ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KHR] XSlWrong Position

    ลำดับตอนที่ #3 : date

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 53


    ท่ามกลางความจอแจของย่านร้านค้าใจกลางกรุงอิตาลีแห่งนี้ ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเดินชวักไขว่ไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างไม่เป็นระเบียบ ทว่าร่างร่างหนึ่งกลับคงยืนนิ่งราวกับเวลา ณ ที่แห่งนั้นไม่หมุนเดิน

    ร่างสูงโปร่งพิงกายกับเสาไฟต้นสูง ใบหน้าหวานเยี่ยงอิสตรีนั้นเบือนสายตาขึ้นสู่ฟากฟ้ากระจ่างใสไร้เมฆหมอกเฝ้ารอคนเพียงคนเดียวที่เปรียบได้ดังผืนฟ้าที่น่าหลงใหลนั้น

    "เฮ้! สควอโล่ ทางนี้ๆ!" เสียงทุ้มลึกเรียกเสียงดัง ดูดดึงสายตาของพิรุณสีเลือดให้เบือนไปทางต้นเสียงได้อย่างไม่ยากเย็น ไม่เว้นแม้แต่สายตาของผู้คนในบริเวณนั้นที่ต่างพากันจับจ้องไปยังเจ้าของร่างสูงใหญ่และเรือนผมสีทองสว่าง ใบหน้าหล่อคมที่แย้มยิ้มสดใสรวมถึงดวงตาสีทองหวานซึ้งนั้นยากเหลือเกินที่จะทำให้ผู้เฝ้ามองละสายตาจากไปได้

    ...ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่รู้จักกันมานานกว่า 10 ปีอย่างฉลามตนนี้เช่นกัน...

    "ช้าชะมัด" เจ้าของใบหน้าหวานว่าพลางก้าวเข้าไปหา

    คนถูกว่าหัวเราะแห้งๆพร้อมคำแก้ตัว "แหะๆ ก็โรมาริโอ้น่ะสิ เอาแต่บอกว่าจะตามมาด้วยให้ได้เลย ก็เลยทะเลาะกันนิดหน่อย"

    ดวงตาสีวารีตวัดมองคนข้างกายเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องตวัดกลับพร้อมๆกับรอยสีเรื่อบนใบหน้าเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

    "ทั้งๆที่นานๆครั้งฉันถึงจะได้ออกมาเที่ยวกับนายซะทีนะ..."

    ร่างบางออกเดินนำลิ่วๆโดยไม่สนใจคนที่กำลังพร่ำพูดเพื่อหลบซ่อนความร้อนที่ระบายไปทั่วใบหน้าจนเขาคิดว่ามันคนจะแดงไปหมดเรียบร้อยแล้ว

    "อ้าว! นายจะรีบไปไหนล่ะรอด้วยสิ!"

    "หุบปากแล้วก็อย่าทำตัวซุ่มซ่ามด้วยแล้วกันไอ้ม้าขี้แหย!" ร่างบางว่าตอบเสียงดัง แม้จะยังสาวขาเดินไม่ยอมหยุดแต่กระนั้นความเร็วก็ลดลงมาก จนทำให้คนเดินตามอดยิ้มไม่ได้

    ...............................................................................

    "ว่าแต่ทำไมวันนี้นายถึงใส่เครื่องแบบล่ะ? วันหยุดไม่ใช่เหรอ?" ดีโน่ถามขึ้นมาลอยๆในระหว่างที่พวกเขาทั้งคู่ก้าวขาเดินไปเรื่อยๆบนถนนเส้นใหญ่

    คนข้างกายสะดุ้งน้อยๆพลางเสสายตาหลบ หลังจากรื้อเสื้อผ้ามาหมดตู้ เขาก็ยังคิดไม่ตกเสียทีว่าจะใส่อะไรมาในวันนี้ กระทั่งสายตากวาดไปมองยังเครื่องแบบที่สวมอยู่เสมอนั่นแหละถึงเลือกออกมาสวมอย่างช่วยไม่ได้

    ...ไม่ใช่เพราะว่าไอ้บอสบ้านั่นเป็นคนบอกหรอกนะ...

    "เมื่อเช้ามีงานด่วนเข้ามาน่ะ"

    "เอ๋!? ทำไมฉันไม่เห็นได้ยินเลยล่ะ?" ม้าพยศว่าอย่างตกใจ เมื่องานเกือบทุกงานที่เป็นของวาเรียกับวองโกเล่จะผ่านความรู้เห็นของเขาอยู่เสมอเพราะการเป็นพันธมิตรแฟมมิลี่ โดยเฉพาะงานฉุกเฉินที่มีความอันตรายซึ่งอาจจะต้องมีการขอกำลังเสริม

    "แกไม่เกี่ยวซะหน่อยอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องน่า!!" สควอโล่ตอบเสียงดัง ทำให้ร่างที่สูงกว่าอดเอะใจขึ้นมาไม่ได้

    "...หรือว่านายคิดไม่ออกใช่มั้ยล่ะว่าจะแต่งตัวยังไง?"

    แทงใจดังฉึก!!

    ใบหน้าใสๆแดงเรื่อจนลามไปยังใบหูและต้นคอ หากคนถูกจับได้ก็ยังคงยืนกรานอยู่เช่นเดิม "ไม่ใช่ว้อย!!!"

    เจ้าของเรือนผมสีทองยุ่งเหยิงหัวเราะเบาๆกับท่าทางที่อ่านได้สุดแสนจะง่ายดายนั้น

    "แต่ก็สมกับเป็นนายดีนะ..."

    คำพูดและมือหยาบใหญ่ที่วางแปะลงบนศีรษะเขาด้วยท่าทีสบายๆที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นอดทำให้เขามุ่ยหน้าไม่ได้ แต่กระนั้นความรู้สึงที่พองฟูอยู่ในหน้าอกนี้ก็เป็นความจริง

    ...ตัวเขามีความสุขกับช่วงเวลาเช่นนี้มากพอๆกับความเจ็บปวดที่ไม่มีวันหาทางออกได้...

    "แล้ววันนี้แกมีธุระอะไรวะ?"

    ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจพลางตอบอย่างสบายๆ "อ๋อ! ก็ฉันจะไปญี่ปุ่นน่ะเลยคิดว่าน่าจะหาอะไรไปฝากพวกนั้นหน่อย"

    สควอโล่ทำเสียงขึ้นจมูก "แล้วมันเกี่ยวกับฉันตรงไหนวะ?"

    "อา..." คนถูกถามใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย พลางยกมือขึ้นเกาข้างแก้มเบาๆด้วยใบหน้าที่ดูมีความสุขจนหน้าหมั่นไส้ และถ้อยคำที่ราวกับจะกรีดหัวใจของเขาให้เป็นชิ้นๆ "...ฉันไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรไปให้เคียวยะดีน่ะ...หมอนั่นดูไม่ค่อยออกเลยว่าคิดอะไรอยู่"

    แนวฟันขาวกัดเม้มริมฝีปากสีระเรื่อของตนแน่น หากคนที่กำลังพูดอธิบายก็กลับไม่ได้รู้สึกถึงท่าทีนั้นเลยแม้แต่นิด

    ...ทำไมนะ? ทำไมถึงไม่เป็นฉัน?...

    "ฉันเห็นนายกับเคียวยะนิสัยคล้ายๆกัน เลยคิดว่านายคงพอจะรู้..."

    ...ถ้าคล้ายกันแล้วทำไมถึงเป็นฉันไม่ได้ล่ะ...

    "...ถึงจะเป็นของเล็กๆแต่ฉันก็อยากให้เคียวยะดีใจ"

    ...ทำไมถึงต้องเป็นไอ้หนูนั่น?...

    "...ฉันอยากเห็นรอยยิ้มจากริมฝีปากบึ้งตึงนั้นดูซักครั้ง..."

    ...ทำไมแกถึงรักเด็กที่อายุห่างกันเกือบสิบปีแบบนั้น แทนที่จะเป็นฉันล่ะ?...

    ใบหน้าคมสันเบือนกลับมาพร้อมรอยยิ้ม "คงจะสวยน่าดูเลยเนอะสควอโล่?"

    รอยยิ้มสดใสที่ฉาดฉายบนใบหน้าคมสันนั้นช่างดูเจิดจ้าเสียจนเขาต้องเบือนสายตาหลบ เจิดจ้าเสียจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ.. หากเมื่อคิดว่าความสดใสนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับเขาแล้วหัวใจก็พลันเจ็บสะท้าน ให้ตัวเขาได้เพียงขบริมฝีปากสั่นระริกเอาไว้แน่นเท่านั้น

    "สควอโล่?" น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยห่างใบหน้าออกไปไม่ถึงคืบ เรียกคนที่เอาแต่ก้มหน้าให้รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าและเงยกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    "เหอะ...เลี้ยงต้อยชัดๆ"

    เสียงพึมพำเบาที่ลอยมาเข้าหู ทำให้ชายหนุ่มต้องยกปลายนิ้วขึ้นเกาข้างแก้มเบาๆอย่างเขินอาย "ฮะๆ เถียงไม่ออกเลยแฮะ"

    เปลือกตาหนาหรุบลงยามนึกถึงบุคคลที่วนเวียนอยู่ในความคิด น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่แฝงความอ่อนโยนอยู่เป็นนิจนั้นฟังดูอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในยามที่เอื้อนเอ่ยถึงคนที่อยู่อีกฟากฝั่งของทะเล "จะถูกว่ายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน... แต่ในตอนที่ได้พบกับเคียวยะฉันก็รู้สึกทันทีเลยนะ ว่าจะต้องเป็นคนคนนี้เท่านั้น..."

    ดวงตาสีวารีเบิกกว้างและปิดลงอย่างปวดร้าวเมื่อถ้อยคำชวนเคลิ้มฝันนั้นบ่งบอกไว้ชัดเจนเหลือเกินว่ารักคนที่พูดถึงมากเพียงใด แนวฟันขาวที่ขบกัดริมฝีปากสีระเรื่อจนแดงช้ำ

    ร่างโปร่งบางสะบัดหันไปอีกทางก่อนจะก้าวเร็วๆออกจากจุดนั้น จนเจ้าของเรือนผมสีทองเร่งก้าวตามมาแทบไม่ทัน "อ้าว! เฮ้! จะรีบไปไหนน่ะสควอโล่!?"

    ...เขาเกลียดตัวเอง...

    "แกจะไปเลี้ยงต้อย หรือจีบใครที่ไหนจะมาเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะวะ?!"

    ...เกลียด...

    "โธ่! ช่วยฉันซักครั้งเถอะนะ"

    ...เกลียดมากเหลือเกิน...

    ขาเพรียวยาวหยุดชะงัก ก่อนจะผินกายกลับไปมองคนที่รีบตามมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ต่างจากสมัยที่เพิ่งรู้จักกันเลยแม้แต่น้อย

    ...เกลียด...

    เมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้ายอมหยุดฟัง รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง "ครั้งนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนายจริงๆนะ"

    ...เกลียดที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ตัวเขาก็ไม่อาจต้านทานคำพูดและสายตาของคนตรงหน้าได้เลยสักครา...

    เพราะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนนั้นมีเพียงความรู้สึกของเขาคนเดียวเท่านั้น...

    "เหอะ! อย่าให้มีคราวหน้าล่ะ ไอ้ม้าขี้แหย"

    "ฮะๆๆ ขอบใจนะสควอโล่"

    ...............................................................................

    ปัง!

    เสียงประตูห้องนอนปิดลงดังขึ้นทันที่ที่ผู้เป็นเจ้าของทรุดตัวลงนั่งกับพื้นบุพรม ของที่จับจ่ายซื้อมาเมื่อตอนกลางวันร่วงตกลงบนพื้นและกลิ้งกระจายไปทั่ว

    มือเรียวยกขึ้นปิดดวงตาทั้งคู่ในขณะที่ค่อยๆไถลตัวเอนจนมีเพียงช่วงไหล่ที่ติดอิงอยู่กับบานประตู

    บรรยากาศสลัวลางของช่วงเวลาพลบค่ำนั้นยิ่งบังคับให้ร่างอันเดียวดายยิ่งตระหนักรู้ถึงความจริงที่ไม่อาจหลีกหนี

    ยิ่งตระหนักได้ถึงความมืดอันทึมทึบที่รายล้อมทั่วร่างจนหนาวสั่นอยู่ในขณะนี้...

    ...ทำไมนะ?...

    ทั้งๆที่เป็นแค่เพื่อนกันก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ...

    ทั้งๆที่เพียงแค่ที่เป็นอยู่ก็มากมายจนเกินพอแล้วแท้ๆ...

    แต่ทำไม?

    ...ทำไมเขาต้องเลือกที่จะรักคนที่ไม่น่าจะรักด้วยนะ...

    ขอบตาร้อนผ่าวช้ำระเรื่อหากเขาไม่ได้หลั่งน้ำตา ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกที่เต็มตื้นหรือเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ตอนนี้ก็ตาม แต่ตัวเขาก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็จำปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินลงมาไม่ได้เป็นอันขาด จึงทำได้เพียงซุกซบใบหน้าลงกับท่อนแขนของตนและปล่อยให้หยาดน้ำที่รื้นขึ้นมาซึมหายเข้าไปในผิวผ้าสีดำสนิทของเครื่องแบบประจำตัว

    ความเปล่าเปลี่ยวในตอนนี้แทบจะกินลึกไปจนถึงขั้วหัวใจ มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นขยุ้มอกเสื้อด้วยปลายนิ้วสั่นเทา

    ...ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตนเองเหงาและต้องการใครสักคนมากเหลือเกิน...

    หากจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อความรู้สึกของเขาเต็มไปด้วยนภาสีสดที่ไม่อาจเอื้อมถึงได้นั่นเสียแล้ว

    ...เพราะความสัมพันธ์ที่พวกเขาได้เลือกขึ้นนั้นเป็นดั่งเช่นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ...

    ...เพราะโลกที่เราเหยียบยืนหันหลังให้กันมาตั้งแต่ต้น...

    ...เพราะพิรุณสีเลือดเช่นเขาไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร...
    .
    .
    .
    ...สักคนเดียว...

    ปึง!!!!!!!

    เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นพร้อมๆกับแรงกระแทกของบานประตูที่เขาพิงซบอยู่ และมันก็แรงเสียจนเขาไม่คิดจะแปลกใจเลยแม้แต่น้อยหากว่ามันจะเกิดรอยถลอกหรือรอยแดงเป็นปื้นขึ้นบนผิวของเขา

    มือเรียวยกขึ้นลูบศีรษะที่ได้รับลูกหลงของแรงกระแทกโดยไม่รู้ตัวนั้นป้อยๆ ก่อนจะตวัดเสียงไปด่าคนที่ยืนอยู่อีกฟากของประตูอย่างเจาะจงได้โดยไม่ต้องลุกขึ้นมาเปิดประตูหรือแง้มออกดูแม้สักนิด

    ...เพราะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนี้กับเขาได้...

    "โว้ย!!! แกถีบประตูทำไมวะ!? ไอ้บอสบ้า!!!!"

    "เปิดประตูเดี๋ยวนี้ไอ้สวะ..."

    สควอโล่ส่งเสียงฮึดฮัด แต่ทว่าเขาก็ยอมลุกขึ้นพร้อมกระชากบานประตูให้เปิดออกด้วยสีหน้าหงุดหงิดเป็นที่สุด "มีอะไรอีกวะ? บอกไว้ก่อนว่าวันนี้เป็นวันหยุดของฉัน.."

    "เมื่อกี้ฉันเรียกแกตอนอยู่ในสวนทำไมถึงเดินหนี?.." ชายหนุ่มถามพลางเดินเข้ามาในห้องของอีกฝ่ายด้วยท่าทางราวกับเป็นห้องของตนเอง

    ดวงตาสีวารีของคนที่กำลังงับประตูห้องให้ปิดลงเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเสหลบไปพร้อมคำตอบเบาๆ "โทษทีฉันไม่ได้ยิน"

    ท่าทีชวนให้ไม่สบอารมณ์เหมือนคนโกหกนั้นทำให้ร่างที่สูงกว่าเหวี่ยงมือฟาดลงบนกำแพงเปล่าข้างๆกระหม่อมบางอย่างแรง

    "เวลาฉันพูดมองตาฉัน"

    ทว่าแม้น้ำเสียงสั่งกร้าวจะทุ้มต่ำและดุดันหากฉลามตรงหน้าก็ไม่ได้ขยับสายตาเลื่อนขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ราวต้องการปฏิเสธคำสั่งนั้นอย่างดื้อดึง ทำให้เจ้าของปลายนิ้วหยาบต้องรั้งปลายคางมนขึ้นสบเพียงเพื่อจะได้เห็นรอยช้ำสีแดงระเรื่อบริเวณรอบดวงตาคู่งามนั้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องผละกายออกจากร่างบอบบางในวงแขนอย่างหลากอารมณ์

    ร่างสูงใหญ่ผินกายหันหลัง "เหอะ..ร้องไห้เรอะ? สำออยชะมัด..."

    "เปล่าเว้ย!!"

    แซนซัสไม่ต่อกรกับเสียงโวยวายนั้น หรือจะเรียกว่าไม่ใส่ใจก็คงได้ เพราะแม้จะพยายามปฏิเสธสักแค่ไหน แต่รอยสีระเรื่อรอบดวงตาที่เขาได้เห็นเมื่อครู่นั้นก็เป็นของจริง

    ...และก็ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยความคิดเลยแม้แต่นิด เมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาคนที่จะทำให้พิรุณแสนงามของเขาต้องโศกเศร้าได้ถึงเพียงนี้มีเพียงคนเดียว....

    "ไอ้ม้าสวะนั่นล่ะสิ..."

    สควอโล่สะดุ้งเฮือกเหมือนเด็กๆที่ถูกจับผิดได้ไม่มีผิด ดวงตาคู่สวยปิดแน่นพลางก้มหน้านิ่ง

    "เรื่องที่มันรักไอ้หนูเมฆางั้นสินะ"

    เพียงคำพูดเดียวที่แทงเข้ากลางใจทำให้พิรุณหนุ่มต้องเลื่อนสายตาขึ้นสบกับดวงตาคมกร้าวที่อ่านอารมณ์ไม่ออกนั้นในทันที ริมฝีปากสั่นระริกขยับไหวเป็นถ้อยคำบางเบาอย่างไม่แน่ใจ "แก..รู้..?"

    ไร้คำตอบใดนอกจากการส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเหยียดหยาม

    "มันบอกแกรึไง?"

    "คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก"

    ในความเป็นจริงก็ไม่เชิงเช่นนั้น หากแต่เป็นการแสดงออกและสีหน้าหลากอารมณ์ของนภาแห่งคาบัคโรเน่นั่นต่างหากเล่าที่อ่านได้ง่ายยิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อเจ้าตัวไม่คิดจะปกปิดมันไว้แม้แต่นิด คงมีเพียงฉลามคลั่งผู้ไม่ประสีประสาในเรื่องเช่นนี้เท่านั้นกระมังที่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดว่าไอ้ม้านั่นได้หลงรักเจ้าหนูเมฆาของวองโกเล่เข้าเต็มเปาจนกระทั่งไอ้ม้าสวะก้าวเข้ามาเล่ากับเจ้าตัวเองอย่างเปิดเผย

    และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบ่อยครั้งหลังจากกลับมาจากการไปเที่ยวกับไอ้ม้าสวะนั่นแล้วฉลามสีเงินของเขาจะต้องหลบหนีทุกคนขึ้นขดซุกตัวอยู่ในห้องของตนเองโดยลำพังแบบนี้

    นัยน์ตาสีแดงเลือดเบือนขึ้นทันเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างปิดไม่มิดนั้นเบือนหลบ ไม่บ่อยนักที่ร่างตรงหน้าจะแสดงความอ่อนแอเช่นนี้ออกมาให้เขาได้เห็น หากทุกครั้งกลับหนีไม่พ้นเรื่องของหัวหน้าของแฟมิลี่พันธมิตร

    ...น่าหงุดหงิดชะมัด...

    ...ทำไมไอ้ฉลามโง่นี่ถึงได้ไปรักไอ้สวะพรรณนั้นกันนะ...

    วูบหนึ่งที่เขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะเอื้อมมือไปดึงร่างที่แสนเปราะบางนั้นเข้ามากอด แล้วพูดปลอบให้คลายใจ หากคนที่คนตรงหน้าต้องการนั้นไม่ใช่เขา...

    ...ไม่ใช่นภาอันมืดมิด...

    ...หากเป็นท้องนภาอันแสนสดใสอ่อนโยนดุจท้องฟ้าในฤดูใบไม้ผลินั้นต่างหาก...

    ...แล้วคนที่ไม่เคยเป็นที่ต้องการเช่นเขา จะทำอะไรได้นอกจากเฝ้ามองอยู่ห่างๆเช่นนี้ต่อไป...

    -*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

    ดองจนถูกแซวว่าตอนนี้มันไม่ใช่ wrong position แต่เป็น "Long" position ต่างหาก

    ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีแต่เซย์งานเยอะมากจริงๆครับ OTL ไม่ไหวจะเคลียร์ แต่สัญญาว่าจะแต่งต่อจนจบแน่นอนครับ

    ขอบคุณแล้วก็ขอโทษทุกคนที่ตามฟิคเรื่องนี้อยู่ด้วยนะครับ TTvTT

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×