ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Violet Evergarden (แปลไทย)

    ลำดับตอนที่ #9 : The Girl Soldier and Her Everything

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.31K
      97
      25 ม.ค. 65

















    /

    The Girl Soldier and Her Everything




                สมรภูมิรบราวกับผีเสื้อ โอนเอนไปมา ชีวิตของพวกเขาระหกระเหินไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

              ฉันจะเข้าไปทำลายปืนใหญ่ที่อยู่แนวหน้าของพวกเขาค่ะ

              การต่อสู้เป็นเหมือนธุรกิจ เต็มไปด้วยความจริงและคำโกหก ทั้งการต่อรอง และการหลอกหลวง สิ่งที่ได้มามีทั้งรายได้และการสูญเสีย

              ฉันจะเป็นกองหนุนให้เธอเอง แต่ไวโอเล็ต อย่าลืมล่ะ ว่าสงครามนี้ไม่ได้มีแค่เธอเท่านั้น

              ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีชีวิตรอดก็น้อยลงเท่านั้น ทหารถูกโยนเข้าไปกองเพลิงที่ลุกโชติช่วงราวกับหมากตัวหนึ่งในเกมหมากรุก

              ฉันรู้ค่ะ แต่แค่ฉันคนเดียวก็ทำได้ค่ะ ฉันคิดว่าไม่ต้องให้คนอื่นเข้ามาช่วยก็ได้

              แม้ว่าทหารจะต้องอยู่รวมกัน แต่ก็เป็นการรวมตัวกันของคนที่แตกต่างกัน

              สงครามไม่สามารถชนะได้ด้วยตัวเธอคนเดียวหรอกนะ การจะได้ชัยชนะมานั้นจะต้องได้มาจากความร่วมมือของทหารทุกนาย

              ในทหารจำนวนมากเหล่านั้น แน่นอนว่าจะต้องมีใครคนหนึ่งที่มีความผูกพันอย่างใกล้ชิดกับใครอีกคน

              ฉันเข้าใจค่ะ ในฐานะทหาร ฉันจะมอบชัยชนะนั้นให้คุณค่ะผู้พัน และฉันก็จะปกป้องคุณด้วย นี่เป็นเหตุผลที่ฉันมีชีวิตอยู่ค่ะ

              ถึงแม้ว่าจะมีสีผิวที่แตกต่างกัน แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของพวกเขาหรือทุกสิ่งที่พวกเขามีบนร่างกายของพวกเขาต่างก็มีข้อตำหนิเหมือนกัน ทุกคนต่างก็เหมือนกันมาตั้งแต่แรกทั้งนั้น ถ้าลองแยกชิ้นส่วนดูแล้ว พวกเขาต่างก็มีองค์ประกอบในเลือด เนื้อหนัง หรือกระดูกเหมือนกันทุกคน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเทียบร่างกายของชายหนุ่มที่เกิดในประเทศที่มีหิมะ กับเด็กชายทางตอนใต้ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยดิน สิ่งที่พวกเขาไม่มีเหมือนกันก็คือประเทศของพวกเขานั่นเอง

              ฉันไม่เป็นไร เธอห่วงร่างกายของตัวเองเถอะ

              การเกิดและการตายเป็นเรื่องธรรมดา และเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน

              ผู้พันคะ ฉันเป็นเครื่องมือของคุณค่ะเป็นอาวุธที่มีอยู่เพื่อปกป้องผู้ที่ใช้มัน ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้นกับฉันเลยค่ะ คุณออกคำสั่งอย่างเดียวก็พอแล้วค่ะ ได้โปรดพูดคำว่า ฆ่าให้ฉันด้วยค่ะ

              ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าสาเหตุเหล่านั้นหายไป?

              ดวงตาสีเขียวมรกตหม่นลง ท่ามกลางสนามรบที่ทุ่งหญ้ากำลังถูกแผดเผาและคลุ้งไปด้วยฝุ่น เจ้านายและลูกน้องของเขาได้สบตากันและกัน ลูกสมุนที่เจ้านายได้เก็บมาเลี้ยงนั้นเป็นความโหดร้ายที่แสนงดงาม ว่ากันว่าความภาคภูมิใจของความโหดร้ายที่แสนงดงามนั่นคือการที่เธอเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นแสนไร้เดียงสาเพียงใด จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่ดวงตาของเธอจะปิดลงและหลับไปชั่วนิรันดร์ เธอก็จะไม่มีวันรู้ถึงความรู้สึกที่ร่างกายของเธอกำลังถูกแผดเผาอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความสำนึกผิด แต่ก็ไม่มีทางทำให้เธอหลุดพ้นจากบาปนั้นได้ เธอไม่เคยเชื่อในสิ่งใด และเธอก็คงจะใช้ชีวิตต่อไปแบบนั้น

              ไวโอเล็ต

              เธอถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน

              ฆ่ามัน

     



                ในที่สุดสงครามที่แสนยาวนานที่เกี่ยวข้องกับประเทศพันธมิตรของตะวันออก ตะวันตก ตอนเหนือ และตอนใต้ที่เรียกว่าสงครามทวีปก็จบลง ความขัดแย้งด้านทรัพยากรระหว่างตอนเหนือและตอนใต้ ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างตะวันออกและตะวันตก และการก่อตั้งพันธมิตรของตอนเหนือและตะวันออก กับตอนใต้และตะวันตกที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือกันและกันก็ได้แตกพ่าย พันธมิตรตอนเหนือและตะวันออกได้พ่ายแพ้ไป และตอนใต้กับตะวันตกเป็นฝ่ายชนะ

                โดยปกติแล้ว เรื่องการค้าที่ไม่เท่าเทียมระหว่างตอนใต้และตอนเหนือก็ร้ายแรงมากอยู่แล้ว และเป็นสาเหตุที่บังคับให้ตอนเหนือต้องประกาศสงคราม จึงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม เมื่อสงครามจบลงก็ย่อมต้องมีการชดเชย เนื่องจากไม่ได้รับการอนุมัติจากประเทศอื่น ๆ ทางตอนใต้จึงขอให้ถอดถอนโรงงานทหารออกไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเพื่อชดใช้เรื่องสงคราม ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่อการผลิตและจัดเก็บอาวุธและกระสุน ส่วนประเทศทางตอนเหนือนั้นถึงจะขาดแคลนทรัพยากร แต่อุตสาหกรรมของพวกเขานั้นก็เหนือกว่าทางตอนใต้ ดังนั้นการยึดเทคโนโลยีและปลดกองกำลังทหารของพวกเขานั้นจึงถือเป็นค่าชดเชยสงคราม

                เมื่อไม่มีการลงโทษอื่น ๆ อีกก็เหมือนจะก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในตอนแรก แต่จริง ๆ แล้ว กฎเหล่านั้นมันไม่ได้มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรกและเพิ่งจะถูกกำหนดขึ้นมา

                ส่วนข้อยุติระหว่างตะวันออกและตะวันตกเป็นการสมานฉันท์แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ตะวันตกที่ซึ่งเป็นฝ่ายชนะไม่ได้ห้ามการนับถือของทางตะวันออกแต่อย่างใด และยังแนะนำการอยู่ร่วมกันอย่างสันติด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในความหมายที่แท้จริงนั้นมันไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนที่ประนีประนอมสักเท่าไหร่ เนื่องจากตะวันออกจะต้องช่วยเรื่องภาษีให้กับแต่ละคริสตจักรของตะวันตก และยิ่งไปกว่านั้น ตะวันออกยังถูกห้ามไม่ให้เข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดของตะวันออกและตะวันตก ซึ่งเป็นสมรภูมิรบครั้งสุดท้ายด้วย

                มีการแถลงการณ์หลายอย่างไปทั่วทั้งทวีป ก้อนเนื้อร้ายที่เรียกว่าสงครามทวีปนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในความขัดแย้งระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ที่วางข้อจัดต่าง ๆ ให้กันและกัน อย่างไรก็ตาม สันติภาพก็ได้กลับคืนไปยังประเทศที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เป็นการชั่วคราว

                ทหารที่ได้รับบาดเจ็บรวมถึงทหารที่ได้ปกป้องประเทศก็ถูกรวมอยู่ในการชดเชยหลังสงครามด้วยเช่นกัน และจุดประสงค์หลักก็เพื่อให้การรักษาผู้ที่บาดเจ็บในสงครามนั่นเอง

     



                ไลเดนชาฟต์ลิชเป็นหนึ่งในประเทศที่ชนะสงคราม และมีโรงพยาบาลทหารที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ไม่สูงมากนัก เนินเขานั้นมีชื่อว่าอองเชน มันเป็นที่ที่เข้าไปถึงยาก เพราะถนนทั้งเส้นนั้นสร้างขึ้นจากต้นไม้หนาทึบ ซึ่งถนนนั้นมีความแคบ ต้องใช้ความระมัดระวัง และมีฝีมือการขับรถที่ดีด้วยเพราะถนนเส้นนี้มักจะมีรถม้าและรถผ่านไปมาเสมอ โดยปกติแล้ว มันเคยเป็นสถานที่ที่ใช้พักผ่อนหย่อนใจของเหล่าทหาร แต่ในตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลไปแล้วอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีโรงพยาบาลที่ขาดแคลน ซึ่งมีสาเหตุมาจากสงคราม และทหารที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากจึงทำให้มีเตียงสำหรับผู้ป่วยไม่เพียงพอนั่นเอง

                เมื่อเดินไปตามถนน ก็จะสังเกตได้ว่ามีพวกสัตว์ตัวเล็ก ๆ อยู่มากมาย เช่น กระรอก และกระต่าย ถึงแม้ว่าจะมองจากโรงพยาบาลก็ยังเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ได้ถึงสามตัวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็ยังคงความหรูหราและสวนหย่อมที่กว้างขวางของสถานที่ไว้ได้อยู่  มันเป็นที่ที่ช่างเหมาะกับการออกมาข้างนอกและเล่นบอลกลางแจ้งซะเหลือเกิน และใคร ๆ ก็สามารถที่จะเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นอย่างสงบสุขในป่าได้ แม้แต่ในส่วนที่ไม่มีคนก็ยังมีแสงอาทิตย์ที่แสนสดใส และเนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของทหารที่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น ตอนนี้ทางโรงพยาบาลจึงสามารถขอรถม้าเพื่อนำมาใช้ร่วมกันได้แล้ว  และพวกเด็ก ๆ ที่เหล่าครอบครัวของทหารได้พามาด้วยก็เล่นด้วยกันถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม

                ท่ามกลางคนที่กำลังลงมาจากรถม้าของตัวเองนั้นมีชายคนหนึ่งที่มีหน้าตาชวนสะดุดตายิ่งนัก เขาสวมเสื้อกั๊กลายสก็อตทูโทนสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาว และกางเกงขายาวที่ทำจากผ้าสีบอร์กโดซ์* และตกแต่งด้วยเข็มขัดหนังซูเอ็ด* ผ้าลายสก็อตของเขานั้นส่งเสียงกรอบแกรบเล็กน้อยเพราะเข็มขัดของเขา เขาเป็นชายที่มีเสน่ห์ ผมสีแดงเข้มของเขาถูกมัดไว้อยู่ด้านหลัง บางทีอาจเป็นเพราะเขามีคนรู้จักอยู่มากมายในโรงพยาบาล ไม่เพียงแต่พยาบาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนไข้ในโรงพยาบาลและครอบครัวของพวกเขาด้วย ทุกคนจึงเข้ามาทักทายเขา และเขาก็ทักทายคนเหล่านั้นกลับด้วยความยินดี ถึงแม้ว่าจะหยุดทักทายใครหลายคน แต่ท่าทางการเดินของเขาก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยน

                เขาเดินขึ้นบันไดและเดินผ่านทางเดิน ทิวทัศน์ที่มองออกไปนอกหน้าต่างบนเนินเขาอองเชนนั้นเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด เหนือจากป่าภูเขาไปนั้นก็คือเมืองไลเดน ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญ นกนางนวลบินอยู่บนท้องฟ้าและเริ่มบินห่างออกไปเรื่อย ๆ ฤดูกาลในตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน ลมจากภูเขาพัดกลิ่นดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งและลอยละล่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง

                ห้องที่ชายคนนั้นเข้ามาหลังจากเคาะประตูเรียบร้อยนั้นเป็นห้องรวมผู้ป่วย แต่ทหารหญิงและทหารชายถูกแยกกันอย่างชัดเจน ผู้ป่วยบางคนก็ถูกแยกด้วยผ้าม่านกั้นไว้และทำให้มองไม่เห็น และทุกคนที่อยู่หลังม่านนั่นก็เป็นผู้หญิง

                คุณฮอดกินส์คะ เธอเพิ่งตื่นค่ะแต่จริง ๆ แล้ว เธอกำลังเซ้าซี้ฉันอยู่น่ะค่ะ

                ฮอดกินส์รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินพยาบาลพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ไม่มีทางน่า พูดจริงเหรอ?เสียงของเขาดังสะท้อนก้องไปทั่วโรงบาล และแสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจ ความสุข และความไม่สบายใจเล็กน้อย

                เขามองไปรอบห้องด้วยความประหม่า และคนที่เขาถามถึงก็นอนอยู่ตรงนั้น บนเตียงที่ทำจากท่อสีขาวที่ขึ้นสนิม เขาจ้องไปที่มือของเธอ ดวงตาสีฟ้ามองแขนเทียมที่ติดอยู่กับไหล่ของเธอด้วยความพิศวง ผมของเธอยาวขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ แต่ก็ยังคงนุ่มสลวยและเป็นสีทองราวกับจมูกข้าว เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากเสียจนเพียงแค่มองก็สามารถทำให้ใครสักคนหยุดหายใจได้เลย

                เมื่อเธอสังเกตเห็นฮอดกินส์ ผู้ที่พยายามจะชวนเธอคุย เธอก็เอ่ยออกมาก่อน ผู้พันผู้พันกิลเบิร์ตอยู่ที่ไหนคะ? ริมฝีปากของเธอแตกระแหกและมีเลือดประปราย

                ไวโอเล็ตตัวน้อยก่อนหน้านี้เธอกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรามาสักพักหนึ่งเลยล่ะ

                ผู้หญิงคนนี้เป็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ เธอเป็นพลังขับเคลื่อนของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช และต่อสู้อยู่ในมุมมืดโดยที่ไม่ได้รับการลงทะเบียนเป็นทหารเหมือนคนอื่น ๆ – เป็นเพียงแค่อาวุธที่มีแค่ผู้ชายคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้เธอได้ เธอคือไวโอเล็ต

                เธอจำฉันได้ไหม? ฉันฮอดกินส์เอง ฉันเป็นผู้บัญชาการของหน่วยต่าง ๆ ของไลเดนชาฟต์ลิชตอนที่อยู่อินเทนซ์ คืนก่อนศึกครั้งสุดท้ายไง เราได้ทักทายกันด้วยนะ จำได้ไหม? เธอไม่ยอมตื่นเลย เพราะงั้นฉันก็เลยกังวลน่ะสิ

                อย่างไรก็ตาม สำหรับฮอดกินส์นั้น เรื่องที่เธอเป็นคนที่เพื่อนสนิทของเขาเลี้ยงมานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก และเมื่อเขาได้ยินผู้ป่วยคนอื่น ๆ เริ่มกระซิบกระซาบกัน เขาจึงปิดม่านกั้นและนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ ๆ

                ไวโอเล็ตมองผ่านช่องว่างระหว่างมาก ราวกับว่าเธอหวังว่าจะมีใครเดินเข้ามาจากตรงนั้น แล้วผู้พันล่ะคะ?

                เขาไม่อยู่ที่นี่หรอก เขาค่อนข้างยุ่งเพราะเรื่องชัยชนะหลังสงครามน่ะ เขาเลยมาที่นี่ไม่ได้

                ถ้าอย่างนั้นถ้าอย่างนั้นเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมคะ?!”

                ใช่แล้ว

                แล้วอาการบาดเจ็บของเขาล่ะคะ? เขาเป็นยังไงบ้าง?เขาผงะเมื่อเห็นความก้าวร้าวที่รุนแรงของเธอ ฮอดกินส์จึงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเธอยังไงดี ถ้าเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บล่ะก็ เขาดีกว่าเธอเยอะเลย เธอควรจะกังวลเรื่องของตัวเองมากกว่านะ

                สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันไม่สำคัญหร…” ในเสี้ยววินาทีนั้น ไวโอเล็ตมองเข้ามาในตาของฮอดกินส์ราวกับกำลังสงสัยบางอย่าง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือคะ?สายตาของเธอเย็นเฉียบ และอาจเป็นเพราะว่าเธอสวยมาก มันจึงทำให้ภาพลักษณ์ของเธอดูเย็นเยียบมากขึ้นไปอีก

                แต่ฮอดกินส์กลับจ้องเธอกลับอย่างไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ ตรงกันข้าม เขายังยิ้มออกมาด้วยความร่าเริงด้วย อย่ากังวลไปเลย ไวโอเล็ตตัวน้อย ฉันมาเยี่ยมเธอก็เพราะว่าเขาขอมาน่ะสิเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และราวกับสร้างบรรยากาศที่ดูอบอุ่นขึ้นมาในทันที

                นั่นเป็นความสามารถพิเศษของฮอดกินส์เลยล่ะ มันเป็นความสามารถที่เขาทำได้ตั้งแต่การยอผู้บังคับบัญชาของเขาไปจนถึงการโอ้โลมขอเข้าไปในห้องของหญิงสาว กระบวนการอาจจะต่างกันเล็กน้อย แต่ก็เกิดจากเทคนิคเดียวกันทั้งนั้น

                ผู้พันขอหรือคะ?

                อย่างแรกที่เขาต้องทำ ก็คือทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเขามาอย่างเป็นมิตร

                ช่าย เราเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนที่โรงเรียนทหารเลยล่ะ เรามักจะช่วยเหลือกันเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราอาจจะสนิทกันมากกว่าครอบครัวของเราเสียอีก เพราะแบบนั้นฉันถึงได้รับการไว้วางใจให้มาเยี่ยมเธอยังไงล่ะ กิลเบิร์ตน่ะกังวลเรื่องเธอมากนะ ฉันเป็นพยานได้เลยล่ะ แต่เธอคงจะลืมฉันไปแล้วสินะ…”

                เปล่าค่ะผู้พันฮอดกินส์ ฉันจำได้ค่ะ ครั้งนั้นเป็นครั้งที่สองที่เราเจอกัน

                หืม เธอจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ด้วยเหรอ? แต่เธอไม่ได้พูดถึงมันเลยนะในคืนวันนั้นน่ะ

                ฮอดกินส์เคยพูดกับไวโอเล็ตในครั้งที่สองที่พวกเขาเจอกันว่า ก็นะ นี่ไม่ใช่ครั้งที่เธอเจอฉันหรอกนะ แต่เธอคงจำฉันไม่ได้หรอกใช่ไหม? เรียกฉันว่า ‘ผู้พันฮอดกินส์สิแต่ไวโอเล็ตก็ไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงแค่ให้ความเคารพเขาเท่านั้น

                ฉันนึกว่าฉันไม่จำเป็นต้องตอบน่ะค่ะ

                เธอจำตอนที่เรากันที่สนามฝึกซ้อมได้จริง ๆ เหรอ?

                ตอนนั้นฉันยังไม่รู้คำศัพท์ค่ะ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าคุณพูดอะไรกับฉัน แต่ผู้พันฮอดกินส์ก็ดูสนิทสนมกับผู้พันผู้พันกิลเบิร์ตดีค่ะ

                ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเธอเป็นคนที่ไม่สนใจสิ่งรอบตัว แต่เมื่อเขารู้ความจริงแล้วมันจึงทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าที่จะประหลาดใจ บรรยากาศตึงเครียดระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ไวโอเล็ตรู้สึกประหม่าฮอดกินส์ ในขณะที่ฮอดกินส์เองก็รู้สึกประหม่าไวโอเล็ตเหมือนกัน

                ถ้าอย่างนั้นเขาก็สบายดีใช่ไหมคะ?ไวโอเล็ตหลับตาและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

                ที่พยาบาลบอกว่าเธอกำลัง เซ้าซี้ นั่นอาจจะหมายถึงเรื่องที่เธอถามแต่เรื่องของกิลเบิร์ตกระมัง

                หน่วยของเธอประสบความสำเร็จอย่างมากเลยล่ะ แต่ก็สูญเสียทหารไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็นะก็คงจะเป็นเหมือนกันทุกหน่วยแหละ แล้วก็เป็นไปตามแผน เธอก่อความวุ่นวายได้สำเร็จ และก็ทำให้พวกทางเหนือหยุดชะงักไปเลยล่ะ พวกเราจึงล้มพวกมันได้

                หมอบอกฉันว่าเราชนะสงคราม แต่ฉันจำช่วงสุดท้ายของสงครามไม่ได้เลยค่ะ

                เธอนอนอยู่บนตัวของกิลเบิร์ตน่ะ และพวกเธอสองคนก็หมดสติไปทั้งคู่ แต่กำลังเสริมก็เข้าไปช่วยพวกเธอได้ทัน ตอนนั้นพวกเธอสองคนก็ใกล้ตายแล้ว แต่สุดท้ายก็รอดทั้งคู่ เธอเสียเลือดไปเยอะมากเลยล่ะ

                ––เพราะว่าระดับความอดทนของเธอสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปน่ะสิ ประโยคนั้นพุ่งขึ้นมาในลำคอของเขา แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยมันออกไป

                ตอนนี้…ผู้พันกำลังทำภารกิจอะไรอยู่คะ? ฉันจะได้ไปช่วยเขาตอนไหน? ร่างกายของฉันขยับไม่ได้เลยค่ะ แต่มันคงจะหายดีในอีกไม่กี่วัน ผู้พันเองก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกันค่ะ ตาของเขา…” เสียงของไวโอเล็ตค่อย ๆ แผ่วลง ฉันปกป้องเขาไม่ได้ค่ะ แต่อย่างน้อยฉันก็น่าจะอยู่เคียงข้างเขาเพื่อทำหน้าที่แทนตาของเขา

                ––มันไม่ใช่สิ่งที่ดีนักหรอกกับการที่จะเชื่อในบางสิ่งมากเกินไปน่ะ

                ตั้งแต่แรก หญิงสาวดูไม่ได้เสียใจกับการที่เธอสูญเสียแขนไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นกังวลเรื่องของผู้ชายอีกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้ ฮอดกินส์อดคิดไม่ดีกับความจงรักภักดีที่หน้ามืดตามัวของเธอไม่ได้เลย

                ––ความเชื่อใจกับความเลื่อมใสนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

                และไวโอเล็ตก็ดูเข้าข่ายกับความเลื่อมใสมากกว่า แต่สำหรับฮอดกินส์นั้น เขามักจะคิดเรื่องกำไรและขาดทุนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อสิ่งของหรือเรื่องคนรักก็ตาม และการประเมินค่าสูงเกินไปก็ไม่ดีนัก ยิ่งถ้าเกิดกรณีอย่างเช่นการทรยศหรือหายตัวไปก็จะทำให้เขาทนไม่ได้เสียเอง  ถ้าเป็นเรื่องเข้าสังคมเขาจะเป็นคนที่ร่าเริงเป็นอย่างมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลเมื่อไหร่ เขาจะกลายเป็นคนที่ดูสุขุมเย็นชาในทันที

                นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกนะไวโอเล็ตตัวน้อย เธอควรจะกังวลเรื่องร่ายกายของตัวเองมากกว่านะ แขนของเธอเธอคงจะเห็นมันแล้วสินะ แต่เราคงทำอะไรกับมันไม่ได้แล้วล่ะ ฉันอยากให้พวกเขาใส่แขนเทียมที่ดูบอบบางกว่านี้ให้เธอ แต่เพราะที่นี่เป็นโรงพยาบาลทหาร พวกเขาก็เลยหาได้แต่แบบที่เหมาะกับการต่อสู้น่ะ ฉันขอโทษด้วยนะ

                ก็ดีแล้วนี่คะที่มันแข็งแรง คุณจะขอโทษทำไมคะผู้พันฮอดกินส์?

                เมื่อถูกถามแบบนั้น ฮอดกินส์ก็ยักไหล่ และไม่รู้จะตอบเธอว่ายังไงดี ฉันก็สงสัยเหมือนกัน หางคิ้วของเขาตกลงราวกับว่าเขากำลังมีปัญหา

                และเพราะแบบนั้น บทสนทนาระหว่างพวกเขาก็หยุดลงและมีแต่ความเงียบ บางทีอาจจะเป็นเพราะในโรงพยาบาลเองก็เงียบอยู่แล้วด้วย มันจึงทำให้ความเงียบนั้นเงีบบสงัดเสียยิ่งกว่าเดิม

                ไวโอเล็ตตัวน้อย เธออยากกินอะไรไหม?

                เงียบเสียจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังกำลังขยับ

                ไม่ค่ะ ผู้พันฮอดกินส์

                เสียงกระซิบของพยาบาลและคนไข้

                เธออยากได้น้ำสักแก้วไหม?

                เสียงลมหายใจของพวกเขา

                ไม่ต้องหรอกค่ะ

                เสียงทั้งหมดนั้นกลับดังก้องอย่างชัดเจนท่ามกลางความเงียบงันนั่น

                ภาพที่ไวโอเล็ตปัดกระสุนทั้งหมดด้วยขวานที่ชื่อว่าเวทมนตร์ของเธอเล่นอยู่ในหัวของฮอดกินส์ และเมื่อภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา บทสนทนาก็เงียบลงอีกครั้ง

                ––แย่ล่ะสิ ผู้ชายอย่างเขากลับมีปัญหาที่จะพูดคุยกับผู้หญิงซะงั้น

                ฮอดกินส์ส่งเสียงครวญครางในใจเมื่อคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงให้นักรบสาวแห่งไลเดนชาฟต์ลิชคนนี้พอใจได้ และคนเดียวที่จะทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นได้ก็คงมีแค่กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียคนเดียวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่ใช่ว่าที่เธอยอมอุทิศร่างกายของตนให้แก่เจ้านายของเธอมากเสียจนถึงจุดที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วถามถึงเขาเป็นสิ่งแรก และพอไม่ได้พูดถึงเขาก็ทำให้เธออ้างว้างถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

                ––คือเขาหมายถึงเธอคิดว่าตัวเธอกำลังรู้สึกเหงาหรือเปล่า? เพราะเธอดูหมุกมุ่นกับเขามากไปจริง ๆ นะ

                มันช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ คนที่ดูราวกับศิลปะสักชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความประณีตนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ เธอมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วกันแน่นะ? เพราะถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ อะไรกันล่ะที่จะทำให้เธอรู้สึกสนุกกับชีวิตของเธอน่ะ?

                ––อ่ากิลเบิร์ต ให้ตาย นายขอเรื่องที่เกินความสามารถฉันไปหน่อยน่ะเนี่ย

                มันเป็นเรื่องยากที่จะแยกคนออกเป็นแค่สองประเภทเท่านั้น แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่แยกได้ก็คือ คนที่ทนต่อความเงียบได้กับคนที่ทนไม่ได้ ซึ่งฮอดกินส์เป็นแบบอย่างหลังมากกว่า เขาก้มลงมองเท้าของเขาในขณะที่กระดิกมันไปด้วย และจากนั้นดวงตาที่มีหางตาตกและมีสีฟ้าขุ่นนั่นก็เห็นอะไรบางอย่าง เขาลืมมันไปเสียสนิท และนึกขึ้นได้ว่าสิ่งนี้แหละที่จะทำให้เขาหลุดออกจากภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่เสียที

                ใช่แล้ว ฉันเอาของขวัญมาเยี่ยมเธอด้วยนะ! ฉันเอามันมาไม่ได้สักทีเพราะว่าพวกมันจะไปขัดขวางการทำงานพวกพยาบาลเข้าน่ะสิ แต่ปกติฉันก็เอาของมาเยี่ยมเธอมาตลอดแหละนะฮอดกินส์หยิบถุงกระดาษออกมาจากใต้เตียง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไวโอเล็ตและดึงตุ๊กตาแมวดำตัวหนึ่งออกมาจากถุงนั้น

                ไวโอเล็ตตอบสนองต่อสิ่งนั้นเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น

                จากนั้นเขาก็เอาตุ๊กตาลูกแมวลายเสือและสุนัขออกมา ก่อนจะรวบทั้งสามตัวไว้ด้วยกันและพยายามให้พวกมันโค้งคำนับพร้อมกับพูดว่า สวัสดีครับผม!”

                แต่ท่าทางของเธอก็ยังเฉยชาเหมือนเช่นเคย

                มัน…ไม่ดีเหรอ?

                มันคืออะไรคะ?

                สำหรับเธอมันเป็นของขวัญที่ไม่ดีเหรอ?

                ดวงตาคู่โตของไวโอเล็ตกะพริบ ขนตาสีทองของเธอก็กระพือด้วยเช่นกัน สำหรับฉันหรือคะ?เธอดูสงสัยมากจริง ๆ ทำไมถึงให้ฉันล่ะคะ?ไวโอเล็ตถามอีกครั้ง

                เพราะว่าเธอบาดเจ็บและก็ต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะสิ การได้รับของขวัญมันก็เป็นเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว อ่า แต่เธอคงไม่เคยเข้าโรงพยาบาลมาก่อนสินะ ของขวัญพวกนี้น่ะก็เป็นตัวแทนความรู้สึกของฉันยังไงล่ะเช่น หายไว ๆ นะอะไรแบบนี้ แล้วข้าวของของเธอก็หายไปหมดในช่วงสงคราม ตอนนี้เธอไม่มีอะไรติดตัวเลย เพราะงั้น ฉันก็เลยเอามาให้เพื่อที่เธอจะไม่เหงายังไงล่ะ…” และในวินาทีนั้น ฮอดกินส์ก็สะดุ้งจนตัวโยน

                และมันเป็นเพราะว่าไวโอเล็ตหลุดเสียงที่ราวกับกำลังจะกรีดร้องออกมา

                ธะ เธอเป็นอะไรหรือเปล่าไวโอเล็ตตัวน้อย?

                เข็มกลัด…”

                ไวโอเล็ต?

                เข็มกลัดของฉันเข็มกลัดมรกตของฉันเข็มกลัดที่ผู้พันมอบมันให้ฉัน ถ้ามันหายไป ฉันจะต้องออกไปตามหามันค่ะ มันเป็นเข็มกลัดที่ผู้พันให้ฉัน…!” ไวโอเล็ตขยับคอของเธอเพื่อที่พยายามจะลุกขึ้นยืน

                ฮอดกินส์เข้าไปห้ามเธอไว้ทันที แต่ถึงเขาจะไม่ห้าม ยังไงไวโอเล็ตก็ลุกขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว

                ทำไมล่ะ? ทำไม?

                ไม่มีทางที่คนที่นอนโคม่าเป็นเดือนและแขนถูกแทนที่ด้วยแขนเทียมแบบนี้จะเดินได้ในทันที แขนเทียมของเธอส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อยเมื่อเธอขยับ

                เขาจับไหล่ของเธอไว้เมื่อเห็นเธอทำท่าจะฟุบลงไป ถ้ามองจากด้านข้างแล้ว ราวกับเขากำลังตรึงร่างของเธอไว้ด้วยความรุนแรงเลยล่ะ

                ––หยวนให้เขาหน่อยเถอะ

                ความเป็นสุภาพบุรุษในตัวฮอดกินส์นั้นร้องเตือนขึ้นมาทันทีเพราะเขากำลังกดร่างของทหารหญิงที่เพื่อนสนิทที่สุดของเขาไว้ใจให้เขาดูแล และยังเป็นผู้หญิงที่เสียแขนไปอีกด้วย

                ถ้าเป็นมรกตก็ไม่เป็นไรใช่ไหม? เดี๋ยวฉันจะซื้อชิ้นใหม่ให้เอง โอเคไหม?

                ไวโอเล็ตส่ายหัวเบา ๆ มันแทนกันไม่ได้ค่ะ เธอหลับตาลงราวกับพยายามข่มอารมณ์ไว้อยู่

                ฮอดกินส์สรุปได้ในทันทีว่าของชิ้นไหนคงจะเป็นของที่สำคัญมาก ฉันเข้าใจ ฉันจะพยายามเอามาคืนให้ได้ละกัน วางใจฉันได้เลย ไวโอเล็ตตัวน้อยเขาพูดแบบนั้นออกไปโดยไม่คิดที่จะคิดซ้ำสองเลยด้วยซ้ำ

                คุณทำได้หรือคะ? อาการต่อต้านของไวโอเล็ตหยุดลงทันที

                ฮอดกินส์ยิ้มอย่างมั่นใจและพยักหน้า อาจจะ ฉันคิดว่ามันคงจะอยู่ในตลาดมืดนั่นแหละนะ ฉันจะพยายามติดต่อคนขายที่ฉันพอจะรู้จักให้แล้วกัน เพราะงั้นอย่าคิดจะออกไปไหนด้วยสภาพแบบนั้นเลยนะ จนกว่าจะได้เข็มกลัดนั่นมา เธอช่วยทนเล่นของพวกนี้ไปก่อนได้ไหม? อ่า แน่นอนล่ะนะว่าตุ๊กตากับเข็มกลัดมันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย แต่เธอไม่คิดว่าพวกมันน่ารักหรอ? เมื่อก่อนน่ะฉันก็เคยมีของแบบนี้ด้วยนะ ไวโอเล็ตตัวน้อย เธอชอบกระต่ายหรือหมีมากกว่ากันล่ะ?

                ฉันไม่รู้ค่ะ

                แล้วสามตัวนี้ตัวไหนน่ารักที่สุด? ถ้ายังไงเธอก็ต้องเลือก ไหนเธอบอกฉันมาสิว่าเธออยากได้ตัวไหน

                เธอคงจะไม่เคยโดนถามแบบนั้นมาก่อนแน่ ไวโอเล็ตกวาดตามองดูตุ๊กตาเหล่านั้นจากขวาไปซ้าย

                คิดซะว่าถ้าเธอไม่เลือกโลกอาจจะแตกได้เลยนะโอเคไหม? สาม สอง หนึ่ง! เลือก!”

                ไม่มีทางหรอกค่ะ…แต่ว่าคงจะสุนัขกระมังคะ?

                มิกกี้ใช่ไหม?! อ่า มิกกี้เป็นชื่อที่ฉันตั้งให้มันน่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะวางเขาไว้ข้าง ๆ เธอแล้วกัน ดีใจไหมมิกกี้? นายเป็นผู้ถูกเลือกล่ะ ฮอดกินส์วางตุ๊กตาสุนัขที่เขาตั้งชื่อมันว่ามิกกี้วางลงข้าง ๆ ใบหน้าของไวโอเล็ต เขายกมือขึ้นมานวดหน้าอกด้วยความโล่งอกที่เห็นเธอสงบลงได้สักที เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามหลังของเขา

                ในตอนแรกดูเหมือนไวโอเล็ตจะไม่ได้สนใจมัน แต่สุดท้ายก็เธอก็ถูไถใบหน้าของเธอกับตุ๊กตาตัวนั้น

                หลังจากมองเธออยู่สักพัก ฮอดกินส์ก็เอ่ยออกมา ไวโอเล็ตตัวน้อย ดูเหมือนห้องนี้คนจะเยอะไปหน่อยนะ ถ้าห้องเดี่ยวว่างเมื่อไหร่ ฉันควรจะย้ายเธอไปดีไหม? พิธีการรับเหรียญก็เสร็จไปตั้งแต่หลายเดือนที่แล้วแล้วด้วย ตอนแรกคนในโรงพยาบาลก็แออัดเหมือนกัน ก็เลยทำให้มีเตียงไม่มากพอ แต่ตอนนี้จำนวนคนก็น้อยลงแล้วเพราะว่าทหารที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลกันหมดเพราะงั้น ฉันคิดว่าห้องเดี่ยวก็น่าจะว่างแล้วล่ะนะ ถ้าเธอได้อยู่ห้องเดี่ยวเมื่อไหร่ เธอก็จะได้มีตุ๊กตามากขึ้นไง…”

                ตุ๊กตาพวกนั้นเป็นของหายากสำหรับเธองั้นเหรอ? บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกอ่อนเพลียก็ได้ ไวโอเล็ตหลับตาและถูจมูกของเธอไปมากับท้องของมัน เพราะว่าเธอเพิ่งจะตื่นขึ้นมา เธอจึงยังขยับแขนเทียมของเธอไม่ได้และแตะมันด้วยหัวของเธอแค่นั้น แต่เพราะเธอถูจมูกมากไปมันจึงกระเถิบห่างจากหัวเธอเล็กน้อย เธอจึงเอี้ยวคอของเธอและใช้แก้มของเธอถูมันอีกครั้ง

                แล้วก็…” เมื่อเห็นเธอทำแบบนั้น ฮอดกินส์จึงลืมเรื่องที่เขาจะพูดไปจนหมด เอ่อ…”

                ท่าทางของเธอดูเป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ

                มันสนุกใช่ไหมล่ะที่ได้เล่นกับพวกมันน่ะ?

                ฉันไม่เข้าใจคำว่า สนุก ค่ะ แต่ว่า ฉันคิดว่าฉันอยากสัมผัสมันไปแบบนี้เรื่อย ๆ ค่ะอาจเป็นเพราะความกังใจของเธอลดลง น้ำเสียงของเธอจึงนุ่มนวลกว่าเมื่อกี้ เธอขอบคุณเขาอย่างสุภาพเมื่อเขาหยิบตุ๊กตาที่กระเด็นห่างออกไปจากจมูกของเธออีกครั้ง

                ––เธอเป็นเด็กแบบนี้เองหรอกเหรอ?

                ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมที่ล่องลอยอยู่ในความคิดของฮอดกินส์ได้ปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา มันไม่ใช่ความกลัว ความไม่สบายใจ หรือความปรารถนาที่จะควบคุมแต่อย่างใด มันเป็นความรู้สึกที่อุ่นวาบขึ้นมาในใจเสียมากกว่า

                อ่าฮะเมื่อก่อนฉันเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆอ่า ไม่สิ ฉันไม่ได้ความในทางไม่ดีหรอกนะ แต่เด็ก ๆ มักจะทำแบบนั้นเวลาที่พ่อแม่ของพวกเขาไม่ได้ดูแลพวกเขาอยู่ตลอด

                ฉันไม่รู้จักพ่อแม่ของฉันค่ะ

                อ่า นั่นสินะ…”

                เด็ก ๆ มักจะสัมผัสพวกหุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์หรือตุ๊กตาสัตว์ของพวกเขาเพื่อต้องการการปลอบโยน แต่ของพวกนั้นก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาจากอันตรายและสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้แต่อย่างใด พวกมันเป็นแค่ของที่ทดแทนความอบอุ่นเท่านั้น และการใช้ชีวิตวัยเด็กเช่นนั้นก็เสมือนกับเป็นที่พักพิงใจของพวกเขา

                ––เธอเป็นเด็กที่ใช้ชีวิตแบบนี้งั้นเหรอ?

                ถ้าดูแค่จากการกระทำของเธอแล้วเขาก็คงตัดสินว่าเธอเป็นแบบนั้นไม่ได้

                ––ไม่สิ ไม่ใช่ว่าเธอจะทนอยู่แบบนี้ไม่ได้ถ้าไม่ทำแบบนี้เหรอ? เพราะตอนนี้เธอโดดเดี่ยวอย่างแท้จริงเลยน่ะสิ

                เอ่อมีอะไรอีกนะ? อ่า ใช่แล้ว ถ้ามีอะไรมีอะไรที่เธออยากให้ฉันทำก็บอกฉันมาได้เลยนะ กิลเบิร์ตฝากให้ฉันดูแลเธอ ถ้าเธอมีอะไรกวนใจฉันก็จะพยายามแก้ไขมันให้ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม ยังไงก็เถอะ ฉันพูดไม่รู้เรื่องล่ะสิ เพราะว่าฉันเอ่อตกใจนิดหน่อยตอนที่เธอตื่นมาน่ะสิ ก็เลยพูดมากอย่างนี้

                ไวโอเล็ตตอบสั้น ๆ ขอบคุณมากค่ะ

                ฮอดกินส์ ผู้ที่ซึ่งเป็นคนที่เก็บสีหน้าเก่งมากจึงยังคงยิ้มอยู่ แต่ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงยิ้มระรื่นของเขา เขากำลังรู้สึกต่างจากสีหน้าโดยสิ้นเชิง

                ––เข้าใจล่ะ มันเป็นแบบนี้เองสินะ?

                เขาไม่ได้มีโอกาสได้ทำความรู้จักไวโอเล็ตมากนัก – ก็มีแค่ช่วงไม่กี่วันหลังจากที่เธอได้สร้างเหตุการณ์อันน่าสยดสยองในสนามฝึกซ้อมที่เขาได้เจอกับกิลเบิร์ตหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเสียนาน ตอนเลื่อนตำแหน่ง และคืนก่อนศึกครั้งสุดท้ายเท่านั้น เมื่อสงครามจบลง เขาเองก็ได้มาเยี่ยมเธอหลายครั้ง ไวโอเล็ตไม่มีพ่อแม่หรือพี่น้อง และก็ไม่มีเพื่อนด้วย มีแค่ฮอดกินส์คนเดียวเท่านั้นที่มาเยี่ยมเธอ

                ––ถึงเขาจะรู้ว่าเธอแข็งแกร่งขนาดไหน และเธอฆ่าคนมามากมายขนาดไหน

                บางทีเขาน่าจะให้เธอเลิกเป็นอาวุธและทำให้เธอเสียสติไปซะ

                ––อ่า นี่มัน

                แค่คุยกับเธอเฉย ๆ และมองการกระทำของเธอ เขาก็เข้าใจแล้ว

                ––นี่มันไม่ดีเลยสักนิด นี่มันกิลเบิร์ต นาย

                ผู้พันฮอดกินส์คะ?

                ––เธอไม่ได้เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งหรอกเหรอ?

                ฮอดกินส์รู้สึกราวกับความรู้สึกอันรุนแรงที่เขามีแต่เธอที่อยู่สักแห่งในหัวใจของเขาถูกขุดออกไป เพราะว่าเวลาอยู่ในสนามรบเธอเหมือนกับปีศาจไม่มีผิด เขาจึงมองข้ามเรื่องนี้และลืมไปเสียสนิท อันที่จริงแล้ว ทหารทุกนายในไลเดนชาฟต์ลิชเองก็มองเธอเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

                ถ้าคุณให้มันกับฉัน มันจะไม่พังหรือคะ?

                ไวโอเล็ตก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เวลาไม่ได้ต่อสู้ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เธอไม่ได้ถูกลงทะเบียนเป็นทหารด้วยซ้ำ และเธอก็ถูกเลี้ยงมาให้อยู่แต่ในสนามรบเท่านั้นและไม่ได้รู้จักโลกภายนอกเลย เธอเป็นอาวุธที่แสนงดงาม เป็นสินค้า เป็นทรัพย์สิน เป็นทหารหญิงที่อนุญาตให้มีชีวิตอยู่ได้เพื่อแลกกับความสามารถในการต่อสู้ของเธอ และไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องอื่นที่ไม่จำเป็น

                ไม่เคยมีใครคิดแบบนั้นเพราะว่าการได้เห็นเธอต่อสู้นั้นก็ทำให้พวกเขากลัวมากเสียจนไม่กล้าที่จะเข้าไปพูดกับเธอด้วยซ้ำ รูปร่างหน้าตาที่เหมือนผู้ใหญ่ของเธอทำให้พวกผู้ชายตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าการได้เป็นพ่อคนเสียอีก เธอไม่ได้ถูกเลี้ยงดูเหมือนกับเด็กคนหนึ่งเลยสักนิด

                ––แต่ถึงอย่างนั้น ในสายตาของเขาตอนนี้น่ะ

                เธอเล่นกับมันได้เท่าที่เธออยากเล่นเลย มันเป็นของเธอแล้ว

                ค่ะ

                สิ่งที่อยู่ในสายตาของฮอดกินส์นั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียเลี้ยงมาเหมือนกับ มนุษย์คนหนึ่งคนที่สอนให้เธอพูดและสอนมารยาทเธอนั้นก็เป็นกิลเบิร์ตเอง การต้องสอนเธอในช่วงสงครามแบบนั้นคงเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะฮอดกินส์รู้ว่าตอนนั้นไวโอเล็ตเป็นยังไง

                ผู้พันฮอดกินส์ มีอะไรหรือเปล่าคะ?

                เปล่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรอีกแล้วเหรอ?

                ในขณะที่กำลังเก็บกระเป๋า อยู่ดี ๆ ฮอดกินส์ก็รู้ว่าร่างกายของเขากำลังเน่าเปื่อย เขากำลังพยายามนึกย้อนไปถึงตอนนั้นว่าเขามองไวโอเล็ตเป็นคนยังไง

                ––ตอนนั้น เขาพนันข้างเธอ

                ฮอดกินส์จำไม่ได้แล้วว่าเขาเอาบุหรี่ที่ได้มาไปซื้ออะไร เพราะว่ากิลเบิร์ตไม่ยอมรับส่วนแบ่งไปจากเขา

                ––เขาเคยคิดว่าเธอจะมีประโยชน์กับกองทัพอย่างแน่นอน

                ก็เป็นอย่างที่เขาคิด ไวโอเล็ตได้ทำงานอย่างดีเยี่ยม ในสงครามครั้งสุดท้ายเธอก็ก่อความวุ่นวายได้สำเร็จซึ่งเป็นกุญแจหลักในกลยุทธ์ของเขา นั่นอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เขาก็ไม่รู้จักทหารคนอื่น ๆ ที่สามารถพูดได้เลยว่าทำสำเร็จได้แบบนั้น ถ้าเธอไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ จำนวนผู้เสียชีวิตก็คงจะเยอะกว่านี้ และในทางกลับกัน ก็คงมีใครหลาย ๆ คนที่รอดพ้นจากความตายไปได้ถ้าไม่มีเธออยู่ตรงนั้น การมีอยู่ของเธอก็เป็นแบบนั้นแหละ

                ––เขาคิดว่าเราจะใช้เธอได้

                เด็กหญิงที่รอดชีวิตมาได้เพราะได้สังหารนักโทษเหล่านั้นในสนามฝึกซ้อมได้สวามิภักดิ์ต่อกิลเบิร์ตคนเดียวเท่านั้น ส่วนหนึ่งในตัวฮอดกินส์เชื่อแบบนั้น เพราะว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาด เธอย่อมดีกว่าตุ๊กตานักฆ่าเลือดเย็นที่ไม่สามารถปกปิดความโหดร้ายของตัวเธอเองได้

                ––ไม่มีทางหรอก

                เด็กหญิงที่มีนามว่าไวโอเล็ตยังคงมองผ่านม่านหน้าต่าง และยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวัง เธอเหมือนกับลูกไก่ที่กำลังมองหาแม่ไก่ไม่มีผิด

                ––ที่เรื่องนี้จะเป็นจริง

                ไวโอเล็ตตัวน้อย ฉันขอโทษด้วยนะ

                เรื่องอะไรคะ?

                ของขวัญที่ฉันเอามาให้เธอมันยังไม่ดีพอน่ะสิ ครั้งหน้า ฉันจะหาของขวัญเยอะ ๆ มาเซอร์ไพรซ์เธอเอง เพราะว่าเธอเดินทางบ่อยเธอก็เลยไม่ได้ไปช็อปปิ้งในเมืองเลยใช่ไหมล่ะ?

                แค่ครั้งเดียวค่ะ

                อย่างนั้นเหรอ? งั้นฉันจะพยายามหามาให้เยอะกว่าเดิมนะ ทำให้เธอเซอร์ไพรซ์มากกว่านี้ ถึงเธอจะไม่ชอบมันและอาจจะไม่ดีนัก แต่ถ้าฉันคงดีใจนะถ้าเธอไม่โยนมันทิ้งน่ะ

                ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ค่ะ แต่ฉันจะไม่ทำแบบนั้น

                โอเค ขอบคุณนะ

                หลังจากนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดอะไรอีก แต่ฮอดกินส์ก็ยังอยู่เฝ้าไวโอเล็ตจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขาคุยกันไม่ได้บ่อยนักเพราะว่าไวโอเล็ตมักจะหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากว่าเธอไม่สามารถมีสติอยู่ได้นานเกินไป

                ในตอนเย็น กริ่งจะดังก้องเพื่อบอกว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว และในตอนนั้นพวกพยาบาลก็จะเริ่มแจ้งผู้ที่มาเยี่ยมแต่ละคนว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว แต่ฮอดกินส์ก็ยังไม่ลุกออกไปในทันที

                ผู้พันฮอดกินส์คะ หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ

                อืม

                ถ้าคุณไม่กลับบ้านคุณจะไม่เป็นไรหรือคะ?

                ในตอนแรก การพูดคุยของพวกเขาไม่คืบหน้าเท่าไหร่นักและเขาเองก็อยากรีบกลับบ้านใจจะขาด แต่ตอนนี้เขาอยากจะเฝ้าอยู่ข้าง ๆ เธอมากเหลือเกิน การที่ทิ้งเธอไว้คนเดียวในสภาพแบบนั้นทำให้เขารู้สึกผิดและเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นและกำลังทิ่มแทงหัวใจของเขานั้นมันเกิดขึ้นช้าไป เพราะเขารู้สึกมากกว่านั้นอีก

                พยาบาลกำลังจ้องมาที่ฉันสินะ เดาว่าฉันจะต้องกลับบ้านแล้วล่ะอ่า พูดถึงเรื่องนี้ ฉันลืมไปซะสนิทเลย ฉันไม่ได้เป็นพันตรีอีกแล้วล่ะ ฉันลาออกจากกองทัพแล้ว

                อย่างนั้นหรือคะ?

                ช่าย

                แล้วทหารจะต้องทำอะไรต่อคะหลังจากที่ปลดประจำการจากกองทัพแล้ว?

                เราทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ชีวิตน่ะไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียวหรอกนะ อย่างฉัน ตอนนี้ฉันเป็นผู้ประกอบการที่กำลังจะเปิดธุรกิจของตัวเอง และฉันก็จะเป็นประธานบริษัทนั้น ครั้งหน้า ฉันจะเล่าเรื่องนั้นให้เธอฟังแล้วกัน

                ค่ะ ผู้พัฮอดกินส์…” เธอดูสับสนเพราะไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่ายังไงดี

                ฮอดกินส์หัวเราะ เธอเรียกฉันว่า ท่านประธานฮอดกินส์ แล้วกัน แต่ฉันยังไม่มีลูกจ้างหรอกนะ เพราะงั้นเลยยังเป็นท่านประธานไม่ได้ และฉันก็ให้คนอื่นเรียกฉันแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน

                ท่านประธานฮอดกินส์

                มันไม่ได้เป็นชื่อที่แย่นะ แต่พอไวโอเล็ตตัวน้อยพูดคำว่า ‘ท่านประธานแล้วฉันรู้สึกเย็นนิด ๆ เลยนะเนี่ย

                คุณหนาวหรือคะ?

                เอ่อครั้งหน้าฉันจะอธิบายมุกนี้ให้เธอฟังแล้วกัน

                ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าร้อน แต่ฮอดกินส์ก็ดังผ้าห่มให้ปิดขึ้นไปจนถึงไหล่ของไวโอเล็ตเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเย็นในเวลากลางคืน และวางตุ๊กตาสุนัขข้าง ๆ ใบหน้าของเธออีกครั้ง เธอมองมาที่เขา แต่ไม่เหมือนกับครั้งแรกที่เธอมอง ฮอดกินส์ทนมองสายตาของเธอไม่ไหวจึงเลี่ยงสบตากับเธอและหันไปมองนอกหน้าต่างแทน ทิวทัศน์ในยามเย็นที่มองออกไปจากโรงพยาบาลนั้นถูกย้อมด้วยสีส้มของพระอาทิตย์ตก

                พรมแดนเส้นกั้นระหว่างกลางวันและกลางคืนนั้นเป็นฉากที่ใคร ๆ ต่างก็รู้สึกคะนึงหาถึงบางสิ่งเสมอไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน เวลาไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ทั้งก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า ท้องทะเล ผืนดิน เมือง ผู้คน ท้องฟ้าที่เป็นสีแดงเข้มนั่นแผ่กระจายและท่วมท้นทุกสิ่ง ถึงแม้ว่าจะมีความสง่างามที่ไม่เท่ากัน แต่ในช่วงเวลานั้น ทุกสิ่งจะถูกปกคลุมไปด้วยท้องฟ้าสีเดียวกันและกลายเป็นค่ำคืนไปในที่สุด ฮอดกินส์เมื่อได้เห็นทิวทัศน์แบบนั้นก็เอ่ยออกมา สวยใช่ไหมล่ะ?ไวโอเล็ตจึงตอบ มันงดงามมากค่ะ

                ถ้าอย่างนั้นฮอดกินส์เอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นมาจากเก้าอี้

                ลาก่อนค่ะ

                นี่ไม่ใช่ ‘ลาก่อน หรอกนะ ฉันจะมาหาเธออีก

                ––ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สนใจเขาเลยก็ตาม

                ตรงข้ามกับความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง ไวโอเล็ตกระซิบตอบอย่างไร้อารมณ์ แล้วเจอกันค่ะ…”

                เธอแก้จากคำว่า ลาก่อนเป็นคำว่า เจอกัน

                อืม เจอกันนะ ไวโอเล็ตตัวน้อย

                หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ไวโอเล็ตก็พยักหน้าตอบเบา ๆ

     



                แมลงกำลังส่งเสียงร้องให้โลกรู้ถึงวงจรชีวิตที่แสนสั้นของพวกมัน

                โรงพยาบาลทหารของไลเดนชาฟต์ลิชถูกห้อมล้อมด้วยป่าเขียวขจี เส้นทางที่เคยเป็นทางผ่านของคนนั่งรถเข็นให้กับทหารผ่านศึกนั้น เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้ป่วยแล้ว โต๊ะและเก้าอี้ไม้ถูกเรียงกระจัดกระจายไปตามเส้นทางนั้น และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลกำลังแยกอาหารเที่ยงให้กับพวกเขาท่ามกลางผู้ป่วยชายและหญิงเหล่านั้น

                ไวโอเล็ตตัวน้อย เธอไม่เหนื่อยเหรอ?

                ทั้งสองคนนั่งลงข้าง ๆ กันบนเก้าอี้ไม้ เวลาที่พวกเขาได้มาเจอกันอีกครั้งในต้นฤดูร้อนนั้นได้ผ่านไป และพวกเขาก็ได้ใช้เวลาด้วยกันท่ามกลางแสงแดดเงียบ ๆ มันเป็นวันที่มีลมแรง สดชื่น และสบาย ๆ วันหนึ่ง

                ไม่มีปัญหาค่ะท่านประธานฮอดกินส์ เดินอีกสักสิบก้าวดีไหมคะ?

                ไวโอเล็ตสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายหลวม ๆ แม้ว่ามันจะเป็นเดรสที่ธรรมดาและเรียบง่าย แต่เข็มกลัดมรกตของเธอกลับส่องประกายอยู่บนหน้าอกของเธอ เธอจะก้มลงมองมันเป็นครั้งคราวเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ตรงนั้น แค่ได้มองเธอนั้น ฮอดกินส์ก็ยิ้มออกมาโดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยซ้ำ

                เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ หมอบอกเธอแล้วไม่ใช่หรอว่าให้เดินไปแค่ครั้งเดียวแล้วก็กลับน่ะ? เห็นเธอเป็นแบบนี้ฉันยังกังวลเลยฉันจะพาเธอกลับแล้วกัน

                แต่…”

                ไม่

                แต่…”

                เธอทำไม่ได้ ถ้าเธอพยายามฝืนบังคับตัวเองยังไงฉันก็รู้อยู่ดี

                ก็ได้ค่ะ…”

                ทีนี้ มาเช็ดเหงื่อของเธอก่อน ไม่งั้นเธอจะเป็นหวัดเอานะฮอดกินส์หยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมา

                ไวโอเล็ตจับผ้าเช็ดหน้าเอาเพื่อไม่ให้เขาเช็ดหน้าผากของเธอ

                ให้ฉันเช็ดให้ไม่ได้หรอ?

                ไม่ได้ค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ได้ฝึกใช้แขน

                แต่ นี่ ผมเธอยุ่งหมดแล้วนะ

                ไม่ได้ค่ะ คนที่บอกฉันควรจะลองขยับแขนของฉันก่อนก็คือคุณนะคะ ผู้พัท่านประธานฮอดกินส์ แต่ที่จริงในสภาพแบบนี้ ฉันคงจะไม่มีประโยชน์สำหรับผู้พันหรอกค่ะ ฉันเป็นตัวถ่วงดี ๆ นี่เอง

                เมื่อได้ยินแบบนั้น ฮอดกินส์ก็ไม่ได้ยิ้มออกมาด้วยความขมขื่นหรือแสดงออกด้วยความทุกข์ใจแต่อย่างใด

                ตั้งแต่ที่ทหารหญิงที่มีชื่อว่าไวโอเล็ตฟื้นขึ้นมานั้น เขาก็ได้มาเยี่ยมเธอสองเดือนแล้ว ทุกครั้งที่พวกเขาเจอกัน สิ่งแรกที่เขาจะถูกถามเป็นอย่างแรกก็คือกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียจะมาเยี่ยมไหม ซึ่งคน ๆ นั้นก็ไม่ได้มาอีกเลยจนถึงตอนนี้ และฮอดกินส์ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เขาก็ทนไม่ได้เหมือนกันที่เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของไวโอเล็ตยามที่ตอบว่า วันนี้เขาไม่มาดังนั้น เขาจึงพยายามหว่านล้อมเธอด้วยการพูดว่า ถึงกิลเบิร์ตจะไม่มา แต่สิ่งที่เธอควรทำก็คืออย่าเสียใจที่เขาไม่มาแต่ทำอะไรก็ตามเท่าที่เธอทำได้ หรือก็คือ พักผ่อนและพยายามฟื้นฟูร่างกายซะ เป้าหมายของเธอก็คือ ในตอนที่เธอเจอเขาเธอก็สามารถใช้แขนของเธอได้อย่างภาคภูมิใจแล้วยังไงล่ะ

                และคำพูดนั้นก็มีผลอย่างลึกซึ้งต่อไวโอเล็ตยิ่งนัก

                ฉันจะใช้แขนนี้ให้ดียิ่งกว่าตอนฉันยังมีแขนอยู่อีกค่ะ บริษัทแขนและขาเทียม Estark เป็นบริษัทที่ผลิตแขนและขาเทียมที่เหมาะและเชี่ยวชาญในการต่อสู้ถ้าฉันฝึกฝนจนทักษะของฉันตามทันความสามารถของพวกเขาได้ ฉันคงจะกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่านี้

                เธอจะเป็นคนที่สดใสขึ้นมาทันทีเมื่อได้หรือภารกิจหรือคำสั่ง มันเป็นคุณสมบัติของเธอเลยล่ะ

                ไม่ นั่นไม่จริงหรอกนะ แค่การที่มีผู้หญิงอยู่น่ะก็เป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญและน่ามหัศจรรย์พอแล้วล่ะ เหมือนกับน้ำใส ๆ ที่ไหลลงมาจากน้ำพุบนยอดเขาอย่างปาฏิหาริย์ยังไงล่ะ พวกผู้ชายน่ะโสโครกจะตาย

                ฉันไม่เข้าใจการยกตัวอย่างนั่นหรอกค่ะ แต่ฉันคิดว่าถึงฉันจะไม่ได้รับคำสั่งจากผู้พัน แต่ฉันก็คิดว่าฉันควรจะฝึกฝนร่างกายตัวเองอยู่ดีค่ะ

                โอเค…”

                มันเป็นบทสนทนาที่ค่อนข้างแปลก แต่ก็ไม่ได้อึมครึมแต่อย่างใด ตรงกันข้าม พวกเขาสองคนที่มีนิสัยไม่เข้ากันนักกลับเริ่มคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว แต่เพราะแบบนั้น เมื่อลองมองย้อนกลับไปดูความสัมพันธ์ของฮอดกินส์นั้น มันอาจจะไม่ได้แปลกอะไร เขากับกิลเบิร์ตยังเป็นเพื่อนสนิทกันได้เลย ทั้ง ๆ ที่กิลเบิร์ตก็มักจะคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเหมือนกัน ในขณะเดียวกัน ฮอดกินส์เองที่มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่เสมอเมื่อจีบผู้หญิง แต่พออยู่ท่ามกลางคนสวย ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเขากลับหวั่นไหวซะงั้น

                มันเป็นชีวิตของคนเจ้าเล่ห์ยังไงล่ะไวโอเล็ตตัวน้อยฮอดกินส์เอ่ยออกมา แต่ดูเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า

                ไวโอเล็ตพยายามหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่ทำมันตกลงบนตักของเธอ และในที่สุดเธอก็เช็ดเหงื่อของเธอได้สักที ในตอนนี้เธอไม่ได้มีสภาพที่ใช้แขนของเธอไม่ได้เลยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำทุกอย่างด้วยตัวของเธอเองอยู่ดี

                ดีมากหลังจากจัดผมม้าที่กระเซอะกระเซิงของเธอด้วยนิ้วของเขาแล้ว ฮอดกินส์ก็ให้ไวโอเล็ตนั่งลงบนรถเข็น

                เราจะไปได้หรือยังคะ?

                ให้ลมพัดมาเย็นกว่านี้ก่อน

                ฉันจะไม่เหงื่อออกอีกแล้วค่ะ

                ถ้าเธอทำได้ก็สอนฉันด้วยนะ แต่ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงก็ทำไม่ได้หรอก กลับไปห้องของเธอกันเถอะ

                ––เพราะว่าเธอเป็นเด็กที่มักจะฝืนร่างกายตัวเองให้ทำอะไรหลายอย่างน่ะสิ เขาถึงไม่อยากให้เธอต้องออกกำลังกายมากเกินไป ฮอดกินส์คิดแบบนั้นในขณะที่กำลังเข็นรถเข็นไปอย่างเอื่อย ๆ

                เหมือนเช่นเคย ไวโอเล็ตยังคงมีท่าทีเฉยชาเหมือนเดิม แต่เมื่อเธอก้มลงมองพื้นนั้น เธอกลับดูเศร้าซึมอย่างบอกไม่ถูก นั่นเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของฮอดกินส์เท่านั้น – แต่อย่างไรก็ตาม นั่นล่ะเป็นวิธีที่เธอมองมาที่เขา

                ––ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันไม่เห็นดีเลยสักนิดที่จะพยายามห้ามไม่ให้เธอทำน่ะ มันไม่มีวิธีฝึกที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง?

                ทั้งสองคนที่เริ่มคุ้นเคยกับความเงียบได้กลับไปยังห้องของเธอ มันไม่ใช่ห้องที่ใหญ่นัก แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะได้ไม่ต้องพบปะคนภายนอก  ทหารหญิงที่มีแขนเทียมถูกมองด้วยสายตาที่ไม่สุภาพบ่อยนักและมันก็มาจากคนที่เธอรู้จักทั้งนั้น

                พอเธอได้ย้ายเข้าไปอยู่ในห้องเดี่ยว ฮอดกินส์ก็ได้เอาของขวัญมาให้เธอหลายชิ้น และเมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องก็ได้กลิ่นดอกไม้ที่สดใหม่ลอยโชยออกมาทันที พร้อมกับตุ๊กตาสัตว์มากมายที่รอต้อนรับพวกเขาด้วยเช่นกัน เสื้อผ้าและรองเท้าที่เธอยังไม่เคยได้สวมใส่วางอยู่ในกล่องที่ห่อด้วยริบบิ้นและวางซ้อนกันอยู่ มันช่างเป็นห้องของหญิงสาวมากจริง ๆ และในห้องนั้นก็มีไวโอเล็ตผู้ที่มีหน้าตาอันโดดเด่นและคล้ายกับตุ๊กตานั่งอยู่บนเตียง

                ไวโอเล็ตตัวน้อย ฉันมีของมาให้เธอด้วยนะ

                ฉันได้มาเยอะพอแล้วค่ะ และฉันก็ไม่มีของตอบแทนคุณด้วย เพราะงั้นฉันขอไม่รับนะคะไวโอเล็ตส่ายหัวและหันหน้าไปด้านข้าง แสดงท่าทางปฏิเสธอย่างชัดเจนเหมือนกับที่ฮอดกินส์คิดไว้ไม่มีผิด เขาเอาของมาให้เธอทุกครั้งที่ได้มาเยี่ยม เหมือนกับที่คุณปู่คนหนึ่งเอาของมาให้หลานสาวเลยล่ะ

                ไม่หรอก มันไม่ใช่ของที่แพงอะไร จริง ๆ แล้ว มันเป็นสมุดบันทึกของฉันน่ะ ปากกาคอแร้งก็ด้วยเหมือนกัน ฉันเพิ่งเปลี่ยนหมึกไปเอง เพราะงั้นมันไม่คิดว่ามันจะหมดในเร็ว ๆ นี้หรอกนะฮอดกินส์วางของลงบนโต๊ะ – ซึ่งมีสมุดบันทึกที่เหมือนกับสมุดพกและปากกาคอแร้งสีทอง

                เธอลุกขึ้นทันที ไวโอเล็ตนั่งลงข้างหน้าโต๊ะ และหยิบมันขึ้นมา มันมีแค่ไม่กี่แผ่นเท่านั้นเพราะฮอดกินส์ดึงมันออกและโยนมันทิ้งไปแล้วน่ะสิ

                ให้สิ่งนี้…เป็นการฝึกมือเธอซะสิ เขียนลายมือให้บรรจงล่ะ และถ้าฉันเข้าใจถูก เธอเขียนชื่อตัวเองได้ใช่ไหม?

                ค่ะแต่ ฉันเขียนคำอื่นไม่เป็น

                แค่นั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ? ชีวิตในโรงพยาบาลน่ะน่าเบื่อจะตาย นี่ล่ะเป็นเวลาที่เหมาะที่เธอจะได้เรียนรู้มัน และมีเป้าหมายก็น่าจะดีนะ เธอตั้งใจจะเขียนอะไรล่ะ?

                จดหมายค่ะไวโอเล็ตพูดราวกับกำลังจะไอออกมา ฉันอยากเขียนจดหมายได้ค่ะเธอพูดด้วยความเร่งรีบ

                ดวงตาและปากของฮอดกินส์เบิกกว้างด้วยความสับสน นั่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขาจริง ๆ และจริง ๆ แล้วเขาก็ตั้งใจที่จะให้เรื่องนั้นเป็นไปตามทิศทางเดียวกับประโยชน์ของเขาด้วย

                ทำไมเธอถึงอยากเขียนล่ะ? ไวโอเล็ตตัวน้อย หายากมาเลยนะนี่ที่เธอมีอะไรที่เธออยากจะทำที่นอกเหนือจากการฝึกซ้อมน่ะ…”

                จดหมายสามารถส่งคำพูดไปให้ใครอีกคนที่อยู่ไกลได้ค่ะ และที่นี่ก็ไม่มีอุปกรณ์สื่อสารด้วย แต่ว่า ถ้าฉันเขียนจดหมายและได้รับการตอบรับกลับมา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ใช้เสียงของตัวเอง แต่ก็คงเหมือนกับการได้พูดคุยกันอยู่ดี ผู้พันอาจจะไม่มีเวลาว่างมาตอบ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันที่ฉันเป็นเครื่องมือของเขานั้นและยังอยู่ที่นี่และจะส่งมันให้ถึงผู้พัน…”

                ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดจนจบประโยค แต่เขาก็เข้าใจ

                ถึงผู้พัน…”

                ไวโอเล็ตไม่อยากถูกลืม เธออยากจะย้ำเตือนกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียถึงการมีอยู่ของเธอในฐานะเครื่องมือที่เกิดมาเพื่อเขา

                เธออยากจะถ่ายทอดความคิดของเธอส่งไปให้เขาสินะ

                ค่ะไม่สิ...ไม่ใช่ แต่บางทีอาจจะใช่กระมังคะเธอตอบตะกุกตะกัก

                เธอไม่สามารถแสดงความรู้สึกของเธอออกมาได้อย่างถูกต้องนัก ฮอดกินส์รู้เรื่องนั้นดีเลยล่ะ ทุกครั้งที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องเธอ เขาจะเห็นว่าความคาดหวังบางอย่างของเธอหายไปทันที

                ––อ่า ไม่ดีเลย ของพวกนี้ไม่ดีเลยสักนิด ฮอดกินส์ใช้มือข้างหนึ่งกดเปลือกตาของเขาไว้และถอยหายใจ

                ท่านประธานฮอดกินส์คะ?

                หืม โทษที อีกแปบหนึ่งเดี๋ยวฉันก็ดีขึ้นแล้วล่ะเขายกมืออีกข้างหนึ่งเพื่อโบกมือว่าไม่เป็นไรและมองไปทางอื่น ในตาของเขาร้อนผ่าว อกของเขาปวดร้าวไปหมด เขากัดปากของเขา พยายามหยุดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขาด้วยการทำให้ร่างกายเจ็บเสียแทน แต่ก็ไม่มีประโยชน์

                ––สงสัยเขาจะเริ่มแก่แล้วล่ะสิ

                ในตอนที่เขารู้สึกถึง ความเป็นมนุษย์ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตุ๊กตานักฆ่าอัตโนมัติอย่างไม่ตั้งใจให้เขาได้เห็นนั้น ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่เขารู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมา

                ––เขารู้สึกเศร้าชะมัด

                ไวโอเล็ตได้ยินเสียงสูดน้ำมูกของเขา ไหล่ของเธอสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจเหมือนกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่รู้สึกได้ถึงอันตราย มันเป็นเพราะแค่อิทธิพลจากร่างกายของฮอดกินส์แท้ ๆ แต่ก็ทำให้ความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดีของไวโอเล็ตแสดงออกมา

                รออีกแค่สามสิบวิเท่านั้น…”

                ไวโอเล็ตมองไปรอบ ๆ ห้อง ดวงตาสีฟ้าของเธอสำรวจไปทั่วห้องเพื่อหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับสถานการณ์นี้ เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าจากโต๊ะข้างเตียงของเธอและตุ๊กตาแมวดำมา แต่เพราะเธอยังมีแรงไม่พอที่จะจับมัน มันจึงตกลงบนพื้น และเมื่อไวโอเล็ตก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา ฮอดกินส์ก็หายดีแล้ว เขาจึงก้มตัวลงไปช่วยเธอด้วยเหมือนกัน

                เธอพยายามจะปลอบฉันเหรอ?

                หัวใจที่แสนเจ็บปวดของเขาเริ่มเจ็บน้อยลงเมื่อเห็นความอ่อนโยนและแสนซุ่มซ่ามของเธอ รูปแบบของความรักที่ไม่ใช่ความรักแบบโรแมนติกกำลังเบิกบานข้างในหัวใจของเขา

                ท่านประธานฮอดกินส์ คุณเคยบอกฉันค่ะว่าตอนที่คุณเป็นเด็กคุณจะเล่นกับตุ๊กตาที่เหมือนกับแมวดำตัวนี้ เพื่อที่จะได้แกล้งทำเป็นว่าคุณไม่ได้เหงา เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณร้องไห้เพราะพ่อแม่ของคุณไม่สนใจคุณค่ะ…”

                และในวินาทีต่อมา ความรู้สึกเศร้านั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

                ฉันเคยบอกเธอเรื่องนั้นด้วยเหรอ!?

                ตอนนั้นคุณเมาค่ะและคุณก็เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปเจรจาเรื่องธุรกิจ คุณก็เลยพูดเรื่องชีวิตของคุณไปประมาณสองชั่วโมงเลยค่ะ

                ตอนนี้ฮอดกินส์รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

                ไวโอเล็ตตัวน้อย ถ้าครั้งหน้าฉันเมาแบบนั้นอีก เธอไม่ต้องสนใจคำพูดของฉันหรอกนะ จริง ๆ แล้วเธอตีฉันเลยก็ได้ฉันจะไม่ดื่มอีกแล้วล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะหันไปดื่มชาแทน จะดื่มไปตลอดชีวิตเลยล่ะ อ่า น่าอายชะมัดแล้วหลังจากนั้นฉันพูดอะไรอีกหรือเปล่า?

                คุณบอกว่าคุณเคยชื่อว่าคลอเดียค่ะเพราะพ่อแม่ของคุณคิดว่าคุณจะเกิดมาเป็นผู้หญิง ก็เลยตั้งชื่อคุณแบบนั้น แต่สุดท้ายคุณก็ยังต้องใช้ชื่อนั้นอยู่ดีและมันก็ยากมากที่จะใช้ชีวิตด้วยชื่อนั้น

                เอาล่ะ กลับไปเรื่องเขียนจดหมายกันดีกว่านะ ไวโอเล็ตตัวน้อย

                เมื่อพูดถึงชื่อเก่าของเขาแล้วเขาก็ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป

                การทดลองของพวกเขาเริ่มขึ้นเมื่อไวโอเล็ตจับปากกาคอแร้งได้ แต่พอเธอเขียนไปได้แค่ตัวอักษรเดียว ปากกาก็หลุดออกจากมือเธอและเธอก็ตามไปจับมันเอาไว้ การที่ได้เห็นเธอพยายามจะหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ตามที่มันตกลงบนพื้นทำให้หัวใจของฮอดกินส์เศร้าขึ้นมาอีกครั้ง

                เธอค่อย ๆ ทำก็ได้

                สำหรับฮอดกินส์ที่เคยเป็นแค่นักเรียนทหารแล้วต้องมาสวมบทเป็นครูนั้นเป็นเรื่องยากพอสมควร เช่นเดียวกับไวโอเล็ต ถึงแม้เธอจะสามารถถอดส่วนประกอบปืนได้ แต่เธอก็ไม่รู้แม้แต่วิธีการเขียนเลยด้วยซ้ำ ครูที่ไม่มีความสามารถกับนักเรียนที่ไร้ฝีมือไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องช่วยเหลือกันเท่านั้น สำหรับตัวเธอในตอนนี้นั้น เขาคิดว่าถ้าในอนาคตเธอเขียนจดหมายได้คงจะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากพอแล้ว

                ฉันอยากเขียนชื่อของผู้พันกิลเบิร์ตให้ได้ค่ะ

                และในขณะที่เธอกำลังฝึกเขียนนั้น ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนสีทีละนิด ๆ

     



                ใบเมเปิ้ลที่แห้งเหี่ยวและเปราะบางได้สร้างพรมที่มีสีสันสดใสบนพื้น ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ทางเข้าของโรงพยาบาลทหารไลเดนชาฟต์ลิชจะไม่ได้สะอาดเหมือนเดิมอีกต่อไป ถนนบนภูเขาที่เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลแห่งนี้ถูกย้อมด้วยสีที่งดงามของธรรมชาติ โลกทั้งโลกถูกย้อมด้วยสีของฤดูใบไม้ร่วง

                ที่ด้านหน้าของทางเข้านั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังรอใครบางคนอยู่ กระเป๋าหีบและกระเป๋ารถเข็นของเธอวางอยู่บนพื้น บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอมีของเยอะเกินไป หัวของตุ๊กตาจึงยื่นออกมานอกกระเป๋า เธอยืนอยู่อย่างนั้นและมองออกไปอย่างเหม่อลอย เธอเป็นผู้หญิงที่สวยราวกับภาพวาดเลยล่ะ เธอสวมเสื้อโค้ทสีม่วงวีสทีเรีย* และจัมพ์เปอร์สีดำถักสูงถึงคอ กระโปรงสีม่วงอ่อนของเธอส่งเสียงกระพือเล็กน้อยเมื่อลมพัดมา

                ผมสีทองของทหารหญิงที่มีนามว่าไวโอเล็ตในตอนนี้ค่อนข้างยาว มันยาวขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามวันที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล และในตอนที่เธอสังเกตเห็นรถม้าที่กำลังมุ่งหน้ามาจากถนนบนภูเขาเธอก็หยิบกระเป๋าของเธอขึ้นมาด้วยมือเทียมของเธอที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อย เธอยกกระเป๋าทั้งหมดขึ้นมาด้วยแขนทั้งสองข้างของเธอด้วยความไม่สะดวกนัก และในขณะเดียวกัน ชายคนหนึ่งก็กำลังเดินมาหาเธอ

                โทษที ๆ ที่ทำงานค่อนข้างวุ่น ๆ น่ะ ฉันก็เลยมาสายแม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่มีสายลมเย็น ๆ ที่พัดแค่ครั้งเดียวก็ทำให้รู้สึกหนาวสั่นได้แต่ฮอดกินส์กลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อในขณะที่เขากำลังวิ่งมา เขายิ้มด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นไวโอเล็ตสวมชุดที่เหมือนกับผู้หญิงธรรมดา ๆ ทั่วไป และเกือบจะจำเธอแทบไม่ได้ ไวโอเล็ตตัวน้อย เธอดูน่ารักจัง รสนิยมฉันนี่ดีชะมัด! ฉันนี่มีความสามารถเยอะจนน่ารำคาญเลยนะเนี่ยฉันน่าจะลองทำงานในวงการแฟชั่นดูนะ แล้วเข็มกลัดล่ะ?

                ฉันกลัวว่ามันจะหายระหว่างการเดินทางน่ะค่ะ…”

                มันไม่หายง่าย ๆ หรอก เธอน่าจะใส่มันนะ ส่งมันมาให้ฉันสิฮอดกินส์กลัดเข็มกลัดมรกตลงบนหน้าอกของไวโอเล็ต

                ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้กันมาก แต่ไวโอเล็ตก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวงเนื้อหวงตัวแม้แต่น้อย

                เรียบร้อย มันเหมาะกับเธอนะ ไวโอเล็ตตัวน้อย

                และถึงแม้ว่าเขาจะลูบหัวเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนหรือปัดมือเขาออกแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับในตัวของฮอดกินส์แล้ว เพราะเขาได้ดูแลเธอมาเสียเนิ่นนาน

                ผู้พันฮอดกินส์คะ

                “’ท่านประธาน’”

                ท่านประธานฮอดกินส์ ถ้าฉันถูกปลดประจำการแล้วฉันต้องไปที่ไหนคะ? ฉันต้องไปส่งไปรษณีย์ที่ไหน? ผู้พันไม่ตอบจดหมายฉันสักฉบับเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่ฉันส่งไปหลายฉบับแล้ว ไวโอเล็ตจับมือของฮอดกินส์ไว้และขึ้นไปบนรถม้า

                ต่อจากนี้ เธอจะต้องไปอยู่กับตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลหนึ่งและเป็นลูกสาวบุญธรรมของพวกเขา ลูกชายของพวกเขาจากไประหว่างช่วงสงครามน่ะ และพวกเขาก็กำลังมองหาบุตรบุญธรรมอยู่ ตระกูลของพวกเขาก็เป็นญาติของกิลเบิร์ตด้วย เธอจะได้เรียนมารยาทและความเป็นกุลสตรีที่นั่นแหละ

                เมื่อผู้โดยสารขึ้นมาบนรถม้าแล้ว คนขับรถม้าจึงออกเดินทาง และถึงแม้ว่ารถม้าจะเหวี่ยงเล็กน้อย แต่ไวโอเล็ตยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดและไม่มีท่าทีว่าจะเซหรืออย่างใด

                เรื่องแบบนี้จำเป็นสำหรับการต่อสู้ด้วยหรือคะ?

                เธอคิดว่าเธอจะได้กลับไปยังสถานที่ที่เธอได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ แต่เมื่อได้รับข่าวร้าย เธอจึงแสดงท่าทีออกมาเล็กน้อย

                ฮอดกินส์ก้มตัวเล็กน้อย และสบตากับไวโอเล็ตตรง ๆ สงครามจบลงแล้ว เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องเป็นทหารอีกต่อไปแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอต้องเรียนมันเพื่อนำไปใช้ในชีวิตของเธอที่ไม่ใช่ชีวิตในการเป็นนักรบอีกต่อไป

                ฉันไม่เข้าใจค่ะ…”

                ฮอดกินส์พยักหน้าให้กับคำตอบที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ช่าย มันเป็นปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน ขนาดฉันยังคิดว่ามันยากเลย

                “’ปัญหาที่ซับซ้อน ขนาดคุณก็ด้วยหรือคะ ท่านประธานฮอดกินส์? มันไม่ง่ายหรือคะ?

                ไวโอเล็ตตัวน้อย ทำไมเธอถึงถูกใช้ให้ฆ่าคนล่ะ?

                ฉันมีความสามารถค่ะ และมันก็เป็นที่ต้องการ

                ใช่ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อที่เธอจะปกป้องตัวเองได้ แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอคงจะเคยฆ่าคนมาก่อนก่อนที่จะพบกิลเบิร์ต เพราะว่าใครสักคนสร้างเธอขึ้นมาให้ทำแบบนั้น เหมือนกับสร้างมาเพื่อกำจัดสิ่งกีดขวางโดยที่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับมัน

                ––นั่นจึงทำให้เธอมีปัญหาในการใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปยังไงล่ะ

                อ่า ซับซ้อนจริง ๆ เสียด้วย ยกตัวอย่างนะ ถ้าฉันบอกว่าฉันถูกพวกอันธพาลทำร้ายร่างกาย เธอก็จะฆ่าพวกอันธพาลพวกนั้นเพื่อช่วยชีวิตฉันใช่ไหมล่ะ มันคงจะดีกว่าถ้าเธอไม่ทำแบบนั้น แต่เธอก็เลือกที่จะฆ่าพวกเขา มันผิดศีลธรรมนะ แต่เธอก็ไม่ได้รับโทษเลย ที่จริงแล้ว เธอกลายเป็นฮีโร่ไปด้วยซ้ำ

                “’ศีลธรรมคืออะไรคะ?

                สิ่งสำคัญที่ผู้คนเชื่อว่าควรจะปฏิบัติตามเพื่อใช้ในการอยู่ร่วมกันยังไงล่ะ และถ้าเธอไม่ปฏิบัติตาม เธอก็จะถูกตำรวจจับ เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม?

                ค่ะ

                ถ้าอย่างนั้น อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดว่าจริง ๆ แล้วฉันอยากถูกฆ่าโดยพวกอันธพาลล่ะ ฉันให้เงินพวกเขาและขอให้พวกเขาฆ่าฉัน ฉันอยากตาย เราจึงทำข้อตกลงกัน แล้วเธอก็เข้าใจผิด เธอจึงเข้าไปยุ่งกับเรื่องนั้นและสุดท้ายก็ฆ่าคนที่มาเล่นเป็นอันธพาลและกำลังจะฆ่าฉันเพราะว่าฉันขอ เธอคิดว่าการฆาตกรรมในเรื่องนี้มันผิดศีลธรรมไหม?

                เงียบกริบ

                เห็นไหม มันซับซ้อนใช่ไหมล่ะ? มันไม่มีคำตอบที่ถูกหรอก กฎหมายที่ถูกเขียนโดยมนุษย์น่ะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องจริง ๆ หรอก แต่ตอนนี้ลืมเรื่องตัวอย่างนั้นไปเถอะนะ

                ไวโอเล็ตยันแขนของเธอขึ้นและแนบกับแก้มของเธอ ฮอดกินส์คิดว่าเธอกำลังคิดว่าพูดนั้นช่างไร้ความปราณี แต่เชื่อเถอะว่าปัญหาเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเธอไม่ช้าก็เร็ว

                มีทหารหญิงคนหนึ่ง เธอสังหารผู้คนไปมากมาย ถึงแม้ว่าการฆาตกรรมจะก่อให้เกิดปัญหาที่ยิ่งใหญ่ตามมา แต่เธอก็ยังเลือกที่จะฆ่าคน

                แล้วทหารหญิงคนนั้นจะได้รับอนุญาตให้มีความสุขไหม?

                สิ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คือ…” แม้ว่าเขาจะรู้สึกกลัวที่อาจจะโดนตัดความเป็นเพื่อนเพราะความสับสนของไวโอเล็ต แต่ฮอดกินส์ก็ยังพูด ฉันไม่อยากเห็นเธอฆ่าใครอีก เพราะงั้นฉันก็เลยไม่อยากปล่อยเธอให้ไปที่ที่เธอทำแบบนั้นได้  เรื่องนี้น่ะมันเกี่ยวข้องกับทฤษฏีการขับเคลื่อนทางอารมณ์ด้วยนะ และฉันก็คิดว่ามันใกล้เคียงกับการการแก้ปัญหานี้มากที่สุด

                เขาเกือบจะเกลียดกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียแล้วล่ะที่ทำให้เขาต้องมาแบกรับภาระแบบนี้

                การฆาตกรรมน่ะทำให้คนที่ต้องโศกเศร้าเสียใจเพิ่มมากขึ้นนะ ฉันถึงไม่อยากให้เธอทำแบบนั้นยังไงล่ะ ฉันเองก็ไม่อยากเสียใจเหมือนกัน ฉันไม่คิดว่าคนทั้งโลกจะคิดแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันแค่พยายามมองหาความสุขเท่านั้นเพื่อคนที่ฉันรัก กิลเบิร์ตเองก็เหมือนกันเราถึง ห้าม ไม่ให้เธอทำยังไงล่ะ ศีลธรรมที่มาพร้อมกับความเห็นแก่ตัวว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าดีน่ะ โลกกำลังจะกลายเป็นแบบนั้นแหละ ทุกคนน่ะต่างก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไวโอเล็ตตัวน้อย คำสั่งสุดท้ายที่กิลเบิร์ตให้เธอคืออะไร?

                เมื่อถูกถามเช่นนั้น ไวโอเล็ตจึงนึกย้อนไปถึงตอนนั้น กิลเบิร์ตที่เต็มไปด้วยเลือด และเธอกำลังร้องไห้ นั่นอาจจะเป็นน้ำตาหยดแรกของเธอด้วยกระมัง

                ฉันรักเธอ เมื่อเธอคิดถึงคำที่เต็มไปด้วยพลังบางอย่างนั้นออกมา หัวใจของเธอก็เต้นรัวเร็ว เพียงแค่ได้นึกถึงหัวใจของเธอก็เต้นหนักหน่วงขึ้นมาเสียแล้ว

                หนีไปซะและใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ

                นั่นไงล่ะ

                ในที่สุดก็เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ สำหรับไวโอเล็ตนั้น คำสั่งของกิลเบิร์ตถือเป็นสิ่งที่ต้องทำตาม ตราบใดที่คำสั่งนั้นไม่ได้มีอันตรายใด ๆ เธอก็จะปฏิเสธมันไม่ได้นานนัก แต่ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเธอเหลือเกินที่จะต้องยอมรับว่าเธอจะไม่ได้กลับไปยังสนามรบอีกแล้ว

                มันมีประโยชน์ต่อกองทัพหรือคะ? ถ้าฉันไม่ฆ่าแล้วฝั่งของเราจะต้องตายน่ะค่ะ

                ศัตรูน่ะก็เป็นคนเหมือนกันนะ และนอกจากนี้…เธอเองก็ไม่รู้ด้วยว่าการฆ่าคนน่ะทำให้ในตัวของเธอน่ะกำลังถูกแผดเผาอย่างช้า ๆ และเพราะมันกำลังแผดเผาเธออยู่ฉันถึงบอกเธอเรื่องนี้ยังไงล่ะไวโอเล็ตตัวน้อย

                อดีตทหารหญิงก้มลงมองลำตัวของเธอ แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรที่กำลังถูกเผา เธอเห็นแต่เสื้อผ้าที่สวยงามของเธอเท่านั้น

                ฉันไม่ได้ถูกเผาอยู่นะคะ

                “ถูกสิ

                ไม่นะคะ คุณพูดเรื่องอะไรคะ ไม่เห็นเข้าใจเลย

                ไม่หรอก ฉันเห็นเธอกำลังถูกเผาอยู่และฉันก็ทิ้งเธอไว้ลำพัง ฉันเสียใจเรื่องนั้นมาตลอด

                ทุกอย่างที่ฮอดกินส์พูดช่างแปลกประหลาด

                จากนี้เธอจะได้รู้อะไรอีกหลายอย่างเลยล่ะ และหลังจากนั้น แน่นอน สิ่งที่เธอทำลงไปและที่ฉันพูดไปว่าฉันทิ้งเธอไว้เมื่อถึงเวลาเธอก็จะเข้าใจมันเอง

                ลูกสมุนที่เจ้านายได้เก็บมาเลี้ยงนั้นเป็นความโหดร้ายที่แสนงดงาม

    และหลังจากนั้น เธอก็จะรู้ตัวว่าเธอน่ะถูกเผาไปแล้วมากขนาดไหน

                ว่ากันว่าความภาคภูมิใจของความโหดร้ายที่แสนงดงามนั่นคือการที่เธอเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นแสนไร้เดียงสาเพียงใด

                เธอจะรู้สึกตัวเมื่อเธอรู้สึกไฟกำลังลามเลียอยู่บนเท้าของเธอ และเธอก็จะรู้ว่ามีคนมากมายที่กำลังเทน้ำมันราดไปบนเปลวเพลิงนั่น มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เธอร้องไห้ออกมาเธอก็จะรู้เอง

                จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่ดวงตาของเธอจะปิดลงและหลับไปชั่วนิรันดร์ เธอก็จะไม่มีวันรู้ถึงความรู้สึกที่ร่างกายของเธอกำลังถูกแผดเผาอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความสำนึกผิด แต่ก็ไม่มีทางทำให้เธอหลุดพ้นจากบาปนั้นได้

                แต่ฉันก็อยากให้เธอรู้สึกตัวอยู่ดี เพราะแบบนั้นเธอถึงกลับไปเป็นทหารไม่ได้ยังไงล่ะ

                เธอไม่เคยเชื่อในสิ่งใด และเธอก็คงจะใช้ชีวิตต่อไปแบบนั้น

                ไวโอเล็ตตัวน้อย มาเปลี่ยนโชคชะตาของเธอกันเถอะ

                เธอถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน

                จนกระทั่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาและจับมือของหญิงสาวที่กำลังถูกแผดเผานั่นและโยนเธอลงไปในทะเลสาบ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เขานั้นมีตัวตนอยู่อย่างแน่นอน

                คนที่เธอจะพบหลังจากนี้คือเจ้าหน้าที่หน่วยงานทหารชั้นสูง และเป็นคนของตระกูลที่มีชื่อเสียงด้วย และเนื่องจากเธอไม่ได้รับการลงทะเบียนในกองทัพ เพราะงั้นเธอก็ควรจะเริ่มชีวิตใหม่ของเธอจากตรงนี้แหละ

                แต่ว่า ฉันก็จะไม่ได้อยู่ข้าง ๆ ผู้พันอีก…”

                นี่เป็นคำสั่งของกิลเบิร์ตคนที่เธออยากจะเป็นความแข็งแกร่งให้เขายังไงล่ะ ไวโอเล็ตตัวน้อย เธอเป็นอะไรสำหรับกิลเบิร์ตกันล่ะ?

                ฉันเป็นของผู้พัน…”

                อ่า เราถึงแล้วล่ะ เราเข้าไปทักทายพวกเขากันเถอะ

                เมื่อรถม้าหยุดวิ่ง ไวโอเล็ตก็ลงจากรถโดยที่จับมือของฮอดกินส์ไว้

                ถึงแม้ว่าคฤหาสน์หลังนี้จะโบราณ แต่ก็มีสถาปัตยกรรมที่งดงามจนอาจจะเข้าใจว่าเป็นปราสาทได้เลย มันใหญ่และทอดยาวจนสุดขอบถนน สามีภรรยาที่ดูมีอายุคู่หนึ่งเดินออกมาจากคฤหาสน์ เมื่อเห็นพวกเขาฮอดกินส์จึงกระซิบที่ข้างหูของไวโอเล็ต อย่าทำตัวเสียมารยาทล่ะ

                ไวโอเล็ตยกมือขึ้นจับเข็มกลัดมรกตของเธอ รถม้านั้นได้เดินทางกลับแล้ว ไวโอเล็ตเงยหน้าขึ้นมองทางที่สามีภรรยาคู่นั้นกำลังเดินมา แต่เธอก็ไม่เห็นคนที่เธอหวังจะได้พบ ไม่ว่าไวโอเล็ตจะมองหาเขายังไง เขาก็ไม่เคยมาพบเธอเลย

                ท่านผู้นี้เป็นผู้นำของตระกูลเอเวอร์การ์เดน และท่านผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาของเขา พวกเขาจะเป็นพ่อแม่บุญธรรมของเธอ ทีนี้ ทักทายพวกเขาสิ

                คู่สามีภรรยาสูงอายุที่ดูสง่างามแต่อ่อนโยนจับมือเทียมของไวโอเล็ตโดยไม่มีความลังเล และยิ้มให้เธอด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง

                ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันไวโอเล็ต

                และนับแต่นั้น ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

     



                หิมะที่ตกลงมาละลายในน้ำทะเลที่ดำทะมึน ผิวน้ำของทะเลนั้นมืดเสียยิ่งกว่าท้องฟ้าที่พร่าวพราวไปด้วยหมู่ดาวเสียอีก เกล็ดน้ำแข็งที่ตกลงมานั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากยิ่งในประเทศทางตอนใต้อย่างไลเดนชาฟต์ลิชเช่นนี้

                เมื่อพวกเด็ก ๆ เปิดหน้าต่างออกมาและเห็นของขวัญที่ตกลงมากจากฟากฟ้าก็วิ่งออกไปทันที ยามที่ต้องคอยเฝ้าทรัพย์สมบัติที่มีค่ายิ่งนั้นหนาวสั่นเพราะความเย็น กะลาสีรู้สึกโล่งอกที่เดินทางมาอย่างปลอดภัยและกลับบ้านได้ทันก่อนที่พายุหิมะจะมา ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนนั้นช่างเป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งนัก

                ทางตอนใต้ของไลเดนชาฟต์ลิชนั้นมีหิมะตกเพียงไม่กี่ครั้งต่อปีเท่านั้น และไม่เคยตกหนักเลยด้วย ไม่มีใครบอกได้เลยว่าทำไมปีนี้หิมะถึงได้ตกหนักและตกลงมาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะสวรรค์ได้บัญชาลงมากระมัง เพราะปกตินั้นหิมะที่ตกลงมาจะตกแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่ก็สามารถตกหนักจนกองพะเนินสูงถึงเข่าของผู้ชายได้เลยล่ะ

                กรมอุตุนิยมประกาศว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นสภาพอากาศที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในรอบศตวรรษ และทำให้เมืองทางตอนใต้มีสภาพที่ผิดปกติไปจากเดิม ผู้คนที่ออกมาข้างนอกจะลื่นเพราะถนน และถนนที่มีไว้ให้รถม้าและรถราก็หายไปเพราะหิมะที่ตกลงมากลบไว้จนมิด ผู้คนที่ไม่มีอาหารสำรองก็ออกไปซื้อกันที่ร้านค้าและร้านอาหารอย่างล้นหลาม ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความปลาบปลื้มและเสียงกรีดร้องของความหวาดหวั่น แต่เมื่อร้านค้าหยุดค้าขายและส่งออกสินค้า ก็ไม่มีใครออกมาเดินข้างนอกอีกเลย เมืองทั้งเมืองเงียบสงัด ราวกับว่าหิมะได้ดูดซับเสียงเหล่านั้นไปด้วย

                ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้าย ฮอดกินส์กำลังเดินไปตามเส้นทางที่ปูด้วยหิมะเหมือนกับทุก ๆ วัน สำหรับคนอย่างเขาที่เคยเป็นถึงอดีตทหารของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชและเคยเจอสภาพอากาศแบบนี้จากประเทศทางตอนเหนือซึ่งปกคลุมด้วยหิมะอยู่แล้วนั้นถือเป็นเรื่องที่สบายมาก

                เขาเดินไปตามถนนเส้นนั้นด้วยความเงียบ และเตะหิมะออกด้วยรองเท้าที่ใส่ในฤดูหนาวของเขา จนกระทั่งเขาเห็นคฤหาสน์ของเอเวอร์การ์เดนที่ตั้งอยู่ห่างจากไลเดนเมืองหลวงของไลเดนชาฟต์ลิชออกไปราง ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไอของลมหายใจลอยขึ้นไปในอากาศและหายไปในไม่ช้าเหมือนกับควันในความมืดมิด

                เมื่อเขามาถึง พ่อบ้านของคฤหาสน์เอเวอร์การ์เดนก็ออกมาต้อนรับเขา เนื่องจากคฤหาสน์นั้นมีขนาดใหญ่มาก ทั่วทั้งคฤหาสน์จึงไม่ได้อบอุ่นเท่ากันหมด แต่สำหรับฮอดกินส์ที่เดินฝ่าหิมะในยามค่ำคืนเช่นนี้แค่เข้าไปในห้องก็รู้สึกดีมากแล้ว เขานั่งอยู่ข้างเตาผิงและดื่มชาที่ได้รับมาอยู่สองสามนาที

                ในที่สุดคุณก็มาถึงเสียทีคุณฮอดกินส์ ฉันนึกว่าคุณจะไม่มีมาวันนี้เสียอีกหญิงชราที่สวมชุดคลุมนอนผ้าไหมปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าเขา

                คุณทิฟฟานี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ผมขอโทษด้วยที่มาเยี่ยมกลางดึกแบบนี้ฮอดกินส์โค้งคำนับให้เธอด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

                นั่นน่ะเป็นคำพูดของฉันต่างหาก คุณเพิ่งจะเดินทางไปทวีปอื่นมาใช่ไหม? ฉันผิดเองล่ะที่เรียกคุณมากะทันหันแบบนี้

                ผมไม่มีทางปฏิเสธคำเชิญของคุณผู้หญิงได้หรอกครับ แล้วคุณแพทริกล่ะครับ?

                สามีของฉันทิ้งฉันไว้ที่นี่แล้วไปขังตัวเองในเมืองที่ห่างไกลน่ะ เขายังต้องทำหน้าที่ปกป้องประเทศนี้อยู่ แต่เขาคงจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้อีกแล้วก่อนที่เขาจะจากไปพอพูดถึงเขาแล้ว ถึงเขาจะแก่แล้วก็เถอะ แต่ฉันคิดว่าเขาอาจจะกำลังเล่นหิมะอยู่ข้างนอกก็ได้ เขาเป็นหวัดยังดีกว่าเสียอีก

                ภาพของเด็กที่ยังเยาว์วัยคนหนึ่งที่กำลังปั้นมนุษย์หิมะอย่างสนุกสนานปรากฏขึ้นในใจของฮอดกินส์ มันเยี่ยมไปเลยนะครับ ที่ถึงเขาจะเป็นคนจริงจังแต่ก็ยังไม่ลืมความไร้เดียงสาในวัยเด็กแบบนี้

                ไม่หรอกจ๊ะ เขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งนี่ล่ะ แต่เขาก็ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวของเอเวอร์การ์เดนด้วยแต่เราอย่าพูดเรื่องของแพทริกแล้วมาพูดเรื่องของไวโอเล็ตดีกว่า ตอนนี้ในหัวฉันน่ะมีแต่เรื่องของเธอเต็มไปหมดเลย

                ทิฟฟานี่ เอเวอร์การ์เดนเริ่มพูดถึงไวโอเล็ตด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า ดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะให้ความรู้มากมายแก่ไวโอเล็ต ตั้งแต่เรื่องการศึกษา มารยาท ขี่ม้า ร้องเพลง ทำอาหาร และเต้นรำ แต่เธอก็ดูไม่สนุกกับเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด หรือไม่ก็แสดงท่าทีพึงพอใจอยู่ห่าง ๆ และเมื่อเธอไม่มีอะไรทำ เธอก็จะขังตัวเองไว้ในห้องและเขียนจดหมายตลอดทั้งวัน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีจดหมายสักฉบับที่เธอส่งไปแล้วได้รับการตอบรับเลย

                เธอเริ่มจะคุ้นเคยกับทุกคนในบ้านแล้วล่ะ ถึงขนาดเมื่อไม่นานมานี้เธอก็ยังนวดไหล่ให้แพทริกด้วยนะ เขานี่ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจเลยล่ะไม่สิ อาจจะเป็นเพราะเจ็บก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดูกระอักกระอ่วนกับพวกเราอยู่ดี ฉันเชื่อนะว่าเธอเป็นเด็กดี ตอนลูกชายของเราจากไป หัวใจของพวกเราแทบสลาย แต่ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยาทีละนิดแล้วล่ะฉันชอบความไร้เดียงสาที่เธอแสดงออกมาอย่างจริงใจมากเลยล่ะ

                ผมก็เหมือนกันครับ

                แต่ถ้ามีแต่พวกเราที่ดีขึ้น การรับเธอมาเลี้ยงก็ไม่มีความหมายอะไร เธอกอดตัวเองไว้ราวกับว่าเธอหนาว เรารับเธอมาเลี้ยงเพราะว่าเราได้ยินเรื่องของเธอมา และเราก็ควรจะเป็นคนที่มอบอะไรสักอย่างให้เธอมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรือ? เพียงเพราะแค่เราไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันน่ะ…”

                นั่นไม่จริงเลยครับ

                ถึงแม้ฮอดกินส์จะยืนยัน แต่ทิฟฟานี่ก็ยังส่ายหัว เราแทนที่กิลเบิร์ตไม่ได้หรอก

                เหมือนกับที่ไวโอเล็ตเองก็แทนที่ลูกชายของคุณไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกครับ เราเป็นแค่ความสบายใจให้เขาได้เท่านั้น ไม่ว่าเธอจะมาจากที่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้เธอก็ไม่มีที่ให้กลับไปแล้ว และเธอก็ไม่มีคนที่คอยทำอาหารอุ่น ๆ ให้เธอกินด้วย แต่ตอนนี้เธอมีแล้วครับ ในเวลาแบบนี้ เส้นทางที่เธอเลือกเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ แค่นี้ก็มากพอแล้ว มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากพอแล้วครับ ได้โปรดอย่าให้เธอออกจากบ้านคุณไปเลย

                “’ให้เธอออกจากบ้าน’…! ฉันไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นหรอกนะ ถ้าฉันต้องปล่อยไวโอเล็ตไป ฉันขายสามีฉันทิ้งเสียดีกว่า

                สายตาของเธอไม่ได้บ่งบอกว่าโกหกแต่อย่างใด

                คุณทิฟฟานี่ครับที่คุณพูดมันน่าทึ่งมากครับ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเอ็นดูสามีของคุณด้วยเถอะนะครับ

                ถ้าพูดตามจริงแล้ว การมีลูกสาวน่ะน่ารักกว่ามีสามีอีกนะ…”           

                อย่าทำลายความฝันของผู้ชายที่ยังไม่ได้แต่งงานคนนี้สิครับ

                ถ้าคุณสนใจ ฉันหาผู้หญิงมาให้คุณรู้จักได้นะ

                ดวงตาของทิฟฟานี่เปล่งประกาย ฮอดกินส์จึงหยุดบทสนทนาด้วยความรวดเร็วและเดินไปยังห้องของไวโอเล็ตราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง คนรับใช้ในบ้านเอเวอร์การ์เดนมองเขาด้วยความกังวลจากที่ห่างไกล เขายังไม่ตัดสินใจเข้าไปในห้อง แต่พยายามที่จะกระตุ้นตัวเขา

                ––ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอก ใช่ไหมล่ะฮอดกินส์?

              ฮอดกินส์ได้ลิ้มรสความรู้สึกนั้นหลายครั้งหลังจากที่ได้กลายเป็นผู้คุ้มครองไวโอเล็ต เขาเองก็รู้สึกเหงาบ้างเหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความสุขด้วย

                ––ถ้าเป็นเขา เขาก็สามารถให้สิ่งที่กิลเบิร์ตให้ไม่ได้หรือทำไม่ได้

                ถึงจะไม่ได้เป็นตัวแทนของเขาก็ตาม…”

                เขาทุบอกของเขาเพื่อยืนยันบางอย่าง จากนั้นจึงกระแอมในลำคอและลองเคาะประตูสักครั้ง

                เข้ามาได้เลยค่ะ

                เธอคงจะรู้ว่าเป็นเขาจากการได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะมาเยี่ยมที่ห้องของเธอบ่อยครั้ง และถึงแม้ว่าฮอดกินส์จะรู้สึกกังวลที่ต้องแอบเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาวในยามดึกแบบนี้ แต่ในวินาทีต่อมาความตึงเครียดเหล่านั้นก็ได้หายไปทันที

                ท่านประธานฮอดกินส์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ

                ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน เป็นชื่อที่ตั้งตามเทพธิดาแห่งดอกไม้ตนหนึ่งได้กลายเป็นสาวสวยยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากที่ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่เดือน เสื้อคลุมหลวม ๆ ที่เธอสวมใส่นั้นช่างดูเรียบร้อยและบริสุทธิ์ยิ่งนัก ผมสีทองของเธอยาวขึ้นอีกแล้ว และสายตาของเธอก็ช่างน่าพิศวง เธอเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่เหมาะสมกับชื่อที่กิลเบิร์ตมอบให้กับเธอจริง ๆ

                ไวโอเล็ตตัวน้อย เธอทำอะไรอยู่น่ะ?แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่สะดุดตาของฮอดกินส์ก็ไม่ใช่ความสวยของเธอ เสียงของเขาสั่น เขาไม่อยากแสดงท่าทีออกไปมากนักแต่ก็ซ่อนมันไว้ไม่ได้อยู่ดี

                ไวโอเล็ตนั่งอยู่ท่ามกลางกองจดหมายที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ และมองมาที่ฮอดกินส์ที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง มันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองฉบับ แต่เป็นโหล ๆ กองสุมกันราวกับศพ เหมือนกับที่หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง เหลือแต่เพียงความคิดที่ตายไปแล้ว

                เธอไม่ได้ตอบเขาทันที มันอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับใคร ฉันแยกจดหมายอยู่ค่ะ

                จากใครกัน? ฉันเองก็ส่งโปสการ์ดมาให้เธอตลอดเหมือนกันนี่ ใช่ไหม?





                ไม่มีใครทั้งนั้นค่ะจดหมายพวกนี้เป็นจดหมายที่ฉันเขียนแต่ไม่ได้ส่งให้ใคร ฉันไม่ได้ส่งจดหมายตั้งนานแล้วค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะว่าเขาจะไม่มีวันตอบกลับมา ทุกครั้งที่ไม่มีอะไรทำ ฉันพบว่าตัวเองกำลังเขียนจดหมายอยู่ตลอดเลยค่ะ จดหมายพวกนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย มันเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปที่ฉันเขียนเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของฉัน ฉันกำลังคิดว่าฉันควรกำจัดพวกมันทิ้งดีไหมอยู่น่ะค่ะ

                จดหมายที่ไม่ได้ถูกส่งให้ใครกองสุมกันเป็นภูเขา ดวงตาของไวโอเล็ตหม่นแสงลง และอาจเป็นไปได้ว่าช่วงเวลาเดียวที่เธอรู้สึกมีชีวิตชีวานั้นคงเป็นช่วงเวลาที่เธอใช้มันในช่วงสงคราม

                ไวโอเล็ตตัวน้อย…”

                ฮอดกินส์นั่งลงในพื้นที่ว่างท่ามกลางภูเขาจดหมายนั่น เขาสบตาเธอตรง ๆ และเมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่ว่างเปล่าคู่นั้น เขาก็รู้สึกไม่อยากมองอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เขาก็พยายามย้ำเตือนตัวเองว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะเขาไม่ได้เจอเธอมาเสียนาน

                ผู้พันจะไม่มาหาฉันแล้วใช่ไหมคะ?

                ใช่เขาจะไม่มา

                เพราะว่าแขนของฉันขาดฉันก็เลยไม่มีค่าแล้วใช่ไหมคะ?

                ไม่ใช่แบบนั้น

                ฉันยังสู้ได้ค่ะ ฉันแข็งแกร่งได้มากกว่านี้

                สงครามของเราจบลงแล้ว ไวโอเล็ตตัวน้อย

                ถ้านอกเหนือจากการเป็นอาวุธแล้ว ฉันยังถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อยู่ไหมคะ?

                เธอไม่ได้เป็นเครื่องมือของใครอีกแล้ว

                ถ้าอย่างนั้น ถ้าการมีตัวตนของฉันทำให้ผู้พันรำคาญ ช่วยบอกเขาให้ออกคำสั่งกับฉันให้หายตัวไปได้ไหมคะ? ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันก็คงจะไม่มีประโยชน์อีกแล้วค่ะ…”

                ฮอดกินส์อดทนไม่ไหวอีกต่อไปเขาจึงระเบิดน้ำตาออกมา อย่าพูด…แบบนั้นแล้วฉันกับเอเวอร์การ์เดนจะรู้สึกยังไงล่ะ?!”

                เพราะแบบนั้นเพราะ…แบบนั้นฉันถึงไม่รู้ค่ะ…ว่าควรจะทำยังไงดีดวงตาของเธอเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา ไวโอเล็ตขอร้องฮอดกินส์ ถ้าฉันถ้าฉันเป็นเครื่องมือที่ไม่จำเป็นแล้วฉันก็ควรถูกทิ้งค่ะฉันฉันไม่สมควรที่จะถูกรักโดยใครสักคนแบบนี้ทิ้งฉันไปเถอะค่ะ เอาฉันไปทิ้งที่ไหนก็ได้

                เธอไม่ใช่สิ่งของหรอกนะ ฉันคิดว่าเธอเป็นลูกสาวฉันด้วยซ้ำ นี่ ฟังนะ ฉันขอโทษ

                ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

                ไวโอเล็ตตัวน้อย ฉันขอโทษขอโทษจริง ๆ ฉันไม่อยากทำให้เธอเจ็บ

                พาฉันไปหาผู้พันทีค่ะ ได้โปรด

                เพราะแบบนั้นฉันถึงขอโทษ ขอโทษจริง ๆฮอดกินส์หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อของเขา และให้ไวโอเล็ตเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่เป็นประกายสีเงิน

                ไม่ได้เป็นแค่สร้อยคอธรรมดา ๆ แต่เป็นบัตรแสดงตน – เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการระบุตัวตนของผู้ที่เสียชีวิตในสนามรบ ถึงแม้ว่าพวกทหารจะคิดว่ามันเหมือนกับป้ายชื่อของสุนัขและเอามาเล่นตลกกันก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีปัญหาที่จะใส่มัน แต่มันต่างกับผู้ที่ได้รับสิ่งนั้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเองโดยสิ้นเชิง มันระบุชื่อและเพศของทหารไว้ และใช้ในการยืนยันตัวตนของศพในสงคราม ถึงแม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะเสียหายมากจนจำแทบไม่ได้เลยก็ตาม และมีหลาย ๆ คนที่เก็บสร้อยเหล่านั้นของสหายพวกเขาไว้เหมือนกับของที่ระลึก

                ชื่อของคนที่เธอตามหามาเสียเนิ่นนานอยู่บนป้ายนั่น ไวโอเล็ตได้รู้วิธีการเขียนแล้ว และเธอก็ได้ฝึกเขียนชื่อของกิลเบิร์ต

                กิลเบิร์ตตายแล้ว

                ไวโอเล็ต ฉันรักเธอ มีชีวิตอยู่เถอะนะ

              น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงจากดวงตาของไวโอเล็ต

     



                ฤดูร้อนสิ้นสุดลงแล้ว และฤดูใบไม้ร่วงก็ได้มาเยือน ฤดูหนาวถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง และฤดูใบไม้ผลิในไลเดนชาฟต์ลิชนั้นถูกเรียกว่า ฤดูสีขาวต้นไม้ที่ปลูกทั่วถนนของเมืองไลเดนจะเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่ง และกลีบของมันที่ร่วงหล่นลงมาก็ราวกับหิมะ ในช่วงเวลาเช่นนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ออกไปข้างนอกก็จะได้เห็นดอกไม้ที่กำลังเต้นรำอยู่บนท้องฟ้า มันเป็นฤดูกาลที่น่าทึ่งที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นมันก็จะได้เห็นแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น

                ปีใหม่ เป็นเทศกาลที่แสนวิเศษและเหมาะกับการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ

                บริษัทไปรษณีย์ที่เพิ่งสร้างเสร็จนั้นตั้งอยู่ในเมืองไลเดน และมีป้ายที่มีคำว่า บริการไปรษณีย์ซีเอช ตั้งอยู่ บริษัทแห่งนี้ยังไม่เปิดดีก็จริง แต่ประธานบริษัทก็ได้เตรียมพร้อมแล้ว บนโต๊ะในห้องทำงานของเขายังไม่มีอะไรนอกจากโทรศัพท์ซึ่งไร้รสนิยม

                นายโอเคจริง ๆ เหรอ? ถึงแม้ว่าทิวทัศน์ที่มองออกมาจากระเบียงจะน่าทึ่ง แต่คลอเดีย ฮอดกินส์ผู้ที่ซึ่งเป็นประธานบริษัทไปรษณีย์กลับกำลังหรี่ตาราวกับกำลังจ้องมองอะไรสักอย่าง

                บางทีคำพูดของเขาอาจจะทำให้อีกคนรำคาญใจ คนที่ถูกถามถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างเกินเรื่อง

                สิ่งที่นายทำไม่ผิดหรอกนะ ฉันเห็นด้วยเรื่องที่นายจะให้เธอออกจากกองทัพ ฉันถึงได้ช่วยนายไง ตอนแรกฉันก็ลังเลแหละ แต่ตอนนี้ ฉันอยากที่จะปกป้องเด็กคนนั้นจริง ๆ ตอนที่ฉันอยู่กับเธอ ฉันเริ่มที่จะรู้สึกแบบนี้ ฉันอยากถนอมเธอ พูดจริง ๆ นะ แต่รู้ไหมกิลเบิร์ต…” หลังจากที่พันป้ายสุนัขที่กิลเบิร์ตให้เขาใช้มันเพื่อโกหก ฮอดกินส์ก็พลิกมันด้วยเล็บของเขา ฉันพูดเลยนะ ว่านายจะต้องเสียใจหลักฐานที่แสดงถึงการมีชีวิตหมุนไปรอบ ๆ นิ้วของเขาก่อนจะกลับมาที่เดิม นายเป็นพ่อแม่บุญธรรมเธอและเธอก็เป็นลูกสาวของนายไม่ใช่เหรอ? เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและเธอก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยไม่ใช่หรือไง? นายบอกว่าที่นายไม่ไปหาเธอแบบนั้นก็เพื่อตัวเธอเอง แต่จริง ๆ แล้วมันก็แค่ข้ออ้างที่นายจะได้ไม่เข้าไปพัวพันกับไวโอเล็ตตัวน้อยมากเกินไปใช่ไหมล่ะ? ถ้ามันเป็นความรัก นายก็ควรจะปกป้องเธอและให้เธอมาอยู่ข้าง ๆ นายสิ และและนายคิดว่าเธอจะมีความสุขจริง ๆ น่ะเหรอ?ป้ายสุนัขที่ฮอดกินส์จับไว้แน่นเริ่มเย็นขึ้นมาอีกครั้ง สถานการณ์มันอาจจะดีขึ้นก็จริง ถึงไม่มีสงครามเธออาจจะเดินหน้าต่อไปได้จริง แต่ฉันไม่คิดว่าตอนนี้ไวโอเล็ตจะมีความสุขหรอกนะ นายก็เห็น ถึงเธอจะยังเป็นทหารอยู่ถึงจะยังเป็นแค่เครื่องมือของกองทัพอยู่ แต่เธอก็ดีใจที่ได้อยู่ข้างนาย! เธอมีความสุข! เธอมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการเดินตามนาย และตอนนี้เธอก็ยังทำแบบนั้น เธอก็จะยังทำแบบนั้นถึงฉันจะบอกว่านายตายไปแล้วก็เถอะ นายเข้าใจใช่ไหม? เธอเป็นผู้หญิงแบบนั้น! และถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอีก เธอก็จะใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนวันตายด้วยการ รอ รอ รอ แล้วก็รอเจ้านายของเธอที่จะไม่มีวันมาหาเธอยังไงล่ะ…!”

                หญิงสาวจะทำแค่เพียงเฝ้ารอชายคนนั้นที่เธอเข้าใจว่าตายไปแล้วตลอดไป ใบหน้าของเธอ และดวงตาสีฟ้าที่แสนโดดเดี่ยวของเธอสั่นไหวในใจของฮอดกินส์แล้วก็เลือนหายไป

                เธอน่าสงสารเกินไป! กิลเบิร์ตอย่าทำเป็นไม่สนใจความต้องการของเด็กคนนั้นสิวะ! การที่นายคิดว่านายปกป้องเด็กคนนั้นด้วยการทำตัวเหินห่างแบบนี้น่ะมันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ของนายเลยนะ ฉันรู้ทันความคิดของนายนะ นายคิดว่านายจะไม่เป็นไรตราบใดที่นายอยู่ห่างไกลจากคนอื่นแบบนี้เพราะนายยังอ่อนวัย แข็งแรง แล้วก็สุขภาพดีใช่ไหม? นายคิดว่าจะปกป้องตัวเองไปแบบนั้นจนกว่านายจะตายใช่ไหม? นายแกล้งทำเป็นว่านายรู้สึกสงบดีใช่ไหมล่ะ? นายมันไอ้โง่เอ๊ย! ใคร ๆ ก็ตายอย่างไม่มีเหตุผลทั้งนั้นแหละ อย่าประเมินค่าตัวเองสูงไปนักเลย ขนาดฉันยังคิดว่าฉันอาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวเองจะตายยังไง ไม่มีใครโอเคจริง ๆ หรอก เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อไหร่นะกิลเบิร์ต ไม่ว่านายหรือเธอก็แล้วแต่ นายจะต้องเสียใจและร้องไห้ออกมาอย่างแน่นอน เพราะว่าถ้าสุดท้ายนายจบลงด้วยการไปร้องไห้ที่ไหนสักที่ฉันก็คงจะไปปลอบนายไม่ได้หรอกนะ ถึงฉันจะเป็นเพื่อนนายก็เถอะ แต่ตอนนี้ฉันก็เป็นผู้ปกครองของไวโอเล็ตเหมือนกัน แหกปากเท่าที่นายต้องการและก็สาปแช่งตัวเองซะ ฟังนะ อย่าโทรมาหาฉันอีกจนกว่านายจะคิดเรื่องนี้ใหม่! นายนี่มันไอ้งั่งจริง ๆ…! หลังจากตะคอกเสร็จ ฮอดกินส์ก็กระแทกหูโทรศัพท์ลงกับโทรศัพท์ด้วยความรุนแรง

                แต่ความโกรธของเขาก็ยังไม่ลดลง เขาจึงปาป้ายสุนัขลงบนพื้น วัตถุสีเงินที่เขาปามันทิ้งนั้นตกลงบนพื้นอย่างน่าสังเวช

                ไอ้โง่เอ๊ย…”

                ยิ่งฮอดกินส์รู้จักไวโอเล็ตมากขึ้นเท่าไหร่ ความเจ็บปวดนั้นก็ยิ่งแผดเผาข้างในอกของเขามากเท่านั้น และความรู้สึกผิดที่ได้เห็นความเศร้าของเธอนั้นก็กำลังทรมานเขา

                ไอ้โง่เอ๊ย…”

                และในทำนองเดียวกัน ความเจ็บปวดนั้นก็เกิดขึ้นกับกิลเบิร์ตเหมือนกัน

                ฮอดกินส์ถอนหายใจเมื่อมองป้ายสุนัขที่เขาปามันลงไปกับพื้นในขณะที่อารมณ์เริ่มคงที่แล้ว เขาคุกเข่าลงและเก็บมันขึ้นมาอีกครั้ง ชื่อของ กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย ถูกสลักไว้ในป้ายนั่น และเป็นชื่อของชายที่เกิดในครอบครัวที่เข้มงวดและมักจะได้รับความคาดหวังอยู่เสมอ เขาเชี่ยวชาญในการฆ่าตัวเองเพื่อคนอื่น และถึงแม้ว่าฮอดกินส์จะไม่รู้ว่าเขาฆ่าตัวเองมากี่ครั้งแล้ว แต่ตอนนี้มือของเขาก็คงจะถูกย้อมด้วยเลือดของตัวเขาเอง

                และในตอนที่เขาทิ้งศพของตัวเองที่เขาได้ฆ่ามาอย่างต่อเนื่องนั้น กิลเบิร์ตก็ได้พบกับไวโอเล็ต

                เขาเป็นผู้ชายที่ไม่เคยมีสิ่งที่อยากทำหรือมีสิ่งที่อยากพูดเกี่ยวกับความฝันของเขาเหมือนที่ฮอดกินส์มี เขาเดินอย่างเงียบเชียบ สงบ และช่ำชองในเส้นทางที่เส้นยาวไกลและคับแคบของเขา และเมื่อเขาได้พบกับไวโอเล็ต กิลเบิร์ตก็ได้ทำลายเส้นทางของเขาเป็นครั้งแรก

                การเอาไวโอเล็ตออกจากกองทัพนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดเลยสักนิด แม้กระทั่งเส้นสายและความดีที่เขาได้สะสมมาตลอดก็ไม่เพียงพอ และเพื่อที่จะทำแบบนั้นได้ กิลเบิร์ตจะต้องปีนขึ้นไปให้สูงกว่านั้น – ให้สูงเสียยิ่งกว่ายอดของพีระมิด ปีนไปจนถึงจุดสูงสุดที่จะไม่มีใครมาด่าทอเขาได้

                ไม่มีเครื่องมือที่ไม่สามารถทำลายได้ติดตามเขาอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้ว หญิงสาวที่เขารักก็จะไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาอีก เขาทิ้งเธอก็เพราะว่าเขารักเธอจนหมดหัวใจ เขายอมพนันกับทุกสิ่ง พนันด้วยชีวิตของตัวเขาเอง เขาฆ่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะปกป้องเธอ

                มีแต่พวกโง่อยู่เต็มไปหมดฮอดกินส์เก็บป้ายสุนัขและซ่อนไว้ในเสื้อของเขาอีกครั้ง

                เขาเคยได้เห็นเพื่อนรักของเขาร้องไห้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น – ก็คือตอนที่หมอนั่นเห็นแขนเทียมของไวโอเล็ตครั้งแรก ฮอดกินส์ไม่ได้รู้เรื่องของเขาทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นเพื่อนของเขามีสีหน้าแบบนั้น ฮอดกินส์เคยคิดว่ากิลเบิร์ตเป็นคนเย็นชา จนกระทั่งเขาได้เห็นกิลเบิร์ตร้องไห้ออกมา

                ฮอดกินส์ ฉันมีเรื่องจะขอ

              แค่เหตุผลข้อนั้นข้อเดียวก็เพียงพอแล้วที่เขาจะตกลง

                ให้ตายสิ ให้ตาย…”

                ข้างนอกของบริษัทไปรษณีย์นั้น มีผู้ชายกับผู้หญิงกำลังกำลังกระแทกประตูพร้อมกับทะเลาะกันไปด้วย ฮอดกินส์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเดินไปยังประตู กริ่งดังขึ้นทันทีเมื่อประตูเปิดออก

                คุณอยู่นี่เองสินะ เมื่อเทียบกับคลอเดีย ฮอดกินส์ ผู้ที่ซึ่งเป็นประธานของบริษัทไปรษณีย์ที่กำลังพยายามทำให้ตนเองอารมณ์ดีนั้น ทั้งสองคนที่มาใหม่กำลังมีสีหน้าบูดบึ้ง

                คุณเรียกเรามาทำไมกัน? วันนี้ยังไม่ใช่วันเปิดบริษัทนี่นาใช่ไหม? แล้วก็ คุณน่ะควรจะสอนผู้หญิงงี่เง่าคนนี้ให้มีมารยาทหน่อยนะ

                ท่านประธานคะ อย่าทิ้งฉันไว้กับเขาอีกเลยนะคะ ฉันต้องอดทนมากเลยล่ะค่ะที่จะไม่ตีเขา

                อย่าโกหกสิ เธอเพิ่งจะตีฉันไปเองนะ! เธอกล้าพูดว่า อดทนไปได้ยังไงวะเนี่ย?!”

                เฮ้ นี่ พวกเธอสองคนอาจเป็นเพราะว่าเขาชินกับการที่เห็นทั้งสองคนกัดกันอยู่แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มบทสนทนา และเมื่อพวกเขาอ้าปากจะเถียงกัน ฮอดกินส์จะยืนอยู่อย่างเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดในฐานะที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยการโต้แย้งที่แสนอันตรายนั่น เบเนดิกต์ แคทลียา เริ่มทำงานวันนี้แหละ ฉันอยากจะเพิ่มสมาชิกผู้ก่อตั้งบริษัทไปรษณีย์ซีเอชอีกคนหนึ่งน่ะถึงแม้ว่าเขาจะพยายามที่จะพาเธอเข้ามาท่ามกลางพวกเขา แต่เมื่อได้ยินเสียงว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นมาจากทางลาดด้านหลังของลูกจ้างทั้งสองคน เขาจึงหยุดพูด

                พูดอะไรน่ะ? ผมไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย

                เธอกำลังเดินขึ้นมาหาพวกเขาบนทางลาดที่ยาวด้วยเท้าและความตั้งใจของเธอเอง หางตาตก ๆ ของเขาก้มลงมอง จากนั้นฮอดกินส์ก็ยิ้มออกมา

                ท่านประธานคะ เธอเป็นผู้หญิงหรอ? เธอน่ารักไหม? มากกว่าฉันไหมคะ?

                เธอเป็นผู้หญิง และก็เด็กที่สุดในพวกเราสามคนด้วย เธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่างน่ะ ก็นะพวกเธอทั้งสองคนก็เป็นคนแปลก ๆ ที่มีเรื่องของตัวเองเหมือนกันใช่ไหมล่ะ แต่เธออาจจะเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดเลย อายุของเธอใกล้เคียงกับพวกเธอเลย ฉันเลยอยากให้พวกเธอเข้ากันได้ ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมเธอตลอดจนสุดท้ายเธอก็ยอมตกลงนี่ล่ะ ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ต้องเดินทางไปรอบโลกใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นประสบการณ์ที่เธอได้รับก็คงจะช่วยทำให้เธอเจอสิ่งที่เธอต้องการน่ะนะและเมื่อพวกเขาทั้งสองคนหันหลังไป เขาก็กวาดมือออกไปเพื่อแนะนำเธอให้กับพวกเขา

                ผู้หญิงที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของพวกเขานั้นไม่ใช่ ไวโอเล็ตคนเดิมอีกต่อไป

                ให้ฉันแนะนำให้พวกเธอรู้จัก นี่คือไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน

                ไวโอเล็ตที่มีความงามที่แสนเย็นชานั้นกำลังโค้งคำนับราวกับตุ๊กตา









































    /

    *สีบอร์กโดซ์ = สีนี้
    *ซูเอ็ด = หนังกลับชนิดหนึ่ง
    *สีวีสทีเรีย = สีนี้

    ฮอดกินส์ คุณพ่อที่ลูกโตเป็นสาวแล้ว
    กิลเบิร์ตก็โดนด่าไปตามยถากรรม กล้าทิ้งไวโอเล็ตได้ยังไงๆๆๆๆ



    S
    N
    A
    P
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×