คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : The Girl Soldier and Her Everything
/
The Girl Soldier and Her Everything
สมรภูมิรบราวกับผีเสื้อ
โอนเอนไปมา ชีวิตของพวกเขาระหกระเหินไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ฉันจะเข้าไปทำลายปืนใหญ่ที่อยู่แนวหน้าของพวกเขาค่ะ”
การต่อสู้เป็นเหมือนธุรกิจ
เต็มไปด้วยความจริงและคำโกหก ทั้งการต่อรอง และการหลอกหลวง
สิ่งที่ได้มามีทั้งรายได้และการสูญเสีย
“ฉันจะเป็นกองหนุนให้เธอเอง แต่ไวโอเล็ต อย่าลืมล่ะ ว่าสงครามนี้ไม่ได้มีแค่เธอเท่านั้น”
ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่
โอกาสที่จะมีชีวิตรอดก็น้อยลงเท่านั้น
ทหารถูกโยนเข้าไปกองเพลิงที่ลุกโชติช่วงราวกับหมากตัวหนึ่งในเกมหมากรุก
“ฉันรู้ค่ะ
แต่แค่ฉันคนเดียวก็ทำได้ค่ะ ฉันคิดว่าไม่ต้องให้คนอื่นเข้ามาช่วยก็ได้”
แม้ว่าทหารจะต้องอยู่รวมกัน
แต่ก็เป็นการรวมตัวกันของคนที่แตกต่างกัน
“สงครามไม่สามารถชนะได้ด้วยตัวเธอคนเดียวหรอกนะ
การจะได้ชัยชนะมานั้นจะต้องได้มาจากความร่วมมือของทหารทุกนาย”
ในทหารจำนวนมากเหล่านั้น
แน่นอนว่าจะต้องมีใครคนหนึ่งที่มีความผูกพันอย่างใกล้ชิดกับใครอีกคน
“ฉันเข้าใจค่ะ ในฐานะทหาร
ฉันจะมอบชัยชนะนั้นให้คุณค่ะผู้พัน และฉันก็จะปกป้องคุณด้วย
นี่เป็นเหตุผลที่ฉันมีชีวิตอยู่ค่ะ”
ถึงแม้ว่าจะมีสีผิวที่แตกต่างกัน
แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของพวกเขาหรือทุกสิ่งที่พวกเขามีบนร่างกายของพวกเขาต่างก็มีข้อตำหนิเหมือนกัน
ทุกคนต่างก็เหมือนกันมาตั้งแต่แรกทั้งนั้น ถ้าลองแยกชิ้นส่วนดูแล้ว พวกเขาต่างก็มีองค์ประกอบในเลือด เนื้อหนัง
หรือกระดูกเหมือนกันทุกคน แต่อย่างไรก็ตาม
ถ้าหากเทียบร่างกายของชายหนุ่มที่เกิดในประเทศที่มีหิมะ กับเด็กชายทางตอนใต้ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยดิน
สิ่งที่พวกเขาไม่มีเหมือนกันก็คือประเทศของพวกเขานั่นเอง
“ฉันไม่เป็นไร เธอห่วงร่างกายของตัวเองเถอะ”
การเกิดและการตายเป็นเรื่องธรรมดา
และเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน
“ผู้พันคะ
ฉันเป็นเครื่องมือของคุณค่ะ…เป็นอาวุธ…ที่มีอยู่เพื่อปกป้องผู้ที่ใช้มัน
ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้นกับฉันเลยค่ะ คุณ…ออกคำสั่งอย่างเดียวก็พอแล้วค่ะ
ได้โปรดพูดคำว่า ‘ฆ่า’ ให้ฉันด้วยค่ะ”
ถ้าเป็นอย่างนั้น
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าสาเหตุเหล่านั้นหายไป?
ดวงตาสีเขียวมรกตหม่นลง
ท่ามกลางสนามรบที่ทุ่งหญ้ากำลังถูกแผดเผาและคลุ้งไปด้วยฝุ่น
เจ้านายและลูกน้องของเขาได้สบตากันและกัน ลูกสมุนที่เจ้านายได้เก็บมาเลี้ยงนั้นเป็นความโหดร้ายที่แสนงดงาม
ว่ากันว่าความภาคภูมิใจของความโหดร้ายที่แสนงดงามนั่นคือการที่เธอเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
และไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นแสนไร้เดียงสาเพียงใด จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่ดวงตาของเธอจะปิดลงและหลับไปชั่วนิรันดร์
เธอก็จะไม่มีวันรู้ถึงความรู้สึกที่ร่างกายของเธอกำลังถูกแผดเผาอยู่
ถึงแม้ว่าจะมีความสำนึกผิด แต่ก็ไม่มีทางทำให้เธอหลุดพ้นจากบาปนั้นได้
เธอไม่เคยเชื่อในสิ่งใด และเธอก็คงจะใช้ชีวิตต่อไปแบบนั้น
“ไวโอเล็ต”
เธอถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน
“ฆ่ามัน”
ในที่สุดสงครามที่แสนยาวนานที่เกี่ยวข้องกับประเทศพันธมิตรของตะวันออก ตะวันตก ตอนเหนือ และตอนใต้ที่เรียกว่าสงครามทวีปก็จบลง
ความขัดแย้งด้านทรัพยากรระหว่างตอนเหนือและตอนใต้
ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างตะวันออกและตะวันตก
และการก่อตั้งพันธมิตรของตอนเหนือและตะวันออก กับตอนใต้และตะวันตกที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือกันและกันก็ได้แตกพ่าย
พันธมิตรตอนเหนือและตะวันออกได้พ่ายแพ้ไป และตอนใต้กับตะวันตกเป็นฝ่ายชนะ
โดยปกติแล้ว
เรื่องการค้าที่ไม่เท่าเทียมระหว่างตอนใต้และตอนเหนือก็ร้ายแรงมากอยู่แล้ว และเป็นสาเหตุที่บังคับให้ตอนเหนือต้องประกาศสงคราม จึงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม
เมื่อสงครามจบลงก็ย่อมต้องมีการชดเชย เนื่องจากไม่ได้รับการอนุมัติจากประเทศอื่น ๆ
ทางตอนใต้จึงขอให้ถอดถอนโรงงานทหารออกไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเพื่อชดใช้เรื่องสงคราม
ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่อการผลิตและจัดเก็บอาวุธและกระสุน ส่วนประเทศทางตอนเหนือนั้นถึงจะขาดแคลนทรัพยากร
แต่อุตสาหกรรมของพวกเขานั้นก็เหนือกว่าทางตอนใต้
ดังนั้นการยึดเทคโนโลยีและปลดกองกำลังทหารของพวกเขานั้นจึงถือเป็นค่าชดเชยสงคราม
เมื่อไม่มีการลงโทษอื่น ๆ อีกก็เหมือนจะก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในตอนแรก
แต่จริง ๆ แล้ว กฎเหล่านั้นมันไม่ได้มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรกและเพิ่งจะถูกกำหนดขึ้นมา
ส่วนข้อยุติระหว่างตะวันออกและตะวันตกเป็นการสมานฉันท์แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น
ตะวันตกที่ซึ่งเป็นฝ่ายชนะไม่ได้ห้ามการนับถือของทางตะวันออกแต่อย่างใด
และยังแนะนำการอยู่ร่วมกันอย่างสันติด้วย แต่อย่างไรก็ตาม
ในความหมายที่แท้จริงนั้นมันไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนที่ประนีประนอมสักเท่าไหร่
เนื่องจากตะวันออกจะต้องช่วยเรื่องภาษีให้กับแต่ละคริสตจักรของตะวันตก
และยิ่งไปกว่านั้น ตะวันออกยังถูกห้ามไม่ให้เข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดของตะวันออกและตะวันตก
ซึ่งเป็นสมรภูมิรบครั้งสุดท้ายด้วย
มีการแถลงการณ์หลายอย่างไปทั่วทั้งทวีป
ก้อนเนื้อร้ายที่เรียกว่าสงครามทวีปนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในความขัดแย้งระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ที่วางข้อจัดต่าง ๆ ให้กันและกัน
อย่างไรก็ตาม สันติภาพก็ได้กลับคืนไปยังประเทศที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เป็นการชั่วคราว
ทหารที่ได้รับบาดเจ็บรวมถึงทหารที่ได้ปกป้องประเทศก็ถูกรวมอยู่ในการชดเชยหลังสงครามด้วยเช่นกัน
และจุดประสงค์หลักก็เพื่อให้การรักษาผู้ที่บาดเจ็บในสงครามนั่นเอง
ไลเดนชาฟต์ลิชเป็นหนึ่งในประเทศที่ชนะสงคราม
และมีโรงพยาบาลทหารที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ไม่สูงมากนัก
เนินเขานั้นมีชื่อว่าอองเชน มันเป็นที่ที่เข้าไปถึงยาก
เพราะถนนทั้งเส้นนั้นสร้างขึ้นจากต้นไม้หนาทึบ ซึ่งถนนนั้นมีความแคบ
ต้องใช้ความระมัดระวัง และมีฝีมือการขับรถที่ดีด้วยเพราะถนนเส้นนี้มักจะมีรถม้าและรถผ่านไปมาเสมอ
โดยปกติแล้ว มันเคยเป็นสถานที่ที่ใช้พักผ่อนหย่อนใจของเหล่าทหาร
แต่ในตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลไปแล้วอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีโรงพยาบาลที่ขาดแคลน
ซึ่งมีสาเหตุมาจากสงคราม และทหารที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากจึงทำให้มีเตียงสำหรับผู้ป่วยไม่เพียงพอนั่นเอง
เมื่อเดินไปตามถนน
ก็จะสังเกตได้ว่ามีพวกสัตว์ตัวเล็ก ๆ อยู่มากมาย เช่น กระรอก และกระต่าย
ถึงแม้ว่าจะมองจากโรงพยาบาลก็ยังเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ได้ถึงสามตัวเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็ยังคงความหรูหราและสวนหย่อมที่กว้างขวางของสถานที่ไว้ได้อยู่
มันเป็นที่ที่ช่างเหมาะกับการออกมาข้างนอกและเล่นบอลกลางแจ้งซะเหลือเกิน
และใคร ๆ ก็สามารถที่จะเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นอย่างสงบสุขในป่าได้
แม้แต่ในส่วนที่ไม่มีคนก็ยังมีแสงอาทิตย์ที่แสนสดใส และเนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของทหารที่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น
ตอนนี้ทางโรงพยาบาลจึงสามารถขอรถม้าเพื่อนำมาใช้ร่วมกันได้แล้ว และพวกเด็ก ๆ ที่เหล่าครอบครัวของทหารได้พามาด้วยก็เล่นด้วยกันถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม
ท่ามกลางคนที่กำลังลงมาจากรถม้าของตัวเองนั้นมีชายคนหนึ่งที่มีหน้าตาชวนสะดุดตายิ่งนัก
เขาสวมเสื้อกั๊กลายสก็อตทูโทนสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาว
และกางเกงขายาวที่ทำจากผ้าสีบอร์กโดซ์* และตกแต่งด้วยเข็มขัดหนังซูเอ็ด*
ผ้าลายสก็อตของเขานั้นส่งเสียงกรอบแกรบเล็กน้อยเพราะเข็มขัดของเขา เขาเป็นชายที่มีเสน่ห์
ผมสีแดงเข้มของเขาถูกมัดไว้อยู่ด้านหลัง
บางทีอาจเป็นเพราะเขามีคนรู้จักอยู่มากมายในโรงพยาบาล ไม่เพียงแต่พยาบาลเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงคนไข้ในโรงพยาบาลและครอบครัวของพวกเขาด้วย ทุกคนจึงเข้ามาทักทายเขา
และเขาก็ทักทายคนเหล่านั้นกลับด้วยความยินดี ถึงแม้ว่าจะหยุดทักทายใครหลายคน
แต่ท่าทางการเดินของเขาก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยน
เขาเดินขึ้นบันไดและเดินผ่านทางเดิน
ทิวทัศน์ที่มองออกไปนอกหน้าต่างบนเนินเขาอองเชนนั้นเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด
เหนือจากป่าภูเขาไปนั้นก็คือเมืองไลเดน ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญ
นกนางนวลบินอยู่บนท้องฟ้าและเริ่มบินห่างออกไปเรื่อย ๆ
ฤดูกาลในตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน
ลมจากภูเขาพัดกลิ่นดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งและลอยละล่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
ห้องที่ชายคนนั้นเข้ามาหลังจากเคาะประตูเรียบร้อยนั้นเป็นห้องรวมผู้ป่วย
แต่ทหารหญิงและทหารชายถูกแยกกันอย่างชัดเจน ผู้ป่วยบางคนก็ถูกแยกด้วยผ้าม่านกั้นไว้และทำให้มองไม่เห็น
และทุกคนที่อยู่หลังม่านนั่นก็เป็นผู้หญิง
“คุณฮอดกินส์คะ
เธอเพิ่งตื่นค่ะ…แต่จริง ๆ แล้ว เธอกำลังเซ้าซี้ฉันอยู่น่ะค่ะ”
ฮอดกินส์รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินพยาบาลพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“ไม่มีทางน่า
พูดจริงเหรอ?” เสียงของเขาดังสะท้อนก้องไปทั่วโรงบาล
และแสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจ ความสุข
และความไม่สบายใจเล็กน้อย
เขามองไปรอบห้องด้วยความประหม่า
และคนที่เขาถามถึงก็นอนอยู่ตรงนั้น บนเตียงที่ทำจากท่อสีขาวที่ขึ้นสนิม
เขาจ้องไปที่มือของเธอ ดวงตาสีฟ้ามองแขนเทียมที่ติดอยู่กับไหล่ของเธอด้วยความพิศวง
ผมของเธอยาวขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ แต่ก็ยังคงนุ่มสลวยและเป็นสีทองราวกับจมูกข้าว
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากเสียจนเพียงแค่มองก็สามารถทำให้ใครสักคนหยุดหายใจได้เลย
เมื่อเธอสังเกตเห็นฮอดกินส์
ผู้ที่พยายามจะชวนเธอคุย เธอก็เอ่ยออกมาก่อน “ผู้พัน…ผู้พันกิล…เบิร์ต…อยู่ที่ไหนคะ?”
ริมฝีปากของเธอแตกระแหกและมีเลือดประปราย
“ไวโอเล็ตตัวน้อย…ก่อนหน้านี้เธอกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรามาสักพักหนึ่งเลยล่ะ”
ผู้หญิงคนนี้เป็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ
เธอเป็นพลังขับเคลื่อนของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช และต่อสู้อยู่ในมุมมืดโดยที่ไม่ได้รับการลงทะเบียนเป็นทหารเหมือนคนอื่น ๆ
– เป็นเพียงแค่อาวุธที่มีแค่ผู้ชายคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้เธอได้
เธอคือไวโอเล็ต
“เธอ…จำฉันได้ไหม? ฉันฮอดกินส์เอง
ฉันเป็นผู้บัญชาการของหน่วยต่าง ๆ ของไลเดนชาฟต์ลิชตอนที่อยู่อินเทนซ์ คืนก่อนศึกครั้งสุดท้ายไง
เราได้ทักทายกันด้วยนะ จำได้ไหม? เธอไม่ยอมตื่นเลย เพราะงั้นฉันก็เลยกังวลน่ะสิ”
อย่างไรก็ตาม
สำหรับฮอดกินส์นั้น
เรื่องที่เธอเป็นคนที่เพื่อนสนิทของเขาเลี้ยงมานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก
และเมื่อเขาได้ยินผู้ป่วยคนอื่น ๆ เริ่มกระซิบกระซาบกัน
เขาจึงปิดม่านกั้นและนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ ๆ
ไวโอเล็ตมองผ่านช่องว่างระหว่างมาก
ราวกับว่าเธอหวังว่าจะมีใครเดินเข้ามาจากตรงนั้น “แล้วผู้พันล่ะคะ…?”
“เขาไม่อยู่ที่นี่หรอก เขา…ค่อนข้างยุ่งเพราะเรื่องชัยชนะหลังสงครามน่ะ
เขาเลยมาที่นี่ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้น…เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมคะ?!”
“ใช่…แล้ว”
“แล้วอาการบาดเจ็บของเขาล่ะคะ? เขาเป็นยังไงบ้าง?” เขาผงะเมื่อเห็นความก้าวร้าวที่รุนแรงของเธอ
ฮอดกินส์จึงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเธอยังไงดี “ถ้าเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บล่ะก็
เขาดีกว่าเธอเยอะเลย เธอควรจะกังวลเรื่องของตัวเองมากกว่านะ”
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน…มันไม่สำคัญหร…” ในเสี้ยววินาทีนั้น
ไวโอเล็ตมองเข้ามาในตาของฮอดกินส์ราวกับกำลังสงสัยบางอย่าง “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือคะ?” สายตาของเธอเย็นเฉียบ
และอาจเป็นเพราะว่าเธอสวยมาก มันจึงทำให้ภาพลักษณ์ของเธอดูเย็นเยียบมากขึ้นไปอีก
แต่ฮอดกินส์กลับจ้องเธอกลับอย่างไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ
ตรงกันข้าม เขายังยิ้มออกมาด้วยความร่าเริงด้วย “อย่ากังวลไปเลย ไวโอเล็ตตัวน้อย
ฉันมาเยี่ยมเธอก็เพราะว่าเขาขอมาน่ะสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
และราวกับสร้างบรรยากาศที่ดูอบอุ่นขึ้นมาในทันที
นั่นเป็นความสามารถพิเศษของฮอดกินส์เลยล่ะ
มันเป็นความสามารถที่เขาทำได้ตั้งแต่การยอผู้บังคับบัญชาของเขาไปจนถึงการโอ้โลมขอเข้าไปในห้องของหญิงสาว
กระบวนการอาจจะต่างกันเล็กน้อย แต่ก็เกิดจากเทคนิคเดียวกันทั้งนั้น
“ผู้พัน…ขอหรือคะ?”
อย่างแรกที่เขาต้องทำ
ก็คือทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเขามาอย่างเป็นมิตร
“ช่าย
เราเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนที่โรงเรียนทหารเลยล่ะ
เรามักจะช่วยเหลือกันเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เราอาจจะสนิทกันมากกว่าครอบครัวของเราเสียอีก
เพราะแบบนั้นฉันถึงได้รับการไว้วางใจให้มาเยี่ยมเธอยังไงล่ะ กิลเบิร์ตน่ะกังวลเรื่องเธอมากนะ
ฉันเป็นพยานได้เลยล่ะ แต่เธอคงจะลืมฉันไปแล้วสินะ…”
“เปล่าค่ะ…ผู้พันฮอดกินส์ ฉันจำได้ค่ะ ครั้งนั้นเป็นครั้งที่สอง…ที่เราเจอกัน”
“หืม
เธอจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ด้วยเหรอ? แต่เธอ…ไม่ได้พูดถึงมันเลยนะในคืนวันนั้นน่ะ”
ฮอดกินส์เคยพูดกับไวโอเล็ตในครั้งที่สองที่พวกเขาเจอกันว่า
“ก็นะ
นี่ไม่ใช่ครั้งที่เธอเจอฉันหรอกนะ แต่เธอคงจำฉันไม่ได้หรอกใช่ไหม? เรียกฉันว่า ‘ผู้พันฮอดกินส์’ สิ” แต่ไวโอเล็ตก็ไม่ได้ตอบอะไร
ทำเพียงแค่ให้ความเคารพเขาเท่านั้น
“ฉันนึกว่าฉันไม่จำเป็นต้องตอบน่ะค่ะ”
“เธอจำ…ตอนที่เรากันที่สนามฝึกซ้อมได้จริง ๆ เหรอ?”
“ตอนนั้นฉันยังไม่รู้คำศัพท์ค่ะ
ฉันก็เลยไม่รู้ว่าคุณพูดอะไรกับฉัน แต่ผู้พันฮอดกินส์ก็ดูสนิทสนมกับผู้พัน…ผู้พันกิลเบิร์ตดีค่ะ”
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเธอเป็นคนที่ไม่สนใจสิ่งรอบตัว
แต่เมื่อเขารู้ความจริงแล้วมันจึงทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าที่จะประหลาดใจ
บรรยากาศตึงเครียดระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
ไวโอเล็ตรู้สึกประหม่าฮอดกินส์ ในขณะที่ฮอดกินส์เองก็รู้สึกประหม่าไวโอเล็ตเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็สบายดีใช่ไหมคะ…?” ไวโอเล็ตหลับตาและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ที่พยาบาลบอกว่าเธอกำลัง
“เซ้าซี้” นั่นอาจจะหมายถึงเรื่องที่เธอถามแต่เรื่องของกิลเบิร์ตกระมัง
“หน่วยของเธอประสบความสำเร็จอย่างมากเลยล่ะ
แต่ก็สูญเสียทหารไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็นะ…ก็คงจะเป็นเหมือนกันทุกหน่วยแหละ
แล้วก็เป็นไปตามแผน เธอก่อความวุ่นวายได้สำเร็จ
และก็ทำให้พวกทางเหนือหยุดชะงักไปเลยล่ะ พวกเราจึงล้มพวกมันได้”
“หมอบอกฉันว่า…เราชนะสงคราม แต่ฉัน…จำช่วงสุดท้ายของสงคราม…ไม่ได้เลยค่ะ”
“เธอนอนอยู่บนตัวของกิลเบิร์ตน่ะ
และพวกเธอสองคนก็หมดสติไปทั้งคู่ แต่กำลังเสริมก็เข้าไปช่วยพวกเธอได้ทัน
ตอนนั้นพวกเธอสองคนก็ใกล้ตายแล้ว แต่สุดท้ายก็รอดทั้งคู่
เธอเสียเลือดไปเยอะมากเลยล่ะ”
––เพราะว่าระดับความอดทนของเธอสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปน่ะสิ ประโยคนั้นพุ่งขึ้นมาในลำคอของเขา แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยมันออกไป
“ตอนนี้…ผู้พันกำลังทำภารกิจอะไรอยู่คะ?
ฉันจะได้ไปช่วยเขาตอนไหน? ร่างกายของฉัน…ขยับไม่ได้เลยค่ะ
แต่…มันคงจะหายดีในอีกไม่กี่วัน
ผู้พันเองก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกันค่ะ ตาของเขา…”
เสียงของไวโอเล็ตค่อย ๆ แผ่วลง “ฉันปกป้องเขาไม่ได้ค่ะ
แต่อย่างน้อยฉันก็น่าจะอยู่เคียงข้างเขาเพื่อทำหน้าที่แทนตาของเขา”
––มันไม่ใช่สิ่งที่ดีนักหรอก…กับการที่จะเชื่อในบางสิ่ง…มากเกินไปน่ะ
ตั้งแต่แรก
หญิงสาวดูไม่ได้เสียใจกับการที่เธอสูญเสียแขนไปเลยแม้แต่น้อย
แต่กลับเป็นกังวลเรื่องของผู้ชายอีกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้ ฮอดกินส์อดคิดไม่ดีกับความจงรักภักดีที่หน้ามืดตามัวของเธอไม่ได้เลย
––ความเชื่อใจกับความเลื่อมใสนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และไวโอเล็ตก็ดูเข้าข่ายกับความเลื่อมใสมากกว่า
แต่สำหรับฮอดกินส์นั้น เขามักจะคิดเรื่องกำไรและขาดทุนอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อสิ่งของหรือเรื่องคนรักก็ตาม
และการประเมินค่าสูงเกินไปก็ไม่ดีนัก
ยิ่งถ้าเกิดกรณีอย่างเช่นการทรยศหรือหายตัวไปก็จะทำให้เขาทนไม่ได้เสียเอง ถ้าเป็นเรื่องเข้าสังคมเขาจะเป็นคนที่ร่าเริงเป็นอย่างมาก
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลเมื่อไหร่
เขาจะกลายเป็นคนที่ดูสุขุมเย็นชาในทันที
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกนะไวโอเล็ตตัวน้อย
เธอควรจะกังวลเรื่องร่ายกายของตัวเองมากกว่านะ แขนของเธอ…เธอคงจะเห็นมันแล้วสินะ
แต่เราคงทำอะไรกับมันไม่ได้แล้วล่ะ ฉันอยากให้พวกเขา…ใส่แขนเทียมที่ดูบอบบางกว่านี้ให้เธอ
แต่…เพราะที่นี่เป็นโรงพยาบาลทหาร
พวกเขาก็เลยหาได้แต่แบบที่เหมาะกับการต่อสู้น่ะ ฉันขอโทษด้วยนะ”
“ก็ดีแล้วนี่คะที่มันแข็งแรง
คุณจะขอโทษทำไมคะผู้พันฮอดกินส์?”
เมื่อถูกถามแบบนั้น
ฮอดกินส์ก็ยักไหล่ และไม่รู้จะตอบเธอว่ายังไงดี “ฉันก็สงสัยเหมือนกัน” หางคิ้วของเขาตกลงราวกับว่าเขากำลังมีปัญหา
และเพราะแบบนั้น
บทสนทนาระหว่างพวกเขาก็หยุดลงและมีแต่ความเงียบ
บางทีอาจจะเป็นเพราะในโรงพยาบาลเองก็เงียบอยู่แล้วด้วย
มันจึงทำให้ความเงียบนั้นเงีบบสงัดเสียยิ่งกว่าเดิม
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
เธออยากกินอะไรไหม?”
เงียบเสียจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังกำลังขยับ
“ไม่ค่ะ ผู้พันฮอดกินส์”
เสียงกระซิบของพยาบาลและคนไข้
“เธอ…อยากได้น้ำสักแก้วไหม?”
เสียงลมหายใจของพวกเขา
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
เสียงทั้งหมดนั้นกลับดังก้องอย่างชัดเจนท่ามกลางความเงียบงันนั่น
ภาพที่ไวโอเล็ตปัดกระสุนทั้งหมดด้วยขวานที่ชื่อว่าเวทมนตร์ของเธอเล่นอยู่ในหัวของฮอดกินส์
และเมื่อภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา บทสนทนาก็เงียบลงอีกครั้ง
––แย่ล่ะสิ
ผู้ชายอย่างเขากลับมีปัญหาที่จะพูดคุยกับผู้หญิงซะงั้น…
ฮอดกินส์ส่งเสียงครวญครางในใจเมื่อคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงให้นักรบสาวแห่งไลเดนชาฟต์ลิชคนนี้พอใจได้
และคนเดียวที่จะทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นได้ก็คงมีแค่กิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียคนเดียวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่ใช่ว่าที่เธอยอมอุทิศร่างกายของตนให้แก่เจ้านายของเธอมากเสียจนถึงจุดที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วถามถึงเขาเป็นสิ่งแรก
และพอไม่ได้พูดถึงเขาก็ทำให้เธออ้างว้างถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
––คือเขาหมายถึง…เธอคิดว่าตัวเธอกำลังรู้สึกเหงาหรือเปล่า?
เพราะเธอดู…หมุกมุ่นกับเขามากไปจริง ๆ นะ
มันช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้
คนที่ดูราวกับศิลปะสักชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความประณีตนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ
เธอมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วกันแน่นะ? เพราะถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ อะไรกันล่ะที่จะทำให้เธอรู้สึกสนุกกับชีวิตของเธอน่ะ?
––อ่า…กิลเบิร์ต ให้ตาย นายขอเรื่องที่เกินความสามารถฉันไปหน่อยน่ะเนี่ย
มันเป็นเรื่องยากที่จะแยกคนออกเป็นแค่สองประเภทเท่านั้น
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่แยกได้ก็คือ คนที่ทนต่อความเงียบได้กับคนที่ทนไม่ได้
ซึ่งฮอดกินส์เป็นแบบอย่างหลังมากกว่า เขาก้มลงมองเท้าของเขาในขณะที่กระดิกมันไปด้วย
และจากนั้นดวงตาที่มีหางตาตกและมีสีฟ้าขุ่นนั่นก็เห็นอะไรบางอย่าง
เขาลืมมันไปเสียสนิท
และนึกขึ้นได้ว่าสิ่งนี้แหละที่จะทำให้เขาหลุดออกจากภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่เสียที
“ใช่แล้ว
ฉันเอาของขวัญมาเยี่ยมเธอด้วยนะ! ฉันเอามันมาไม่ได้สักทีเพราะว่าพวกมันจะไปขัดขวางการทำงานพวกพยาบาลเข้าน่ะสิ
แต่ปกติฉันก็เอาของมาเยี่ยมเธอมาตลอดแหละนะ” ฮอดกินส์หยิบถุงกระดาษออกมาจากใต้เตียง
จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไวโอเล็ตและดึงตุ๊กตาแมวดำตัวหนึ่งออกมาจากถุงนั้น
ไวโอเล็ตตอบสนองต่อสิ่งนั้นเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
จากนั้นเขาก็เอาตุ๊กตาลูกแมวลายเสือและสุนัขออกมา
ก่อนจะรวบทั้งสามตัวไว้ด้วยกันและพยายามให้พวกมันโค้งคำนับพร้อมกับพูดว่า “สวัสดีครับผม!”
แต่ท่าทางของเธอก็ยังเฉยชาเหมือนเช่นเคย
“มัน…ไม่ดีเหรอ?”
“มันคืออะไรคะ?”
“สำหรับเธอมันเป็นของขวัญที่ไม่ดีเหรอ?”
ดวงตาคู่โตของไวโอเล็ตกะพริบ ขนตาสีทองของเธอก็กระพือด้วยเช่นกัน “สำหรับฉันหรือคะ…?” เธอดูสงสัยมากจริง ๆ
“ทำไมถึงให้ฉันล่ะคะ?” ไวโอเล็ตถามอีกครั้ง
“เพราะว่าเธอบาดเจ็บและก็ต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะสิ
การได้รับของขวัญมันก็เป็นเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว อ่า
แต่เธอคงไม่เคยเข้าโรงพยาบาลมาก่อนสินะ
ของขวัญพวกนี้น่ะก็เป็นตัวแทนความรู้สึกของฉันยังไงล่ะ…เช่น ‘หายไว ๆ นะ’ อะไรแบบนี้ แล้วข้าวของของเธอ…ก็หายไปหมดในช่วงสงคราม ตอนนี้เธอไม่มีอะไรติดตัวเลย เพราะงั้น
ฉันก็เลยเอามาให้เพื่อที่เธอจะไม่เหงายังไงล่ะ…”
และในวินาทีนั้น ฮอดกินส์ก็สะดุ้งจนตัวโยน
และมันเป็นเพราะว่าไวโอเล็ตหลุดเสียงที่ราวกับกำลังจะกรีดร้องออกมา
“ธะ เธอเป็นอะไรหรือเปล่าไวโอเล็ตตัวน้อย?”
“เข็มกลัด…”
“ไวโอเล็ต?”
“เข็มกลัดของฉัน…เข็มกลัดมรกตของฉัน…เข็มกลัดที่ผู้พันมอบมันให้ฉัน
ถ้ามันหายไป ฉันจะต้องออกไปตามหามันค่ะ มันเป็นเข็มกลัดที่ผู้พันให้ฉัน…!” ไวโอเล็ตขยับคอของเธอเพื่อที่พยายามจะลุกขึ้นยืน
ฮอดกินส์เข้าไปห้ามเธอไว้ทันที
แต่ถึงเขาจะไม่ห้าม ยังไงไวโอเล็ตก็ลุกขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว
“ทำไมล่ะ? ทำไม…?”
ไม่มีทางที่คนที่นอนโคม่าเป็นเดือนและแขนถูกแทนที่ด้วยแขนเทียมแบบนี้จะเดินได้ในทันที
แขนเทียมของเธอส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อยเมื่อเธอขยับ
เขาจับไหล่ของเธอไว้เมื่อเห็นเธอทำท่าจะฟุบลงไป
ถ้ามองจากด้านข้างแล้ว ราวกับเขากำลังตรึงร่างของเธอไว้ด้วยความรุนแรงเลยล่ะ
––หยวนให้เขาหน่อยเถอะ
ความเป็นสุภาพบุรุษในตัวฮอดกินส์นั้นร้องเตือนขึ้นมาทันทีเพราะเขากำลังกดร่างของทหารหญิงที่เพื่อนสนิทที่สุดของเขาไว้ใจให้เขาดูแล และยังเป็นผู้หญิงที่เสียแขนไปอีกด้วย
“ถ้าเป็นมรกตก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?
เดี๋ยวฉันจะซื้อชิ้นใหม่ให้เอง โอเคไหม?”
ไวโอเล็ตส่ายหัวเบา ๆ
“มัน…แทนกันไม่ได้ค่ะ”
เธอหลับตาลงราวกับพยายามข่มอารมณ์ไว้อยู่
ฮอดกินส์สรุปได้ในทันทีว่าของชิ้นไหนคงจะเป็นของที่สำคัญมาก
“ฉันเข้าใจ ฉันจะพยายามเอามาคืนให้ได้ละกัน
วางใจฉันได้เลย ไวโอเล็ตตัวน้อย” เขาพูดแบบนั้นออกไปโดยไม่คิดที่จะคิดซ้ำสองเลยด้วยซ้ำ
“คุณทำได้หรือคะ…?” อาการต่อต้านของไวโอเล็ตหยุดลงทันที
ฮอดกินส์ยิ้มอย่างมั่นใจและพยักหน้า
“อาจจะ
ฉันคิดว่ามันคงจะอยู่ในตลาดมืดนั่นแหละนะ ฉันจะพยายามติดต่อคนขายที่ฉันพอจะรู้จักให้แล้วกัน
เพราะงั้นอย่าคิดจะออกไปไหนด้วยสภาพแบบนั้นเลยนะ จนกว่าจะได้เข็มกลัดนั่นมา
เธอช่วยทนเล่นของพวกนี้ไปก่อนได้ไหม? อ่า
แน่นอนล่ะนะว่าตุ๊กตากับเข็มกลัดมันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย แต่…เธอไม่คิดว่าพวกมันน่ารักหรอ? เมื่อก่อนน่ะฉันก็เคยมีของแบบนี้ด้วยนะ ไวโอเล็ตตัวน้อย
เธอชอบกระต่ายหรือหมีมากกว่ากันล่ะ?
“ฉันไม่รู้ค่ะ”
“แล้วสามตัวนี้ตัวไหนน่ารักที่สุด?
ถ้ายังไงเธอก็ต้องเลือก ไหนเธอบอกฉันมาสิว่าเธออยากได้ตัวไหน”
เธอคงจะไม่เคยโดนถามแบบนั้นมาก่อนแน่
ไวโอเล็ตกวาดตามองดูตุ๊กตาเหล่านั้นจากขวาไปซ้าย
“คิดซะว่าถ้าเธอไม่เลือกโลกอาจจะแตกได้เลยนะโอเคไหม?
สาม สอง หนึ่ง! เลือก!”
“ไม่มีทางหรอกค่ะ…แต่ว่าคงจะ…สุนัขกระมังคะ?”
“มิกกี้ใช่ไหม?!
อ่า มิกกี้เป็นชื่อที่ฉันตั้งให้มันน่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะวางเขาไว้ข้าง ๆ เธอแล้วกัน
ดีใจไหมมิกกี้? นายเป็นผู้ถูกเลือกล่ะ” ฮอดกินส์วางตุ๊กตาสุนัขที่เขาตั้งชื่อมันว่ามิกกี้วางลงข้าง ๆ ใบหน้าของไวโอเล็ต
เขายกมือขึ้นมานวดหน้าอกด้วยความโล่งอกที่เห็นเธอสงบลงได้สักที
เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามหลังของเขา
ในตอนแรกดูเหมือนไวโอเล็ตจะไม่ได้สนใจมัน
แต่สุดท้ายก็เธอก็ถูไถใบหน้าของเธอกับตุ๊กตาตัวนั้น
หลังจากมองเธออยู่สักพัก
ฮอดกินส์ก็เอ่ยออกมา “ไวโอเล็ตตัวน้อย ดูเหมือนห้องนี้คนจะเยอะไปหน่อยนะ
ถ้าห้องเดี่ยวว่างเมื่อไหร่ ฉันควรจะย้ายเธอไปดีไหม? พิธีการรับเหรียญก็เสร็จไป…ตั้งแต่หลายเดือนที่แล้วแล้วด้วย ตอนแรกคนในโรงพยาบาลก็แออัดเหมือนกัน
ก็เลยทำให้มีเตียงไม่มากพอ แต่ตอนนี้จำนวนคนก็น้อยลงแล้ว…เพราะว่าทหารที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลกันหมด…เพราะงั้น ฉันคิดว่าห้องเดี่ยวก็น่าจะว่างแล้วล่ะนะ
ถ้าเธอได้อยู่ห้องเดี่ยวเมื่อไหร่ เธอก็จะได้มีตุ๊กตามากขึ้นไง…”
ตุ๊กตาพวกนั้นเป็นของหายากสำหรับเธองั้นเหรอ?
บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกอ่อนเพลียก็ได้
ไวโอเล็ตหลับตาและถูจมูกของเธอไปมากับท้องของมัน เพราะว่าเธอเพิ่งจะตื่นขึ้นมา
เธอจึงยังขยับแขนเทียมของเธอไม่ได้และแตะมันด้วยหัวของเธอแค่นั้น
แต่เพราะเธอถูจมูกมากไปมันจึงกระเถิบห่างจากหัวเธอเล็กน้อย เธอจึงเอี้ยวคอของเธอและใช้แก้มของเธอถูมันอีกครั้ง
“แล้วก็…” เมื่อเห็นเธอทำแบบนั้น ฮอดกินส์จึงลืมเรื่องที่เขาจะพูดไปจนหมด “เอ่อ…”
ท่าทางของเธอดูเป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ
“มัน…สนุกใช่ไหมล่ะ…ที่ได้เล่นกับพวกมันน่ะ?”
“ฉันไม่เข้าใจคำว่า ‘สนุก’ ค่ะ แต่ว่า
ฉันคิดว่าฉันอยากสัมผัสมันไปแบบนี้เรื่อย ๆ ค่ะ” อาจเป็นเพราะความกังใจของเธอลดลง
น้ำเสียงของเธอจึงนุ่มนวลกว่าเมื่อกี้
เธอขอบคุณเขาอย่างสุภาพเมื่อเขาหยิบตุ๊กตาที่กระเด็นห่างออกไปจากจมูกของเธออีกครั้ง
––เธอเป็น…เด็กแบบนี้เองหรอกเหรอ?
ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมที่ล่องลอยอยู่ในความคิดของฮอดกินส์ได้ปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา
มันไม่ใช่ความกลัว ความไม่สบายใจ หรือความปรารถนาที่จะควบคุมแต่อย่างใด
มันเป็นความรู้สึกที่อุ่นวาบขึ้นมาในใจเสียมากกว่า
“อ่าฮะ…เมื่อก่อนฉันเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ…อ่า ไม่สิ ฉันไม่ได้ความในทางไม่ดีหรอกนะ แต่…เด็ก ๆ มักจะทำแบบนั้นเวลาที่พ่อแม่ของพวกเขา…ไม่ได้ดูแลพวกเขาอยู่ตลอด”
“ฉันไม่รู้จักพ่อแม่ของฉันค่ะ”
“อ่า นั่นสินะ…”
เด็ก ๆ มักจะสัมผัสพวกหุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์หรือตุ๊กตาสัตว์ของพวกเขาเพื่อต้องการการปลอบโยน
แต่ของพวกนั้นก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาจากอันตรายและสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้แต่อย่างใด
พวกมันเป็นแค่ของที่ทดแทนความอบอุ่นเท่านั้น และการใช้ชีวิตวัยเด็กเช่นนั้นก็เสมือนกับเป็นที่พักพิงใจของพวกเขา
––เธอเป็น…เด็กที่ใช้ชีวิตแบบนี้งั้นเหรอ?
ถ้าดูแค่จากการกระทำของเธอแล้วเขาก็คงตัดสินว่าเธอเป็นแบบนั้นไม่ได้
––ไม่สิ
ไม่ใช่ว่า…เธอจะทนอยู่แบบนี้ไม่ได้ถ้าไม่ทำแบบนี้เหรอ? เพราะตอนนี้เธอ…โดดเดี่ยวอย่างแท้จริงเลยน่ะสิ
“เอ่อ…มีอะไรอีกนะ? อ่า ใช่แล้ว ถ้ามีอะไร…มีอะไรที่เธอ…อยากให้ฉันทำก็บอกฉันมาได้เลยนะ กิลเบิร์ตฝากให้ฉันดูแลเธอ
ถ้าเธอมีอะไรกวนใจฉันก็จะพยายามแก้ไขมันให้ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม ยังไงก็เถอะ
ฉันพูดไม่รู้เรื่องล่ะสิ เพราะว่าฉัน…เอ่อ…ตกใจนิดหน่อยตอนที่เธอตื่นมาน่ะสิ ก็เลยพูดมากอย่างนี้”
ไวโอเล็ตตอบสั้น ๆ
“ขอบคุณมากค่ะ”
ฮอดกินส์
ผู้ที่ซึ่งเป็นคนที่เก็บสีหน้าเก่งมากจึงยังคงยิ้มอยู่
แต่ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงยิ้มระรื่นของเขา เขากำลังรู้สึกต่างจากสีหน้าโดยสิ้นเชิง
––เข้าใจล่ะ
มันเป็นแบบนี้เองสินะ?
เขาไม่ได้มีโอกาสได้ทำความรู้จักไวโอเล็ตมากนัก
– ก็มีแค่ช่วงไม่กี่วันหลังจากที่เธอได้สร้างเหตุการณ์อันน่าสยดสยองในสนามฝึกซ้อมที่เขาได้เจอกับกิลเบิร์ตหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเสียนาน ตอนเลื่อนตำแหน่ง
และคืนก่อนศึกครั้งสุดท้ายเท่านั้น เมื่อสงครามจบลง
เขาเองก็ได้มาเยี่ยมเธอหลายครั้ง ไวโอเล็ตไม่มีพ่อแม่หรือพี่น้อง
และก็ไม่มีเพื่อนด้วย มีแค่ฮอดกินส์คนเดียวเท่านั้นที่มาเยี่ยมเธอ
––ถึงเขาจะรู้ว่าเธอแข็งแกร่งขนาดไหน
และเธอฆ่าคนมามากมายขนาดไหน…
บางทีเขาน่าจะให้เธอเลิกเป็นอาวุธและทำให้เธอเสียสติไปซะ
––อ่า
นี่มัน…
แค่คุยกับเธอเฉย ๆ และมองการกระทำของเธอ
เขาก็เข้าใจแล้ว
––นี่มันไม่ดีเลยสักนิด
นี่มัน…กิลเบิร์ต นาย…
“ผู้พันฮอดกินส์คะ?”
––เธอไม่ได้เป็นแค่…เด็กผู้หญิงคนหนึ่งหรอกเหรอ?
ฮอดกินส์รู้สึกราวกับความรู้สึกอันรุนแรงที่เขามีแต่เธอที่อยู่สักแห่งในหัวใจของเขาถูกขุดออกไป
เพราะว่าเวลาอยู่ในสนามรบเธอเหมือนกับปีศาจไม่มีผิด
เขาจึงมองข้ามเรื่องนี้และลืมไปเสียสนิท อันที่จริงแล้ว
ทหารทุกนายในไลเดนชาฟต์ลิชเองก็มองเธอเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
“ถ้า…คุณให้มันกับฉัน มันจะไม่พังหรือคะ?”
ไวโอเล็ตก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เวลาไม่ได้ต่อสู้ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
เธอไม่ได้ถูกลงทะเบียนเป็นทหารด้วยซ้ำ
และเธอก็ถูกเลี้ยงมาให้อยู่แต่ในสนามรบเท่านั้นและไม่ได้รู้จักโลกภายนอกเลย
เธอเป็นอาวุธที่แสนงดงาม เป็นสินค้า เป็นทรัพย์สิน เป็นทหารหญิงที่อนุญาตให้มีชีวิตอยู่ได้เพื่อแลกกับความสามารถในการต่อสู้ของเธอ
และไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องอื่นที่ไม่จำเป็น
ไม่เคยมีใครคิดแบบนั้นเพราะว่าการได้เห็นเธอต่อสู้นั้นก็ทำให้พวกเขากลัวมากเสียจนไม่กล้าที่จะเข้าไปพูดกับเธอด้วยซ้ำ
รูปร่างหน้าตาที่เหมือนผู้ใหญ่ของเธอทำให้พวกผู้ชายตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าการได้เป็นพ่อคนเสียอีก
เธอไม่ได้ถูกเลี้ยงดูเหมือนกับเด็กคนหนึ่งเลยสักนิด
––แต่ถึงอย่างนั้น
ในสายตาของเขาตอนนี้น่ะ…
“เธอเล่นกับมันได้เท่าที่เธออยากเล่นเลย มันเป็นของเธอแล้ว”
“ค่ะ”
สิ่งที่อยู่ในสายตาของฮอดกินส์นั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่กิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียเลี้ยงมาเหมือนกับ ‘มนุษย์คนหนึ่ง’ คนที่สอนให้เธอพูดและสอนมารยาทเธอนั้นก็เป็นกิลเบิร์ตเอง
การต้องสอนเธอในช่วงสงครามแบบนั้นคงเป็นเรื่องที่ลำบาก
เพราะฮอดกินส์รู้ว่าตอนนั้นไวโอเล็ตเป็นยังไง
“ผู้พันฮอดกินส์
มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร ไม่มี…อะไรอีกแล้วเหรอ?”
ในขณะที่กำลังเก็บกระเป๋า
อยู่ดี ๆ ฮอดกินส์ก็รู้ว่าร่างกายของเขากำลังเน่าเปื่อย
เขากำลังพยายามนึกย้อนไปถึงตอนนั้นว่าเขามองไวโอเล็ตเป็นคนยังไง
––ตอนนั้น
เขา…พนันข้างเธอ
ฮอดกินส์จำไม่ได้แล้วว่าเขาเอาบุหรี่ที่ได้มาไปซื้ออะไร
เพราะว่ากิลเบิร์ตไม่ยอมรับส่วนแบ่งไปจากเขา
––เขาเคยคิดว่าเธอจะมีประโยชน์กับกองทัพอย่างแน่นอน
ก็เป็นอย่างที่เขาคิด
ไวโอเล็ตได้ทำงานอย่างดีเยี่ยม
ในสงครามครั้งสุดท้ายเธอก็ก่อความวุ่นวายได้สำเร็จซึ่งเป็นกุญแจหลักในกลยุทธ์ของเขา
นั่นอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เขาก็ไม่รู้จักทหารคนอื่น ๆ ที่สามารถพูดได้เลยว่าทำสำเร็จได้แบบนั้น
ถ้าเธอไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ จำนวนผู้เสียชีวิตก็คงจะเยอะกว่านี้
และในทางกลับกัน ก็คงมีใครหลาย ๆ คนที่รอดพ้นจากความตายไปได้ถ้าไม่มีเธออยู่ตรงนั้น
การมีอยู่ของเธอก็เป็นแบบนั้นแหละ
––เขาคิดว่า…เราจะใช้เธอได้
เด็กหญิงที่รอดชีวิตมาได้เพราะได้สังหารนักโทษเหล่านั้นในสนามฝึกซ้อมได้สวามิภักดิ์ต่อกิลเบิร์ตคนเดียวเท่านั้น
ส่วนหนึ่งในตัวฮอดกินส์เชื่อแบบนั้น เพราะว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาด
เธอย่อมดีกว่าตุ๊กตานักฆ่าเลือดเย็นที่ไม่สามารถปกปิดความโหดร้ายของตัวเธอเองได้
––ไม่มีทางหรอก…
เด็กหญิงที่มีนามว่าไวโอเล็ตยังคงมองผ่านม่านหน้าต่าง
และยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวัง เธอเหมือนกับลูกไก่ที่กำลังมองหาแม่ไก่ไม่มีผิด
––…ที่เรื่องนี้…จะเป็นจริง
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
ฉันขอโทษด้วยนะ”
“เรื่องอะไรคะ?”
“ของขวัญที่ฉันเอามาให้เธอมันยังไม่ดีพอน่ะสิ
ครั้งหน้า ฉันจะหาของขวัญเยอะ ๆ มาเซอร์ไพรซ์เธอเอง
เพราะว่าเธอเดินทางบ่อยเธอก็เลยไม่ได้ไปช็อปปิ้งในเมืองเลยใช่ไหมล่ะ?”
“แค่ครั้งเดียวค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ?
งั้นฉันจะพยายามหามาให้เยอะกว่าเดิมนะ ทำให้เธอเซอร์ไพรซ์มากกว่านี้
ถึงเธอจะไม่ชอบมันและอาจจะไม่ดีนัก แต่ถ้าฉันคงดีใจนะถ้าเธอไม่โยนมันทิ้งน่ะ”
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ค่ะ
แต่ฉันจะไม่ทำแบบนั้น”
“โอเค ขอบคุณนะ”
หลังจากนั้น
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดอะไรอีก
แต่ฮอดกินส์ก็ยังอยู่เฝ้าไวโอเล็ตจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขาคุยกันไม่ได้บ่อยนักเพราะว่าไวโอเล็ตมักจะหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา
เนื่องจากว่าเธอไม่สามารถมีสติอยู่ได้นานเกินไป
ในตอนเย็น กริ่งจะดังก้องเพื่อบอกว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว
และในตอนนั้นพวกพยาบาลก็จะเริ่มแจ้งผู้ที่มาเยี่ยมแต่ละคนว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว
แต่ฮอดกินส์ก็ยังไม่ลุกออกไปในทันที
“ผู้พันฮอดกินส์คะ
หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ”
“อืม”
“ถ้าคุณไม่กลับบ้านคุณจะไม่เป็นไรหรือคะ?”
ในตอนแรก
การพูดคุยของพวกเขาไม่คืบหน้าเท่าไหร่นักและเขาเองก็อยากรีบกลับบ้านใจจะขาด
แต่ตอนนี้เขาอยากจะเฝ้าอยู่ข้าง ๆ เธอมากเหลือเกิน การที่ทิ้งเธอไว้คนเดียวในสภาพแบบนั้นทำให้เขารู้สึกผิดและเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นและกำลังทิ่มแทงหัวใจของเขานั้นมันเกิดขึ้นช้าไป
เพราะเขารู้สึกมากกว่านั้นอีก
“พยาบาลกำลังจ้องมาที่ฉันสินะ
เดาว่าฉันจะต้องกลับบ้านแล้วล่ะ…อ่า พูดถึงเรื่องนี้
ฉันลืมไปซะสนิทเลย ฉันไม่ได้เป็นพันตรีอีกแล้วล่ะ ฉันลาออกจากกองทัพแล้ว”
“อย่างนั้นหรือคะ?”
“ช่าย”
“แล้วทหาร…จะต้องทำอะไรต่อคะหลังจากที่ปลดประจำการจากกองทัพแล้ว?”
“เราทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ชีวิตน่ะไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียวหรอกนะ อย่างฉัน ตอนนี้ฉันเป็นผู้ประกอบการที่กำลังจะเปิดธุรกิจของตัวเอง
และฉันก็จะเป็นประธานบริษัทนั้น ครั้งหน้า ฉันจะเล่าเรื่องนั้นให้เธอฟังแล้วกัน”
“ค่ะ ผู้พั…ฮอดกินส์…”
เธอดูสับสนเพราะไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่ายังไงดี
ฮอดกินส์หัวเราะ
“เธอเรียกฉันว่า ‘ท่านประธานฮอดกินส์’ แล้วกัน
แต่ฉันยังไม่มีลูกจ้างหรอกนะ เพราะงั้นเลยยังเป็นท่านประธานไม่ได้
และฉันก็ให้คนอื่นเรียกฉันแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน”
“ท่านประธานฮอดกินส์”
“มันไม่ได้เป็นชื่อที่แย่นะ แต่พอไวโอเล็ตตัวน้อยพูดคำว่า ‘ท่านประธาน’
แล้วฉันรู้สึกเย็นนิด ๆ เลยนะเนี่ย”
“คุณหนาวหรือคะ?”
“เอ่อ…ครั้งหน้าฉันจะอธิบายมุกนี้ให้เธอฟังแล้วกัน”
ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าร้อน
แต่ฮอดกินส์ก็ดังผ้าห่มให้ปิดขึ้นไปจนถึงไหล่ของไวโอเล็ตเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเย็นในเวลากลางคืน
และวางตุ๊กตาสุนัขข้าง ๆ ใบหน้าของเธออีกครั้ง เธอมองมาที่เขา แต่ไม่เหมือนกับครั้งแรกที่เธอมอง
ฮอดกินส์ทนมองสายตาของเธอไม่ไหวจึงเลี่ยงสบตากับเธอและหันไปมองนอกหน้าต่างแทน
ทิวทัศน์ในยามเย็นที่มองออกไปจากโรงพยาบาลนั้นถูกย้อมด้วยสีส้มของพระอาทิตย์ตก
พรมแดนเส้นกั้นระหว่างกลางวันและกลางคืนนั้นเป็นฉากที่ใคร ๆ ต่างก็รู้สึกคะนึงหาถึงบางสิ่งเสมอไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน
เวลาไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ทั้งก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า ท้องทะเล ผืนดิน เมือง ผู้คน ท้องฟ้าที่เป็นสีแดงเข้มนั่นแผ่กระจายและท่วมท้นทุกสิ่ง
ถึงแม้ว่าจะมีความสง่างามที่ไม่เท่ากัน แต่ในช่วงเวลานั้น ทุกสิ่งจะถูกปกคลุมไปด้วยท้องฟ้าสีเดียวกันและกลายเป็นค่ำคืนไปในที่สุด
ฮอดกินส์เมื่อได้เห็นทิวทัศน์แบบนั้นก็เอ่ยออกมา “สวยใช่ไหมล่ะ?”
ไวโอเล็ตจึงตอบ “มันงดงามมากค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น” ฮอดกินส์เอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
“ลาก่อนค่ะ”
“นี่ไม่ใช่ ‘ลาก่อน’ หรอกนะ ฉันจะมาหาเธออีก”
––ถึงแม้ว่าเธอ…จะไม่สนใจเขาเลยก็ตาม
ตรงข้ามกับความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง
ไวโอเล็ตกระซิบตอบอย่างไร้อารมณ์ “แล้วเจอกันค่ะ…”
เธอแก้จากคำว่า “ลาก่อน” เป็นคำว่า
“เจอกัน”
“อืม เจอกันนะ ไวโอเล็ตตัวน้อย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ไวโอเล็ตก็พยักหน้าตอบเบา ๆ
แมลงกำลังส่งเสียงร้องให้โลกรู้ถึงวงจรชีวิตที่แสนสั้นของพวกมัน
โรงพยาบาลทหารของไลเดนชาฟต์ลิชถูกห้อมล้อมด้วยป่าเขียวขจี
เส้นทางที่เคยเป็นทางผ่านของคนนั่งรถเข็นให้กับทหารผ่านศึกนั้น
เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้ป่วยแล้ว
โต๊ะและเก้าอี้ไม้ถูกเรียงกระจัดกระจายไปตามเส้นทางนั้น
และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลกำลังแยกอาหารเที่ยงให้กับพวกเขาท่ามกลางผู้ป่วยชายและหญิงเหล่านั้น
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
เธอไม่เหนื่อยเหรอ?”
ทั้งสองคนนั่งลงข้าง ๆ กันบนเก้าอี้ไม้
เวลาที่พวกเขาได้มาเจอกันอีกครั้งในต้นฤดูร้อนนั้นได้ผ่านไป
และพวกเขาก็ได้ใช้เวลาด้วยกันท่ามกลางแสงแดดเงียบ ๆ มันเป็นวันที่มีลมแรง สดชื่น
และสบาย ๆ วันหนึ่ง
“ไม่มีปัญหาค่ะท่านประธานฮอดกินส์
เดินอีกสักสิบก้าวดีไหมคะ?”
ไวโอเล็ตสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายหลวม ๆ
แม้ว่ามันจะเป็นเดรสที่ธรรมดาและเรียบง่าย
แต่เข็มกลัดมรกตของเธอกลับส่องประกายอยู่บนหน้าอกของเธอ
เธอจะก้มลงมองมันเป็นครั้งคราวเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ตรงนั้น แค่ได้มองเธอนั้น
ฮอดกินส์ก็ยิ้มออกมาโดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยซ้ำ
“เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ
หมอบอกเธอแล้วไม่ใช่หรอว่าให้เดินไปแค่ครั้งเดียวแล้วก็กลับน่ะ? เห็นเธอเป็นแบบนี้ฉันยังกังวลเลย…ฉันจะพาเธอกลับแล้วกัน”
“แต่…”
“ไม่”
“แต่…”
“เธอทำไม่ได้ ถ้าเธอพยายามฝืนบังคับตัวเองยังไงฉันก็รู้อยู่ดี”
“ก็ได้ค่ะ…”
“ทีนี้
มาเช็ดเหงื่อของเธอก่อน ไม่งั้นเธอจะเป็นหวัดเอานะ” ฮอดกินส์หยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมา
ไวโอเล็ตจับผ้าเช็ดหน้าเอาเพื่อไม่ให้เขาเช็ดหน้าผากของเธอ
“ให้ฉันเช็ดให้ไม่ได้หรอ?”
“ไม่ได้ค่ะ
ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ได้ฝึกใช้แขน”
“แต่ นี่
ผมเธอยุ่งหมดแล้วนะ”
“ไม่ได้ค่ะ
คนที่บอกฉันควรจะลองขยับแขนของฉันก่อนก็คือคุณนะคะ ผู้พั…ท่านประธานฮอดกินส์
แต่ที่จริง…ในสภาพแบบนี้
ฉันคงจะไม่มีประโยชน์สำหรับผู้พันหรอกค่ะ ฉันเป็นตัวถ่วงดี ๆ นี่เอง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น
ฮอดกินส์ก็ไม่ได้ยิ้มออกมาด้วยความขมขื่นหรือแสดงออกด้วยความทุกข์ใจแต่อย่างใด
ตั้งแต่ที่ทหารหญิงที่มีชื่อว่าไวโอเล็ตฟื้นขึ้นมานั้น
เขาก็ได้มาเยี่ยมเธอสองเดือนแล้ว ทุกครั้งที่พวกเขาเจอกัน
สิ่งแรกที่เขาจะถูกถามเป็นอย่างแรกก็คือกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียจะมาเยี่ยมไหม
ซึ่งคน ๆ นั้นก็ไม่ได้มาอีกเลยจนถึงตอนนี้ และฮอดกินส์ก็ทำอะไรไม่ได้
แต่เขาก็ทนไม่ได้เหมือนกันที่เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของไวโอเล็ตยามที่ตอบว่า “วันนี้เขาไม่มา”
ดังนั้น เขาจึงพยายามหว่านล้อมเธอด้วยการพูดว่า “ถึงกิลเบิร์ตจะไม่มา แต่สิ่งที่เธอควรทำก็คืออย่าเสียใจที่เขาไม่มาแต่ทำอะไรก็ตามเท่าที่เธอทำได้
หรือก็คือ พักผ่อนและพยายามฟื้นฟูร่างกายซะ เป้าหมายของเธอก็คือ
ในตอนที่เธอเจอเขาเธอก็สามารถใช้แขนของเธอได้อย่างภาคภูมิใจแล้วยังไงล่ะ”
และคำพูดนั้นก็มีผลอย่างลึกซึ้งต่อไวโอเล็ตยิ่งนัก
“ฉันจะใช้แขนนี้ให้ดียิ่งกว่าตอนฉันยังมีแขนอยู่อีกค่ะ
บริษัทแขนและขาเทียม Estark
เป็นบริษัทที่ผลิตแขนและขาเทียมที่เหมาะและเชี่ยวชาญในการต่อสู้…ถ้าฉันฝึกฝนจนทักษะของฉันตามทันความสามารถของพวกเขาได้
ฉันคงจะกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่านี้”
เธอจะเป็นคนที่สดใสขึ้นมาทันทีเมื่อได้หรือภารกิจหรือคำสั่ง
มันเป็นคุณสมบัติของเธอเลยล่ะ
“ไม่ นั่นไม่จริงหรอกนะ
แค่การที่มีผู้หญิงอยู่น่ะก็เป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญและน่ามหัศจรรย์พอแล้วล่ะ
เหมือนกับน้ำใส ๆ ที่ไหลลงมาจากน้ำพุบนยอดเขาอย่างปาฏิหาริย์ยังไงล่ะ
พวกผู้ชายน่ะโสโครกจะตาย”
“ฉันไม่เข้าใจการยกตัวอย่างนั่นหรอกค่ะ
แต่ฉันคิดว่าถึงฉันจะไม่ได้รับคำสั่งจากผู้พัน
แต่ฉันก็คิดว่าฉันควรจะฝึกฝนร่างกายตัวเองอยู่ดีค่ะ”
“โอเค…”
มันเป็นบทสนทนาที่ค่อนข้างแปลก
แต่ก็ไม่ได้อึมครึมแต่อย่างใด ตรงกันข้าม พวกเขาสองคนที่มีนิสัยไม่เข้ากันนักกลับเริ่มคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว
แต่เพราะแบบนั้น เมื่อลองมองย้อนกลับไปดูความสัมพันธ์ของฮอดกินส์นั้น
มันอาจจะไม่ได้แปลกอะไร เขากับกิลเบิร์ตยังเป็นเพื่อนสนิทกันได้เลย
ทั้ง ๆ ที่กิลเบิร์ตก็มักจะคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเหมือนกัน ในขณะเดียวกัน
ฮอดกินส์เองที่มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่เสมอเมื่อจีบผู้หญิง
แต่พออยู่ท่ามกลางคนสวย ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเขากลับหวั่นไหวซะงั้น
“มันเป็นชีวิตของคนเจ้าเล่ห์ยังไงล่ะไวโอเล็ตตัวน้อย”
ฮอดกินส์เอ่ยออกมา แต่ดูเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า
ไวโอเล็ตพยายามหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่ทำมันตกลงบนตักของเธอ
และในที่สุดเธอก็เช็ดเหงื่อของเธอได้สักที
ในตอนนี้เธอไม่ได้มีสภาพที่ใช้แขนของเธอไม่ได้เลยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำทุกอย่างด้วยตัวของเธอเองอยู่ดี
“ดีมาก” หลังจากจัดผมม้าที่กระเซอะกระเซิงของเธอด้วยนิ้วของเขาแล้ว
ฮอดกินส์ก็ให้ไวโอเล็ตนั่งลงบนรถเข็น
“เราจะไปได้หรือยังคะ?”
“ให้ลมพัดมาเย็นกว่านี้ก่อน”
“ฉันจะ…ไม่เหงื่อออกอีกแล้วค่ะ”
“ถ้าเธอทำได้ก็สอนฉันด้วยนะ
แต่ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงก็ทำไม่ได้หรอก กลับไปห้องของเธอกันเถอะ”
––เพราะว่าเธอเป็นเด็กที่มักจะฝืนร่างกายตัวเองให้ทำอะไรหลายอย่างน่ะสิ
เขาถึงไม่อยากให้เธอต้องออกกำลังกายมากเกินไป
ฮอดกินส์คิดแบบนั้นในขณะที่กำลังเข็นรถเข็นไปอย่างเอื่อย ๆ
เหมือนเช่นเคย
ไวโอเล็ตยังคงมีท่าทีเฉยชาเหมือนเดิม แต่เมื่อเธอก้มลงมองพื้นนั้น เธอกลับดูเศร้าซึมอย่างบอกไม่ถูก
นั่นเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของฮอดกินส์เท่านั้น – แต่อย่างไรก็ตาม
นั่นล่ะเป็นวิธีที่เธอมองมาที่เขา
––ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
มันไม่เห็นดีเลยสักนิดที่จะพยายามห้ามไม่ให้เธอทำน่ะ
มันไม่มีวิธีฝึกที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง?
ทั้งสองคนที่เริ่มคุ้นเคยกับความเงียบได้กลับไปยังห้องของเธอ
มันไม่ใช่ห้องที่ใหญ่นัก แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะได้ไม่ต้องพบปะคนภายนอก ทหารหญิงที่มีแขนเทียมถูกมองด้วยสายตาที่ไม่สุภาพบ่อยนักและมันก็มาจากคนที่เธอรู้จักทั้งนั้น
พอเธอได้ย้ายเข้าไปอยู่ในห้องเดี่ยว
ฮอดกินส์ก็ได้เอาของขวัญมาให้เธอหลายชิ้น
และเมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องก็ได้กลิ่นดอกไม้ที่สดใหม่ลอยโชยออกมาทันที
พร้อมกับตุ๊กตาสัตว์มากมายที่รอต้อนรับพวกเขาด้วยเช่นกัน
เสื้อผ้าและรองเท้าที่เธอยังไม่เคยได้สวมใส่วางอยู่ในกล่องที่ห่อด้วยริบบิ้นและวางซ้อนกันอยู่
มันช่างเป็นห้องของหญิงสาวมากจริง ๆ
และในห้องนั้นก็มีไวโอเล็ตผู้ที่มีหน้าตาอันโดดเด่นและคล้ายกับตุ๊กตานั่งอยู่บนเตียง
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
ฉันมีของมาให้เธอด้วยนะ”
“ฉันได้มาเยอะพอแล้วค่ะ
และฉันก็ไม่มีของตอบแทนคุณด้วย เพราะงั้นฉันขอไม่รับนะคะ” ไวโอเล็ตส่ายหัวและหันหน้าไปด้านข้าง
แสดงท่าทางปฏิเสธอย่างชัดเจนเหมือนกับที่ฮอดกินส์คิดไว้ไม่มีผิด
เขาเอาของมาให้เธอทุกครั้งที่ได้มาเยี่ยม
เหมือนกับที่คุณปู่คนหนึ่งเอาของมาให้หลานสาวเลยล่ะ
“ไม่หรอก
มันไม่ใช่ของที่แพงอะไร จริง ๆ แล้ว มันเป็นสมุดบันทึกของฉันน่ะ ปากกาคอแร้งก็ด้วยเหมือนกัน
ฉันเพิ่งเปลี่ยนหมึกไปเอง เพราะงั้นมันไม่คิดว่ามันจะหมดในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ” ฮอดกินส์วางของลงบนโต๊ะ – ซึ่งมีสมุดบันทึกที่เหมือนกับสมุดพกและปากกาคอแร้งสีทอง
เธอลุกขึ้นทันที
ไวโอเล็ตนั่งลงข้างหน้าโต๊ะ และหยิบมันขึ้นมา มันมีแค่ไม่กี่แผ่นเท่านั้นเพราะฮอดกินส์ดึงมันออกและโยนมันทิ้งไปแล้วน่ะสิ
“ให้สิ่งนี้…เป็นการฝึกมือเธอซะสิ
เขียนลายมือให้บรรจงล่ะ และถ้าฉันเข้าใจถูก เธอเขียนชื่อตัวเองได้ใช่ไหม?”
“ค่ะ…แต่ ฉันเขียน…คำอื่นไม่เป็น”
“แค่นั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ? ชีวิตในโรงพยาบาลน่ะน่าเบื่อจะตาย
นี่ล่ะเป็นเวลาที่เหมาะที่เธอจะได้เรียนรู้มัน และมีเป้าหมายก็น่าจะดีนะ
เธอตั้งใจจะเขียนอะไรล่ะ?”
“จดหมายค่ะ” ไวโอเล็ตพูดราวกับกำลังจะไอออกมา “ฉันอยากเขียนจดหมายได้ค่ะ”
เธอพูดด้วยความเร่งรีบ
ดวงตาและปากของฮอดกินส์เบิกกว้างด้วยความสับสน
นั่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขาจริง ๆ
และจริง ๆ แล้วเขาก็ตั้งใจที่จะให้เรื่องนั้นเป็นไปตามทิศทางเดียวกับประโยชน์ของเขาด้วย
“ทำไม…เธอถึงอยากเขียนล่ะ? ไวโอเล็ตตัวน้อย
หายากมาเลยนะนี่ที่เธอมีอะไรที่เธออยากจะทำที่นอกเหนือจากการฝึกซ้อมน่ะ…”
“จดหมายสามารถส่งคำพูดไปให้ใครอีกคนที่อยู่ไกลได้ค่ะ
และที่นี่ก็ไม่มีอุปกรณ์สื่อสารด้วย แต่ว่า ถ้าฉันเขียนจดหมาย…และได้รับการตอบรับกลับมา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ใช้เสียงของตัวเอง
แต่ก็คงเหมือนกับการได้พูดคุยกันอยู่ดี ผู้พันอาจจะไม่มีเวลาว่างมาตอบ
แต่ถึงอย่างนั้น ฉัน…ที่ฉันเป็นเครื่องมือของเขานั้นและยังอยู่ที่นี่…และจะส่งมันให้ถึงผู้พัน…”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดจนจบประโยค
แต่เขาก็เข้าใจ
“ถึงผู้พัน…”
ไวโอเล็ตไม่อยากถูกลืม
เธออยากจะย้ำเตือนกิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียถึงการมีอยู่ของเธอในฐานะเครื่องมือที่เกิดมาเพื่อเขา
“เธออยากจะถ่ายทอดความคิดของเธอส่งไปให้เขาสินะ”
“ค่ะ…ไม่สิ...ไม่ใช่ แต่บางทีอาจจะ…ใช่กระมังคะ”
เธอตอบตะกุกตะกัก
เธอไม่สามารถแสดงความรู้สึกของเธอออกมาได้อย่างถูกต้องนัก
ฮอดกินส์รู้เรื่องนั้นดีเลยล่ะ ทุกครั้งที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องเธอ
เขาจะเห็นว่าความคาดหวังบางอย่างของเธอหายไปทันที
––อ่า
ไม่ดีเลย ของพวกนี้ไม่ดีเลยสักนิด
ฮอดกินส์ใช้มือข้างหนึ่งกดเปลือกตาของเขาไว้และถอยหายใจ
“ท่านประธานฮอดกินส์คะ?”
“หืม โทษที อีกแปบหนึ่งเดี๋ยวฉันก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” เขายกมืออีกข้างหนึ่งเพื่อโบกมือว่าไม่เป็นไรและมองไปทางอื่น
ในตาของเขาร้อนผ่าว อกของเขาปวดร้าวไปหมด เขากัดปากของเขา
พยายามหยุดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขาด้วยการทำให้ร่างกายเจ็บเสียแทน
แต่ก็ไม่มีประโยชน์
––สงสัยเขาจะเริ่มแก่แล้วล่ะสิ
ในตอนที่เขารู้สึกถึง
‘ความเป็นมนุษย์’
ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตุ๊กตานักฆ่าอัตโนมัติอย่างไม่ตั้งใจให้เขาได้เห็นนั้น
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่เขารู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมา
––เขารู้สึกเศร้าชะมัด
ไวโอเล็ตได้ยินเสียงสูดน้ำมูกของเขา
ไหล่ของเธอสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจเหมือนกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่รู้สึกได้ถึงอันตราย
มันเป็นเพราะแค่อิทธิพลจากร่างกายของฮอดกินส์แท้ ๆ
แต่ก็ทำให้ความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดีของไวโอเล็ตแสดงออกมา
“รออีกแค่สามสิบวิเท่านั้น…”
ไวโอเล็ตมองไปรอบ ๆ ห้อง
ดวงตาสีฟ้าของเธอสำรวจไปทั่วห้องเพื่อหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับสถานการณ์นี้ เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าจากโต๊ะข้างเตียงของเธอและตุ๊กตาแมวดำมา
แต่เพราะเธอยังมีแรงไม่พอที่จะจับมัน มันจึงตกลงบนพื้น
และเมื่อไวโอเล็ตก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา ฮอดกินส์ก็หายดีแล้ว
เขาจึงก้มตัวลงไปช่วยเธอด้วยเหมือนกัน
“เธอพยายามจะปลอบฉันเหรอ?”
หัวใจที่แสนเจ็บปวดของเขาเริ่มเจ็บน้อยลงเมื่อเห็นความอ่อนโยนและแสนซุ่มซ่ามของเธอ
รูปแบบของความรักที่ไม่ใช่ความรักแบบโรแมนติกกำลังเบิกบานข้างในหัวใจของเขา
“ท่านประธานฮอดกินส์
คุณเคยบอกฉันค่ะว่าตอนที่คุณเป็นเด็กคุณจะเล่นกับตุ๊กตาที่เหมือนกับแมวดำตัวนี้
เพื่อที่จะได้แกล้งทำเป็นว่าคุณไม่ได้เหงา
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณร้องไห้เพราะพ่อแม่ของคุณไม่สนใจคุณค่ะ…”
และในวินาทีต่อมา
ความรู้สึกเศร้านั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ฉัน…เคยบอกเธอเรื่องนั้นด้วยเหรอ!?”
“ตอนนั้นคุณเมาค่ะและคุณก็เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปเจรจาเรื่องธุรกิจ
คุณก็เลยพูดเรื่องชีวิตของคุณไปประมาณสองชั่วโมงเลยค่ะ”
ตอนนี้ฮอดกินส์รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
ถ้าครั้งหน้าฉันเมาแบบนั้นอีก เธอไม่ต้องสนใจคำพูดของฉันหรอกนะ
จริง ๆ แล้วเธอตีฉันเลยก็ได้…ฉันจะไม่ดื่มอีกแล้วล่ะ
ต่อไปนี้ฉันจะหันไปดื่มชาแทน จะดื่มไปตลอดชีวิตเลยล่ะ อ่า น่าอายชะมัด…แล้วหลังจากนั้นฉันพูดอะไรอีกหรือเปล่า?”
“คุณบอกว่าคุณเคยชื่อว่าคลอเดียค่ะ…เพราะพ่อแม่ของคุณคิดว่าคุณจะเกิดมาเป็นผู้หญิง ก็เลยตั้งชื่อคุณแบบนั้น
แต่สุดท้ายคุณก็ยังต้องใช้ชื่อนั้นอยู่ดีและมันก็ยากมากที่จะใช้ชีวิตด้วยชื่อนั้น”
“เอาล่ะ
กลับไปเรื่องเขียนจดหมายกันดีกว่านะ ไวโอเล็ตตัวน้อย”
เมื่อพูดถึงชื่อเก่าของเขาแล้วเขาก็ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป
การทดลองของพวกเขาเริ่มขึ้นเมื่อไวโอเล็ตจับปากกาคอแร้งได้
แต่พอเธอเขียนไปได้แค่ตัวอักษรเดียว
ปากกาก็หลุดออกจากมือเธอและเธอก็ตามไปจับมันเอาไว้
การที่ได้เห็นเธอพยายามจะหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ตามที่มันตกลงบนพื้นทำให้หัวใจของฮอดกินส์เศร้าขึ้นมาอีกครั้ง
“เธอค่อย ๆ ทำก็ได้”
สำหรับฮอดกินส์ที่เคยเป็นแค่นักเรียนทหารแล้วต้องมาสวมบทเป็นครูนั้นเป็นเรื่องยากพอสมควร
เช่นเดียวกับไวโอเล็ต ถึงแม้เธอจะสามารถถอดส่วนประกอบปืนได้
แต่เธอก็ไม่รู้แม้แต่วิธีการเขียนเลยด้วยซ้ำ
ครูที่ไม่มีความสามารถกับนักเรียนที่ไร้ฝีมือไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องช่วยเหลือกันเท่านั้น
สำหรับตัวเธอในตอนนี้นั้น
เขาคิดว่าถ้าในอนาคตเธอเขียนจดหมายได้คงจะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากพอแล้ว
“ฉันอยากเขียน…ชื่อของผู้พันกิลเบิร์ตให้ได้ค่ะ”
และในขณะที่เธอกำลังฝึกเขียนนั้น
ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนสีทีละนิด ๆ
ใบเมเปิ้ลที่แห้งเหี่ยวและเปราะบางได้สร้างพรมที่มีสีสันสดใสบนพื้น
ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ทางเข้าของโรงพยาบาลทหารไลเดนชาฟต์ลิชจะไม่ได้สะอาดเหมือนเดิมอีกต่อไป
ถนนบนภูเขาที่เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลแห่งนี้ถูกย้อมด้วยสีที่งดงามของธรรมชาติ
โลกทั้งโลกถูกย้อมด้วยสีของฤดูใบไม้ร่วง
ที่ด้านหน้าของทางเข้านั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังรอใครบางคนอยู่
กระเป๋าหีบและกระเป๋ารถเข็นของเธอวางอยู่บนพื้น
บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอมีของเยอะเกินไป หัวของตุ๊กตาจึงยื่นออกมานอกกระเป๋า
เธอยืนอยู่อย่างนั้นและมองออกไปอย่างเหม่อลอย เธอเป็นผู้หญิงที่สวยราวกับภาพวาดเลยล่ะ
เธอสวมเสื้อโค้ทสีม่วงวีสทีเรีย* และจัมพ์เปอร์สีดำถักสูงถึงคอ
กระโปรงสีม่วงอ่อนของเธอส่งเสียงกระพือเล็กน้อยเมื่อลมพัดมา
ผมสีทองของทหารหญิงที่มีนามว่าไวโอเล็ตในตอนนี้ค่อนข้างยาว
มันยาวขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามวันที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล และในตอนที่เธอสังเกตเห็นรถม้าที่กำลังมุ่งหน้ามาจากถนนบนภูเขาเธอก็หยิบกระเป๋าของเธอขึ้นมาด้วยมือเทียมของเธอที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อย
เธอยกกระเป๋าทั้งหมดขึ้นมาด้วยแขนทั้งสองข้างของเธอด้วยความไม่สะดวกนัก
และในขณะเดียวกัน ชายคนหนึ่งก็กำลังเดินมาหาเธอ
“โทษที ๆ
ที่ทำงานค่อนข้างวุ่น ๆ น่ะ ฉันก็เลยมาสาย” แม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่มีสายลมเย็น ๆ ที่พัดแค่ครั้งเดียวก็ทำให้รู้สึกหนาวสั่นได้แต่ฮอดกินส์กลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อในขณะที่เขากำลังวิ่งมา
เขายิ้มด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นไวโอเล็ตสวมชุดที่เหมือนกับผู้หญิงธรรมดา ๆ ทั่วไป
และเกือบจะจำเธอแทบไม่ได้ “ไวโอเล็ตตัวน้อย เธอดูน่ารักจัง
รสนิยมฉันนี่ดีชะมัด! ฉันนี่มีความสามารถเยอะจนน่ารำคาญเลยนะเนี่ย…
ฉันน่าจะลองทำงานในวงการแฟชั่นดูนะ แล้วเข็มกลัดล่ะ?”
“ฉันกลัวว่ามันจะหายระหว่างการเดินทางน่ะค่ะ…”
“มันไม่หายง่าย ๆ หรอก
เธอน่าจะใส่มันนะ ส่งมันมาให้ฉันสิ” ฮอดกินส์กลัดเข็มกลัดมรกตลงบนหน้าอกของไวโอเล็ต
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้กันมาก
แต่ไวโอเล็ตก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวงเนื้อหวงตัวแม้แต่น้อย
“เรียบร้อย
มันเหมาะกับเธอนะ ไวโอเล็ตตัวน้อย”
และถึงแม้ว่าเขาจะลูบหัวเธอ
แต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนหรือปัดมือเขาออกแต่อย่างใด
ดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับในตัวของฮอดกินส์แล้ว เพราะเขาได้ดูแลเธอมาเสียเนิ่นนาน
“ผู้พันฮอดกินส์คะ”
“’ท่านประธาน’”
“ท่านประธานฮอดกินส์
ถ้าฉันถูกปลดประจำการแล้วฉันต้องไปที่ไหนคะ? ฉันต้องไปส่งไปรษณีย์ที่ไหน?
ผู้พันไม่ตอบจดหมายฉันสักฉบับเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่ฉันส่งไปหลายฉบับแล้ว” ไวโอเล็ตจับมือของฮอดกินส์ไว้และขึ้นไปบนรถม้า
“ต่อจากนี้
เธอจะต้องไปอยู่กับตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลหนึ่งและเป็นลูกสาวบุญธรรมของพวกเขา
ลูกชายของพวกเขาจากไประหว่างช่วงสงครามน่ะ และพวกเขาก็กำลังมองหาบุตรบุญธรรมอยู่
ตระกูลของพวกเขาก็เป็นญาติของกิลเบิร์ตด้วย
เธอจะได้เรียนมารยาทและความเป็นกุลสตรีที่นั่นแหละ”
เมื่อผู้โดยสารขึ้นมาบนรถม้าแล้ว
คนขับรถม้าจึงออกเดินทาง และถึงแม้ว่ารถม้าจะเหวี่ยงเล็กน้อย
แต่ไวโอเล็ตยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดและไม่มีท่าทีว่าจะเซหรืออย่างใด
“เรื่องแบบนี้จำเป็นสำหรับการต่อสู้ด้วยหรือคะ?”
เธอคิดว่าเธอจะได้กลับไปยังสถานที่ที่เธอได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่
แต่เมื่อได้รับข่าวร้าย เธอจึงแสดงท่าทีออกมาเล็กน้อย
ฮอดกินส์ก้มตัวเล็กน้อย
และสบตากับไวโอเล็ตตรง ๆ “สงครามจบลงแล้ว เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องเป็นทหารอีกต่อไปแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอต้องเรียนมันเพื่อนำไปใช้ในชีวิตของเธอที่ไม่ใช่ชีวิตในการเป็นนักรบอีกต่อไป”
“ฉันไม่เข้าใจค่ะ…”
ฮอดกินส์พยักหน้าให้กับคำตอบที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
“ช่าย
มันเป็นปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน ขนาดฉันยังคิดว่ามันยากเลย”
“’ปัญหา…ที่ซับซ้อน’ ขนาดคุณ…ก็ด้วยหรือคะ
ท่านประธานฮอดกินส์? มันไม่ง่ายหรือคะ?”
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
ทำไมเธอถึงถูกใช้ให้ฆ่าคนล่ะ?”
“ฉันมีความสามารถค่ะ
และมันก็เป็นที่ต้องการ”
“ใช่
เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อที่เธอจะปกป้องตัวเองได้ แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอคงจะเคย…ฆ่าคนมาก่อนก่อนที่จะพบกิลเบิร์ต
เพราะว่าใครสักคนสร้างเธอขึ้นมาให้ทำแบบนั้น เหมือนกับสร้างมาเพื่อกำจัดสิ่งกีดขวาง…โดยที่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับมัน”
––นั่นจึงทำให้เธอมีปัญหาในการใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปยังไงล่ะ
“อ่า
ซับซ้อนจริง ๆ เสียด้วย ยกตัวอย่างนะ ถ้าฉันบอกว่าฉันถูกพวกอันธพาลทำร้ายร่างกาย
เธอก็จะฆ่าพวกอันธพาลพวกนั้นเพื่อช่วยชีวิตฉันใช่ไหมล่ะ
มันคงจะดีกว่าถ้าเธอไม่ทำแบบนั้น แต่เธอก็เลือกที่จะฆ่าพวกเขา มันผิดศีลธรรมนะ
แต่เธอก็ไม่ได้รับโทษเลย ที่จริงแล้ว เธอกลายเป็นฮีโร่ไปด้วยซ้ำ”
“’ศีลธรรม’ คืออะไรคะ?”
“สิ่งสำคัญที่ผู้คนเชื่อว่าควรจะปฏิบัติตามเพื่อใช้ในการอยู่ร่วมกันยังไงล่ะ
และถ้าเธอไม่ปฏิบัติตาม เธอก็จะถูกตำรวจจับ เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม?”
“ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น
อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดว่าจริง ๆ แล้วฉันอยากถูกฆ่าโดยพวกอันธพาลล่ะ
ฉันให้เงินพวกเขาและขอให้พวกเขาฆ่าฉัน ฉันอยากตาย เราจึงทำข้อตกลงกัน
แล้วเธอก็เข้าใจผิด
เธอจึงเข้าไปยุ่งกับเรื่องนั้นและสุดท้ายก็ฆ่าคนที่มาเล่นเป็นอันธพาลและกำลังจะฆ่าฉันเพราะว่าฉันขอ
เธอคิดว่าการฆาตกรรมในเรื่องนี้มันผิดศีลธรรมไหม?”
เงียบกริบ
“เห็นไหม
มันซับซ้อนใช่ไหมล่ะ? มันไม่มีคำตอบที่ถูกหรอก
กฎหมายที่ถูกเขียนโดยมนุษย์น่ะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องจริง ๆ หรอก
แต่ตอนนี้ลืมเรื่องตัวอย่างนั้นไปเถอะนะ”
ไวโอเล็ตยันแขนของเธอขึ้นและแนบกับแก้มของเธอ
ฮอดกินส์คิดว่าเธอกำลังคิดว่าพูดนั้นช่างไร้ความปราณี แต่เชื่อเถอะว่าปัญหาเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเธอไม่ช้าก็เร็ว
มีทหารหญิงคนหนึ่ง
เธอสังหารผู้คนไปมากมาย ถึงแม้ว่าการฆาตกรรมจะก่อให้เกิดปัญหาที่ยิ่งใหญ่ตามมา
แต่เธอก็ยังเลือกที่จะฆ่าคน
แล้วทหารหญิงคนนั้นจะได้รับอนุญาตให้มีความสุขไหม?
“สิ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คือ…”
แม้ว่าเขาจะรู้สึกกลัวที่อาจจะโดนตัดความเป็นเพื่อนเพราะความสับสนของไวโอเล็ต
แต่ฮอดกินส์ก็ยังพูด “ฉันไม่อยากเห็นเธอฆ่าใครอีก
เพราะงั้นฉันก็เลยไม่อยากปล่อยเธอให้ไปที่ที่เธอทำแบบนั้นได้
เรื่องนี้น่ะมันเกี่ยวข้องกับทฤษฏีการขับเคลื่อนทางอารมณ์ด้วยนะ และ…ฉันก็คิดว่ามันใกล้เคียงกับการการแก้ปัญหานี้มากที่สุด”
เขาเกือบจะเกลียดกิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียแล้วล่ะที่ทำให้เขาต้องมาแบกรับภาระแบบนี้
“การฆาตกรรมน่ะทำให้คนที่ต้องโศกเศร้าเสียใจเพิ่มมากขึ้นนะ
ฉันถึงไม่อยากให้เธอทำแบบนั้นยังไงล่ะ ฉันเอง…ก็ไม่อยากเสียใจเหมือนกัน
ฉันไม่คิดว่าคนทั้งโลกจะคิดแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันแค่พยายามมองหาความสุขเท่านั้น…เพื่อคนที่ฉันรัก กิลเบิร์ตเองก็เหมือนกัน…เราถึง ‘ห้าม’ ไม่ให้เธอทำยังไงล่ะ
ศีลธรรมที่มาพร้อมกับความเห็นแก่ตัวว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าดีน่ะ
โลกกำลังจะกลายเป็นแบบนั้นแหละ ทุกคนน่ะ…ต่างก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น
ไวโอเล็ตตัวน้อย คำสั่งสุดท้ายที่กิลเบิร์ตให้เธอคืออะไร?”
เมื่อถูกถามเช่นนั้น
ไวโอเล็ตจึงนึกย้อนไปถึงตอนนั้น กิลเบิร์ตที่เต็มไปด้วยเลือด และเธอกำลังร้องไห้
นั่นอาจจะเป็นน้ำตาหยดแรกของเธอด้วยกระมัง
“ฉันรักเธอ” เมื่อเธอคิดถึงคำที่เต็มไปด้วยพลังบางอย่างนั้นออกมา
หัวใจของเธอก็เต้นรัวเร็ว
เพียงแค่ได้นึกถึงหัวใจของเธอก็เต้นหนักหน่วงขึ้นมาเสียแล้ว
“หนีไปซะและใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ”
“นั่นไงล่ะ”
ในที่สุดก็เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
สำหรับไวโอเล็ตนั้น คำสั่งของกิลเบิร์ตถือเป็นสิ่งที่ต้องทำตาม
ตราบใดที่คำสั่งนั้นไม่ได้มีอันตรายใด ๆ เธอก็จะปฏิเสธมันไม่ได้นานนัก
แต่ถึงอย่างนั้น
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเธอเหลือเกินที่จะต้องยอมรับว่าเธอจะไม่ได้กลับไปยังสนามรบอีกแล้ว
“มันมีประโยชน์ต่อกองทัพหรือคะ?
ถ้าฉันไม่ฆ่าแล้วฝั่งของเราจะต้องตายน่ะค่ะ”
“ศัตรูน่ะก็เป็นคนเหมือนกันนะ
และนอกจากนี้…เธอเองก็ไม่รู้ด้วยว่าการฆ่าคนน่ะทำให้ในตัวของเธอน่ะกำลังถูกแผดเผาอย่างช้า ๆ
และเพราะมันกำลังแผดเผาเธออยู่ฉันถึงบอกเธอเรื่องนี้ยังไงล่ะ…ไวโอเล็ตตัวน้อย”
อดีตทหารหญิงก้มลงมองลำตัวของเธอ
แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรที่กำลังถูกเผา เธอเห็นแต่เสื้อผ้าที่สวยงามของเธอเท่านั้น
“ฉันไม่ได้ถูกเผาอยู่นะคะ”
“ถูกสิ”
“ไม่นะคะ คุณพูดเรื่องอะไรคะ
ไม่เห็นเข้าใจเลย”
“ไม่หรอก
ฉันเห็นเธอกำลังถูกเผาอยู่และฉันก็ทิ้งเธอไว้ลำพัง ฉันเสียใจเรื่องนั้นมาตลอด”
ทุกอย่างที่ฮอดกินส์พูดช่างแปลกประหลาด
“จากนี้เธอจะได้รู้อะไรอีกหลายอย่างเลยล่ะ
และหลังจากนั้น แน่นอน สิ่งที่เธอทำลงไป…และที่ฉันพูดไปว่าฉันทิ้งเธอไว้…เมื่อถึงเวลาเธอก็จะเข้าใจมันเอง”
ลูกสมุนที่เจ้านายได้เก็บมาเลี้ยงนั้นเป็นความโหดร้ายที่แสนงดงาม
“และหลังจากนั้น
เธอก็จะรู้ตัวว่าเธอน่ะถูกเผาไปแล้วมากขนาดไหน”
ว่ากันว่าความภาคภูมิใจของความโหดร้ายที่แสนงดงามนั่นคือการที่เธอเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
และไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นแสนไร้เดียงสาเพียงใด
“เธอจะรู้สึกตัวเมื่อเธอรู้สึกไฟกำลังลามเลียอยู่บนเท้าของเธอ
และเธอก็จะรู้ว่ามีคนมากมายที่กำลังเทน้ำมันราดไปบนเปลวเพลิงนั่น
มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน
แต่เมื่อถึงเวลาที่เธอร้องไห้ออกมาเธอก็จะรู้เอง”
จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่ดวงตาของเธอจะปิดลงและหลับไปชั่วนิรันดร์
เธอก็จะไม่มีวันรู้ถึงความรู้สึกที่ร่างกายของเธอกำลังถูกแผดเผาอยู่
ถึงแม้ว่าจะมีความสำนึกผิด แต่ก็ไม่มีทางทำให้เธอหลุดพ้นจากบาปนั้นได้
“แต่ฉันก็อยากให้เธอรู้สึกตัวอยู่ดี
เพราะแบบนั้นเธอถึงกลับไปเป็นทหารไม่ได้ยังไงล่ะ”
เธอไม่เคยเชื่อในสิ่งใด
และเธอก็คงจะใช้ชีวิตต่อไปแบบนั้น
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
มาเปลี่ยนโชคชะตาของเธอกันเถอะ”
เธอถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน
จนกระทั่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาและจับมือของหญิงสาวที่กำลังถูกแผดเผานั่นและโยนเธอลงไปในทะเลสาบ
และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เขานั้นมีตัวตนอยู่อย่างแน่นอน
“คนที่เธอจะพบหลังจากนี้คือเจ้าหน้าที่หน่วยงานทหารชั้นสูง
และเป็นคนของตระกูลที่มีชื่อเสียงด้วย
และเนื่องจากเธอไม่ได้รับการลงทะเบียนในกองทัพ
เพราะงั้นเธอก็ควรจะเริ่มชีวิตใหม่ของเธอจากตรงนี้แหละ”
“แต่ว่า
ฉันก็จะไม่ได้อยู่ข้าง ๆ ผู้พันอีก…”
“นี่เป็นคำสั่งของกิลเบิร์ตคนที่เธออยากจะเป็นความแข็งแกร่งให้เขายังไงล่ะ
ไวโอเล็ตตัวน้อย เธอเป็นอะไรสำหรับกิลเบิร์ตกันล่ะ?”
“ฉันเป็น…ของผู้พัน…”
“อ่า เราถึงแล้วล่ะ
เราเข้าไปทักทายพวกเขากันเถอะ”
เมื่อรถม้าหยุดวิ่ง
ไวโอเล็ตก็ลงจากรถโดยที่จับมือของฮอดกินส์ไว้
ถึงแม้ว่าคฤหาสน์หลังนี้จะโบราณ
แต่ก็มีสถาปัตยกรรมที่งดงามจนอาจจะเข้าใจว่าเป็นปราสาทได้เลย
มันใหญ่และทอดยาวจนสุดขอบถนน สามีภรรยาที่ดูมีอายุคู่หนึ่งเดินออกมาจากคฤหาสน์
เมื่อเห็นพวกเขาฮอดกินส์จึงกระซิบที่ข้างหูของไวโอเล็ต “อย่าทำตัวเสียมารยาทล่ะ”
ไวโอเล็ตยกมือขึ้นจับเข็มกลัดมรกตของเธอ
รถม้านั้นได้เดินทางกลับแล้ว
ไวโอเล็ตเงยหน้าขึ้นมองทางที่สามีภรรยาคู่นั้นกำลังเดินมา
แต่เธอก็ไม่เห็นคนที่เธอหวังจะได้พบ ไม่ว่าไวโอเล็ตจะมองหาเขายังไง
เขาก็ไม่เคยมาพบเธอเลย
“ท่านผู้นี้เป็นผู้นำของตระกูลเอเวอร์การ์เดน
และท่านผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาของเขา พวกเขาจะเป็นพ่อแม่บุญธรรมของเธอ ทีนี้
ทักทายพวกเขาสิ”
คู่สามีภรรยาสูงอายุที่ดูสง่างามแต่อ่อนโยนจับมือเทียมของไวโอเล็ตโดยไม่มีความลังเล
และยิ้มให้เธอด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
ฉันไวโอเล็ต”
และนับแต่นั้น
ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
หิมะที่ตกลงมาละลายในน้ำทะเลที่ดำทะมึน
ผิวน้ำของทะเลนั้นมืดเสียยิ่งกว่าท้องฟ้าที่พร่าวพราวไปด้วยหมู่ดาวเสียอีก
เกล็ดน้ำแข็งที่ตกลงมานั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากยิ่งในประเทศทางตอนใต้อย่างไลเดนชาฟต์ลิชเช่นนี้
เมื่อพวกเด็ก ๆ เปิดหน้าต่างออกมาและเห็นของขวัญที่ตกลงมากจากฟากฟ้าก็วิ่งออกไปทันที
ยามที่ต้องคอยเฝ้าทรัพย์สมบัติที่มีค่ายิ่งนั้นหนาวสั่นเพราะความเย็น
กะลาสีรู้สึกโล่งอกที่เดินทางมาอย่างปลอดภัยและกลับบ้านได้ทันก่อนที่พายุหิมะจะมา
ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนนั้นช่างเป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งนัก
ทางตอนใต้ของไลเดนชาฟต์ลิชนั้นมีหิมะตกเพียงไม่กี่ครั้งต่อปีเท่านั้น
และไม่เคยตกหนักเลยด้วย
ไม่มีใครบอกได้เลยว่าทำไมปีนี้หิมะถึงได้ตกหนักและตกลงมาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้
บางทีอาจจะเป็นเพราะสวรรค์ได้บัญชาลงมากระมัง เพราะปกตินั้นหิมะที่ตกลงมาจะตกแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น
แต่ก็สามารถตกหนักจนกองพะเนินสูงถึงเข่าของผู้ชายได้เลยล่ะ
กรมอุตุนิยมประกาศว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นสภาพอากาศที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในรอบศตวรรษ
และทำให้เมืองทางตอนใต้มีสภาพที่ผิดปกติไปจากเดิม ผู้คนที่ออกมาข้างนอกจะลื่นเพราะถนน และถนนที่มีไว้ให้รถม้าและรถราก็หายไปเพราะหิมะที่ตกลงมากลบไว้จนมิด
ผู้คนที่ไม่มีอาหารสำรองก็ออกไปซื้อกันที่ร้านค้าและร้านอาหารอย่างล้นหลาม
ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความปลาบปลื้มและเสียงกรีดร้องของความหวาดหวั่น
แต่เมื่อร้านค้าหยุดค้าขายและส่งออกสินค้า ก็ไม่มีใครออกมาเดินข้างนอกอีกเลย
เมืองทั้งเมืองเงียบสงัด ราวกับว่าหิมะได้ดูดซับเสียงเหล่านั้นไปด้วย
ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้าย
ฮอดกินส์กำลังเดินไปตามเส้นทางที่ปูด้วยหิมะเหมือนกับทุก ๆ วัน
สำหรับคนอย่างเขาที่เคยเป็นถึงอดีตทหารของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชและเคยเจอสภาพอากาศแบบนี้จากประเทศทางตอนเหนือซึ่งปกคลุมด้วยหิมะอยู่แล้วนั้นถือเป็นเรื่องที่สบายมาก
เขาเดินไปตามถนนเส้นนั้นด้วยความเงียบ
และเตะหิมะออกด้วยรองเท้าที่ใส่ในฤดูหนาวของเขา
จนกระทั่งเขาเห็นคฤหาสน์ของเอเวอร์การ์เดนที่ตั้งอยู่ห่างจากไลเดนเมืองหลวงของไลเดนชาฟต์ลิชออกไปราง ๆ
เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ไอของลมหายใจลอยขึ้นไปในอากาศและหายไปในไม่ช้าเหมือนกับควันในความมืดมิด
เมื่อเขามาถึง
พ่อบ้านของคฤหาสน์เอเวอร์การ์เดนก็ออกมาต้อนรับเขา
เนื่องจากคฤหาสน์นั้นมีขนาดใหญ่มาก ทั่วทั้งคฤหาสน์จึงไม่ได้อบอุ่นเท่ากันหมด
แต่สำหรับฮอดกินส์ที่เดินฝ่าหิมะในยามค่ำคืนเช่นนี้แค่เข้าไปในห้องก็รู้สึกดีมากแล้ว
เขานั่งอยู่ข้างเตาผิงและดื่มชาที่ได้รับมาอยู่สองสามนาที
“ในที่สุดคุณก็มาถึงเสียทีคุณฮอดกินส์
ฉันนึกว่าคุณจะไม่มีมาวันนี้เสียอีก” หญิงชราที่สวมชุดคลุมนอนผ้าไหมปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าเขา
“คุณทิฟฟานี่
ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ผมขอโทษด้วยที่มาเยี่ยมกลางดึกแบบนี้” ฮอดกินส์โค้งคำนับให้เธอด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
“นั่นน่ะเป็นคำพูดของฉันต่างหาก
คุณเพิ่งจะเดินทางไปทวีปอื่นมาใช่ไหม? ฉันผิดเองล่ะที่เรียกคุณมากะทันหันแบบนี้”
“ผมไม่มีทางปฏิเสธคำเชิญของคุณผู้หญิงได้หรอกครับ
แล้วคุณแพทริกล่ะครับ?”
“สามีของฉันทิ้งฉันไว้ที่นี่แล้วไปขังตัวเองในเมืองที่ห่างไกลน่ะ
เขายังต้องทำหน้าที่ปกป้องประเทศนี้อยู่ แต่เขาคงจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้อีกแล้วก่อนที่เขาจะจากไป…พอพูดถึงเขาแล้ว ถึงเขาจะแก่แล้วก็เถอะ
แต่ฉันคิดว่าเขาอาจจะกำลังเล่นหิมะอยู่ข้างนอกก็ได้ เขาเป็นหวัดยังดีกว่าเสียอีก”
ภาพของเด็กที่ยังเยาว์วัยคนหนึ่งที่กำลังปั้นมนุษย์หิมะอย่างสนุกสนานปรากฏขึ้นในใจของฮอดกินส์
“มันเยี่ยมไปเลยนะครับ
ที่ถึงเขาจะเป็นคนจริงจังแต่ก็ยังไม่ลืมความไร้เดียงสาในวัยเด็กแบบนี้”
“ไม่หรอกจ๊ะ
เขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งนี่ล่ะ
แต่เขาก็ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวของเอเวอร์การ์เดนด้วย…แต่เราอย่าพูดเรื่องของแพทริกแล้วมาพูดเรื่องของไวโอเล็ตดีกว่า
ตอนนี้ในหัวฉันน่ะมีแต่เรื่องของเธอเต็มไปหมดเลย”
ทิฟฟานี่
เอเวอร์การ์เดนเริ่มพูดถึงไวโอเล็ตด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า
ดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะให้ความรู้มากมายแก่ไวโอเล็ต ตั้งแต่เรื่องการศึกษา มารยาท ขี่ม้า ร้องเพลง ทำอาหาร
และเต้นรำ แต่เธอก็ดูไม่สนุกกับเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด หรือไม่ก็แสดงท่าทีพึงพอใจอยู่ห่าง ๆ
และเมื่อเธอไม่มีอะไรทำ เธอก็จะขังตัวเองไว้ในห้องและเขียนจดหมายตลอดทั้งวัน
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีจดหมายสักฉบับที่เธอส่งไปแล้วได้รับการตอบรับเลย
“เธอเริ่มจะคุ้นเคยกับทุกคนในบ้านแล้วล่ะ
ถึงขนาดเมื่อไม่นานมานี้เธอก็ยังนวดไหล่ให้แพทริกด้วยนะ
เขานี่ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจเลยล่ะ…ไม่สิ อาจจะเป็นเพราะเจ็บก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดูกระอักกระอ่วนกับพวกเราอยู่ดี
ฉันเชื่อนะว่าเธอเป็นเด็กดี ตอนลูกชายของเราจากไป หัวใจของพวกเราแทบสลาย
แต่ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยาทีละนิดแล้วล่ะ…ฉันชอบความไร้เดียงสาที่เธอแสดงออกมาอย่างจริงใจมากเลยล่ะ”
“ผมก็เหมือนกันครับ”
“แต่ถ้ามีแต่พวกเราที่ดีขึ้น การรับเธอมาเลี้ยงก็ไม่มีความหมายอะไร” เธอกอดตัวเองไว้ราวกับว่าเธอหนาว “เรารับเธอมาเลี้ยงเพราะว่าเราได้ยินเรื่องของเธอมา
และเราก็ควรจะเป็นคนที่มอบอะไรสักอย่างให้เธอ…มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรือ?
เพียงเพราะแค่เราไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันน่ะ…”
“นั่นไม่จริงเลยครับ”
ถึงแม้ฮอดกินส์จะยืนยัน
แต่ทิฟฟานี่ก็ยังส่ายหัว “เรา…แทนที่กิลเบิร์ตไม่ได้หรอก”
“เหมือนกับที่ไวโอเล็ตเองก็แทนที่ลูกชายของคุณไม่ได้เหมือนกัน
ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกครับ เราเป็นแค่ความสบายใจให้เขาได้เท่านั้น
ไม่ว่าเธอจะมาจากที่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้เธอก็ไม่มีที่ให้กลับไปแล้ว
และเธอก็ไม่มีคนที่คอยทำอาหารอุ่น ๆ ให้เธอกินด้วย แต่ตอนนี้เธอมีแล้วครับ
ในเวลาแบบนี้ เส้นทางที่เธอเลือกเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ แค่นี้ก็มากพอแล้ว
มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากพอแล้วครับ ได้โปรดอย่าให้เธอออกจากบ้านคุณไปเลย”
“’ให้เธอออกจากบ้าน’…!
ฉันไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นหรอกนะ ถ้าฉันต้องปล่อยไวโอเล็ตไป
ฉันขายสามีฉันทิ้งเสียดีกว่า”
สายตาของเธอไม่ได้บ่งบอกว่าโกหกแต่อย่างใด
“คุณทิฟฟานี่ครับ…ที่คุณพูดมันน่าทึ่งมากครับ
แต่อย่างน้อยก็ช่วยเอ็นดูสามีของคุณด้วยเถอะนะครับ”
“ถ้าพูดตามจริงแล้ว
การมีลูกสาวน่ะน่ารักกว่ามีสามีอีกนะ…”
“อย่าทำลายความฝันของผู้ชายที่ยังไม่ได้แต่งงานคนนี้สิครับ”
“ถ้าคุณสนใจ ฉันหาผู้หญิงมาให้คุณรู้จักได้นะ”
ดวงตาของทิฟฟานี่เปล่งประกาย
ฮอดกินส์จึงหยุดบทสนทนาด้วยความรวดเร็วและเดินไปยังห้องของไวโอเล็ตราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง
คนรับใช้ในบ้านเอเวอร์การ์เดนมองเขาด้วยความกังวลจากที่ห่างไกล
เขายังไม่ตัดสินใจเข้าไปในห้อง แต่พยายามที่จะกระตุ้นตัวเขา
––ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอก
ใช่ไหมล่ะฮอดกินส์?
ฮอดกินส์ได้ลิ้มรสความรู้สึกนั้นหลายครั้งหลังจากที่ได้กลายเป็นผู้คุ้มครองไวโอเล็ต
เขาเองก็รู้สึกเหงาบ้างเหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความสุขด้วย
––ถ้าเป็นเขา
เขาก็สามารถให้สิ่งที่กิลเบิร์ตให้ไม่ได้หรือทำไม่ได้
“ถึงจะไม่ได้เป็นตัวแทนของเขาก็ตาม…”
เขาทุบอกของเขาเพื่อยืนยันบางอย่าง
จากนั้นจึงกระแอมในลำคอและลองเคาะประตูสักครั้ง
“เข้ามาได้เลยค่ะ”
เธอคงจะรู้ว่าเป็นเขาจากการได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะมาเยี่ยมที่ห้องของเธอบ่อยครั้ง
และถึงแม้ว่าฮอดกินส์จะรู้สึกกังวลที่ต้องแอบเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาวในยามดึกแบบนี้
แต่ในวินาทีต่อมาความตึงเครียดเหล่านั้นก็ได้หายไปทันที
“ท่านประธาน…ฮอดกินส์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
ไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดน เป็นชื่อที่ตั้งตามเทพธิดาแห่งดอกไม้ตนหนึ่งได้กลายเป็นสาวสวยยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากที่ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่เดือน
เสื้อคลุมหลวม ๆ ที่เธอสวมใส่นั้นช่างดูเรียบร้อยและบริสุทธิ์ยิ่งนัก
ผมสีทองของเธอยาวขึ้นอีกแล้ว และสายตาของเธอก็ช่างน่าพิศวง
เธอเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่เหมาะสมกับชื่อที่กิลเบิร์ตมอบให้กับเธอจริง ๆ
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
เธอทำอะไรอยู่น่ะ?” แต่ถึงอย่างนั้น
สิ่งที่สะดุดตาของฮอดกินส์ก็ไม่ใช่ความสวยของเธอ เสียงของเขาสั่น
เขาไม่อยากแสดงท่าทีออกไปมากนักแต่ก็ซ่อนมันไว้ไม่ได้อยู่ดี
ไวโอเล็ตนั่งอยู่ท่ามกลางกองจดหมายที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ
และมองมาที่ฮอดกินส์ที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง มันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองฉบับ
แต่เป็นโหล ๆ กองสุมกันราวกับศพ เหมือนกับที่หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง
เหลือแต่เพียงความคิดที่ตายไปแล้ว
เธอไม่ได้ตอบเขาทันที
มันอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับใคร “ฉัน…แยกจดหมายอยู่ค่ะ”
“จากใครกัน?
ฉันเองก็ส่งโปสการ์ดมาให้เธอตลอดเหมือนกันนี่ ใช่ไหม?”
“ไม่มีใครทั้งนั้นค่ะ…จดหมายพวกนี้เป็นจดหมายที่ฉันเขียนแต่ไม่ได้ส่งให้ใคร
ฉันไม่ได้ส่งจดหมายตั้งนานแล้วค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ…ว่าเขาจะไม่มีวันตอบกลับมา
ทุกครั้งที่ไม่มีอะไรทำ ฉันพบว่าตัวเองกำลังเขียนจดหมายอยู่ตลอดเลยค่ะ จดหมายพวกนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย
มันเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปที่ฉันเขียนเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของฉัน
ฉันกำลังคิดว่าฉันควรกำจัดพวกมันทิ้งดีไหมอยู่น่ะค่ะ”
จดหมายที่ไม่ได้ถูกส่งให้ใครกองสุมกันเป็นภูเขา
ดวงตาของไวโอเล็ตหม่นแสงลง
และอาจเป็นไปได้ว่าช่วงเวลาเดียวที่เธอรู้สึกมีชีวิตชีวานั้นคงเป็นช่วงเวลาที่เธอใช้มันในช่วงสงคราม
“ไวโอเล็ตตัวน้อย…”
ฮอดกินส์นั่งลงในพื้นที่ว่างท่ามกลางภูเขาจดหมายนั่น
เขาสบตาเธอตรง ๆ และเมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่ว่างเปล่าคู่นั้น
เขาก็รู้สึกไม่อยากมองอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม
เขาก็พยายามย้ำเตือนตัวเองว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะเขาไม่ได้เจอเธอมาเสียนาน
“ผู้พันจะ…ไม่มาหาฉันแล้วใช่ไหมคะ?”
“ใช่…เขาจะไม่มา”
“เพราะว่าแขนของฉันขาด…ฉันก็เลยไม่มีค่าแล้วใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“ฉันยังสู้ได้ค่ะ
ฉันแข็งแกร่งได้มากกว่านี้”
“สงครามของเราจบลงแล้ว
ไวโอเล็ตตัวน้อย”
“ถ้านอกเหนือจากการเป็นอาวุธแล้ว
ฉันยังถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อยู่ไหมคะ?”
“เธอไม่ได้…เป็นเครื่องมือของใครอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ถ้าการมีตัวตนของฉันทำให้ผู้พันรำคาญ
ช่วยบอกเขาให้ออกคำสั่งกับฉันให้หายตัวไปได้ไหมคะ? ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ ถ้าฉัน…ยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันก็คงจะไม่มีประโยชน์อีกแล้วค่ะ…”
ฮอดกินส์อดทนไม่ไหวอีกต่อไปเขาจึงระเบิดน้ำตาออกมา
“อย่าพูด…แบบนั้น…แล้วฉันกับเอเวอร์การ์เดนจะรู้สึกยังไงล่ะ?!”
“เพราะ…แบบนั้น…เพราะ…แบบนั้น…ฉันถึงไม่รู้ค่ะ…ว่าควรจะ…ทำยังไงดี” ดวงตาของเธอเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
ไวโอเล็ตขอร้องฮอดกินส์ “ถ้าฉัน…ถ้าฉันเป็นเครื่องมือ…ที่ไม่จำเป็นแล้ว…ฉันก็ควรถูกทิ้งค่ะ…ฉัน…ฉัน…ไม่สมควร…ที่จะถูกรัก…โดยใครสักคน…แบบนี้…ทิ้งฉันไปเถอะค่ะ เอาฉันไปทิ้งที่ไหนก็ได้”
“เธอไม่ใช่สิ่งของหรอกนะ ฉันคิดว่าเธอเป็นลูกสาวฉันด้วยซ้ำ นี่ ฟังนะ
ฉันขอโทษ”
“ฉันไม่…รู้…ว่า…จะทำยังไงดี”
“ไวโอเล็ตตัวน้อย
ฉันขอโทษ…ขอโทษจริง ๆ ฉันไม่อยากทำให้เธอเจ็บ”
“พาฉันไปหา…ผู้พันทีค่ะ ได้โปรด”
“เพราะแบบนั้นฉันถึงขอโทษ
ขอโทษจริง ๆ” ฮอดกินส์หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อของเขา
และให้ไวโอเล็ตเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่เป็นประกายสีเงิน
ไม่ได้เป็นแค่สร้อยคอธรรมดา ๆ
แต่เป็นบัตรแสดงตน – เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการระบุตัวตนของผู้ที่เสียชีวิตในสนามรบ
ถึงแม้ว่าพวกทหารจะคิดว่ามันเหมือนกับป้ายชื่อของสุนัขและเอามาเล่นตลกกันก็ตาม
แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีปัญหาที่จะใส่มัน
แต่มันต่างกับผู้ที่ได้รับสิ่งนั้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเองโดยสิ้นเชิง
มันระบุชื่อและเพศของทหารไว้ และใช้ในการยืนยันตัวตนของศพในสงคราม ถึงแม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะเสียหายมากจนจำแทบไม่ได้เลยก็ตาม
และมีหลาย ๆ คนที่เก็บสร้อยเหล่านั้นของสหายพวกเขาไว้เหมือนกับของที่ระลึก
ชื่อของคนที่เธอตามหามาเสียเนิ่นนานอยู่บนป้ายนั่น
ไวโอเล็ตได้รู้วิธีการเขียนแล้ว และเธอก็ได้ฝึกเขียนชื่อของกิลเบิร์ต
“กิลเบิร์ตตายแล้ว”
“ไวโอเล็ต ฉันรักเธอ
มีชีวิตอยู่เถอะนะ”
น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงจากดวงตาของไวโอเล็ต
ฤดูร้อนสิ้นสุดลงแล้ว
และฤดูใบไม้ร่วงก็ได้มาเยือน ฤดูหนาวถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง
และฤดูใบไม้ผลิในไลเดนชาฟต์ลิชนั้นถูกเรียกว่า “ฤดูสีขาว” ต้นไม้ที่ปลูกทั่วถนนของเมืองไลเดนจะเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่ง
และกลีบของมันที่ร่วงหล่นลงมาก็ราวกับหิมะ ในช่วงเวลาเช่นนั้น
ไม่ว่าใครก็ตามที่ออกไปข้างนอกก็จะได้เห็นดอกไม้ที่กำลังเต้นรำอยู่บนท้องฟ้า
มันเป็นฤดูกาลที่น่าทึ่งที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นมันก็จะได้เห็นแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
ปีใหม่
เป็นเทศกาลที่แสนวิเศษและเหมาะกับการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ
บริษัทไปรษณีย์ที่เพิ่งสร้างเสร็จนั้นตั้งอยู่ในเมืองไลเดน
และมีป้ายที่มีคำว่า “บริการไปรษณีย์ซีเอช” ตั้งอยู่
บริษัทแห่งนี้ยังไม่เปิดดีก็จริง แต่ประธานบริษัทก็ได้เตรียมพร้อมแล้ว
บนโต๊ะในห้องทำงานของเขายังไม่มีอะไรนอกจากโทรศัพท์ซึ่งไร้รสนิยม
“นายโอเคจริง ๆ เหรอ?” ถึงแม้ว่าทิวทัศน์ที่มองออกมาจากระเบียงจะน่าทึ่ง แต่คลอเดีย
ฮอดกินส์ผู้ที่ซึ่งเป็นประธานบริษัทไปรษณีย์กลับกำลังหรี่ตาราวกับกำลังจ้องมองอะไรสักอย่าง
บางทีคำพูดของเขาอาจจะทำให้อีกคนรำคาญใจ
คนที่ถูกถามถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างเกินเรื่อง
“สิ่งที่นายทำไม่ผิดหรอกนะ
ฉันเห็นด้วยเรื่องที่นายจะให้เธอออกจากกองทัพ ฉันถึงได้ช่วยนายไง
ตอนแรกฉันก็ลังเลแหละ แต่ตอนนี้ ฉันอยาก…ที่จะปกป้องเด็กคนนั้นจริง ๆ
ตอนที่ฉันอยู่กับเธอ ฉันเริ่มที่จะรู้สึกแบบนี้ ฉันอยาก…ถนอมเธอ
พูดจริง ๆ นะ แต่รู้ไหมกิลเบิร์ต…” หลังจากที่พันป้ายสุนัขที่กิลเบิร์ตให้เขาใช้มันเพื่อโกหก
ฮอดกินส์ก็พลิกมันด้วยเล็บของเขา “ฉันพูดเลยนะ
ว่านายจะต้องเสียใจ” หลักฐานที่แสดงถึงการมีชีวิตหมุนไปรอบ ๆ นิ้วของเขาก่อนจะกลับมาที่เดิม
“นายเป็นพ่อแม่บุญธรรมเธอและเธอก็เป็นลูกสาวของนายไม่ใช่เหรอ?
เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและเธอก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยไม่ใช่หรือไง?
นายบอกว่าที่นายไม่ไปหาเธอแบบนั้นก็เพื่อตัวเธอเอง แต่จริง ๆ แล้วมันก็แค่ข้ออ้างที่นายจะได้ไม่เข้าไปพัวพันกับไวโอเล็ตตัวน้อยมากเกินไปใช่ไหมล่ะ?
ถ้ามันเป็นความรัก นายก็ควรจะปกป้องเธอและให้เธอมาอยู่ข้าง ๆ นายสิ และ…และ…นายคิดว่าเธอจะมีความสุขจริง ๆ น่ะเหรอ?” ป้ายสุนัขที่ฮอดกินส์จับไว้แน่นเริ่มเย็นขึ้นมาอีกครั้ง “สถานการณ์มันอาจจะดีขึ้นก็จริง ถึงไม่มีสงครามเธออาจจะเดินหน้าต่อไปได้จริง
แต่ฉันไม่คิดว่าตอนนี้ไวโอเล็ตจะมีความสุขหรอกนะ นายก็เห็น
ถึงเธอจะยังเป็นทหารอยู่…ถึงจะยังเป็นแค่เครื่องมือของกองทัพอยู่
แต่เธอก็ดีใจที่ได้อยู่ข้างนาย! เธอมีความสุข! เธอมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการเดินตามนาย และตอนนี้เธอก็ยังทำแบบนั้น
เธอก็จะยังทำแบบนั้นถึงฉันจะบอกว่านายตายไปแล้วก็เถอะ นายเข้าใจใช่ไหม?
เธอเป็นผู้หญิงแบบนั้น! และถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอีก
เธอก็จะใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนวันตายด้วยการ รอ รอ รอ แล้วก็รอเจ้านายของเธอที่จะไม่มีวันมาหาเธอยังไงล่ะ…!”
หญิงสาวจะทำแค่เพียงเฝ้ารอชายคนนั้นที่เธอเข้าใจว่าตายไปแล้วตลอดไป
ใบหน้าของเธอ
และดวงตาสีฟ้าที่แสนโดดเดี่ยวของเธอสั่นไหวในใจของฮอดกินส์แล้วก็เลือนหายไป
“เธอน่าสงสารเกินไป!
กิลเบิร์ต…อย่าทำเป็นไม่สนใจความต้องการของเด็กคนนั้นสิวะ!
การที่นายคิดว่านายปกป้องเด็กคนนั้นด้วยการทำตัวเหินห่างแบบนี้น่ะมันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ของนายเลยนะ
ฉันรู้ทันความคิดของนายนะ นายคิดว่านายจะไม่เป็นไรตราบใดที่นายอยู่ห่างไกลจากคนอื่นแบบนี้เพราะนายยังอ่อนวัย แข็งแรง แล้วก็สุขภาพดีใช่ไหม? นายคิดว่าจะปกป้องตัวเองไปแบบนั้นจนกว่านายจะตายใช่ไหม?
นายแกล้งทำเป็นว่านายรู้สึกสงบดีใช่ไหมล่ะ? นายมันไอ้โง่เอ๊ย! ใคร ๆ ก็ตายอย่างไม่มีเหตุผลทั้งนั้นแหละ อย่าประเมินค่าตัวเองสูงไปนักเลย
ขนาดฉันยังคิดว่าฉันอาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวเองจะตายยังไง
ไม่มีใครโอเคจริง ๆ หรอก เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อไหร่นะกิลเบิร์ต
ไม่ว่านายหรือเธอก็แล้วแต่ นายจะต้องเสียใจและร้องไห้ออกมาอย่างแน่นอน เพราะว่าถ้าสุดท้ายนายจบลงด้วยการไปร้องไห้ที่ไหนสักที่ฉันก็คงจะไปปลอบนายไม่ได้หรอกนะ
ถึงฉันจะเป็นเพื่อนนายก็เถอะ แต่ตอนนี้ฉันก็เป็นผู้ปกครองของไวโอเล็ตเหมือนกัน
แหกปากเท่าที่นายต้องการและก็สาปแช่งตัวเองซะ ฟังนะ
อย่าโทรมาหาฉันอีกจนกว่านายจะคิดเรื่องนี้ใหม่! นายนี่มันไอ้งั่งจริง ๆ…! “ หลังจากตะคอกเสร็จ
ฮอดกินส์ก็กระแทกหูโทรศัพท์ลงกับโทรศัพท์ด้วยความรุนแรง
แต่ความโกรธของเขาก็ยังไม่ลดลง
เขาจึงปาป้ายสุนัขลงบนพื้น
วัตถุสีเงินที่เขาปามันทิ้งนั้นตกลงบนพื้นอย่างน่าสังเวช
“ไอ้โง่เอ๊ย…”
ยิ่งฮอดกินส์รู้จักไวโอเล็ตมากขึ้นเท่าไหร่
ความเจ็บปวดนั้นก็ยิ่งแผดเผาข้างในอกของเขามากเท่านั้น
และความรู้สึกผิดที่ได้เห็นความเศร้าของเธอนั้นก็กำลังทรมานเขา
“ไอ้โง่เอ๊ย…”
และในทำนองเดียวกัน
ความเจ็บปวดนั้นก็เกิดขึ้นกับกิลเบิร์ตเหมือนกัน
ฮอดกินส์ถอนหายใจเมื่อมองป้ายสุนัขที่เขาปามันลงไปกับพื้นในขณะที่อารมณ์เริ่มคงที่แล้ว
เขาคุกเข่าลงและเก็บมันขึ้นมาอีกครั้ง ชื่อของ ‘กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย’
ถูกสลักไว้ในป้ายนั่น และเป็นชื่อของชายที่เกิดในครอบครัวที่เข้มงวดและมักจะได้รับความคาดหวังอยู่เสมอ
เขาเชี่ยวชาญในการฆ่าตัวเองเพื่อคนอื่น
และถึงแม้ว่าฮอดกินส์จะไม่รู้ว่าเขาฆ่าตัวเองมากี่ครั้งแล้ว
แต่ตอนนี้มือของเขาก็คงจะถูกย้อมด้วยเลือดของตัวเขาเอง
และในตอนที่เขาทิ้งศพของตัวเองที่เขาได้ฆ่ามาอย่างต่อเนื่องนั้น
กิลเบิร์ตก็ได้พบกับไวโอเล็ต
เขาเป็นผู้ชายที่ไม่เคยมีสิ่งที่อยากทำหรือมีสิ่งที่อยากพูดเกี่ยวกับความฝันของเขาเหมือนที่ฮอดกินส์มี
เขาเดินอย่างเงียบเชียบ สงบ และช่ำชองในเส้นทางที่เส้นยาวไกลและคับแคบของเขา
และเมื่อเขาได้พบกับไวโอเล็ต กิลเบิร์ตก็ได้ทำลายเส้นทางของเขาเป็นครั้งแรก
การเอาไวโอเล็ตออกจากกองทัพนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดเลยสักนิด
แม้กระทั่งเส้นสายและความดีที่เขาได้สะสมมาตลอดก็ไม่เพียงพอ
และเพื่อที่จะทำแบบนั้นได้ กิลเบิร์ตจะต้องปีนขึ้นไปให้สูงกว่านั้น – ให้สูงเสียยิ่งกว่ายอดของพีระมิด
ปีนไปจนถึงจุดสูงสุดที่จะไม่มีใครมาด่าทอเขาได้
ไม่มีเครื่องมือที่ไม่สามารถทำลายได้ติดตามเขาอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าเขาจะปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้ว
หญิงสาวที่เขารักก็จะไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาอีก
เขาทิ้งเธอก็เพราะว่าเขารักเธอจนหมดหัวใจ เขายอมพนันกับทุกสิ่ง
พนันด้วยชีวิตของตัวเขาเอง เขาฆ่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะปกป้องเธอ
“มีแต่พวกโง่…อยู่เต็มไปหมด” ฮอดกินส์เก็บป้ายสุนัขและซ่อนไว้ในเสื้อของเขาอีกครั้ง
เขาเคยได้เห็นเพื่อนรักของเขาร้องไห้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
– ก็คือตอนที่หมอนั่นเห็นแขนเทียมของไวโอเล็ตครั้งแรก
ฮอดกินส์ไม่ได้รู้เรื่องของเขาทั้งหมด
แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นเพื่อนของเขามีสีหน้าแบบนั้น
ฮอดกินส์เคยคิดว่ากิลเบิร์ตเป็นคนเย็นชา จนกระทั่งเขาได้เห็นกิลเบิร์ตร้องไห้ออกมา
“ฮอดกินส์
ฉันมีเรื่องจะขอ”
แค่เหตุผลข้อนั้นข้อเดียวก็เพียงพอแล้วที่เขาจะตกลง
“ให้ตายสิ ให้ตาย…”
ข้างนอกของบริษัทไปรษณีย์นั้น
มีผู้ชายกับผู้หญิงกำลังกำลังกระแทกประตูพร้อมกับทะเลาะกันไปด้วย
ฮอดกินส์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเดินไปยังประตู กริ่งดังขึ้นทันทีเมื่อประตูเปิดออก
“คุณอยู่นี่เองสินะ” เมื่อเทียบกับคลอเดีย ฮอดกินส์
ผู้ที่ซึ่งเป็นประธานของบริษัทไปรษณีย์ที่กำลังพยายามทำให้ตนเองอารมณ์ดีนั้น
ทั้งสองคนที่มาใหม่กำลังมีสีหน้าบูดบึ้ง
“คุณเรียกเรามาทำไมกัน?
วันนี้ยังไม่ใช่วันเปิดบริษัทนี่นาใช่ไหม? แล้วก็
คุณน่ะควรจะสอนผู้หญิงงี่เง่าคนนี้ให้มีมารยาทหน่อยนะ”
“ท่านประธานคะ
อย่าทิ้งฉันไว้กับเขาอีกเลยนะคะ ฉันต้องอดทนมากเลยล่ะค่ะที่จะไม่ตีเขา”
“อย่าโกหกสิ
เธอเพิ่งจะตีฉันไปเองนะ! เธอกล้าพูดว่า ‘อดทน’ ไปได้ยังไงวะเนี่ย?!”
“เฮ้ นี่ พวกเธอสองคน”
อาจเป็นเพราะว่าเขาชินกับการที่เห็นทั้งสองคนกัดกันอยู่แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มบทสนทนา
และเมื่อพวกเขาอ้าปากจะเถียงกัน ฮอดกินส์จะยืนอยู่อย่างเป็นกลาง
ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดในฐานะที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยการโต้แย้งที่แสนอันตรายนั่น “เบเนดิกต์ แคทลียา เริ่มทำงานวันนี้แหละ
ฉันอยากจะเพิ่มสมาชิกผู้ก่อตั้งบริษัทไปรษณีย์ซีเอชอีกคนหนึ่งน่ะ” ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามที่จะพาเธอเข้ามาท่ามกลางพวกเขา
แต่เมื่อได้ยินเสียงว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นมาจากทางลาดด้านหลังของลูกจ้างทั้งสองคน
เขาจึงหยุดพูด
“พูดอะไรน่ะ?
ผมไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย”
เธอกำลังเดินขึ้นมาหาพวกเขาบนทางลาดที่ยาวด้วยเท้าและความตั้งใจของเธอเอง
หางตาตก ๆ ของเขาก้มลงมอง จากนั้นฮอดกินส์ก็ยิ้มออกมา
“ท่านประธานคะ
เธอเป็นผู้หญิงหรอ? เธอน่ารักไหม? มากกว่าฉันไหมคะ?”
“เธอเป็นผู้หญิง
และก็เด็กที่สุดในพวกเราสามคนด้วย เธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่างน่ะ ก็นะ…พวกเธอทั้งสองคนก็เป็นคนแปลก ๆ ที่มีเรื่องของตัวเองเหมือนกันใช่ไหมล่ะ แต่…เธออาจจะเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดเลย อายุของเธอใกล้เคียงกับพวกเธอเลย
ฉันเลยอยากให้พวกเธอเข้ากันได้
ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมเธอตลอดจนสุดท้ายเธอก็ยอมตกลงนี่ล่ะ
ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ต้องเดินทางไปรอบโลกใช่ไหมล่ะ เพราะงั้น…ประสบการณ์ที่เธอได้รับก็คงจะช่วยทำให้เธอเจอสิ่งที่เธอต้องการน่ะนะ”
และเมื่อพวกเขาทั้งสองคนหันหลังไป
เขาก็กวาดมือออกไปเพื่อแนะนำเธอให้กับพวกเขา
ผู้หญิงที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของพวกเขานั้นไม่ใช่
‘ไวโอเล็ต’ คนเดิมอีกต่อไป
“ให้ฉันแนะนำให้พวกเธอรู้จัก
นี่คือไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน”
ไวโอเล็ตที่มีความงามที่แสนเย็นชานั้นกำลังโค้งคำนับราวกับตุ๊กตา
ความคิดเห็น