คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : The Groom and the Auto-Memories Doll
/
The Groom and the Auto-Memories Doll
พระจันทร์ในยามรุ่งอรุณยังคงเรืองรองอยู่บนท้องฟ้า
แต่สีที่อ่อนและจางของมันก็ไม่สามารถซื้อใจผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้พระจันทร์ในยามค่ำคืนได้มากพอ
แต่อย่างไรก็ตาม ดวงจันทร์สีนวลละมุนที่เหมือนกับพระจันทร์เต็มดวงทั่ว ๆ ไปและจางเสียจนแทบจะกลืนไปกับท้องฟ้าก็สามารถหยุดเวลาและสามารถทำให้ผู้คนหันมาเชยชมมันได้
เมื่อรวมกับภูมิทัศน์ที่งดงามราวกับเทพนิยายที่มีทั้งต้นไม้ใบหญ้าและดอกไม้ช่อเล็ก ๆ มากมายที่แผ่ขยายออกไปสุดลูกหูลูกตาแล้วก็ราวกับว่าภาพนั้นหลุดออกมาจากหนังสือนิทานสักเล่มเลยล่ะ
“แม่ครับ”
ท่ามกลางฉากที่สวยงามราวกับสวรรค์ ชายคนหนึ่งวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วโดยที่ไม่แม้แต่จะมองดวงจันทร์เสียด้วยซ้ำ
เขาสวมแค่กางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ตเท่านั้น ไม่ได้ใส่อะไรไปมากกว่านี้
ที่แห่งนี้มีชื่อว่าลุ่มน้ำยูคาลิป และเป็นที่ที่ไร้ซึ่งความเจริญ ซึ่งห่างจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง
และหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นเวลาครึ่งวัน
ยานพาหนะที่คอยให้บริการก็จะให้บริการแค่รอบเดียวต่อวันเท่านั้น
ถ้าหากพลาดก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเดิน หรือการเดินทางแบบอื่น มันอาจจะดูง่ายที่จะมองหาใครสักคนในโลกที่เต็มไปด้วยทุ่งนาเช่นนี้เมื่อพิจารณาจากอุปสรรคต่าง ๆ ที่ดูน้อยนิด
แต่ในความเป็นจริงนั้นมันไม่ง่ายเลย
“แม่!”
ความกว้างสุดลูกหูลูกตานั่นเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการตามหาใครสักคน
และถ้าค้นหาทุกซอกทุกมุมก็อาจจะใช้เวลามากเกินไป
มันเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็นได้ถึงแม้ว่าจะมองออกว่าเป้าหมายจะไปทางไหนก็ตาม
“บ้าเอ๊ย
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้นะ…?” ชายหนุ่มที่ไม่มีความอดทนมากนักปาดเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผากของเขาด้วยแขนเสื้อ
เท้าที่กำลังวิ่งอยู่ในทุ่งหญ้าเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง
และทำเพียงแค่เดินเฉย ๆ และหยุดบ้างเสียด้วยซ้ำ
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเวลาใส่รองเท้า
เท้าเปลือยๆของเขาจึงเริ่มมีเลือดไหลซิบ ๆ ออกมาซึ่งอาจเกิดจากที่เขาเหยียบกิ่งไม้หรือหินเข้า
คนที่เขากำลังตามหาอยู่นี้มีค่าพอที่จะทำให้เขาต้องได้รับบาดเจ็บแบบนี้เลยเหรอ?
อยู่ดี ๆ ประโยคนั้นก็แวบขึ้นมาในหัวของชายหนุ่มโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
ชายหนุ่มยังคงวิ่งต่อ
โดยที่ยังมีคำถามที่เขาตอบไม่ได้นั่นอยู่ในหัว
ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ สีขาวที่ถูกเขาเหยียบถูกย้อมด้วยเลือด ความเจ็บปวดที่น่าหดหู่นั่นทำให้เขาคิดอะไรไม่ออกเลย
“เรียก…ชื่อผมสิครับ แม่”
เขาควรกลับเลยดีไหมนะ?
ทิ้งคนที่เขากำลังตามหาอยู่ไปเลยดีไหม?
“ชื่อ…ผม…”
ถ้าเขาเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น
เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองหาคน ๆ นั้นต่อไป ในสถานการณ์แบบนี้
ความลังเลเป็นเรื่องที่สูญเปล่า เพราะบางทีเขาอาจจะเจอเบาะแสในทุ่งหญ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนี้ก็ได้
“อ่า”
อยู่ดี ๆ ชายหนุ่มก็เห็นริบบิ้นสีแดงเข้มกำลังปลิวไสวอยู่
ริบบิ้นสีแดงนั่นกำลังพลิ้วอยู่ในโลกที่ไม่มีสีอะไรเลยนอกจากสีเขียว น้ำเงิน
และขาว สีแดงของริบบิ้นนั่นไม่เหมือนกับเลือดของเขาที่กำลังไหลออกมาเลยสักนิด
เขายื่นมือออกไปหามันโดยสัญชาตญาณ
และค่อย ๆ หยิบสิ่ง ๆ นั้นที่ราวกับของขวัญจากสวรรค์ขึ้นมา
ชายหนุ่มหันหัวของเขาไปทิศทางเดียวกับสายลม
เขาเห็นเงาของคนสองสามคนที่ล้อมรอบมอเตอร์ไซค์อยู่
หนึ่งในนั้นได้ออกมาจากตรงนั้นและตรงมาทางเขา เมื่อเข้ามาใกล้มากพอ
เขาจึงรู้ว่าเป็นผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังมีความงามที่น่าหลงใหลอย่างมากด้วย
ผมสีทองของเธอปลิวอยู่ท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่กำลังกระจัดกระจาย
เธอหยุดลงตรงหน้าเขาและมองมาที่ใบหน้าของเขา
“เอ่อ…”
ดวงตาสีฟ้าของเธอมีเสน่ห์ที่น่าพิศวงและทำให้เขารู้สึกราวกับเขากำลังเปลือยอยู่
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
ฉันจะเดินทางไปทุกหนทุกแห่งตามที่คุณลูกค้าต้องการ ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ ไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดนค่ะ”
เธอถอนสายบัวให้เขาอย่างงดงามราวกับหุ่นเชิดตัวหนึ่ง
เหมือนกับรูปร่างหน้าตาของเธอ
เสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากสีแดงเข้มของเธอนั้นช่างน่ารักและหมดจนไปหมด
แต่สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นช่างขัดกับสถานที่แบบนี้เสียเหลือเกิน
ชายหนุ่มไม่ได้เป็นลูกค้าของเธอ
และพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนอกจากคนแปลกหน้าเท่านั้น
บางทีเธออาจจะคิดเหมือนเขา
เธอจึงพูดออกมา “เป็นความผิดของฉันเองค่ะ ขออภัยด้วย ฉันติดคำพูดนี้มาจากการทำงานน่ะค่ะ
ฉันมักจะพูดแนะนำตัวแบบนี้กับทุกคนที่ฉันเพิ่งเจอเป็นครั้งแรกทุกทีเลยค่ะ…”
“ไม่…ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ่อ…ผมซีลีน
ริบบิ้นนี้ใช่ของคุณหรือเปล่า?”
เธอพยักหน้าเงียบ ๆ
ซีลีนจึงยื่นริบบิ้นไปให้เธอ
เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่ร่างกายของเขากำลังสั่นเพียงเพราะแค่ปลายนิ้วสัมผัสกันเท่านั้น
และมือของเธอก็ถูกสวมทับด้วยถุงมืออีกด้วย
นิ้วของเธอแข็งและเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่มือที่มีเนื้อหนังมังสาเหมือนมนุษย์
“นี่ครับ
แล้วก็ผมมีอะไรอยากจะถามด้วย ผมกำลังมองคน ๆ หนึ่งอยู่ครับ…”
“คุณหมายถึงผู้หญิงที่มีผมสีเงินที่อายุประมาณหกสิบ
และเชี่ยวชาญเรื่องการทำผมหรือเปล่าคะ?”
“ชะ-ใช่ครับ แม่ของผมเคยทำงานเป็นช่างทำผมมาก่อน…คุณรู้ได้ยังไงกัน…?”
ผู้หญิงคนนั้นปล่อยผมของเธอท่ามกลางสายลม
และชี้นิ้วไปยังทางที่เธอมา ถึงแม้จะมองเห็นได้ยากเพราะระยะห่างที่มากเกินไป
แต่เขาเชื่อว่าคนที่มีผมสั้นคนนั้นคือแม่ของเขา
“เรากำลังมองหาคุณอยู่เหมือนกันค่ะ”
ไม่ว่าเธอจะทำอะไรลงไปก็ตาม
แต่เธอก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากพอจะอยู่ในภาพวาดสักภาพหนึ่งได้เลยล่ะ
ซีลีนคิดเช่นนั้น
ผู้ที่คอยดูแลแม่ของซีลีนมาตลอดทางนั้นคือออโต้เมมโมรี่ดอลล์และบุรุษไปรษณีย์
ดูเหมือนว่ามอเตอร์ไซค์ของพวกเขาเกิดเสียระหว่างทาง
พวกเขาจึงเห็นแม่ของเขากำลังเดินไปรอบ ๆ ทุ่งหญ้า
“เธอบอกว่าเธอกำลังจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาสามีกับลูกชายของเธอน่ะครับ
มันแปลกใช่ไหมล่ะครับที่เช้าตรู่แบบนี้แต่มีคนกำลังเดินไปเดินมาอยู่รอบ ๆ แถวนี้?
พวกเราเองก็มีปัญหาอยู่แล้ว แต่วีกลับเห็นใครบางคนมีปัญหามากกว่าก็ยังใจเย็นได้”
เขาผายมือไปยังหญิงสาว ในขณะที่กำลังงมมอเตอร์ไซค์ที่เสียอยู่
“ฉันไม่ได้ชื่อ ‘วี’ ค่ะ ฉันชื่อ ‘ไวโอเล็ต’” เธอเหน็บปอยผมของเธอไว้หลังหู ก่อนจะก้มลงเพื่อหยิบเครื่องมือจากถุงที่วางอยู่บนพื้นให้ชายหนุ่ม
เขาไม่สนใจประโยคที่เธอแก้ชื่อของเธอ
และทำงานต่อไปเงียบ ๆ “เธอมองผมของวีแล้วเธอก็บอกว่ามันสวยดีแล้วก็ถามว่า ‘ขอจับได้ไหม’
เราก็เลยปล่อยให้เธอเล่นผมของวีไปแบบนั้น จนคุณโผล่มานั่นแหละ”
“แม่ของผม…สมองของเธอ…ไม่ค่อยดีนะ…ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณมีปัญหา”
“ก็คงเป็นแบบนั้น…ก็นะ แต่คนที่เป็นแบบนี้น่ะไม่ได้หาได้ง่าย ๆ หรอกนะ
การที่ความคิดและความทรงจำของเราทำให้เราสับสนน่ะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นง่ายจะตายไป
คุณไม่จำเป็นต้องแก่ก่อนที่จะเป็นโรคแบบนั้นด้วยซ้ำ…มันไม่ทำงาน…พอเถอะ ส่งผ้าเช็ดมือให้ฉันหน่อย”
เขาเช็ดคราบน้ำมันสีดำออกอย่างง่ายดายก่อนจะลุกขึ้น
เขาสูงกว่าไวโอเล็ตนิดหน่อย
ผมสีบลอนด์อ่อนของเขามีเฉดเดียวกับสีของทราย เส้นผมของเขาสั้น และปอยผมด้านหน้าของเขาก็ถูกปัดไปไว้ข้างเดียว
ดวงตาสีฟ้าที่สดใสของเขาฉายแววรำคาญใจเล็กน้อย
เขาสวมกางเกงรัดติ้ว
แต่เสื้อเชิ้ตสีเขียวของเขากลับหลวมและยังมีสายเอี๊ยมอีกด้วย
ส้นรองเท้าบูทของเขาก็สูงเกินไป และส้นรองเท้าเป็นรูปกากบาท
มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ถึงเขาจะไม่ใส่อะไรแบบนี้เขาก็มีหน้าตาที่สามารถจูงจมูกผู้หญิงสักคนสองคนให้คล้อยตามได้ง่าย ๆ เลยล่ะ
“นี่มัน…สิ้นหวังชะมัด ดันมาเสียในชนบทที่ไม่มีอะไรนอกจากทุ่งหญ้านี่มัน…” ชายคนนั้นเช็ดเหงื่อของเขาลวก ๆ ด้วยแขนของเขา
ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างเหนื่อย
“เบเนดิกต์ ฉันคิดว่าฉันควรจะวิ่งกลับไปที่เมืองที่เราผ่านมาและขอความช่วยเหลือนะคะ
ถ้าย้อนกลับไปมันน่าจะเร็วกว่าไปหาทางซ่อมข้างหน้านะคะ”
“เอ่อ งั้น…”
เขาไม่คิดที่จะฟังว่าซีลีนจะพูดอะไรเลยสักนิด ผู้ชายคนนั้น –
ที่มีชื่อว่าเบเนดิกต์ – ตะคอกใส่ไวโอเล็ต “ถึงเธอจะแข็งแกร่งซะจนนึกว่าเป็นเรื่องตลกก็เหอะ
แต่ไม่มีวันที่ฉันจะปล่อยให้ผู้หญิงทำอะไรแบบนั้นหรอกนะ
ถึงเธอจะบอกว่าทางนั้นมันใกล้กว่าแต่มันก็ยังไกลอยู่ดีนั่นแหละ
แล้วฉันก็คงจะโดนตาแก่นั่นดุแน่ ๆ”
ไวโอเล็ตเอียงคอเล็กน้อย
“อย่างนั้นหรือคะ? แต่เบเนดิกต์ คุณน่าจะเหนื่อยจากการส่งจดหมายทุกวันและยังต้องพาฉันด้วยอีก
เพราะงั้นถ้าให้คนที่แข็งแรงกว่าเป็นคนไปมันไม่ดีกว่าหรือคะ?
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงมันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกค่ะ เราต้องตัดสินใจเรื่องนี้ก็เพื่อการอยู่รอดของเรานะคะ”
“เอ่อ คือผมคิดว่า…”
“ไม่
ตาแก่นั่นจะต้องพูดว่า ‘เบเนดิกต์…นาย…ทำไมนายปล่อยให้ไวโอเล็ตตัวน้อยทำอะไรแบบนั้น? นายให้เธอวิ่งไปอย่างนั้นเหรอ?’ และจากนั้นตาแก่นั่นก็จะวิจารณ์เรื่องความเป็นสุภาพบุรุษของฉันแน่ ๆ”
เขาน่าจะกำลังเลียนแบบเจ้านายของเขา
“เธอ…จะต้องตอบความจริงทุกอย่างเมื่อถูกถามใช่ไหม? เธอโกหกไม่ได้นี่”
“ฉันจะไม่โกหกท่านประธานค่ะ
รายงานของฉันต้องมีแต่ความจริงเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดีน่ะสิ”
“ฉันจะบอกความจริงค่ะ
แต่ฉันจะแก้ตัวให้คุณ ฉันจะบอกท่านประธานว่าฉันเป็นคนเสนอความคิดนี้เองค่ะ”
“เธออาจจะพูดแบบนั้นได้ตอนที่เธอเป็นทหาร
แต่ถ้าเป็นชีวิตจริงน่ะมันไม่มีประโยชน์หรอกนะ เพราะงั้นหยุดความคิดนั้นไว้ซะ”
“อะแฮ่ม!” เมื่อซีลีนพูดเสียงดังขึ้น
ทั้งสองคนจึงหันมามองเขา
เขาแบกแม่ของเขาไว้บนหลัง
อาจเป็นเพราะว่าเธอเดินเยอะเกินไปเธอจึงเหนื่อย ไวโอเล็ตจึงยกนิ้วชี้ขึ้นชิดกับริมฝีปากเพื่อบอกให้เขาเบาเสียง
ซีลีนยิ้มแห้ง
“ถ้าพวกคุณกำลังลำบาก
เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลแม่ของผม ผมพาพวกคุณไปหมู่บ้านของผมได้นะ
พวกคุณลากรถมอเตอรไซค์ไปได้ไหม? มันอาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่ผมหาคนที่มาซ่อมมันได้”
“คุณทำได้เหรอ?”
ซีลีนพยักหน้า
“ช่วงนี้คนในหมู่บ้านค่อนข้างแออัดน่ะครับ
เพราะงั้นมันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย…นั่นแหละ ถ้าพวกคุณ…อยู่ที่นั่นสักวัน เราก็น่าจะซ่อมมันได้ทันเวลา
ตอนนี้หมู่บ้านของเราเองก็กำลังรองรับแขกที่มาด้วยเหมือนกัน
จริง ๆ แล้วกำลังจะมีงานแต่งน่ะครับ แถว ๆ นี้ถ้ามีใครสักคนกำลังจะแต่งงานทุกหมู่บ้านจะมารวมตัวกันเพื่อจัดงานเลี้ยง
เราก็เลยเชิญและต้อนรับทุกคนที่มา
มันเป็นความบังเอิญแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะให้ความรื่นเริงแก่แขก”
“พวกคุณมีร้านนั่งดื่มไหม?”
“แน่นอนครับ”
“แล้วพวกสาว ๆ นักเต้นกับอาหารล่ะ? อ้อ แล้วก็ที่นอนด้วย”
“เรื่องผู้หญิง เอ่อ…มันก็แล้วแต่คุณเลยครับคุณเบเนดิกต์ แต่เรามีทุกอย่างให้คุณพร้อมหมดเลย”
เบเนดิกต์ยกกำปั้นขึ้นและร้องเยส
ก่อนจะหันไปหาไวโอเล็ตและยื่นมือออกไปทั้งสองข้าง ไวโอเล็ตจ้องมองไปที่มือของเขา
“เธอทำแบบนี้ แบบนี้นะ”
เบเนดิกต์จับมือของไวโอเล็ตและให้เธอยกขึ้นพร้อมกับเขา “เราทำได้”
“’เราทำได้’ หรือคะ?”
“เธอไม่ต้องทำอะไรมากหรอก” เบเนดิกต์หัวเราะ “เรื่องทั้งหมดนี่น่ะมันเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตายังไงล่ะ
ฉันไม่รู้หรอกว่าพวกเขาคือใคร แต่ไปร่วมฉลองกับความสุขของคู่รักคู่นี้เถอะ”
ซีลีนเองก็หัวเราะกับคำพูดของเบเนดิกต์เช่นกัน
แต่เมื่อเขามองขึ้นไปเห็นแม่ของเขาที่อยู่บนหลัง รอยยิ้มของเขาก็เลือนหายไป
แต่เขาก็พยายามทำให้ตัวเขาเองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ครับ
ผมมาจากครอบครัวที่มีคู่รักที่มีความสุขนี่แหละครับ”
ซีลีนพาพวกเขามายังหมู่บ้านที่มีชื่อว่าคิซาระ
หมู่บ้านถูกสร้างขึ้นมาเป็นรูปครึ่งวงกลม และใจกลางของหมู่บ้านเป็นห้องโถงที่มีศาลาหินและบ่อน้ำ
ปกติแล้วสถานที่แห่งนี้ก็คงจะมีแค่สองสิ่งนั้น
แต่ในตอนนี้กลับมีผู้คนมากมายแออัดอยู่รอบ ๆ ศาลา
และทั้งหมดนั่นก็มีแต่ผู้หญิงราวกับผู้หญิงทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว
พวกเธอทุกคนกำลังทำอาหารอย่างแข็งขันและตกแต่งห้องโถงด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ
ไวโอเล็ตและเบเนดิกต์มองไปยังผู้หญิงเหล่านั้นราวกับเป็นเรื่องไม่ปกติ
เบเนดิกต์จึงถามซีลีนว่าผู้ชายหายไปไหน ซีลีนจึงชี้ไปที่เต็นท์ที่ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านเล็กน้อย
เต็นท์ทั้งหมดถูกเรียงรายและทำจากผ้าหลากสีที่ส่องประกายวาววับโดดเด่นตัดกับสีของท้องฟ้าและสีของใบหญ้า
ดูเหมือนว่าเต็นท์เหล่านั้นจะถูกใช้เป็นที่นอนชั่วคราวสำหรับแขก และดูเหมือนว่าพวกเขานั้นตั้งใจต้อนรับไม่ว่าใครก็ตามที่มาอย่างอบอุ่นจริง ๆ
พวกเขามุ่งหน้าไปยังบ้านของซีลีน
ถนนเส้นเดียวของหมู่บ้านนั้นแคบและเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆมากมาย –
ทั้งดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งอยู่บนถังไม้ที่อยู่หน้าประตูบ้าน ผักผลไม้แห้ง
และแมวที่กำลังวิ่งลอดขาพวกเขา เสียงกระดิ่งดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง
ซีลีนจึงอธิบายว่าระฆังนั่นเป็นงานหัตถกรรมหลักของหมู่บ้านเลยล่ะ
หมู่บ้านที่มีความเงียบสงบเช่นนี้นั้นเป็นลักษณะที่มีเฉพาะในชุมชนเล็ก ๆ เท่านั้น
และหาไม่ได้ในเมืองใหญ่
เมื่อพวกเขาเดินผ่านถนนที่คับแคบมันก็เริ่มกว้างขึ้น
และเหนือของถนนเส้นนั้นคือบ้านเดี่ยวที่มีหลังใหญ่ยิ่งกว่าบ้านหลังไหน ๆ
ถึงแม้ว่าบ้านจะไม่ค่อยได้รับการดูแลอย่างดีเท่าไหร่
แต่ก็มีพุ่มกุหลาบมากมายขึ้นในสวน
และที่หน้าประตูก็มีผู้หญิงสองคนที่หน้าตาดูเป็นกังวลกำลังยืนอยู่
“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?!”
ผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนวิ่งมาหาพวกเขาด้วยความรีบร้อน
ซีลีนถอนหายใจ
ก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณกล้าพูดแบบนั้นกับผมได้ยังไงกัน
คุณโอเคกับเรื่องนี้จริง ๆ น่ะเหรอ? อย่าบอกนะว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นตลอดน่ะ…”
“เมื่อคืนนี้ฉันล็อคห้องของคุณนายอย่างดีแล้วค่ะท่าน
หลังจากนั้นคุณได้เข้าห้องของเธอหรือเปล่าคะ? คุณได้ล็อคไหม?
เพราะว่ามันเปิดจากข้างนอกได้เท่านั้นค่ะ”
“นั่น…”
“ไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่คุณท่านมอบหมายให้ฉันดูแลเธอทุกอย่าง
ฉันไม่เคยออกไปตามหาคุณนายแบบนั้นเลยค่ะ”
“ความผิดของผมเองแหละ
มันเป็นความผิดของผมเอง…”
อากาศรอบตัวดูน่าอึดอัดขึ้นมาทันที
ผู้หญิงอีกคนเดินมาอยู่ข้าง ๆ ซีลีน
เธอมีผิวแทนและมีใบหน้าที่สง่างาม
เธอก้มศีรษะให้กับไวโอเล็ตและเบเนดิกต์ที่กำลังมองสถานการณ์ตรงหน้าโดยที่ไม่พูดอะไร
และในตอนนั้นเองที่ซีลีนรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย
“ขะ-ขอโทษด้วยครับ…ผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก ผู้หญิงคนนี้…เอ่อ…เธอชื่อมิชาครับ
เธอจะมาเป็นภรรยาของผมในวันพรุ่งนี้ และนี่ก็เดอลีท เธอเป็นคนรับใช้ของแม่ผมเอง
ผมไม่ได้อยู่กับแม่น่ะครับ มิชากับเดอลีทเป็นคนที่คอยดูแลแม่ของผม”
พวกเขาเข้าใจในทันทีว่าประโยคสุดท้ายนั่นหมายถึงว่าพวกเขาควรจะแสดงการขอบคุณแก่พวกเขาทั้งคู่เหมือนที่เขาทำหลังจากที่พูดจบ
ทั้งเดอลีทและมิชาให้พวกเขาเข้าไปในบ้านและปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับพวกเขาเป็นนักบุญก็ไม่ปาน
หลังจากนั้นทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานในวันพรุ่งนี้ก็ไม่ว่างเพราะดูเหมือนพวกเขาจะต้องออกไปทักทายบ้านหลังอื่น ๆ ด้วยตัวของพวกเขาเอง
พวกเขาขอโทษที่ไม่ได้ให้ความสำราญใจแก่แขกเท่าที่ควรนัก
แต่ไวโอเล็ตและเบเนดิกต์ต่างก็พอใจแล้วที่มีที่ให้พวกเขาได้มีเวลาทำใจให้สงบ
เมื่อใกล้เที่ยง
เดอลีทจึงเชิญพวกเขาออกไปทานอาหารนอกบ้าน บางทีอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้า เบเนดิกต์จึงหลับไปทันทีหลังทานอาหารเสร็จ
เขานอนบนโซฟาและหลับตาเพราะทนความง่วงไม่ไหว
บุรุษไปรษณีย์มีหน้าที่ที่ต้องส่งของทั้งวัน
และยิ่งไปกว่านั้น เขาจะต้องขับรถไปรับไวโอเล็ตระหว่างทางด้วย
และเมื่อมอเตอร์ไซค์ของเขาเสียเขาจึงกังวลเรื่องที่ต้องซ่อมแซมมัน ผลสุดท้ายจึงทำให้ร่างกายทนไม่ไหวและหมดแรงไปเสียก่อน
ไวโอเล็ตเองก็นั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับเขาและปล่อยให้เขานอนอยู่ข้าง ๆ เธออย่างเงียบ ๆ
เธอมองไปรอบ ๆ ตัว บ้านหลังนี้เองก็มีกระดิ่งติดอยู่ตรงหน้าต่างบ้านเช่นกัน
และพวกมันก็กำลังส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไปมา และเธอก็ได้ยินเสียงเดอลีทกำลังล้างจานอยู่ในห้องครัว พร้อมกับเสียงลมหายใจของเบเนดิกต์ที่กำลังเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
ช่างเป็นยามบ่ายของฤดูร้อนที่สงบสุขเหลือเกิน
แม้จะไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย
แต่ไวโอเล็ตก็หลับตา
ราวกับว่าเธอได้รู้จักเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันรอบตัวเธอเป็นครั้งแรก
บ้านหลังใหม่ของเธอที่เป็นบ้านของตระกูลเอเวอร์การ์เดนนั้นเป็นคฤหาสน์ที่มีขนาดใหญ่เสียจนสามารถเอาทั้งหมู่บ้านมาอยู่ในนั้นได้
มันจึงเป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอที่ได้อยู่ในบ้านที่เธอแค่อยู่อาศัยและพักผ่อนเท่านั้นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้ยินเสียงดังมาจากประตูด้านหน้า
เธอก็ควักปืนพกออกมาจากเสื้อแจ็คเก็ตของเธอ
“โอ้
นั่นใช่คนที่มาซ่อมมอเตอร์ไซค์หรือเปล่านะ?” เสียงฝีเท้าดังขึ้น
เดอลีทเดินไปยังประตูหน้าบ้าน
ไวโอเล็ตเห็นเบเนดิกต์ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเองก็หยิบปืนของเขาออกมาเช่นกัน “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ นอนต่อเถอะ” เธอบอกเขา เขาจึงหลับตาลงด้วยความโล่งใจ
พวกเขาทั้งสองคนเหมือนกันเล็กน้อย
เนื่องจากผมและดวงตาที่มีสีคล้ายกันพวกเขาจึงเหมือนพี่น้องกันไม่มีผิด
เธอสงสัยว่ามีอะไรที่เธอพอจะช่วยพวกเขาได้ไหม
ไวโอเล็ตจึงเดินไปที่ประตูหน้าเช่นกัน
แต่ก่อนที่จะเดินไปถึงเธอก็เห็นใครบางคนเข้าเสียก่อนจึงทำให้เธอหยุดเดิน
เธอได้ยินเสียงจากชั้นสอง และจำได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของแม่ซีลีน
เธอปีนขึ้นไปบนบันไดไม้
ไวโอเล็ตหยุดยืนอยู่ที่ทางเดินของชั้นสองและเงี่ยหูฟังอีกครั้ง
“ที่รัก…?” เสียงของหญิงชราดังขึ้นอีกครั้ง “หรือว่าโจนาห์?”
เธอคงจะเข้าใจผิดว่าไวโอเล็ตเป็นคนในครอบครัวของเธอ
“ฉันไวโอเล็ตเองค่ะ
คุณเป็นคนที่มัดผมให้ฉันเมื่อเช้านี้”
ไวโอเล็ตกระซิบตอบคำถามของเธอที่หน้าประตูห้อง
มันเป็นแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น
แต่งานเลี้ยงก็สามารถรวบรวมทุกคนในหมู่บ้านให้มาเข้าร่วมได้ พวกเขาทั้งสองคนก้มหัวให้กับแขกทุกคนเพื่อแสดงความขอบคุณทีละคน
และเมื่อพระอาทิตย์ตก ซีลีนและมิชาก็ถึงเวลาได้กลับบ้านเสียที
“โอ้
เจ้าสาวไม่ใช่คนแถวนี้หรอกหรือ?”
“เธอเข้าใจภาษาของเราครับ
แต่สำเนียงของเธอยังแปร่ง ๆ อยู่ มันน่ารักดีครับ”
“ดูแลเธอให้ดีล่ะซีลีน
ไม่รู้สึกหรือว่าเธอต้องพึ่งคุณน่ะ?”
การที่ต้องไปทักทายทุกคนนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลำบากเท่าไหร่
แต่หลังจากที่ถูกผู้หญิงแก่ ๆ คนหนึ่งถามเรื่องคู่หมั้นของเขามาก ๆ ซีลีนจึงต้องเป็นคนพูดแทนมิชาที่แสนขี้อายและไม่เก่งเรื่องการสนทนาแทน
จึงทำให้ลำคอของเขารู้สึกแห้งผาก
ปกติแล้วหมู่บ้านจะเงียบสงบมากเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
แต่ในวันนี้หมู่บ้านกลับมีเสียงดังมาก ทุกคนต่างกำลังรื่นเริง
และเมื่อเขาคิดว่าทั้งหมดนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อเขาและมิชา
ซีลีนจึงเข้าใจในทันทีว่างานแต่งงานนั้นไม่ได้เป็นแค่ของคนสองคนเท่านั้น
เขาจึงจับมือของมิชาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ฮิฮิ” เธอส่งเสียงหัวเราะที่ดูเขินอาย “คนหมู่บ้านนี้…ใจดีจัง” บางทีเธอรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับซีลีนเธอจึงพูดแค่กับเขาเท่านั้น
“พี่ชายของฉันเป็นคนที่เลี้ยงฉันมาตลอดตั้งแต่พ่อแม่ของฉันเสียในสงคราม
ฉันจึงดีใจจริง ๆ ที่ได้แต่งงานกับคุณ ฉันจึงอยาก…ที่จะมีครอบครัวอีกสักครั้ง” เธอยิ้มเขิน ๆ “คุณเดอลีททำอาหารเก่งมาก
เธอสอนฉันทำอาหารที่คุณชอบ และบ้านของแม่คุณก็…หลังใหญ่
มันสง่างามมาก และมันก็ทำให้ฉันคิดว่า…ทุกคนสามารถอยู่ที่นั่นได้”
ถึงแม้ว่าจะเป็นการพูดคุยที่เงียบสงบ
แต่อยู่ดี ๆ ซีลีนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณไม่ต้องเกรงใจแบบนั้นก็ได้”
มิชาหยุดเดิน
มือของเธอยังจับกับเขาอยู่ และเมื่อเขาดึงมือของเธอให้เดินไปข้างหน้าเธอจึงสะดุด “ขอโทษค่ะ”
“ไม่ ผมเอง…ก็โทษเหมือนกัน”
“ไม่ค่ะ
ฉันต่างหากที่ควรขอโทษ…ฉันพูดเรื่องที่…ไม่สมควรพูด ทั้ง ๆ ที่…ฉัน…รู้อยู่แล้ว…ว่าคุณจากบ้านหลังนั้นไปเพราะคุณเกลียดมันและแม่ของคุณ”
สิ่งที่ทำให้ซีลีนหลงใหลในตัวของมิชานั้นก็เป็นเพราะว่าความเอาใจใส่และความใจดีของเธอ
“แต่ฉันก็ไม่เคยถามคุณเลยว่าทำไมคุณถึงเกลียดพวกเขา
ฉันเลยคิดว่าฉันควรจะให้การดูแลแม่ของคุณค่ะ”
และเธอก็เป็นคนมีศีลธรรมด้วย
เหงื่อผุดขึ้นเต็มฝ่ามือของเขา
ซีลีนอยากจะปล่อยมือออกและเช็ดมันแต่ก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น
แต่เลือกที่จะจับมือเธอแน่นกว่าเดิม
เขาไม่อยากแสดงความรังเกียจต่อคนที่จะอยู่เคียงข้างเขานับจากนี้ไปตลอดชีวิต
“แม่ผม…ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง”
มิชาสบตากับเขาตรง ๆ
แต่ซีลีนไม่กล้าที่จะสบตาเธอ “ค่ะ”
“แม่เป็นแบบนั้นตั้งแต่ผมยังเด็ก
เธอไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะอายุของเธอหรอก ผมเองก็เคยมีพ่อเหมือนกันแล้วก็…มีพี่ชายด้วย…แต่วันหนึ่ง
พ่อของผมก็พาพี่ชายของผมจากไป”
“ทำไมล่ะคะ…?”
“ตอนนั้นผมยังเด็กมาก
ผมก็เลยจำไม่ค่อยได้นัก บางที…อาจเป็นเรื่องปกติของคู่แต่งงานก็ได้…ที่มันแย่แบบนี้ พวกเขาทะเลาะกันบ่อย
ผมเห็นพวกเขาทั้งสองคนมักจะกระทืบเท้าและก็ออกไปจากบ้าน เพราะแบบนั้นผมก็เลยคิดว่าเขาคงจะกลับมาในไม่ช้า…”
แต่เขาก็ไม่กลับมา
––แล้วทำไมตอนนั้นพ่อถึงพาพี่ชายของเขาไป
แต่ไม่พาเขาไปล่ะ?
เพราะว่าพี่ชายของเขาเป็นลูกคนแรกงั้นเหรอ?
อายุของพวกเขาห่างกันแค่สามปีเท่านั้น
แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าพ่อของเขามักจะให้ความสำคัญกับพี่ชายของเขามากกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม
อย่างเช่น เรื่องการให้ของขวัญ การลูบหัว หรือแม้กระทั่งคำพูดที่เขาใช้ในการชมพวกเขา ถ้าจากมุมมองของคนอื่น ๆ ก็คงเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่เด็กก็มักจะอ่อนไหวในเรื่องแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
––เขามั่นใจ…ว่าพ่อของเขาจะพาคนที่เขารู้สึกสนิทใจมากที่สุดไปด้วย
เขาคิดแบบนั้น
“หลังจากนั้นแม่ก็เริ่มทำตัวแปลก ๆ
เธอเปลี่ยนไปช้า ๆ…และแตกสลายเหมือนกับสกรูที่หลุดออกมาจากเครื่องกล
ตอนแรกเธอเริ่มเรียกผมด้วยชื่อของพี่ชายของผม เมื่อไหร่ที่ผมพูดว่า ‘ไม่ใช่ครับ ผมไม่ใช่โจนาห์ ผมซีลีนเอง’
เธอก็จะขอโทษแล้วก็แก้ไขตัวเอง แต่มันก็ไม่หยุดแค่เรียกชื่อเท่านั้น”
มิชาวางมือของเธออีกข้างบนมือของพวกเขาที่กำลังจับกันอยู่
เธอพยายามที่จะช่วยให้ความยากลำบากของคนรักของเธอที่เจอมาตลอดทั้งชีวิตของเขานั้นลดลง
มันเป็นท่าทางที่เรียบง่าย แต่ทำให้ซีลีนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
เขายืนยันได้อย่างมั่นใจเลยล่ะว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอด
“แม่เริ่มเห็นภาพหลอนว่าผมเป็นพ่อและก็โจนาห์”
ตัวเขาในอดีตนั้นไม่มีความสุขแบบนั้นเลยสักนิด
“พอเธอคิดว่าผมเป็นพ่อ
เธอก็จะตะคอกพร้อมกับร้องไห้และก็ตีผม พอเธอคิดว่าผมเป็นพี่
เธอก็จะแค่กอดผมไว้แล้วก็ถามว่าผมไปไหนมา เธอทำแบบนี้มาหลายปี”
ซีลีนไม่ได้คิดว่าตัวเขานั้นน่าสมเพช
“แต่พอผมโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็สูงขึ้น
ผมก็ไม่เหมือนกับพี่และพ่อเลยสักนิด ผมเลยคิดว่า…มันเป็นเรื่อง…ที่ดีมากจริง ๆ”
อย่างไรก็ตาม
เขาก็ไม่เคยคิดเช่นกันว่าเขานั้นมีความสุข เมื่อย้อนกลับไปในวัยเด็กนั้น
ชีวิตของเขาไม่เคยมีความสนุกเลย เขาต้องเริ่มทำงานตั้งแต่ที่แม่ของเขาเป็นแบบนี้
และรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่ได้กลับมาบ้าน
“ผมรู้สึกเป็นอิสระที่ไม่ต้องถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนอื่น”
มันเป็นความต่อเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้น
“จากนั้นผมก็ถูกสาปใหม่อีกครั้ง”
ความโศกเศร้าคือความต่อเนื่องที่เกิดจากสิ่งนั้น
“ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร”
และเพื่อต้องจบเรื่องนี้
เขาจำต้องแยกจากเธอ
“แม่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นใคร
เธอจำผมได้แค่ตอนเป็นเด็กเท่านั้น เดอลีทบอกผมว่า…เมื่อไม่นานมานี้เธอเองก็มองหาผมเหมือนกัน
มันไม่…น่าขำเหรอ? ผมน่ะ ผมน่ะ ผมน่ะ…”
ก็เพราะว่าพวกเขาเป็นครอบครัว
เขาจึงต้องแยกจากเธอ
“…อยู่ข้าง ๆ เธอมาตลอด”
ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่เลือดเย็น
ที่สิ่งสุดท้ายที่ซีลีนต้องการนั้นคือการยอมแพ้ คนในหมู่บ้านเองก็รู้เรื่องนี้
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดเรื่องนี้กับคนภายนอก เขาโตขึ้น เรียนรู้วิธีการทำงาน
และออกไปสู่โลกไปภายนอก จากนั้นก็ตกหลุมรักกับผู้หญิงที่เขาเจอที่นั่น
และในที่สุดเขาก็เป็นอิสระจากความเศร้าเสียที
เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครมายุ่งกับเรื่องนั้นเด็ดขาด
“เพราะแบบนั้นผมก็เลยไม่ได้อยู่กับแม่”
ซีลีนสิ้นหวังที่จะดึงความสุขที่ในที่สุดเขาก็ได้รับมันมาด้วยมือของเขาเอง
เมื่อพวกเขามาถึงบ้าน
เดอลีทก็ได้ออกมาต้อนรับพวกเขาข้างนอกอยู่แล้ว “ฉันรอพวกคุณอยู่เลยค่ะ”
เธอถือจดหมายในมือหลายฉบับ ทุกคนในบ้านได้เจอเรื่องต่างมากมายเมื่อพวกเขาไม่อยู่
โทรเลขแสดงความยินดีจากเพื่อนและญาติที่อยู่ห่างไกลที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้
เมืองที่ซีลีนและเดอลีทอยู่นั้นอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน
เขาอยากจะจัดงานฉลองที่นั่นและไม่ให้แม่ของเขามาร่วมงาน แต่มิชาไม่เห็นด้วย “ถ้าคุณมีพ่อแม่อย่างน้อยสักหนึ่งคนแบบนี้คุณก็ควรจะให้เธอได้เห็นนะคะ” เธอบอกเขา ด้วยเหตุผลนั้น คนที่เกี่ยวข้องกับเขาจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้
“เราควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี…ถ้าตามมารยาทของงานแต่งน่ะ?” ซีลีนเอ่ยถามเดอลีท
“พวกเขาจะต้องพูดออกมาด้วยใจจริงค่ะ
คุณไม่ได้ขอให้ใครสักคนทำให้หรือคะ?”
ซีลีนหันไปมองหน้ามิชา
ทั้งสองไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนว่าจะต้องทำเรื่องร้องขอยังไงและก็ไม่คุ้นเคยกับพิธีสมรสด้วย
“เรามีปัญหาแล้วล่ะ…ถ้าเป็นใครสักคนจากแถวนี้…ให้ผู้หญิงจากร้านขายของชำเป็นคนทำดีไหมคะ?”
“ไม่มีทาง…เราจะขอกะทันหันแบบนั้นไม่ได้ งานเลี้ยงจะเริ่มในวันพรุ่งนี้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น
คุณท่านก็ยังไม่คิดเรื่องกลอนรักให้กับเจ้าสาวของคุณเลยงั้นหรือคะ คุณต้องทำด้วยนะคะ”
มันเป็นธรรมเนียมดั้งเดิมที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะต้องท่องบทกวีที่เขียนโดยเจ้าบ่าวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเขาที่มีต่อคนรักของเขาในงานเฉลิมฉลอง
“ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้นเพราะว่ามันน่าอายน่ะสิ…”
“นั่นไม่ดีเลยนะคะ! งานแต่งที่ไม่มีบทกลอนแบบนั้น…คงจะเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังสำหรับแขกมากนะคะ”
เมื่อได้รับการตักเตือนด้วยท่าทีที่น่ากลัวเช่นนั้น
ซีลีนจึงย่นคอเล็กน้อย
“การจัดพิธีในหมู่บ้านของเราหมายความว่าคุณต้องพร้อมและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่เราจะได้แบ่งปันช่วงเวลาที่แสนพิเศษกับผู้คนมากมาย
เราไม่สามารถละเลยประเพณีดั้งเดิมของเราได้ค่ะ ทุก ๆ คน…ต่างก็อาสาที่จะทำอะไรหลายอย่างเลยใช่ไหมล่ะคะ?
นั่นก็เป็นเพราะการสนับสนุนและการให้กำลังใจทั้งนั้นแหละค่ะ คุณจะถูกประณามเอาได้นะคะถ้าคุณไม่แสดงมันออกมาอย่างจริงใจ”
“ตะ แต่…”
ใครกันล่ะที่จะช่วยพวกเขาได้?
อาจเป็นเพราะว่าพวกเขากำลังเถียงกันอย่างดุเดือด
หนึ่งในแขกของพวกเขาจึงเปิดหน้าต่างและยื่นหัวของเธอออกมาราวกับจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอเองก็มีจดหมายในมือเช่นกัน
“อ่า
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะเหมาะสำหรับงานแบบนี้หรือคะ?!”
“ไม่ได้นะ…พวกเขาเป็นแขก”
“แต่เธอเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์นี่
ใช่ไหมคะ? ไม่ใช่ว่าการอ่านและการเขียนเป็นเรื่องที่ถนัดสำหรับพวกเธอหรือคะ?
คุณท่าน คุณน่าจะให้เธอทำนะคะ”
เนื่องจากคำพูดในแง่ดีของเดอลีท
และซีลีนก็ทำไม่ได้ เขาจึงไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้เลย
“ฉันจะทำให้ค่ะ”
“หา?”
“ฉันจะทำให้ค่ะ ฉันจะอ่านและก็เขียนให้…เพื่อเป็นการตอบแทนหนึ่งคืนที่พวกคุณให้เรา”
โดยที่ไม่คาดคิด
ไวโอเล็ตกลายเป็นผู้รับผิดชอบไปในทันที ยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำที่พวกเขาได้พบกัน แต่เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถที่จะพูดอะไรแบบนั้นด้วยตนเองได้เลย
ซีลีนคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ถ่อมตัวมาก
“และมันก็เป็นพิธีการที่สำคัญด้วยค่ะ”
คำพูดของไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดนนั้นทำให้หัวใจของซีลีนรู้สึกปลื้มปริ่มอย่างบอกไม่ถูก
ชุดเจ้าสาวในแถบลุ่มน้ำยูคาลิปนั้นเป็นเสื้อคลุมสีแดงที่เย็บปักถักร้อยด้วยด้ายสีทอง
พร้อมกับมงกุฎดอกไม้ ใบหน้าของเจ้าสาวทั้งเปลือกตาและริมฝีปากแต่งแต้มด้วยสีกุหลาบ
แต่เจ้าบ่าวนั้นจะสวมเสื้อคลุมสีขาว
และถือโล่ไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาจะเป็นคนที่คอยปกป้องครอบครัวพร้อมกับดาบเล่มเล็ก ๆ ที่ทาด้วยสีทอง
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง
เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเดินไปรับพรจากผู้คนบนท้องถนนในตอนเช้าตรู่
หลังจากนั้นงานฉลองก็จะถูกจัดขึ้นในห้องโถงของหมู่บ้าน
เวทีที่ใช้ในพิธีแต่งงานที่ถูกตกแต่งด้วยผู้หญิงจากทั้งหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อวานกลายเป็นเวทีที่โอ่อ่าอลังการ
ศาลาในห้องโถงได้รับการตกแต่งด้วยดอกกุหลายสีขาวและแดง
พร้อมด้วยเก้าอี้สองตัวที่ถูกตกแต่งด้วยเถาองุ่น
มีโต๊ะยาวและเก้าอี้เรียงรายล้อมรอบเต็มศาลาพร้อมกับแขกที่นั่งอยู่เต็มไปหมด
พวกเขาลุกขึ้นปรบมือต้อนรับทันทีที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้มาถึง
มีเพียงแค่วันแบบนี้เท่านั้นที่ผู้คนที่ต้องออกไปทำงานอย่างขยันขันแข็งในทุกๆวันจะแต่งตัวด้วยชุดสีสันสดใสและหมวกที่ประดับด้วยเครื่องประดับมากมายเช่นนี้
และไม่ได้มีแค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่แต่งตัว
แต่เด็ก ๆ เองที่กำลังวิ่งและเดินไปรอบ ๆ งานก็สวมปีกนางฟ้าที่แสนน่ารักที่หลังของพวกเขาด้วย
เมื่อพิธีเริ่มขึ้น
วงออเครสต้าก็เริ่มบรรเลง และอาหารก็พร้อมเสิร์ฟ
ถัดไปจากนั้นก็เป็นเวลาสำหรับการเต้นรำ
ในเริ่มแรกพวกผู้หญิงจะมารวมตัวกันและเต้นกันเป็นกลุ่ม
จากนั้นผู้คนที่เหลือก็จะเข้าไปผสมโรงด้วย แต่เมื่อบุรุษไปรษณีย์ผมสีบลอนด์เข้ามา เสียงเชียร์จากผู้หญิงในหมู่บ้านก็ดังขึ้นมาทันที
เบเนดิกต์เต้นรำอย่างเชี่ยวชาญด้วยรองเท้าบูทที่เหมือนกับรองเท้าบูทผู้หญิงของเขา
และเมื่อเขาเต้นเสร็จ
หญิงสาวทุกคนในหมู่บ้านที่งดงามราวกับดอกไม้ก็กรูเข้ามาหาเขาจากทุกมุมของงานและก่อให้เกิดความโกลาหล
ไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดนผู้ที่ซึ่งตกลงจะรับหน้าที่ในการเขียนบทกวีไม่ได้ทำอะไรที่ดูเกินเรื่องเกินราวเหมือนกับเบเนดิกต์
เธอเพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ และรอคิวของเธอในความเงียบ
บางทีอาจเป็นเพราะความงามที่ดูลึกลับของเธอจึงไม่มีผู้ชายเจ้าชู้คนไหนเข้าไปหาเธอเลย
และไม่มีแม้แต่สักคนเดียวที่มีความกล้ามากพอที่จะเข้าไปคุยกับเธอเสียด้วยซ้ำ
เมื่อถึงเวลาของเธอ
เธอก็ทำให้แขกที่มาร่วมงานทุกคนจับจ้องมายังจดหมายมากมายในมือของเธอ
และไม่จำเป็นต้องบอกให้ “เงียบเสียง” เสียด้วยซ้ำ
ถ้าพวกเขาต้องการจะได้ฟังอะไรบางอย่าง พวกเขาก็จะเงียบด้วยตัวของพวกเขาเอง
ไม่ว่าคู่แต่งงานจะกังวลมากแค่ไหน
แต่พิธีการก็ยังคงดำเนินไปอย่างง่ายดายเพราะผู้คนในหมู่บ้านชินกับมันแล้ว
มิชากระซิบที่ข้างหูของซีลีนด้วยเสียงแผ่วเบา “ดูเหมือนว่ามันจะจบลงด้วยดีใช่ไหมคะ?”
แม้ว่าเธอจะเป็นเจ้าสาวของเขา
แต่เธอก็สวยมากเสียจนเขาตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้ “ใช่…ต้องขอบคุณทุกคนในหมู่บ้านเลยจริง ๆ”
“กลอนรักของคุณ…มันวิเศษมากเลยค่ะ” หลังจากพูดแบบนั้นมิชาก็หัวเราะเล็กน้อย
อาจเป็นเพราะว่าท่าทีของเขาดูตลกมากในสายตาของเธอที่สุดท้ายเขาต้องลงเอยด้วยการพูดกลอนที่เขาต้องการสื่อถึงเธอด้วยท่าทีแข็งกระด้างและเป็นกังวล
“แต่คุณไวโอเล็ตเป็นคนเขียนมันหมดเลยนะ…”
“ค่ะ แต่ฉันไม่เคย…ได้รับคำพูดแบบนั้นมาก่อนเลย”
“อย่าล้อผมนักสิ…ผมไม่เก่งเรื่องน่าอายแบบนี้นี่นา”
“เป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะที่เราได้พบกับนักเดินทางที่แสนวิเศษแบบนี้
คุณแม่เองก็ดูมีความสุขดีนะคะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ”
ซีลีนพูดเสียงเบาลง
เขาอ้อนวอนตลอดเวลาว่าเธอจะอยู่นิ่ง ๆ แบบนั้นไปตลอดงาน
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เริ่มเดินไปรอบ ๆ งานในระหว่างพิธีและเริ่มมองหาเขา
ดังนั้นเดอลีทจึงพาเธอกลับบ้านตามคำขอร้องของเขา
ถึงแม้ว่าคนในหมู่บ้านจะรู้เรื่องแต่พวกเขาก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร – กลายเป็นว่ามีแต่ซีลีนเท่านั้นที่กำลังรู้สึกอัดอัดใจ
––น่าอายชะมัด
เขารู้สึกว่าวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขากำลังจะถูกแม่ที่ใจสลายของเขาทำลายมันลง
––เขาดีใจที่คนที่เขาแต่งงานด้วยคือมิชา
เขามั่นใจว่ามีคนอีกมากมายที่กำลังโกรธเคืองที่เจอสถานการณ์เหมือนกับเขา
––เขาดีใจ…ที่คน ๆ นั้นเป็นมิชา
ซีลีนจับมือของมิชา
เขามีแหวนแต่งงานที่สวมอยู่บนนิ้วเหมือนเธอ
ซึ่งเป็นหลักฐานว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป
การที่เขามีแหวนอยู่บนนิ้วทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง
“สุดท้ายนี้
นี่เป็นจดหมายจากแม่ที่แสนมีค่ายิ่งของเจ้าบ่าวค่ะ
เป็นการอวยพรสำหรับงานแต่งงานของคุณซีลีน ลูกชายของเธอ
ที่มีวันที่แสนวิเศษอย่างวันนี้ค่ะ”
เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะคำพูดของไวโอเล็ต
ซีลีนหันไปมองทั้งรอบงานด้วยความสับสน
ดูเหมือนมิชาจะคิดว่ามันเป็นหนึ่งในพิธีสำหรับงานวันนี้เธอจึงยอมรับได้
แต่ซีลีนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
“เลดี้ฟราน
ฉันขอขอบคุณที่ให้เราได้เข้าร่วมในงานที่มีเกียรติเช่นนี้ด้วยนะคะ” ไวโอเล็ตหยิบจดหมายที่เหมือนกับที่เธอถือมันไว้เมื่อตอนเย็นและเปิดซองจดหมายขึ้น
“ตามคำขอของคุณแม่เจ้าบ่าวผู้น่าเคารพ ฉันจะส่งมอบจดหมายแสดงความอวยพรแก่งานสมรสให้คุณซีลีนด้วยการพูดนะคะ”
––เขาไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อน
เขาไม่…รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
ถ้าเขาไปห้ามเธอมันจะดีกว่าไหมนะ?
ไม่มีทางที่คำพูดจากคนที่ใจสลายเช่นนั้นจะเหมาะสมกับงานแบบนี้หรอก งานแต่งงานจะต้องเละไม่เป็นท่าเพราะคำพูดและพฤติกรรมที่แสนประหลาดของเธอแน่ ๆ
ซีลีนพยายามที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเขา
อย่างไรก็ตาม
ดูเหมือนดวงตาสีฟ้าของออโต้เมมโมรี่ดอลล์จะสังเกตเห็นเขาเข้าเสียก่อน
เธอจึงเอ่ยร้องขอออกมาเพื่อไม่ให้เขาเข้ามาหยุดเธอ “มันอาจจะแปลกไปสักหน่อย
แต่ได้โปรดช่วยฟังมันก่อนนะคะ”
ริมฝีปากที่มีกุหลาบของเธอถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
ก่อนจะเริ่มอ่านบทกวีที่เต็มไปด้วยคำอวยพร “แม่รู้ว่าตอนที่ลูกเห็นแม่สวยที่สุดในสายตาของลูกคือตอนไหน
เพราะว่าแม่รักลูกมาตลอดเหมือนกับที่แม่ชื่นชมความงามของดอกไม้ แม่เห็นดวงดาวมากมายเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของลูก
เพราะแม่คิดว่าลูกนั้นเป็นคนที่เปล่งประกายอยู่เสมอ
ตอนที่ลูกยังเด็กลูกไม่รู้วิธีที่จะพูดด้วยซ้ำ
แม่จึงสอนเพื่อที่ลูกจะพูดได้ในสักวันใช่ไหม? สีของท้องฟ้า
และความเยือกเย็นของน้ำค้างในยามค่ำคืน คำพูดของลูกที่พูดออกมาเมื่อลูกทำสิ่งที่ไม่ดี…ถ้าเพียงแต่แม่สามารถถ่ายทอดความสุขที่แม่รู้สึกเกี่ยวกับพวกมันให้ลูกได้ก็คงดี
แม่สงสัยว่าลูกจะรู้ไหมว่าคำพูดโหดร้ายมากมายที่แม่พูดกับลูกนั้นมีแต่ความรักทั้งนั้น
เช่นเดียวกัน ไม่ว่าลูกจะทำร้ายแม่มากแค่ไหน แต่การที่ลูกเกิดมานั้นก็ทำให้แม่ลืมมันไปได้หมด
ลูกรู้ใช่ไหม? ลูกชายของแม่
ตอนนี้ลูกได้รู้จักความงดงามในดวงตาของคนที่ลูกจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตนับจากนี้แล้วใช่ไหม?
ลูกจำสีของดวงตาคู่นั้นได้ถึงแม้ว่าลูกจะหลับตาอยู่ใช่ไหม? มันเปล่งประกายใช่ไหม?
ถ้าลูกมองเห็นความสวยงามเปล่งประกายอยู่ในแววตาของเธอ
ก็แสดงว่าเธอรักลูกมากยังไงล่ะ ลูกจะต้องไม่เพิกเฉยมัน
ลูกจะต้องไม่เพิกเฉยต่อความรักนั่น
แสงสว่างเหล่านั้นจะยังเปล่งประกายได้ก็ต่อเมื่อได้รับการเจียระไนเท่านั้น
อัญมณีชิ้นนั้นเป็นของลูกแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
อย่าได้เพิกเฉยต่อความรักเด็ดขาดเชียวนะ ลูกชายของแม่
ลูกเคยมองเข้ามาในตาของแม่ไหม? ถ้าไม่เคย ลูกก็ลองมองดูนะ ถึงแม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความมืดมิด
แต่ก็ยังมีดวงดาวที่เปล่งประกายอยู่บนท้องฟ้าที่แสนมืดมิดอยู่นะ ได้โปรด
แค่ลองมองดูสักครั้ง ถ้าลูกเห็นว่ามันกำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาของแม่ –
มันช่างสวยงาม ก็แปลว่าลูกรักแม่ แม่พูดไม่ได้มากนัก เพราะแบบนั้น
ได้โปรดมองดูสักครั้ง มองเข้ามาเมื่อลูกรู้สึกร้อนใจ ไม่ว่าลูกจะไปที่ไหน
ดวงตาของแม่ก็จะกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่สวยงามที่สุดที่มีอยู่ในโลกนี้สำหรับลูก
นี่เป็นสัญญาระหว่างลูกกับแม่ ลูกชายของแม่ สิ่งนี้เป็นความรักที่แม่มีให้ต่อลูก
เพราะฉะนั้น ได้โปรด อย่าลืมสีในดวงตาของแม่เป็นอันขาดเลยนะ”
เสียงปรบมือดังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับระรอกคลื่น
หลังจากถอนสายบัวให้อย่างสวยงามในแบบของออโต้เมมโมรี่ดอลล์
ไวโอเล็ตก็ถอยออกมาจากตรงนั้น
ซีลีนจำสีในดวงตาของแม่เขาไม่ได้
แต่เขาอยู่กับเธอในวันนี้ และเมื่อวานนี้ก็ด้วยเช่นกัน
“ซีลีน?
คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จำมันไม่ได้ เขาเลี่ยงที่จะไม่มองหน้าเธอมาตลอด
และเขาก็ทำด้วยความตั้งใจ
“ซีลีน”
การถูกเรียกโดยใครสักคนที่กำลังมองมาที่เขานั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับเชา
มันเป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่มีในสิ่งที่แม่ของเขาต้องการ ไม่ว่าเขาจะทำยังไง
เขาก็ไม่สามารถตอบรับความคาดหวังของเธอได้
“นี่ ซีลีนคะ”
ถ้าหากว่าคนที่พ่อของเขาพาไปด้วยคือซีลีนแทนที่จะเป็นพี่ของเขา
บางทีหัวใจของแม่ของเขาอาจจะไม่แตกสลายถึงเพียงนั้น
“ที่รัก”
ถ้าหากว่าเธอได้อยู่กับใครสักคนที่ดีกว่าลูกชายที่คิดว่าพ่อกับแม่ของตนนั้นคิดว่าตนเองไม่จำเป็นล่ะก็…
––น่าอายชะมัด
นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่เก่งเรื่องน่าอายเลยสักนิดแบบนี้…
––น่าอายชะมัด
…เป็นเพราะว่าพวกเขาทำให้เขารู้สึกกลัว…
––น่าอายชะมัด…
…ว่าเขาจะเป็นคนที่น่าอับอายในสายตาของใครสักคน
“ที่รัก
อย่าร้องไห้สิคะ”
เมื่อมิชาเช็ดน้ำตาให้เขาเขาถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขากำลังร้องไห้
เขารีบหันหลังทันที และน้ำตาก็ล้นทะลักออกมามากกว่าเดิม
––น่าอายชะมัด
น่าอายชะมัด เขา…น่าอายชะมัด
จดหมายของออโต้เมมโมรี่ดอลล์ทำให้ในอกของเขาเจ็บปวด
เขารู้สึกอายที่จดหมายนั่นพูดถึงตัวเขาในอดีตที่เขาไม่ได้รักแม่ของเขาจนกระทั่งถึงตอนนี้
และยังวิ่งหนีจากคนที่เขาสมควรจะที่ปกป้องอีก แม่ของเขาที่คิดว่าเขาจากไปแล้ว
และกำลังแตกสลายได้ออกไปตามหาเขา
“โทษที
ผมจะออกไปข้างนอกสักพัก” เขาบอกมิชาและเดินออกไปจากพิธีการ
“คุณกำลังจะไปหาแม่ของคุณหรอคะ?”
เขาพยักหน้าให้กับคำถามนั้น
เธอจึงผลักหลังของเขาเบา ๆ
“ไปเถอะค่ะ”
เขาคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าบ่าวที่แย่ที่สุดที่ทิ้งงานแต่งไปในขณะที่กำลังเดินผ่านพวกแขก
และถึงแม้ว่าเขาจะทิ้งงานไป แต่แขกก็ยังออกมาสรรเสริญให้เขาเมื่อถึงเวลาเต้นรำ
เขาเดินผ่านถนนที่คับแคบ
มุ่งหน้าไปยังบ้านที่เขาอาศัยอยู่กับแม่ของเขา
ขาของซีลีนเดินด้วยความรวดเร็วราวกับว่าเขากำลังวิ่ง
และเมื่อเขามาถึงหน้าประตูบ้าน ไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดนผู้ที่ควรจะอยู่ในพิธีกลับยืนอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว เขาไม่เห็นมอเตอร์ไซค์ของเบเนดิกต์
แสดงว่ามันคงจะซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“พวกเรามีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะเลยน่ะค่ะ”
ดูเหมือนพวกเขาตั้งใจจะจากไปโดยที่ไม่อยู่ดูพิธีจบเสียก่อน
“ผมเองก็เหมือนกัน เอ่อ…ขอบคุณมากนะครับ ผมเห็นความผิดพลาดในตัวผมเยอะเลยล่ะ…ตอนที่ผมได้ยินคำพูดพวกนั้น แม่คงจะเล่าเรื่องไร้สาระให้คุณฟัง…แล้วคุณก็…เขียนมันให้ออกมาดูสวยงามใช่ไหม?
เธอคงจะทำให้คุณหนักใจมากสินะ…เธอ…มักจะขอร้องให้ทำเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนั้นตลอดล่ะ
เธอเป็นแบบนั้นเสมอแม้แต่ตอนที่เราเคยอยู่ด้วยกัน แม้กระทั่งวันนี้ ตอนที่มีคนบอกเธอว่าวันนี้มีงานแต่ง
เธอก็ยังยืนกรานกับพวกเราว่าเธอจะต้องใส่หมวกสีขาวที่ขายหมดไปตั้งนานแล้ว…”
“ฉันขอโทษที่ฉันทำตามความต้องการของตัวเองด้วยนะคะ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร…”
“ตอนที่คุณซีลีนกับเลดี้มิชาออกไป
ฉันได้รับงานนี้มาจากแม่ของคุณน่ะค่ะ เธอแค่ขอให้ฉันส่งจดหมายให้คุณเท่านั้น
แต่กลายเป็นว่าฉันได้ทำสิ่งที่ล่วงล้ำคุณเกินไป
แม่ของคุณบอกว่าคุณคงจะไม่อ่านจดหมายของเธอน่ะค่ะถ้าเธอเป็นคนให้คุณ ฉันก็เลย…เลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการถ่ายทอดคำพูดของเธอให้แก่คุณน่ะค่ะ
เพราะว่าไม่มีจดหมายฉบับไหน…ที่ไม่อยากจะถูกส่งออกไปหรอกนะคะ”
ไวโอเล็ตพูด
ซีลีนย่นคิ้ว
เขานึกภาพแม่ของเขาขออะไรแบบนี้ได้เลยล่ะ แต่อย่างไรก็ตาม
เขาก็คิดว่ามันแปลกอยู่ดีที่เธอบอกว่าเขาจะไม่อ่านมัน
“ผมสงสัยว่าทำไมแม่ผมถึงพูดแบบนี้…ที่บอกว่าผมจะไม่อ่านจดหมายน่ะ”
“เธอบอกว่าเป็นเพราะว่าเธอมักจะสร้างปัญหาให้คุณซีลีนตลอดเลยน่ะค่ะ
เพราะว่าเธอได้สูญเสียส่วนหนึ่งของครอบครัวไป
เธอจึงได้ใช้ความทรงจำที่แสนอ้างว้างนั่นตอกย้ำคุณ”
––โกหกชัด ๆ
“นั่นมันแปลกไปแล้ว”
“อะไรหรือคะ?”
––โกหก โกหกชัด ๆ
“เธอ…ไม่น่าจะพูดอะไรที่ดูมีเหตุผลแบบนั้นได้ ถึงเธอจะชอบพูดว่า ‘ฉันอยากทำแบบนี้’ หรือ ‘ฉันอยากทำแบบนั้น’
อยู่ตลอดก็เถอะ แต่…มันแปลก มันเหมือนกับ…คือผมหมายถึง…”
––ไม่มีทางหรอก
“มันไม่แปลกเลยนะคะ
ตลอดเวลาที่เธอพูดกับฉัน แม่ของคุณก็ดูเข้าใจทุกอย่างดีนะคะ
ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกก็เหมือนกัน เธอเป็นแบบนั้นอยู่สักพักเลยค่ะ
และเธอก็พูดแต่เรื่องของคุณ”
––ไม่มีทางหรอก
ซีลีนเดินโงนเงนผ่านไวโอเล็ตและเปิดประตูบ้าน
ไวโอเล็ตพูดขึ้นมาอีกครั้งจากข้างหลังของเขา
“ถ้าอย่างนั้นเราจะไปแล้วนะคะ”
เขาไม่ได้หันกลับไปมองเธออีก
เขาปีนบันไดขึ้นไปและมุ่งไปยังห้องที่อยู่บนชั้นสอง แม่ของเขากำลังทำอะไรอยู่ในห้องที่ถูกล็อคจากข้างนอกกันนะ?
เขาไขกุญแจ และหมุนลูกบิดประตู มีลมพัดเข้ามาในห้อง
คงเป็นเพราะว่าหน้าต่างเปิดอยู่
แม่ของเขานั่งอยู่ริมหน้าต่าง
กำลังมองไปยังศูนย์กลางของหมู่บ้านซึ่งกำลังจัดพิธีแต่งงานอยู่
“มะ-แม่ครับ” เขาเรียก “แม่”
เขาเรียกเธอนับครั้งไม่ถ้วน
แม่ของเขาหันหัวมาทางเขา
แต่เธอก็หันกลับไปมองนอกหน้าต่างทันที “เงียบก่อนสิ…โจนาห์”
เธอแทบจะไม่หันมามองเขาด้วยซ้ำ
“แม่…แม่…มะ-แม่ครับ…”
ตั้งแต่ที่ครอบครัวของเขาแยกจากกัน
ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอหันมามองเขาโดยที่ยังมีสติอยู่
“ตอนนี้แม่กำลังดูเรื่องที่สำคัญอยู่นะ”
ไม่เคยเลยสักครั้ง
“ซีลีนอยู่ไหนกันนะ”
“แม่ ผม…อยู่นี่” เขาทำเสียงที่เหมือนกับเด็กออกไป
และเมื่อเขาทำเช่นนั้น
ร่างของแม่ก็กระตุกด้วยความตกใจ และหันมามองเขาอย่างช้า ๆ
เธอมองซีลีนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสนใจอย่างชัดเจน สายตาของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ซีลีนมองเข้าไปในดวงตาของแม่ของเขา
มันมีสีแอมเบอร์ที่แสนน่าทึ่ง
––อ่า
นั่นสินะ นั่นคือสีของดวงตาคู่นั้นเองสินะ
เขาจำได้แล้วว่าดวงตาของเธอนั้นมีสีเดียวกับตาของเขา
แม่ของเขาเดินมายืนข้าง ๆ เขา
และใช้มือที่เต็มไปด้วยกระสีน้ำตาลสัมผัสที่แก้มของเขา และในตอนนั้นเอง
น้ำตาของเขาก็ไหลออกมา
“โอ้…อย่าร้องไห้สิจ๊ะ” เธอดูมีความสุข “ลูกโตขึ้นเยอะเลยนะซีลีน”
มีเพียงแค่ซีลีนเท่านั้นที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีแอมเบอร์ของเธอ
“ยินดี…กับงานแต่งของลูกด้วยนะ” เธอยิ้ม
ในตอนนั้นแม่ของเขามีสติอย่างแน่นอน
แต่มันก็หายไปเมื่อซีลีนกอดเธอไว้
“นี่ ซีลีนอยู่ไหนเหรอ?”
“ผม…จะไม่ไปไหนอีกแล้ว”
อย่างไรก็ตาม
ความรักของเธอก็ยังคงอยู่อย่างแน่นอน
ความคิดเห็น