ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : คำสัญญาที่ทำไม่ได้
เปิดเทอม 2 ของปี 5 ตรงกับเดือนพฤศจิกายน
ที่จริงแล้วมันล่วงเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาวแล้วแต่อากาศยังคงร้อนจัดอยู่ในตอนกลางวัน ส่วนหัวค่ำจะอบอ้าวและฝนค่อยไปลงเม็ดตกตอนราว ๆ ตีสองตีสาม
วันนี้ก็เหมือนกัน ผมนั่งอยู่ในร้านประจำของรุ่นพี่คนสนิท ถลกแขนเสื้อยืดที่ใส่มาพบอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อช่วงสายขึ้นหวังว่าแอร์เย็น ๆ จะกระทบผิวให้ชื่นใจบ้าง แต่ดูจากปริมาณคนแล้วท่าทางความพยายามนั้นจะไม่เป็นผล
“คนแม่งเยอะกันไปไหน”
ยังจำตอนปี 1 ได้ ร้านนี้ไม่ได้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจนน่าปวดหัวขนาดนี้ คณะสถาปัตยกรรมเพิ่มจำนวนรับนักศึกษาเข้าเรียนทุกปีเหมือนคณะอื่น ๆ เด็กรุ่นหลังมีปริมาณมากจนล้นตลาด คนเรียนจบปริญญาตรีกันถ้วนหน้าจนใครที่มีวุฒิ ม.6 กลายเป็นเรื่องแปลก นั่นเป็นสาเหตุให้ร้านรวงแถบนี้ครึกครื้น ผู้คนเบียดเสียดกันไปหมด อาจมีแค่ผมที่หงุดหงิดกับอากาศวันนี้ แต่พี่ตุ้ยแกชอบนักหนาแหละที่กิจการมอมเมารุ่นน้องรุ่งเรืองดีฉิบหาย
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ไอ้ยู สรุปมันยังไง”
ชะอุ้ย! เสียงเรียบแต่ทรงพลังของเพื่อนสนิทที่ลากคอผมมาเอ่ยแบบไม่ขำ อันที่จริงผมคิดไว้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง วันที่ไอ้อั้มนั่งเค้นถามความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอินทรีอย่างเอาเป็นเอาตาย ลางสังหรณ์ชัดเจนขึ้นเมื่อพักหลังที่ผมเข้า - ออกมหาวิทยาลัยจะมี BMW Siries 3 ตามรับตามส่งตลอด แรก ๆ อั้มก็มองแค่ด้วยสายตาเคลือบแคลง แต่วันนี้หลังจากที่ตกลงกับพีทว่าจะมาดื่มให้หายคิดถึงแล้วแล้วผมโทรบอกอินทรี เพื่อนสนิทเลยเก็บปัญหาคาอกไว้ไม่ไหวจนผมต้องเผชิญกับมันอย่างหาทางเลี่ยงไม่ได้
“ก็ไม่มีอะไร”
ผมตอบก่อนเบือนหน้าหนี ยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นดื่มแล้วส่งให้ไอ้พีทเติม น้องรหัสกำลังนั่งเมาท์กับพี่ตุ้ยเรื่องเกรดเทอมที่แล้วอย่างดุเดือด ว่าอาจารย์กดคะแนนบ้าง งานเยอะเกินไปบ้าง แต่เท่าที่ได้ยินมาคือมันเมาจนทำงานไม่ทัน โมเดลที่ทำส่งช่วงหลัง ๆ นี่กากตลอดต่างหาก
“โกหก”
“โกหกไร ไม่มีอะไร”
“เอาดี ๆ ไม่มีอะไรทำไมพักหลังกูเจอหน้ามันบ่อยขนาดนี้”
อั้มเลิกคิ้วขึ้นถาม ไอ้พีทส่งแก้วเหล้าให้ผมลวก ๆ ยกดื่มขึ้นอึกแรกเท่านั้นแทบสำลักพรวด ไม่คนให้กูเลยไอ้น้องเวร “ก็ตามประสามันนั่นแหละ มึงจะเอาอะไรกับคนอย่างมันวะ”
“เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่เล่าให้กูฟังแล้วสินะ”
“ไม่ใช่อย่างน้านนน” ผมลากเสียงยาวโคลงหัวไปด้วย ไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไง “ก็ตามที่มึงเห็นนั่นแหละ”
“คือมันจีบมึง แล้วก็ค่อนไปในทางที่คบกันแล้ว?”
ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แต่ไม่รู้จะเอาอะไรไปเถียง เรื่องจีบนั่นเรื่องจริง ไม่มีอะไรต้องปฏิเสธ แต่ค่อนไปในทางที่คบกันหรือเปล่าผมไม่รู้ กอดกัน จูบกัน แต่ที่รู้สึกกับมันแบบนี้ก็เพิ่งเด่นชัดหลังจากถูกมันหลอกเข้าบ้านให้ผู้ช่วยล้านแปดช่วยจีบคนละไม้ละมือนั่นแหละ อินมันเป็นคนน่ารัก เอาใจเก่ง บอกตรง ๆ ถ้าไม่หวั่นแม้วันมามากเอาเสียเลยผมคงต้องถูกเรียกว่าเป็นคนตายด้านได้แล้ว
“แล้วเรื่องนัทว่าไง”
“ก็ไม่ว่าไง เลิกขาด” อั้มพยักหน้า เอานิ้วคนน้ำแข็ง “ขาดกับมึงหรือขาดกับอินวะ”
“ก็...ทั้งสอง” ผมเติมคำว่า มั้ง ในใจ นัทมาโวยวายกับผมวันนั้นคงเพราะอินไม่สนใจจริง ๆ คนอย่างไอ้ห่าอินก็ขวานผ่าซากเสียขนาดนั้นไม่น่าจะแทงกั๊กเอาไว้
“มึงมั่นใจมันจังวะ”
“แล้วทำไมต้องไม่มั่นใจด้วยล่ะ” อันนี้ถามเฉย ๆ เป็นวิทยาทาน ผมกำลังโดนความสนิทสนมครอบงำ มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อั้มท้าวแขน ใช้สายตาทอดมองบรรยากาศไปเรื่อย ๆ เหมือนจะไม่พูด แต่ก็พูด “มึงจำได้ปะว่าแรก ๆ มึงบอกกูว่ามึงเกลียดมัน กูว่าไม่แปลกว่ะถ้าแฟนเก่าของแฟนใหม่ จะเกลียดแฟนใหม่ของแฟนเก่า นึกออกใช่ไหม?”
ผมพยักหน้า ด้วยเหตุผลนี้แหละที่ผมเคยพูดกับอั้มว่าต้องล้างแค้นมันให้ได้สักวัน เล็งบีเอ็มลูกรักเอาไว้ด้วย ขืนตอนนั้นกรีดรถมันไปคงเสียใจแย่เพราะที่จริงแล้วไอ้อินไม่ได้แคร์รถราคาแพงของตัวเองสักนิดเลยด้วยซ้ำ
“มันก็คงเกลียดมึงพอ ๆ กับที่มึงเกลียดมัน แต่ก็นะ ขนาดมึงยังเปลี่ยนใจได้ มันก็คงเปลี่ยนจากเกลียดมารักได้เหมือนกันนั่นแหละ” รักเลยเหรอวะ ไม่หรอกมั้ง
“แต่ถ้ามันไม่ได้รักมึง คงสะใจน่าดูที่ได้เอาคนที่เป็นชู้กับเมียมัน”
ไอ้อั้มพูดกลั้วหัวเราะในประโยคสุดท้ายเหมือนเป็นเรื่องตลกที่ผมขำไม่ออก ผมอาจจะลืม แต่ก็ไม่มั่นใจสักนิดว่าอินจะลืมเรื่องนั้นไปด้วย เหล้าในแก้วขมขึ้นมาถนัด ผมแฮปปี้กับการไม่ได้คิดอะไร แต่ไม่ได้หมายถึงทุกอย่างเรียบร้อยดี
“มึงว่ามันคิดยังไงกับกูวะ”
“ถามกูเหรอ? ขำ ๆ ล่ะมั้ง มึงมีเหี้ยอะไรดีที่มันจะมาสะดุด หน้าตาก็งั้น ๆ”
งั้น ๆ กับเตี่ยสิ เห็นแบบนี้พวกรุ่นพี่เคยหลงผิดชวนผมเป็นเดือนคณะอยู่นะครับ ‘ถาปัตย์หาปกติ ๆ ยากไง ส่วนใหญ่แม่งหัวแอฟโฟร่กันมาตั้งแต่วันรับน้อง มีผมนี่แหละไปวัดไปวาได้สุดแล้ว ถ้าไม่ติดว่าไอ้เมษ เพื่อนที่โดดรับน้องโผล่มาวันเปิดเทอมแล้วแย่งเรตติ้งไปหมดน่ะนะ
“แต่ถ้ากะฟาดมึงเล่น ๆ มันก็ลงทุนมากเลยว่ะ เป็นกูบายตั้งแต่เดือนแรก”
“เวร สรุปมึงว่ามันคิดยังไง”
“กูจะรู้มั้ย มึงอยู่กับมันทุกวัน ตามรับตามส่งเช้าเย็นมึงน่าจะรู้ดีสุดไม่ใช่เหรอ” ผมยกเหล้าขึ้นดื่ม อยู่ ๆ ก็นอยด์แดกขึ้นมา เริ่มสงสัยแล้วว่าลึก ๆ มันเป็นอย่างที่แสดงออกกับผมจริงไหม ผู้ชายรูปหล่อ พ่อรวย นิสัยกวน ๆ แต่ก็ขี้อ้อน ติดหรูแต่ถ้าให้อยู่แบบสบาย ๆ ก็ไม่เรื่องมาก นักวางแผนแต่ทำแผนแตกเสียทุกทีอย่างมัน มีแค่นั้นหรือยังมีอะไรที่ผมมองไม่เห็นอยู่อีก
“นี่มึงซีเรียสกับเรื่องมันแค่ไหนวะ”
อั้มถาม ผมตอบด้วยการไหวไหล่ ไม่รู้ว่าจริงจังมากแค่ไหน ไม่รู้เลย ตอบคำถามอะไรไม่ได้สักอย่าง ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเอง ไม่สิ ที่จริงก็เคยระแวดระวัง อยู่กับมันด้วยความหวาดระแวงมากกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมรู้ตัวอีกทีถึงได้ถลำลึกเกินจะดึงตัวกลับมาได้
“เออ แล้วรู้เรื่องเด็กเก่ามึงปะ น้องคิวน่ะ เหมือนมันจะไปคบไอ้บ๊วยเลยว่ะ”
“ก็ดีแล้วนี่” ผมตอบพลางถอนหายใจยาว เรื่องนี้คิวเป็นคนบอกผมเองเพราะบังเอิญเจอกันหน้าคณะวันก่อน ที่จริงก็ไม่มีเรื่องที่ต้องแจ้งอะไรหรอก เลิกกันไปแล้ว แค่วันนั้นผมบังเอิญเห็นรอยแดง ๆ ที่คออีกฝ่ายเลยอ้อมแอ้มบอกว่าเป็นฝีมือใคร ไอ้อั้มหัวเราะพรืดเมื่อเห็นท่าทางไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวของผมแล้วถามเสียงขึ้นจมูก
“นี่มึงไม่คิดจะหวงขึ้นมาหน่อยเหรอวะ ทีกับนัทน่ะจะเป็นจะตาย”
“มันคนละคนกันเว่ย”
“แต่ตอนนั้นมึงก็รักนัทมากเลยเนอะ ไม่คิดว่าจะตัดใจได้จริง ๆ กูล่ะคิดว่ามึงจะเป็นลูกไล่ให้เด็กมันหลอกตลอดเสียอีก”
ผมส่ายหัว ที่จริงถ้าไม่มีเรื่องของอินก็อาจจะเป็นแบบนั้น ผมแม่งรักนัทโคตร ๆ ยอมได้ทุกอย่างจนมารู้ว่าที่แท้ความรักของผมสำหรับนัทแล้วมันไร้ค่ามากถึงได้ถอนตัวออกมา พูดอีกก็เซ็งอีก แดกเหล้าดีกว่า ไอ้อินมันมีดีกว่าผมตรงไหนวะ เฮ้อ อย่าตอบเลย ผมไม่ได้อยากฟังสุนทรพจน์ว่าอินมันมีดีอะไร แค่รำพึงรำพันแด่ความรักที่จบไปก่อนวัยอันควรเท่านั้น
“มึงไม่คิดจะหาแฟนใหม่บ้างเหรอ”
“ยังอะ ไม่เจอที่ถูกใจ”
“ไม่เจอที่ถูกใจหรือมีใครในใจอยู่แล้ว” เชื่อไหมครับพอประโยคนั้นของไอ้อั้มจบลงภาพของมนุษย์อินทรีก็ผุดพรายขึ้นมาในหัวสมอง ไอ้อั้มคงจับปฏิกิริยาได้ถึงกลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มเอง ชงเอง เมาเองแม่ง ไอ้ห่าพีทลุกไปหลีสาวโต๊ะอื่นแล้ว
“เฮีย ๆ มีคนให้มาขอเบอร์ว่ะ”
ไอ้น้องรหัสที่ทิ้งผมให้นั่งกับความโดดเดี่ยวและไอ้อั้มกลับมาอีกครั้งพร้อมทำหน้าเซ็ง ๆ มันพยักเพยิดไปด้านหลัง กลุ่มนั้นผู้หญิงเกือบหมด เป็นเด็กถาปัตย์ปี 2 ตามเคยแต่คนที่เป็นผู้ชายไข่แดงในกลุ่มมาจากที่อื่นเพราะไม่คุ้นหน้า ตัวเล็กตากลม ยิ้มแบบมีเลศนัยสเป๊กผมไม่ผิดเพี้ยน
“น้องผู้ชายคนนั้นน่ะเหรอ”
“นั่นล่ะพี่ ชื่อมาร์ช เด็กนิเทศ มาจากม.อื่น ให้เหอะพี่ ผมจะเอาไปแลกกับเบอร์น้องอีกคน” ไอ้พีทยกมือไหว้ ผมหลุดหัวเราะก่อนโคลงหัวเป็นการอนุญาต น้องรหัสแทบจะโดดกอดจนผมต้องเอามือยันหน้ามันไว้ก่อน มาร์ชส่งยิ้มให้ผมหลังจากพีทกลับไปที่โต๊ะนั้นใหม่ ไอ้อั้มถึงกับขยับตัวมากระซิบกระซาบกับผมว่าท่าทางแรงน่าดู
“ไอ้อินรู้โกรธตายห่า”
“หยุดพูดถึงมันสักพักเถอะว่ะ” กูอุตส่าห์หายเซ็งเพราะได้เช็กเรตติ้งแล้ว อย่าให้กูนอยด์ต่อเลย “มีแต่มันในหัว”
อั้มหัวเราะ ช่วยชงเหล้าให้เข้ม ๆ “แล้วเดี๋ยวมันมารับหรือเปล่า”
“กูบอกให้หยุดพูดถึงมันไง”
เป็นความงี่เง่าของผมเอง ผมรู้ แต่มันห้ามไม่ให้นอยด์ไม่ได้ ผมไม่ใช่คนขี้กลัว ไม่เคยกลัวที่จะรักใครแต่กับอินทรีมันประหลาด พยายามดึงตัวเองออกมามากเท่าไร แต่กลับเหมือนดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ มากเท่านั้น
“กูหยุดพูดไปก็ไม่มีความหมาย ใจมึงไม่สงบสักหน่อย ถามจริงเถอะ เป็นอะไรวะ ตอนแรกยังดี ๆ”
ผมผ่อนลมหายใจยาว เริ่มเมาแล้วมั้ง “เซ็ง”
“ใช่เรื่องที่กูบอกว่ามันอาจจะคิดกับมึงเล่น ๆ หรือเปล่า” ผมไม่ตอบแต่ก็สะอึกอยู่ในใจ ไอ้อั้มส่ายหน้ายกยิ้มอย่างคนรู้ทันในแบบที่มันชอบทำ เติมน้ำแข็ง โซดา ใส่เหล้าให้ผมอีก
“กูว่ามึงชอบมันไปแล้วว่ะยู”
ผมยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด วางลงบนโต๊ะดังปั้ก!
“เออ กูก็ว่างั้น”
เมาสิครับ จะเอาอะไรมาเหลือ
เดินไปฉี่ให้ตรงโถแม่งยังลำบากเลย พูดตรง ๆ คุยอะไรกับไอ้อั้มต่อจากนั้นก็จำไม่ได้ เท่าที่รู้คือยกเอา ๆ ไม่มีพัก ยิ่งดึกเสียงเพลงจากร้านยิ่งเร่งเร้าให้ดื่มกันลืมตาย น้องมาร์ชอะไรนั่นมานั่งข้างผมเมื่อไรไม่รู้ เราชนแก้วกัน สักพักก็ชนแก้ม ดูดปากกันกลางร้านเรียกเสียงโห่ฮาได้ดีนัก รู้ตัวอีกทีก็ตอนถูกเด็กมันประคองมาที่ห้องน้ำตามลำพังแล้ว
“เอาแขนยันผนังไว้ครับพี่ยู เดี๋ยวมาร์ชถอดให้”
ผมพยักหน้ารับคำและทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ได้ไร้สติขนาดเยี่ยวเองไม่เป็นนะแต่ให้คนช่วยก็ดีกว่า หลังจากปล่อยของเหลวลงโถแล้วก็ยืนมองมือเล็กที่ยังจับน้องชายผมไว้อย่างนั้น มาร์ชแม่งแรงจริงอะไรจริงอย่างที่สัมผัสได้ในแวบแรกที่เห็น ผมปัดมือมันออกแล้วเก็บอาวุธลับเองหลังจากอีกฝ่ายมีทีท่าไม่อยากปล่อยง่าย ๆ ก่อนเดินนำมาล้างมือที่อ่าง
“พี่ยู กลับกันเถอะ”
“เดี๋ยวพี่กลับกับเพื่อน”
“ไปรถมาร์ชก็ได้” นิสสันมาร์ชกูไม่นั่ง ตูดระดับกูต้องบีเอ็มซีรีส์สามครับ ถุย ใช่เรื่องจะมาล้อเล่นไหม ยังไม่ทันตอบอะไรเด็กหนุ่มตัวเล็กกอดผมจากด้านหลัง เลื้อยมือมาช่วยผมฟอกสบู่ถูมือแล้วสบตาในกระจกสะท้อน ผมก้มหน้าหลบก่อนสะบัดน้ำให้แห้ง
“พี่กลับกับเพื่อนดีกว่า”
“แฟนดุเหรอครับ” อีกฝ่ายถาม ยังคงไม่ผละออกไปไหน ผมไม่ตอบ พยายามดันออกแต่เพราะเมาเต็มที่เลยได้แต่ปัดมือมันทิ้ง มาร์ชดันผมติดผนัง เจ้าของตากลมมองอย่างยั่วเย้า ปากกระจับสีแดงผุดยิ้มก่อนโถมตัวเข้าจูบ ตัวมันเล็กนิดเดียว เอวก็ด้วย แต่สะโพกกลับมีเนื้อแน่นให้บีบได้เต็มไม้เต็มมือ ไม่ได้ตั้งใจแต่อะไร ๆ มันเลื้อยไปเอง
“ไม่บอกหน่อยเหรอว่าโสด”
“จำเป็น?” ผมถามแบบไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเล่นด้วยแต่ตอนนี้มันเซ็ง ๆ ให้เอาก็เอาได้ แต่จะให้ลงแรงอะไรล่ะไม่ดีกว่า คนตัวเล็กตรงหน้ายิ้มหวาน โอบสองมือรอบคอผมแล้วบังคับให้โน้มลงจูบ เรียวลิ้นเล็กที่สอดแทรกเข้ามาเชี่ยวชาญจนน่าหมั่นไส้ ผมเองก็ไม่ยอมแพ้ จูบกลับไปจนอีกฝ่ายหอบตัวโยน แต่แทนที่จะโกรธ มาร์ชกลับชอบใจ บดเบียดร่างกายเข้าหาผมจนแนบชิดให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้น มือนุ่มไล่แตะตามร่างกายและทำท่าจะปลดเปลื้องมันเสียตรงนั้นแต่ผมยังปรามไว้
“พอก่อน”
“เข้าไปในห้องน้ำกัน”
เจ้าของรอยยิ้มยั่วดันผมกลับเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่น ผนวกกับพิษแอลกอฮอล์ที่แล่นพล่านในเส้นเลือดก็อดไม่ได้ที่จะตอบรับ หลังจากถูกรุกเร้าให้ตัณหาที่ถูกกดให้ต่ำเอาไว้ปะทุอยู่นาน ผมก็เป็นฝ่ายดันร่างเล็กให้ติดกับประตู ตระโบมจูบด้วยอารมณ์ดิบ ปลายนิ้วเรียวไล่ปลดตะขอกางเกงผมเป็นพัลวัน ก่อนสุดท้ายมันจะคลายออก มาร์ชไล่ปลายลิ้นลงจากปากมายังคาง แตะไปเรื่อยจนถึงหน้าท้องน้อย ผมก้มหน้าลง กดหัวเล็กให้เลื่อนต่ำก่อนบังคับให้อีกฝ่ายอ้าปากรับร่างกายตัวเองเข้าไป เสียงครางอย่างไม่พอใจนักของเด็กหนุ่มดังขึ้นเมื่อผมสอดพรวดเข้าไปจนสุด แทรกมือเข้าไปในเรือนผมขยุ้มบังคับให้ผงกหัวเข้าออก ความอุ่นร้อนของมัน ปลายลิ้นที่ต้อนรับอย่างรู้งาน ผมหลับตาลงพลันนึกถึงตัวเองยามเบียดร่างชิดกับอินทรี จูบมันราวกับโหยหามานานแสนนาน กล้ามเนื้อที่เรียงตัวได้รูปสวยยามสัมผัสจะเป็นยังไง แววตามันที่จ้องมองผมจริงจังและร้องขอ กลิ่นน้ำหอมผสานกับกลิ่นเหงื่อเฉพาะตัวและสีหน้ามันยามถึงจุดนั้น
“...อ....อืม.......”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เห็นภาพของอินยามปลดปล่อย อารมณ์ของผมปะทุรุนแรงขึ้นทุกขณะ หลั่งเถ้าถ่านแห่งราคะออกมาเป็นหยดน้ำ เสียงไอโขลกของมาร์ชดังก้อง คราบคาวสีขาวขุ่นเปรอะเปื้อนจากริมฝีปากไหลลงมาเปรอะมุมปาก
ผมหอบหายใจ ยกมือขึ้นนวดขมับแล้วเอนตัวพิงกำแพงในห้องน้ำเล็ก ๆ เด็กหนุ่มลุกขึ้นอีกครั้งไล้มือไปตามผิวเนื้อใต้เสื้อที่เปียกชุ่มเหงื่อของผมอย่างหลงไหล
“ไปต่อที่ห้องมาร์ชเถอะ... พี่ยูต้องการขนาดนี้....” ผมไม่ตอบแต่เบือนหน้าหนี ความรู้สึกผิดเข้ารุมเร้าแทบจะในทันที “..นะครับ”
ดวงตากลมโตมองผมหยาดเยิ้ม โผเข้ากอดจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของอีกฝ่าย ยังไม่ทันได้ตัดสินใจเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านนอก เสียงที่ทำให้ผมชาวาบตลอดหน้าและสันหลัง กลิ่นบุหรี่ลอยเข้ามาในห้องน้ำ และควันที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้ผมรู้โดยอัตโนมัติว่าตำแหน่งของผู้สูบยืนอยู่ตรงไหน
“ถ้าเสร็จแล้วก็ออกมา”
ผมผลักมาร์ชออกโดยอัตโนมัติ เปิดประตูแม้จะภาวนาไม่ให้คนเรียกเป็นมันแต่ทันทีที่เห็นหน้าคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วก็รู้สึกราวกับหัวใจหยุดเต้น อินทรีปาบุหรี่ลงพื้น มองเด็กข้างหลังผมคาดโทษ
“มึง....”
“มารับ แต่ไม่คิดว่าจะเจอของแถม”
ผมพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรมากกว่า มวลอากาศโดยรอบเหมือนเป็นโลหะหนัก ในหัวมันตีบตันเพราะหาคำแก้ตัวใดใดไม่ถูก
“เพื่อนพี่ยูเหรอครับ”
มาร์ชเอ่ยเสียงใส เกาะผมไว้แต่ซุกตัวอยู่ที่แผ่นหลัง อินทรียกยิ้มที่มุมปากก่อนกระชากผมให้แขนที่ถูกเกี่ยวไว้หลุดออกจากกัน ไม่มีแม้คำอุทานใด ๆ เสียงผมเหมือนถูกดูดหายไปในอากาศ อินทรีไม่พูดกับผมแต่ตะคอกใส่คนตัวเล็กกว่าด้วยอารมณ์ “ไอ้เชี่ยที่มึงดูดให้มันเมื่อกี๊น่ะ เมียกู ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ”
“พี่—” ผมควรจะเถียง แต่ก็เถียงไม่ออก มาร์ชครางเสียงต่ำจนอินทรีตะคอกซ้ำ “กูบอกให้ไป!”
ผมก้มหน้าลงราวกับจะทำให้ปัญหาเล็กลง ที่เมา ๆ เมื่อครู่อันตธานหายไปเป็นปลิดทิ้ง สติกลับมาทั้งหมดแต่ไม่รู้จะรวบรวมคำไหนมาอธิบาย แววตาตัดพ้อของอินบีบให้ผมหายใจไม่ออก พออีกฝ่ายเดินหนีผมเลยรีบคว้าแขนไว้
“ขอโทษ”
“หุบปาก”
“อิน....กูขอโทษ กู....”
ผมละคำว่าเมาไว้ในใจ ไม่ใช่เหตุผล ไม่ใช่เรื่องที่สมควรยอมให้เกิดขึ้น แต่ว่าผมก็ยอมเด็กมัน ลึก ๆ แล้วก็รู้ว่าตัวเองกำลังตามหาความมั่นใจที่หายไป คำพูดของอั้มทำให้ผมกลัวว่าจะเสียศูนย์ถ้าไม่รีบดึงตัวเองกลับเข้ามาไว้ อะไรอีกหลายอย่างที่ผมอยากจะลืมอินไปเสียเป็นส่วนประกอบให้ผมละเลยในสิ่งที่รับปากกับอินไว้ จะไม่ใจดีกับใคร ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วแต่ก็ยัง—
“อินทรี”
ผมเรียกชื่อมันคล้ายละเมอ และก็ไม่แปลกใจสักนิดที่ถูกเมิน มันเดินออกจากห้องน้ำไปหลังร้าน ผมเองได้แต่เกาะชายเสื้อตามมันไปไม่ห่าง เหลือบตาไปเห็นอั้มเหมือนจะทักอะไรแต่มันก็เงียบปากไว้ สุดท้ายพอถึง BMW สีดำขลับผมก็เดินไปนั่งที่ประจำโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของรถสั่ง เสียงประตูรถปิดลง เครื่องยนต์ทำงาน ทว่าเสียงเพลงที่เปิดทิ้งไว้ก็ไม่สามารถขับกล่อมให้บรรยากาศระหว่างผมกับมันดีขึ้นกว่าเดิมได้เลย
รถยนต์ขับเคลื่อนผ่านรัตติกาลไปอย่างรวดเร็ว แรงกระชากและความเร็วที่พุ่งสูงบอกผมว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายกำลังเดือดดาลแค่ไหน เป็นผม ผมก็โกรธ แต่ทำไงได้วะ ก็...ตอนนั้นมันหน้ามืดจริง ๆ ทำไปแล้วด้วย
“กูขอโทษ”
“ถ้าไม่มีคำพูดที่มันดีกว่านี้ก็ไม่ต้องพูด”
“.....ครั้งสุดท้ายแล้ว ขอโทษ กูจะไม่ทำอีก” ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพูดแบบนี้ออกไป แต่บรรยากาศโคตรน่าปวดหัวเลยว่ะ ผมเม้มปากเข้าหากัน รถเลี้ยวเข้าลานจอดรถของหอพักโดยใช้เวลาไม่นานนัก แต่ต่อให้อึดอัดแค่ไหน ผมก็ยังไม่อยากลงไปอยู่ดี
ผมไม่ชอบเลยที่เป็นอย่างนี้..
“คนอย่างยู เชื่ออะไรได้บ้างวะ”
รถจอดลงแล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่จบเพียงเท่านั้น คำพูดของมันไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ผมตั้งคำถามไว้เท่าไร ผมเชื่ออะไรมันได้ แต่กระนั้นพอฟังอินพูดกลับรู้สึกเจ็บปวดชอบกล
“หมายความว่าไง”
“รับปากแล้วก็ยังทำแบบนี้ จะให้หมายความว่าไง”
“เออ กูรู้ว่ากูผิด กูก็ขอโทษแล้วนี่!”
“มันจบง่ายแค่คำว่าขอโทษเหรอวะ ความรู้สึกผมมันไม่สำคัญอะไรกับยูเลยใช่ไหม!”
“’งั้นมึงจะเอายังไงก็ว่ามา! ต่อยกูเลยไหมไอ้สัตว์!”
อินทรีไม่ตอบแต่เดินลงจากรถปิดประตูเสียงดัง ผมเดินตามมันลงมากระชากหัวไหล่เอาไว้ “จะเอายังไง!”
“นี่ยังจะขึ้นเสียงกับผมอีกเหรอ! รู้สึกผิดจริง ๆ หรือเปล่า!”
“มันจะอะไรนักหนาวะ ก็แค่ใช้ปาก อีกอย่าง มึงก็ไม่ได้....” จริงจังกับกูตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไง
ไม่รู้ทำไมถึงคิดแบบนี้ แต่ผมก็คิด โชคดีที่ยังยั้งปากตัวเองไว้ได้ ตาคมดุสีดำขลับราวเม็ดลำไยของคู่สนทนาวาวโรจน์ มันพลิกมาจับแขนผมล็อคไว้แทน
“ไม่ได้อะไร”
“....ไม่ได้เป็นแฟนกูเสียหน่อย”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแต่ยังแข็งกระด้างกว่าปกติไว้ เหตุผลนี้ดูฟังแล้วน่าหงุดหงิดน้อยกว่าที่ผมรู้สึกจริง ๆ แต่ก็ยังคงน่าหงุดหงิดอยู่ ไอ้อินบีบข้อมือผมแน่นก่อนกระชากไปในตัวตึก ผมไม่ร้องสักแอะเพราะสัมผัสได้ถึงออร่าสีขมุกขมัวจากมัน เราอยู่กันคนละฟากของลิฟต์ แต่มือผมยังถูกกำไว้โดยรอบและไม่คลายกำลังลงแม้แต่น้อย
บอกตรง ๆ ยอมรับเลย ผมกลัวมัน
แววตาอินทรีที่ไม่สะท้อนความเจ้าเล่ห์ออกมาดูดุดัน ผมไขประตูห้องได้เท่านั้นอีกฝ่ายก็แทบถีบมันเข้าไป รองท้งรองเท้าไม่ทันได้ถอด อินก็ผลักผมเข้าห้องน้ำแล้วเปิดฝักบัวราดทั้งอย่างนั้น
“ไอ้เชี่ยอิน หยุดนะเว้ย! เล่นเหี้ยอะไร เปียก”
“ก็ถามไม่ใช่เหรอว่าจะเอายังไง ผมจะล้างออกให้หมด ไอ้คราบสกปรกที่มันทำทิ้งไว้”
“พอได้แล้ว! กูหนาว!”
ผมดิ้นจนหลุดออกจากพันธนาการ แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกอีกฝ่ายเหวี่ยงจนหลังกระแทกกำแพงดังปั้ก! แววตาของมัน น้ำเสียงของมัน ไม่อยากจะนึกว่าคนอย่างอินทรีสามารถโกรธได้มากกว่านี้อีกไหม “ยืนนิ่ง ๆ อย่าหาเรื่อง!”
“ปล่อยกู! แค่ก แค่กกก”
กำลังโวยวายนี่แหละครับ น้ำเย็น ๆ ก็สาดเข้าหน้า ผมสำลักจนลืมตายก่อนมือใหญ่จะลูบปาดหน้าขยี้ที่ปากซ้ำ ๆ ผมหลับตา โกยอากาศเข้าหายใจได้ไม่นานสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากมือก็ทาบทับลงมา ริมฝีปากเปียกแฉะและเย็นชืดจากน้ำฝักบัวของอินบดเบียดแนบแน่น ลมหายใจเป่ารดถ่ายผ่านช่องอากาศเล็กๆ ปลายลิ้นอุ่นแทรกตัวเข้ามาโกยเอาลิ้นผมตามติดไปด้วย ไม่ใช่แค่กดจูบอย่างหนักหน่วง แรงดูดดึงที่รุนแรงกว่าทุกครั้งกำลังทำผมสั่นไปทั้งตัว
อินทรีปล่อยแขนที่รั้งผมไว้แล้วแต่ใช้มือข้างเดิมบังคับปลายคางผมไม่ให้ถอยห่างไปไหน แขนข้างที่ว่างยกยันกำแพงด้านหลังไว้ ส่วนผมเองที่ดิ้นรนขัดขืนในทีแรกกลับขยำเสื้อนักศึกษาสีขาวของอีกฝ่ายเอาไว้ กลีบปากถูกกัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันผละออกแค่เฉพาะตอนที่จะขยี้ริมฝีปากผมให้แหลกละเอียดยิ่งกว่าเก่า จมูกของเราเบียดกันจนผมหายใจลำบากเต็มที กลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้งขณะที่ผมสัมผัสได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือดที่ไหลซึม
“อ...อึก....”
เวลานั้นมือหยาบไม่ได้บังคับให้ผมจูบแล้ว แต่ผมก็ยังไม่อาจผละหนีได้เลยแม้แต่น้อย ปลายนิ้วเรียวไล่แตะลงต่ำเรื่อย ๆ เค้นคลึงผิวกายผมผ่านผืนผ้าที่เปียกจนแนบเนื้อ แน่นอนที่อินจะรู้ว่าจุดไหนสัมผัสแล้วผมจะรู้สึก ผู้ชายเหมือน ๆ กันปลุกปั่นอารมณ์ได้ไม่ยากเลยสักนิด มันถอนจูบออกมาแต่ใช้ลิ้นอุ่นไล่เลียอยูตามกกหู ผมเอียงคอหนีตั้งใจจะต่อว่าแต่กลับทำได้แค่กลั้นเสียง ปลายนิ้วเค้นคลึงอยู่บริเวณยอดอก แทรกหัวเข่าเข้าหว่างขาบังคับให้แยกแล้วดันขึ้นสูง จงใจบดเบียดร่างกายตัวเองกับผมแนบแน่นราวกับกำลังจะผสานทั้งสองร่างเข้าด้วยกัน
ร้อน
ทั้ง ๆ ที่ตัวเปียกปอนด้วยกระแสน้ำเย็น แต่ผมกลับร้อนรุ่มไปหมด ผมยกมือจากที่กำเสื้อสีขาวที่ชุ่มน้ำจนเกือบจะโปร่งแสงมาประคองใบหน้าอินแล้วเป็นฝ่ายจูบมันบ้าง เป็นครั้งแรกที่ผมจูบมันก่อน ถ้าเป็นปกติอินคงดีใจ แต่ในเวลานี้ที่ความโกรธเข้าครอบงำหางตาผมเห็นเพียงมันกระตุกยิ้มที่มุมปาก ผมเป็นฝ่ายไล่เล็มริมฝีปากนั้นแม้จะยังคาวด้วยกลิ่นของเลือด ดูดดึงและแทรกตัวเข้าหาความหวานที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ภายในห้องน้ำแคบ ๆ ผมเป็นฝ่ายพลิกตัวให้มันชิดกำแพง บดเบียดหน้าขาให้มันรู้ว่าผมต้องการมันมากขนาดไหน ร่างกายไม่เคยโกหกได้ ความแข็งขืนของท่อนเนื้อที่บดเบียดกันสารภาพอีกฝ่ายว่าต่างรู้สึกไม่ได้ต่างกัน
ผมปลดกระดุมเสื้อของอินช้า ๆ ยังสาละวนกับการจูบปากของมันราวกับโหยหามาแสนนาน แต่ก่อนที่อะไรจะเกินเลยไปกว่านั้นอินทรีกลับเป็นคนรวบแขนผมขึ้นเหนือหัวและพลิกให้แผ่นหลังผมแนบกับผนังห้องน้ำใหม่
ดวงตาของมันที่มองมาเจือความรู้สึกบางอย่างที่ผมไม่อาจสัมผัสได้ อินโน้มตัวเข้ามาหา จูบที่กกหูผมก่อนกระซิบเสียงสั่น
“มีมือก็หัดช่วยตัวเองบ้าง อย่ามักง่ายให้มันมากนัก”
ผมรู้สึกเหมือนโดนตบกลางสี่แยกไฟแดงจนหน้าชา มันปล่อยมือและทำท่าจะเดินหนี แต่ผมกลับคว้าคอเสื้อมันเอาไว้ จากที่หงุดหงิดในทีแรกเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว จ้องตามันด้วยความโมโหระคนเสียใจ “พูดเหี้ยอะไร!”
“พูดตามที่คิด”
“งั้นก็ไสหัวไป ไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก!”
“ดูสภาพตัวเองเสียบ้างยู!” มันตะคอกกลับมาเสียงดังไม่แพ้กัน สายตาคมกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มหยัน “ผมกอดไม่ลงหรอกว่ะ”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ทั้งโกรธทั้งเสียใจ หัวใจที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนมันกำลังร่ำไห้ คำพูดเสียดสีจากอิน ถ้อยคำที่เจ็บแสบตามประสามันเวลาที่หงุดหงิด
น่าตลก แต่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่อินทรีพูดกับผมแบบนี้ เหมือนที่มันทำกับนัท เหมือนที่มันทำกับคิว
...เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่แท้จริงแล้วไม่ได้สำคัญอะไรเลย
“ก็ดี! กูเข้าใจแล้ว เกมโอเวอร์ มึงชนะ มึงไปซะ”
“คนอย่างยูจะไปเข้าใจอะไร” อินทรีหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้ดวงตาจองหองของมันเริ่มแดงก่ำ ผิวของอินขาวจัด เวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์จะสังเกตได้ไม่ยากเลยสักนิด ผมจ้องหน้ามันทั้งที่ไม่อยากจ้อง ไม่อยากเห็นรอยยิ้มสาแก่ใจที่หลอกให้ผมหัวปั่นจนสำเร็จ “จะไปเข้าใจอะไรถ้าต้องยืนฟังคนที่ตัวเองรักครางเสียงหลงกับคนอื่น”
น้ำหยดใสกลิ้งลงมาบนหน้าที่เปียกปอนอยู่แล้ว หยดน้ำที่ไหลลงเอื่อยจนถึงปลายคางไม่ได้เกิดจากการแรงโน้มถ่วงและการรวมตัวของของเหลวที่อยู่บนนั้น มันรินลงมาจากดวงตาคู่คมที่แดงก่ำตลอดทั้งเปลือกตา
ผมเพิ่งรู้ ว่าความเจ็บปวดที่ถูกอินพูดไม่ดีใส่มันเทียบไม่ได้แม้แต่น้อยเมื่อเห็นมันร้องไห้ “อิน...กู....”
“ผมไปละ ถ้าอยากจนจัดการตัวเองไม่ไหวก็เรียกไอ้เด็กเปรตนั่นมาก็ได้นะ...ผมคงไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไร”
อินทรีสบตากับผม เป็นแววตาตัดพ้อทีทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ “ในเมื่อมันเป็นความพอใจของยู”
ประตูปิดลงแล้ว ขณะที่ผมค่อย ๆ ไถลตัวลงนั่งบนพื้นห้องน้ำอย่างหมดแรง เสียงฝนที่ตั้งเค้าตั้งแต่หัวค่ำเทสาดซัดลงมาหนักจนได้ยินมาถึงในห้อง
ผมหลับตาลงอย่างเจ็บปวด
นี่กู...ทำบ้าอะไรลงไป
TBC
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น