ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่04 ชื่อเล่น
Dahlia 04
“อะแฮ่ม.. ได้ข่าวว่าเมื่อวันเสาร์ไปเดทกับไอ้เอิร์ธมาเหรอครับ คุณชนกันต์”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มพุงพลุ้ยวัยทำงานเอ่ยทักทันทีที่เช้าวันจันทร์เดินทางมาถึง ผมดูดกาแฟโบราณเจ้าเดิมที่แวะประจำไปค่อนถุง เลี่ยงที่จะตอบคำถามเพื่อนร่วมงานโดยไปเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานแทน ทว่านายขุนศึกก็ไม่ได้มีทีท่าจะล่าถอยง่ายๆ มันเลื่อนเก้าอี้จากโต๊ะตัวเองมานั่งคร่อมจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบ
“ยังไง ยังไง.. ถ่านไฟเก่าคุหรือยัง”
“คุพ่อมึงสิ”
ผมตอบเสียงเรียบ เริ่มมองไอ้เชี่ยขุนตาขวาง มันเลยหยิบโหลคุกกี้ของตัวเองมาให้ผมกินกับกาแฟ หลอกล่อให้อารมณ์ดีแบบที่มันชอบทำและมักจะประสบผลสำเร็จ ผมคว้าเอาคุกกี้ราคาแพงมาเคี้ยวง่ำง่ำ แต่ก็ยังคงไม่ปริปากเล่าอะไรให้อ้ายกบฎฟัง
คืนวันนั้น ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองสลบไปตอนไหน เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นตอนที่แผ่นหลังแปะไปกับเบาะที่นอน มีมือใหญ่มาปัดผมปรกหน้าให้รู้สึกรำคาญอยู่พักหนึ่งแต่เปลือกตาก็หนักอึ้งเกินที่จะเปิด อาจเป็นเพราะวันศุกร์นอนดึกมาก พอวันเสาร์จึงง่วงเป็นพิเศษ ไม่ใช่ไม่รู้นะตอนที่ริมฝีปากอุ่นๆนั่นแนบบนหน้าผาก แต่ตอนนั้นคิดแค่ว่ากูจะนอนๆ สุดท้ายก็เลยหลับโดยที่ไม่รู้ว่าแขกกลับไปตอนไหน เช้าวันอาทิตย์ตื่นขึ้นมาเพราะแสงจากผ้าม่านที่เปิดทิ้งไว้ก็พบว่าตัวเองกอดหมอนกาฟิวส์หลับอุตุอยู่บนเตียงแล้ว แถมห้องหับก็กลายเป็นระเบียบเหมือนไม่ใช่พื้นที่ของผม จานที่ดองๆเอาไว้เกือบข้ามสัปดาห์ก็ถูกล้างคว่ำอย่างดี เหมือนมีแม่บ้านส่วนตัวมาคอยดูแล
แต่โทษเหอะ รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้แม่บ้านที่ว่าน่ะมันผู้ชายชัดๆ
ผมยัดคุกกี้ผสมเม็ดมะม่วงหินมพานต์เข้าปากเป็นชั้นที่สาม ยังคงเงียบจนคนใฝ่รู้ทำท่าจิ๊จ๊ะไม่พอใจ ถูกหลอกแดกคุกกี้ฟรีแล้วแหละมึง จ้างให้กูก็ไม่พูดหรอก
“ใจคอจะให้กูฟังความจากไอ้เอิร์ธข้างเดียวเหรอวะ?”
มันว่า ผมเลยเบะปากทำท่าไม่ชอบใจ “พี่เอิร์ธเล่าอะไรให้มึงฟังบ้างล่ะ”
“ก็บอกว่ามึงกับเขาเกือบเป็นแฟนกัน ตอนมัธยม”
“ขี้โม้แล้วสัตว์”
“เฮ้ย แต่กูว่ามีเค้านะ”
“อะไรของมึง”
“ก็... ดูแก๊บของมึงกับเอิร์ธมันไม่ค่อยห่าง เหมือนน่าจะจูนกันติด “ ไอ้ขุนเอานิ้วชี้สองนิ้วมาวางคู่กันทำท่าประกอบ ผมเลยยกนิ้วกลางให้มันเป็นการตอบแทน “ไม่ต้องจิ้น ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
“แล้วเย็นนี้มึงไปไหน”
หมดคำถามไอ้ขุนผมก็แทบพุ่งพรวดเอากาแฟผสมคุกกี้พ่นออกมา ขุนศึกยักยิ้มที่มุมปากร้อง “แล่ว แล่ว แล่ว...”
“แล่วพ่อมึงสิ”
เรื่องของเรื่องคือไอ้พี่เอิร์ธครับ มันบอกผมเมื่อเช้าว่าเนคไทค์ที่ซื้อวันก่อนตกอยู่ที่รถมัน อันที่จริงผมก็สงสัยอยู่หรอกว่าไปตกได้ยังไง ตัวเองกอดถุงกระดาษใส่เสื้อกับไทค์เอาไว้ตั้งแต่ออกจากร้าน แต่พอเจ้าของรถว่างั้นผมก็ไปรื้อถุงที่ยังกองอยู่สภาพเดิมจากวันที่ซื้อข้างๆตู้เสื้อผ้าดู พบว่าเนคไทค์ไม่อยู่ที่ผมจริงๆเลยต้องรับนัดไปกินข้าวเย็นกับมันด้วยความจำใจ
จะเรียกว่าจำใจ อันที่จริงก็โหดร้ายไปหน่อย มันไม่ถึงขั้นนั้นหรอกแค่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก นึกๆดูอีกทีจะคิดว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกินข้าวกันอีกสักมื้อก็แล้วกัน ที่จริงยังไม่ได้ขอบคุณมันวันนั้นเลยด้วยซ้ำที่ทั้งซื้อเสื้อผ้า เลี้ยงข้าว แถมยังทำความสะอาดห้องให้อีก ติดก็แต่ไอ้อ้วนเพื่อนร่วมงานนี่แหละทำหน้าตาแซวเหมือนคืนนี้ผมจะเสียตัวยังไงอย่างนั้น วันนั้นผมเลยไม่พูดกับไอ้ขุนทั้งวัน ตอนเที่ยงก็ลากคอไอ้ต้นไปหาอะไรกินด้วยโดยไม่ชวนมันด้วยซ้ำ รำคาญ
ยิ่งตกเย็น เลิกงานปุ๊บ ผมก็เนียนๆทำทีไปเข้าห้องน้ำแล้วไปติ๊ดบัตรออก ไม่ให้ขุนศึกมันรู้ว่าผมแอบกลับก่อน ไม่งั้นได้ยื้อให้ผมอยู่กับมันจนพี่เอิร์ธมารับที่ออฟฟิศแน่ เรื่องเผือกๆนี่ขอให้บอก ไอ้ขุนหูตาสับปะรดเกินจะคบจริงๆถ้าคุณมีเรื่อง’ลับๆ’ไม่อยากให้ใครรู้ขึ้นมา
ไม่ใช่ไม่บริสุทธิ์ใจนะครับเรื่องของผมกับพี่เอิร์ธ เชื่อผมเถอะ แต่ร้อยทั้งร้อยมันไม่ได้น่าภูมิใจนักหรอกที่จะบอกใครต่อใครว่าช่วงนี้กูป๊อบนะครับ มีเภสัชหนุ่มหน้าตาน่ากินมาติด เพราะงั้นเลยต้องรีบๆอัปเปหิตัวเองมารอมันที่คอนโดดีกว่าจะควงพี่เอิร์ธเย้ยฟ้าท้าดินให้ไอ้ขุนเห็นเป็นไหนๆ แซวเล่นๆกับผมสองคนน่ะไม่เท่าไหร่ ผมกลัวปากไม่มีหูรูดอย่างไอ้อ้วนจะเผลอพูดไปให้คนนอกฟังมากกว่า จากเดิมแฟนไม่มี จะกลายเป็นไม่มีวันมีเสียเปล่าๆ ผู้หญิงที่ไหนอยากได้แฟนมีประวัติว่าเป็นเกย์ครับ เขาเสียวรูหลังกันหมดนั่นแหละ
ผมลงรถเมล์ที่ห่างจากคอนโดราวๆ200เมตร ที่จริงออฟฟิศผมก็อยู่ห่างจากที่พักแค่สามป้ายรถเมล์ รถไม่ติดแค่15นาทีก็ถึง แต่ถ้าวันไหนรถติดหน่อยก็ล่อเป็นชั่วโมง ไม่มีข้อยกเว้นว่าเขตปริมณฑลการจราจรจะเบาบางครับ เคยขอรถแม่ตอนเรียนจบใหม่ๆ พ่อบอกให้ลองเอาซีวิคที่บ้านมาใช้ก่อน ได้เดือนเดียวเท่านั้น เจอพิษราคาน้ำมันไปขับไปคืนแทบไม่ทัน ใช้บริการขสมก.เถอะ รถเมล์ฟรียังมี ภาษีเราเองช่วยๆกันใช้หน่อย
ผมกลับมาห้องได้สักพัก ก็ไปอาบน้ำเปลียนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองสบายๆ ไปหยิบไอติมในตู้เย็นออกมานั่งขัดสมาธิดูทีวีไปด้วย ห้องนี้มันเงียบครับ เงียบจนชินแล้ว ยิ่งเดือนก่อนยิ่งเงียบเพราะข้างห้องที่เป็นห้องปล่อยเช่าของพี่เมเพิ่งย้ายออกไป ตอนนี้เป็นห้องเปล่าๆติดกับผม ถามว่าเหงาไหมมันก็มีบ้างนะ แต่อันที่จริงผมก็ชอบชีวิตสงบๆแบบนี้อยู่ ถ้าเบื่อก็แค่กลับบ้าน ไปทะเลาะกับยัยกานต์ให้อารมณ์ดีค่อยกลับมาคอนโดใหม่
น้องสาวผมชื่อกานต์ครับ มีเรื่องกันบ่อยๆ เสียงกันต์กับกานต์มันใกล้เคียงกันเกิน เวลาโทรศัพท์มารับสายทีบางครั้งเพื่อนผมเพื่อนน้องมึนไปหมดว่าจะคุยกับใคร ผมเคยถามแม่นะว่าทำไมไม่ตั้งชื่อเล่นให้ผมกับน้อง แบบ ตอนนี้ชื่อเล่นที่ใช้เป็นชื่อจริงตัดสั้นเหมือนแม่ไม่ใส่ใจจะตั้งชื่อให้ผมยังไงไม่รู้ ตอนถามโดนด่าครับว่าปัญญาอ่อน แต่เชื่อไหมว่าคำถามปัญญาอ่อนๆเนี่ยได้มาจากไอ้พี่เอิร์ธ สุภาพบุรุษจุฑาเทพนี่แหละ
“กันต์ไม่มีชื่อเล่นเหรอ?”
มันถามผมขณะนั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งอยู่ริมสระน้ำหลังโรงเรียนมุมโปรด พี่เอิร์ธซื้อมาฝากวันละสี่ไม้กับข้าวเหนียวอีกหนึ่งแบบไม่คิดตังค์ ใจดีสุดๆ
“ก็ชื่อกันต์ไงพี่”
“เปล่า หมายถึงชื่อเล่นจริงๆ อย่างพี่ชื่ออติวิชญ์ ชื่อเล่นชื่อเอิร์ธไง”
“ไม่มีหรอกพี่ พ่อแม่เรียกกันต์ตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
“แม่ไม่รักนี่หว่า ขนาดชื่อเล่นยังไม่ตั้งเลย”
ผมมองคนถามค้อน ปากยังคาบหมูปิ้งไว้ ไอ้พี่เอิร์ธหัวเราะร่วนโอบไหล่ผมดึงเข้าหา
“เฮ้ย ล้อเล่นน่า ดูทำหน้าทำตา" พูดจบมันก็ยกมือที่โอบบ่าผมขึ้นไปหยิกจมูก “ชื่อกันต์ก็น่ารักดี"
"เออ เพราะกว่าชื่อเอิร์ธอีก โคตรโหล"
ได้ทีผมแขวะมันบ้างแล้วย่นจมูกก่อนถอยออก ไม่ยอมให้มันแกล้ง
"แต่เอิร์ธแบบนี้มีคนเดียวนะ"
"อือ"
มีมึงแค่คนเดียวผู้ชายคนอื่นบนโลกก็เป็นขี้แล้วครับ ไอ้พี่เอิร์ธไม่พูดอะไรต่อ นั่งมองผมปากยิ้ม ตาเยิ้ม
"มองอะไรนักหนา"
ชักจะหงุดหงิด จ้องอะไรอยู่ได้ คนจะกิน กลืนไม่ลงเลยไงแม่ง
"กันต์ มีคนจีบเยอะหรือเปล่า?"
"น้อยกว่าพี่"
ผมตอบเรื่องจริง ไอ้พี่เอิร์ธเนี่ยไม่รู้ว่าจะมีใครป๊อบกว่ามันแล้ว เรื่องของเรื่องคือมันเป็นคนใจดีไง คนบางคนหล่อแต่ขี้เก็ก อันนี้อย่างมากก็ให้คนอื่นกรี๊ดกร๊าด แต่พี่เอิร์ธเนี่ยอัธยาศัยดี ไม่ใช่ขี้หม้อนะ มันแค่ใจดีกับทุกคนที่มาคุยแบบไม่ถือตัว ไม่เคยเห็นมันหงุดหงิดหรือแสดงอารมณ์ในด้านลบ หน้ายิ้มตลอด ใครๆก็ชอบ เหมือนเป็นเจ้าชายหลุดมาจากดิสนีย์ นี่ถ้ามันเดินไปร้องเพลงไป ผมว่าใช่แล้วล่ะ
"อืม ดีแล้ว"
มันว่า พี่เอิร์ธยิ้มกว้างกว่าเดิม หยิบก้อนหินปาลงน้ำดังจ๋อม
แม้ดูเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าดีแล้ว แต่อันที่จริงผมทำเป็นไม่เข้าใจมากกว่า คนที่นั่งข้างๆก็คงรู้ ความสัมพันธ์ตอนนั้นของเราเหมือนคาบเกี่ยวจากวันที่ไปกินข้าวเย็นด้วยกันเป็นการส่วนตัวหลังเลิกงานกีฬาสี ความจริงผมก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมพี่เอิร์ธถึงเป็นคนเดียวที่มาเลี้ยงข้าวผม ทีมสต๊าฟว่ายน้ำก็ไม่มี นักกีฬาคนอื่นก็ไม่มีแต่ก็ไม่ได้ถาม มัวแต่ดีใจที่ได้ใกล้ชิดกับรุ่นพี่สุดป๊อบในโรงเรียนอยู่
ระหว่างมื้อนั้นเราคุยอะไรกันหลายๆอย่าง นึกเรื่องอะไรออกก็พูด อย่างเช่นเรื่องที่พี่เอิร์ธกลับบ้านต้องโดนแม่บ่นแน่ๆที่ไม่บอกตั้งแต่เช้าว่าจะกินข้าวข้างนอกเพราะแม่คงทำสำรับเตรียมไว้แล้ว ผิดกับผมที่ทางบ้านจะออกแนวเรื่องของแก ฉันทำกับข้าวไว้ให้แล้วมันหน้าที่ของฉัน แกจะกินหรือไม่กินไม่ใช่ธุระฉัน ตอนเช้าๆเลยมักอดมื้อแรกของวันไปตามระเบียบ พ่อแม่เป็นครู ส่วนลูกสาวลูกชายเป็นนักเรียน ดังนั้นเวลาออกจากบ้านทุกคนจะออกพร้อมกัน ใครสายอดกินข้าว ซึ่งมักจะเป็นผมเพราะต้องอาบน้ำต่อจากน้องสาวทำให้ช้ากว่าคนอื่นทุกที นั่นเป็นที่มาของข้าวเหนียวหมูปิ้งตอนเช้าของวันถัดมา และถัดๆมา
ผมมองผิวน้ำที่กระเพื่อมออกไปเป็นวงกว้าง กระทั่งวงกลมที่กระจายห่างนั้นหายไปเหลือไว้เพียงผืนแผ่นเรียบๆ นิ่งสงบ พี่เอิร์ธหันมายิ้มให้ และเช็ดคราบหมูปิ้งที่เลอะปากผมด้วยนิ้วของตัวเอง
"กันต์ไม่สบายหรือเปล่า?"
เสียงคนในความทรงจำผมทัก พร้อมยื่นมือข้างที่ไม่ได้จับพวงมาลัยมาแปะวางบนหน้าผาก คิ้วได้รูปของหนุ่มแว่นขมวดเข้าหากันเล็กน้อยตอนที่ผมสะบัดหัวหนีพลางรำพึงกับตัวเอง "ตัวก็ไม่ร้อนนี่"
"เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร"
"ง่วงหรือ? เมื่อคืนนอนดึกหรือเปล่า ดูลอยๆนะ"
"ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่คิดอะไรไปเรื่อย พี่เอิร์ธกินอะไร?"
"พี่เพิ่งถามกันต์ไปเมื่อกี้นะว่าอยากกินอะไร ถามจริงๆ เหนื่อยหรือเปล่า กลับไปทำอะไรกินที่ห้องกันไหม?"
ผู้ชายตัวโตถามพลางพยายามคว้ามือผมไปจับ แต่พลาดตรงที่ผมยกแขนขึ้นกอดอกเสียก่อน ที่จริงซื้ออะไรไปทำกินที่คอนโดก็ดีนะ อุปกรณ์เครื่องครัวผมมีนิดหน่อย ไม่ค่อยได้ใช้ ที่ว่าดีไม่ใช่เพราะจะเคาะสนิมเครื่องครัวหรอก แต่คิดว่าอยู่กับพี่เอิร์ธเดี๋ยวมือไม้จะอยู่ไม่สุข ทำอะไรแบบที่ผู้ชายเขาไม่ทำกันให้ผมกระดากเปล่าๆ ว่าแต่.. ใครจะเป็นคนทำวะ กับข้าวน่ะ
“ซื้อกลับไปกินไหมพี่เอิร์ธ กันต์ทำกับข้าวไม่เก่ง”
“พี่ก็ว่างั้นแหละ ปกติกันต์ซื้อของกินแถวไหน? ตลาดเย็นแถวนี้มีไหม?”
“เดี๋ยวเข้าซอยข้างหน้าก็ได้พี่เอิร์ธ ทะลุไปซอยที่มีตลาดนัดอยู่”
พี่เอิร์ธรับคำ หมุนพวงมาลัยเปลี่ยนเป้าหมายจากห้างใกล้บ้านเป็นตลาดนัด พอถึงก็จอดแคมรี่ไว้บนถนนข้างทาง ลงมาซื้อกับข้าวถุงกับขนมหวานสองสามอย่างโดยผมเป็นคนจ่าย ตอนแรกพี่เอิร์ธก็รั้น แต่เมื่อวานก็เลี้ยงข้าวไปแล้ว ถ้าวันนี้จะจ่ายอีกคราวหลังผมไม่มาด้วยจริงๆเลยยอมๆ ตอนแรกกะซื้อผลไม้เพิ่ม แต่ผมปรามไปว่าองุ่นในตู้เย็นยังไม่หมด กลัวกินไม่ทันเสียก่อน
กลับมาถึงห้องอีกทีในเวลาไม่นานมาก พี่เอิร์ธตีผมให้ไปล้างมือก่อนกินข้าว ส่วนหนุ่มแว่นก็ถือวิสาสะไปแกะกับข้าวเทใส่จาน เดินกลับมาอีกทีของกินก็วางเต็มโต๊ะ แต่พี่เอิร์ธยังรื้อแก้วในชั้นวางอยู่
“ใบเดียวก็ได้พี่เอิร์ธ รังเกียจหรือเปล่า?”
ถามไว้ก่อนครับ เผื่อคุณหมอยาแม่งจะกลัวติดโรคจากผม แต่ปกติที่บ้านผมก็เป็นแบบนี้ กินข้าวกันทีใช้แก้วร่วมกันแค่ใบเดียว ขี้เกียจล้าง พี่เอิร์ธส่ายหัวถือแก้วในมือมาวางพร้อมขวดน้ำ ผมเปิดทีวีทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น ตอนนี้เสียงมันก็ดังเป็นเพื่อนระหว่างมื้อเย็นสลับกับเสียงช้อนส้อม พี่เอิร์ธตักกับข้าวมาเผื่อผมโดยไม่ถามความเห็น แต่เอาเถอะ อะไรก็กินได้หมดและ แต่แกงเทโพนี่เผ็ดไปนิด ผมกินไปคำ ตามด้วยน้ำอีกสองอึกให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามหัวเราะขึ้นลำคอเล่นๆ
“เผ็ดเหรอ?”
“อืม กันต์กินเผ็ดไม่ค่อยได้”
“พี่ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงหยิบแกง นึกว่ากินเป็นแล้วเสียอีก”
มันพูดเหมือนจำได้ว่าเมื่อก่อนผมไม่กินเผ็ด ที่จริงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยกินหรอกครับ แต่บางทีก็อยากบ้างเลยกินได้นิดหน่อย อาศัยดื่มน้ำเยอะๆตามเอา
“ปากแดงหมดแล้ว เอาน้ำหวานไหม พี่เห็นเฮลบลูบอยในตู้ เดี๋ยวชงให้”
“ไม่เป็นไรพี่ กินไปเถอะ”
ผมปฏิเสธ พี่เอิร์ธพยักหน้ารับรู้แล้วก้มลงกินข้าวต่อ นานมากแล้วที่ผมไม่ได้กินข้าวแบบเป็นกิจลักษณะแบบนี้ อย่างอำมาตย์ก็ข้าวราดแกง อย่างจัณฑาลก็มาม่าคัฟรสหมูสับ ถ้าจะตั้งโต๊ะก็รอทีตอนกลับบ้าน ถึงบ้านจะอยู่กรุงเทพแต่เอาจริงผมก็ไม่ค่อยได้กลับหรอก เบื่อรถติด ถ้ากลับทีก็ดึกๆวันศุกร์ให้ถนนโล่งหน่อย วันอาทิตย์กินข้าวเที่ยงเสร็จก็กลับมาคอนโดแล้ว
“กันต์ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่เก็บจานล้างให้”
พี่เอิร์ธบอกรู้หน้าที่ ผมเป็นคนไม่ชอบล้างจานอยู่แล้ว สบายกูเลย ลุกไปอาบน้ำอาบท่า กลับออกมาก็เหมือนเดิม พี่เอิร์ธนั่งดูหนังอยู่หน้าทีวีไปกินองุ่นไป วันนี้ผมไม่ได้สระผมเพราะสระตั้งแต่เช้า เลยมานั่งข้างๆมันแทน
“องุ่น”
พี่เอิร์ธยื่นมาให้ผม แต่พอจะหยิบก็เสือกดึงมือกลับไป ไม่ยอมให้ “อ้าปากสิ”
“ตลก”
ผมแย่งองุ่นแดงบนตักพี่เอิร์ธมาทั้งจาน ไอ้คนรอป้อนถอนหายใจยาวแล้วส่งองุ่นที่ถือค้างไว้เข้าปากตัวเองแทน พลางรำพัน “จีบครั้งนี้ยากกว่าครั้งก่อนเยอะเลยว่ะ กันต์ไม่ตามใจพี่สักอย่าง”
“ก็แล้วใครใช้ให้ทิ้งไปตอนนั้นล่ะ”
“ขอโทษ ขอโอกาสอีกครั้งไม่ได้เหรอ?”
“เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันไม่ดีเหรอพี่เอิร์ธ โตๆแล้ว ทำอะไรคิดหน่อยเถอะ ฐานะ การงานก็มี เกรงใจพ่อแม่บ้าง”
ผมพูดตามที่คิดทั้งหมด หมดแล้วจริงๆ เหตุผลที่ผมไม่อยากให้พี่เอิร์ธมาวอแว ไม่ใช่ว่ากลัวเจ็บอีกครั้งหรืออะไรหรอก บางทีผมก็อกหักจนชินไปแล้วด้วยซ้ำ พี่เอิร์ธไม่ตอบอะไรแต่ดึงมือผมไปจับ หนังในโทรทัศน์ยังฉายต่อไปตามเรื่อง แต่ผมรู้อย่างนึงคือไม่มีใครสนใจ ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองกันทั้งคู่ หยิบองุ่นเข้าปากก็ยังรู้สึกได้ถึงแต่รสเปรี้ยวของมัน เช่นกันกับความรักที่หอมหวาน ผมไม่เคยมีแต่ใจก็นึกอยากมีสักครั้ง ดังนั้นหากมันเป็นความรักที่มืดดับตั้งแต่แรกก็ไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปพัวพัน ไม่กลัวเจ็บ ไม่ได้หมายถึง อยากจะเจ็บนี่ครับ จะให้ลองดูก็ได้ แค่ขอความเสี่ยงน้อยๆหน่อยเถอะ
“เมื่อก่อนไม่เห็นต้องคิดอะไรให้มันมาก”
พี่เอิร์ธพูดทำลายเสียงเงียบในใจ เขาสบตามองผมลึก ดวงตาอบอุ่นคู่นั้นยังทอประกายแสงแห่งความหวัง ผมเบือนหน้าหนี ไม่ใช่อารมณ์ตัดพ้อหรืออะไร แต่คนที่ทำให้ผมคิดเยอะแยะมากมายก็พี่เอิร์ธเองไม่ใช่หรือ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ลองเล่าให้กันต์ฟังหน่อยได้ไหม ว่าทำไมตอนนั้นถึงหายไป”
TBC
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น