ก็ทำงานเป็นเซเว่น แก้กัน 24 ชั่วโมง
ดีเสียอีกเวลาที่พี่เฟยโทรมาส่วนใหญ่จะไมได้อยู่กับอิน คุยอะไรกันก็สะดวก
ไม่ต้องมาระแวงว่าไอ้บ้านั่นจะกวนตีนให้เสียงลอดเข้าไปเมื่อไรเดี๋ยวซักกันยาว
เรื่องที่อินจีบผมมีแค่อั้มที่รู้ คนอื่นผมไม่ได้เล่าให้ฟัง
เป็นความลับขั้นสุดยอดเลยก็ว่าได้
“เปล่าครับ กลับมานอนเพิ่งตื่น เออพี่
ผมว่าจะเริ่มทำพรีเซนต์ของเทอมนี้แล้วนะ”
“อาจารย์โอเคแล้วเหรอ?”
“อือ พี่กลับไทยเมื่อไร ทันวันเสนอโปรเจ็กต์ผมหรือเปล่า อยากให้มาดู”
พี่เฟยเงียบไปอึดใจ
ผมได้ยินเสียงกระดาษเสียดกับอากาศผ่านเข้ามาก่อนเสียงทุ้มจะตอบมาตามสาย “คงได้กลับตอนยูเรียนจบพอดี
เอาไว้เลี้ยงข้าวตอนนั้นแล้วกัน”
“ยอดข้าวปะพี่ พี่ตุ้ยถามถึงโคตรบ่อย”
ปลายสายหัวเราะ
แต่ไม่ตอบ ผมถามเรื่องดินฟ้าอากาศอีกนิดหน่อยก่อนวางสาย
ผมกับพี่เฟยเคยสนิทกันก่อนหน้านี้อยู่แล้วแต่หลังจากที่ผมขอความช่วยเหลือในเรื่องโปรเจ็กต์จากเขากลายเป็นว่าเราสนิทกันมากกว่าเดิมนิดหน่อย
พี่เฟยดูเป็นคนไม่มีอะไร ไม่คิดอะไร แต่ความจริงแล้วโคตรเข้าใจยากเลย
ผมอธิบายไม่ค่อยถูก แต่เป็นพวกที่ลึกลับใช้ได้
“ยู มึงมีแฟนปะวะ” นั่นไง นึกอะไรอีกก็ไม่รู้จู่ๆถึงมาถาม
ผมหัวเราะตามปลายสายไป ทิ้งตัวลงสบายๆ
“ไม่อะพี่ โสด แต่ไม่ซิงนะ”
“เออ
เรื่องนั้นเคยได้ยินกิตติศัพท์อยู่ แล้วไง
ไม่เหงาบ้างเหรอ”
ใจจริงอยากตอบว่ามีเหาฉลามเกาะอยู่เวลาจะเหงาเลยไม่ค่อยมีหรอก
แต่ก็ได้แค่หัวเราะเหอะ ๆ ให้อีกฝ่ายย้ำ “เอาดีๆ”
“พี่เหงาปะล่ะ”
“ก็มีบ้าง อิสระมันมาพร้อมความเหงา”
พี่เฟยเพิ่งเลิกกับแฟนชาวเกาหลีเมื่อหลายเดือนก่อนผมจะติดต่อไป
ตอนนี้เลยโสดสนิท แต่ว่าวันนี้มาแปลกๆว่ะ “มีไรปะพี่? จะจีบผมเหรอ? เอาจริงปะ
ผมเคยชอบพี่ด้วยนะ พี่แม่งสวย”
“สวยกับพ่อมึงสิ
แค่แปลกใจว่าทำไมคนอย่างมึงถึงไม่มีแฟน”
“ทำไม พี่สนผมเหรอ?”
“มึงสนจะเปลี่ยนบทก็ติดต่อกูมา
ไม่อยากฝืนใจใคร”
สำลักอากาศครับงานนี้
ไอ้อินคนเดียวก็ปวดหัวจะตายห่าแล้ว “ผมไหว้ล่ะพี่เฟย อย่ามาหวังจะเอาผมทำเมียเลย”
“พูดเผื่อได้เฉยๆ คุยกับมึงสบายใจดี
งี้เด็กติดเต็มเลยดิ”
ที่จริงก็ไม่ได้แร้นแค้นอะไรครับถ้าไม่ติดที่ว่ามันมีคนจ้องจะแย่งซีนผมอยู่
ว่าแต่คุยกับที่เฟยผมเผลอนึกถึงไอ้เวรนั่นไปกี่รอบแล้ววะ โมโหตัวเองฉิบเป๋ง
“ใครมันจะมาสนใจผมวะ มีแต่หัวใจกับหัวค…” ผมจงใจเว้นคำสุดท้ายมาหัวเราะ
ปลายสายก็ขำพรืดมาเหมือนกัน พี่เฟยสบถเป็นภาษาอังกฤษนิดหน่อย
ก่อนบอกลาเพราะเสียเงินค่าโทรหาผมนานเกินไป วางสายหัวผมถึงได้โล่งขึ้นมาหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับโปร่งสบาย
ความรู้สึกที่มันยังลอยฟุ้งอยู่ในอกเป็นสิ่งที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง
มันซับซ้อนเกินกว่าผมจะเข้าใจได้ว่าใส่ใจอะไรนักหนา
จะว่าไป
ไม่ได้ไปกินเหล้าพี่ตุ้ยเลยตั้งแต่สอบ วันนี้ไปสักหน่อยดีกว่าว่ะ ไอ้เรื่องไร้สาระนี่จะได้ลืม
ๆ ไปเสียที
“เมาทุกวัน!”
มัน...
ค่อนข้างประหลาดนิดหน่อยครับที่ผมจะโดนไอ้อั้มด่า ปกติผมเที่ยวเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
หมายถึงร้านพี่ตุ้ยน่ะนะแต่ก็ไม่เคยโดนด่าแบบจริงจังขนาดนี้
ตอนนี้ผมนั่งข้างสนามบาส อีกสิบนาทีการแข่งขันจะเริ่ม ทุกคนวอร์มกันพร้อมแล้วส่วนผมนั่งเอาน้ำเย็นๆราดหัวอยู่
“รู้ว่าจะแข่งยังจะไปแดก เมื่อคืนกลับกี่โมง”
“จำไม่ได้ ซีเรียสอะไรวะ กูลงเป็นตัวสำรอง”
ต่อให้เป็นตัวจริงต่อให้ไม่เมาก็แพ้ หงุดหงิดทำไมเนี่ยคนแค่แฮงค์
“กูไม่เป็นไรหรอก มึงไปแข่งเถอะ”
ยิ่งอยู่ยิ่งด่า
อั้มยีหัวตัวเองสองสามรอบแต่ก็ยอมถอนทัพ ผมเงยหน้าไปฝั่งตรงข้ามของสนาม เยี่ยม
แข่งกับเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่วันแรก
“อ้าว พี่ยู ลงกับเขาด้วยเหรอ?"
คนที่วิ่งข้ามฝั่งมาเป็นเพื่อนไอ้อินครับ
ที่เคยเจอตอนพามันไปกินข้าวหน้าหอสมุดนั่นแหละ
ผมจำชื่อมันไม่ได้แล้วแต่คุ้นๆว่าเป็นแฟนเพื่อนอินอีกที ผมแค่นยิ้มให้แต่ไม่ตอบ
มันมาชุดไปรเวท แปลว่าที่จริงไม่ใช่เด็กเศรษฐศาสตร์
“วันนี้ถาปัตย์ฟิตปะพี่ ไอ้อินมันไปซ้อมทุกวันเลยนะ ตั้งแต่สอบมิดเทอมเสร็จ
กะมาถล่มพี่เต็มที่แน่ๆ”
“กูเล่นบาสไม่เป็น” หมายถึงไม่เก่ง หรือห่วยแตกน่ะ ส่วนเรื่องกติกาก็พอรู้อยู่แล้วโดนบังคับเรียนพละตอนมัธยมกันทุกคนนั่นแหละครับ
“อ้าว งี้ก็แพ้ดิ แล้วนี่กินเหล้าย้อมใจมาเหรอ ละมุดหึ่งเลย”
“เออน่า เรื่องของกู มึงกลับทีมมึงไปได้แล้ว”
ไอ้อินมันชะเง้อคอมาเห็นพอดีผมเลยไม่อยากคุยกับไอ้เด็กนี่มาก
เดี๋ยวตามมาสำทับอีกคนแล้วอารมณ์จะขึ้น ผมไม่ได้คุยกับมันเลยครับช่วงนี้
มันส่งข้อความมาหาบ้างผมก็อ่านแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ใส่ใจจะตอบ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตามมาอาละวาด
แต่ไม่รู้ว่าเพราะซ้อมบาสจนเหนื่อยหรือเบื่อแล้วเลยเงียบไป ผมไม่อยากถาม
ไม่อยากวิ่งไล่เพราะความจริงมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น
แต่ว่า..
ผมก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกอึดอัดใจตอนนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่
อินทรียิ้มให้ผมตอนเราบังเอิญสบตากันก่อนผมจะเบือนหน้าหนีไปที่อื่น
ไม่รู้ว่ามันจะทำหน้ายังไง อาจจะเฉย ๆ แล้วก็ได้
ไมเจอกันหลายวันมันก็ไม่เดือดร้อนอะไรสักหน่อย ยังอยู่ดีมีสุขเห็นแว้บ ๆ ว่านัทเดินตามต้อย
ๆ อาจจะดีกันแล้วแหละมั้ง คนอย่างนัทใครจะทิ้งลงวะ น่ารักออกขนาดนั้น
“พี่ยู เป็นไร”
เสียงที่ทักมาจากสแตนด้านหลังดังขึ้น
พอเอี้ยวตัวกลับไปมองว่าก็เห็นคิวนั่งเลยขึ้นไปสองสามชั้น
พวกปีหนึ่งโดนเกณฑ์มาให้เชียร์รุ่นพี่กันหนาตา ไม่ได้บังคับเสียทีเดียวแต่เป็นเชิงขอร้องมากกว่า
ผมยังไม่ทันตอบคิวก็แหวกคนเดินลงมานั่งด้วย
“ลงบาสด้วยเหรอครับ?”
“โดนจับชื่อยัดเป็นตัวสำรองน่ะ แล้วนี่มาดูกับเขาด้วยเหรอ”
“เพื่อนผมมีลงแข่งด้วย ไอ้บ๊วยน่ะครับ” อ่อ
ไอ้เด็กที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มคิว ผมจำไม่ได้หรอกว่าในทีมมีใครบ้าง ช่วงที่นัดซ้อมกันก็ไม่ได้มา
กะมานั่งเป็นตัวสำรองเท่ๆอยู่แล้วเลยแปลกใจนิดหน่อย
คิวชะโงกเข้าเข้ามาทำจมูกฟุดฟิด “ผมได้กลิ่นเหล้า”
“อือ ไปกินมาเมื่อคืน”
“ท่าทางจะหนักนะครับ เมาถึงบ่ายเลย”
หนักไม่หนักไม่รู้แต่ตื่นมาแล้วอ้วกแตกครับ โชคดีหน่อยที่ผมจะอยู่ทำพรีเซนท์เตรียมส่งแอดไวเซอร์ก่อนออกร่อนงานเลยเดินไปบ้าง
ไม่เละเทะเท่าไร
“เอานมเปรี้ยวไหม เดี๋ยวคิวไปซื้อมาให้”
“ไม่เป็นไร”
“ถ้าต้องลงแข่งฉุกเฉินเดี๋ยวก็แย่เอาหรอก”
ผมมองหน้าคิว
พอเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายก็ยอม
เกมเริ่มแล้วจะเดินไปหาอะไรกินเองก็ไม่ได้เลยต้องเป็นธุระรุ่นน้อง
ไอ้อินมองมาบ่อยแต่ก็ไม่หลุดจากเกม ยังชูตได้ต่อเนื่อง
สบายๆแบบไม่ต้องลุ้นว่าใครจะแพ้
เห็นกันอยู่ชัดขนาดนี้
ลงแข่งไปก็เปลืองแรงเปล่า
“นี่ครับ”
คิวกลับมาอีกครั้งพร้อมนมเปรี้ยวเย็น
ๆ ช่วยเจาะหลอดให้ด้วย คือดีว่ะ มีคนมาดูแลแบบนี้แล้วซาบซึ้ง เอาจริงๆผมเหนื่อยนะ
เหนื่อยกับอะไรก็ไม่รู้ที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย
“คิว พี่ซบหน่อยดิ”
“อะ....อะไรครับ นี่มันที่สาธารณะนะ”
“เหนื่อย”
ผมถอนหายใจยาว
ก็ไม่เหมาะจริงๆแหละว่ะแต่ไม่ไหวแล้ว สุดท้ายเลยท้าวแขนไปด้านหลัง
พอเงยหน้าไปก็เห็นไอ้อินมองกลับมาอีกเลยเบือนสายตาออกไปที่อื่น
จู่ๆก็เสือกไปเห็นนัทจ้องมาอีกจนได้ จ้องแบบแสดงออกมาชัดเจนเลยแหละว่าไม่พอใจ
“จะยั่วโมโหแฟนเก่าเหรอครับ?”
“หึ ๆ ตลกแล้ว ไม่เห็นจำเป็นเลย”
คิวหัวเราะแห้งๆออกมา
ก่อนวางมือทับมือผมที่อยู่ด้านหลังไม่ให้ใครเห็น แก้มกับหูแดงก่ำ
ส่วนดวงตากลมกลับมองไปเรื่อย ๆ ไม่โฟกัสที่อะไร
“ถ้าเหนื่อย ผมช่วยได้เท่านี้แหละ กลัวโดนฆ่าตายเสียก่อน”
ประโยคนั้นทำให้ผมเหลือบตาไปมองคนในสนามที่เริ่มเล่นเกมแรงขึ้นทุกขณะโดยอัตโนมัติ
ยังไม่ทันได้พูดอะไรคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็หลุดออกมาจากริมฝีปากคู่สวยเสียก่อน
“พี่อินจีบพี่อยู่ใช่ไหมครับ?”
“ถ...ถามอะไรแบบนั้น ไอ้อินมันก็ไปทั่วนั่นแหละ”
“พี่อินไม่ได้ไปทั่วหรอกครับพี่ยู ที่เขาทำน่ะเพราะมีเหตุ
คนที่ไปทั่วน่ะพี่ยูต่างหาก ไม่รู้ตัวจริงๆเหรอ”
ผมจ้องหน้าคิวที่ถอนหายใจยาว
ขนตาเป็นแพหนาขึ้นเพราะกรอบตาคู่สวยหลุบลงต่ำ “พี่ยูใจดีกับทุกคนเลย
กับผมที่ทำแบบนั้นลงไป พี่ยูก็ยังไม่โกรธ แถมยังเป็นคนเข้ามาคุยกับผมก่อนอีก”
ใครบอกว่าไม่โกรธฟระ!
เพียงแค่ไม่รู้จะรื้อมันขึ้นมาทำไมต่างหาก มือที่จับผมอยู่ข้างหลังเริ่มออกแรงบีบแน่นขึ้นก่อนคลายออก
เจ้าของใบหน้าสวยหันมายิ้มให้
“ผมเคยบอกไปหรือยังครับว่าเมื่อก่อนผมน่ะชอบพี่....” คิวเงียบไปอึดใจ
พร้อมกับเสียงกรรมการเป่านกหวีด
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรหรอก ผมรู้ว่ามันสายไปแล้ว แค่อยากบอกให้พี่ยูรู้.....”
“ผมรักพี่นะ…”
.
.
.
ไอ้อั้มตะโกนให้ผมเข้าไปเปลี่ยนตัวกับบ๊วยที่โดนกระแทกจนล้ม
ขาแพลง ในเกมเรื่องกระทบกระทั่งมันมีเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ที่คนตัวใหญ่แบบบ๊วยล้มได้ไอ้ตัวประกบมันคงไม่เพลาแรงเหมือนกัน
ผมสบตากับอิน
สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจแต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับลูกบอลสีส้มลอยสู่อากาศ
เห็นแต้มตอนนี้ก็แค่ลงมาวิ่งตามกติกาเท่านั้นครับ ไม่ได้กะทำแต้มอะไรอยู่แล้ว
ส่วนคนที่ชูตเอา ชูตเอาในทีแรกมันเลิกเล่นไปแล้วแต่เปลี่ยนมาประกบผมแทน
ไอ้อั้มเลยครองลูกได้สบายๆ
“คุยอะไรกับมัน”
อินทรีถามตอนวิ่งขนาบผมไปด้วย
ผมไม่ตอบแต่ขยับตัวหนี สักพักไอ้อั้มส่งลูกมาให้ผมเลยต้องเบี่ยงตัวใช้หลังกัน อินเลยใช้จังหวะนี้คุมหลังทำทีเป็นจะแย่งบอลโดยการยื่นมือมากันทั้งสองข้างเหมือนกับโอบอยู่กลาย
ๆ
“ถามทำไมไม่ตอบ”
“ไม่เกี่ยวกับมึง”
“เป็นอะไร”
ผมประคองลูกหนี
พอเห็นจังหวะก็ส่งให้คนในทีม ลูกบาสกระดอนไปตามพื้นทุกสายตาจึงจับจ้องตามไป
เป็นโอกาสให้อินทรีฉวยจูบข้างแก้มชื้นเหงื่อของผมกลางสนามไม่ให้ใครเห็น
“ไอ้...!”
“จบเกมแล้วเคลียร์กันหน่อยนะยู”
อินทรีพูดแล้วเดินออกจากสนามไปให้กรรมการรีบเปลี่ยนตัวคนอื่นมาลงแทนแทบไม่ทัน
ผมเหลือบตาไปมองนัทก่อนจะเห็นว่าตาหวานไม่ได้กำลังจ้องมาแต่กลับเพ่งเล็งไปหารุ่นน้องในอีกฟากของสนาม
คิวมองผมอยู่แล้ว
ทันทีที่เราสบตากันผมก็รู้ว่าภาพเมื่อครู่ไม่ได้หลุดไปจากคนที่เพิ่งสารภาพรักกับผมเลย
ถึงจะดูเศร้าและเจ็บปวด แต่คิวก็ยังฝืนส่งยิ้มมาให้
ผมถอนหายใจยาว
พอดีกับลูกบาสถูกส่งกลับมาอีกครั้งเลยไม่ได้สนใจคนรอบข้างต่อ
จบเกมเศรษฐศาสตร์ชนะตามความคาดหมาย ส่วนคิวไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ไอ้อินก็ด้วยซึ่งนั่นกำลังทำให้ผมร้อนใจ
“บ๊วย เห็นคิวไหม?”
ผมเลือกที่จะถามเพื่อนมัน
ไอ้บ๊วยเลิกคิ้วก่อนถามต่อ ๆ กันไปจนได้ความว่าไปเข้าห้องน้ำ
ผมรีบวิ่งตามไปเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี อินทรีโกรธจัด
และผมก็ไม่มั่นใจสักนิดว่ามันจะปล่อยคิวไปง่าย ๆ
แต่ทันทีที่ถึงห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดผมกลับไม่เจอคิวอยู่ในนั้น
“เลิกแล้วเหรอ?”
คนที่ยืนพิงอ่างล้างหน้าสูบบุหรี่อยู่หันมาถาม
ผมชะงักก่อนกวาดตาไปรอบๆอีกครั้งเพื่อความมั่นใจแล้วถาม “คิวล่ะ”
“จะไปรู้มันเหรอ”
“บ๊วยบอกน้องมาเข้าห้องน้ำ มึงไม่ได้ทำอะไรใช่ไหม?”
“ในสายตาพี่ ผมมันเหี้ยขนาดไหนวะ”
เสียงที่ติดจะหงุดหงิดของอีกฝ่ายทำให้ผมไม่กล้าถามต่อ
อินทรีปาก้นบุหรี่ลงบนพื้นแล้วเหยียบเพื่อดับไฟก่อนย่างสามขุมมาหาผม
ดวงตาสีนิลที่ทุกครั้งที่จับจ้องราวจะดูดทุกสิ่งรอบกายเข้าไปกำลังสะกดผมให้ยืนขาแข็ง
ก่อนถูกประชิดจนมือใหญ่สามารถยื่นมาช้อนคางผมขึ้นให้อีกฝ่ายก้มลงมาจูบดุดัน
และร้อนแรงยิ่งกว่าทุกครั้ง
“อื้อ! ยะ....”
ผมไม่มีโอกาสได้พูดมาก
อินทรีสอดปลายลิ้นเข้ามาลึก
ดึงเรียวลิ้นผมกลับเข้าไปในโพรงปากมันก่อนขบกัดตามแนวริมฝีปาก
ถึงจะพยายามดิ้นและขัดขืนแต่พละกำลังที่จาบจ้วงเอาแต่ใจของอีกฝ่ายกลับทำให้ผมเพียงสะบัดตัวในอ้อมแขนมันขลุกขลักเท่านั้น
กลิ่นบุหรี่ลอยอบอวลมาจากลมหายใจ
สักพักผมก็หลับตาลงเพราะสายตาดุของพญาอินทรีจับจ้องมาไม่กะพริบ
ราวกับจะแผดเผาให้ย่อยยับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อตัวน้อย ๆ
ทันทีที่อีกฝ่ายเอาจริง เพิ่งสำเนียกตัวเองในเวลานี้ว่าถ้าทำให้อินโมโห
ผมเองที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้โดยไร้ซึ่งสิทธิ์อุทรณ์ใดๆ
“...พ....พอ..”
คำท้วงในลำคอของผมดังเป็นระลอกแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
สุดท้ายผมก็หมดกำลังจะขัดขืน
อินเป็นคนจูบเก่งและจูบของมันมักจะเว้าวอนให้ผมตอบรับเสมอๆ ในทุกครั้งอาจไม่ได้ผล
แต่กับวันนี้มันกำลังทำให้ผมยอมขยับริมฝีปากรับจูบมันช้าๆ อินทรีชะงักไปเมื่อผมดึงปลายลิ้นมันกลับมาและเอียงคออนุญาตให้มันบดเบียดแนบชิดกว่าเก่า
สักพักอีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายถอนจูบออกมา ใช้หน้าผากซบบ่าผมพลางทิ้งลมหายใจหนักๆ
“...อิน”
“อย่าเพิ่งพูด….”
เสียงของอินสั่นและผมรู้ว่ามันพูดจริงเลยได้แต่ยืนแน่นิ่ง
พยายามบังคับเสียงหัวใจตัวเองให้มันเต้นเบา ๆเพราะกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน
นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้
รู้สึกเหมือน
แค่จูบก็จะทำให้ใจผมขาดอยู่รอมร่อ...
TBC
ความคิดเห็น