คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : first met
โป๊ก! เพล้ง!!!
แว่วเสียงดังคุ้นหูที่ชาววาเรียทุกคนเคยได้ยิน แต่ละคนต่างพร้อมใจกันยกมือขึ้นปิดหูโดยไม่ต้องบอก
"โว้ยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!! ไอ้บอสงี่เง่าทำอะไรของแกวะ?!!!!!" เสียงตะโกนของคนที่ใครๆต่างก็รู้จักดีดังกึกก้องไปทั่วทั้งปราสาท ก่อนที่ทุกคนจะลดมือที่ใช้ปิดหูลง
...วันนี้ก็ทะเลาะกันอีกแล้วเจ้านายของพวกเขา...
ร่างโปร่งบางที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าของเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง กระแทกเท้าเข้าไปหาคู่กรณีที่นั่งอย่างสบายใจอยู่เบื้องหลังโต๊ะตัวหรู มือกลหยิบปึกเอกสารที่เปียกชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์พอๆกับหัวของเขาขึ้นวางบนโต๊ะเต็มแรง "จะขว้างก็ดูหน่อยสิวะ!! นี่มันเอกสารสำคัญนะว้อย!"
"ไม่ใช่เรื่องของฉัน" คนถูกว่าตอบกลับอย่างไม่สนใจ ก่อนจงใจเอื้อมไปหยิบเอกสารกองอื่นมาดูแทน
...อะไรบางอย่างขาดผึง...
"โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย!!! ฉันเหลืออดกับแกแล้วนะ!!" ฉลามสีเงินพิรุณแห่งวาเรียตวาดอย่างสุดกลั้น ...ไม่เข้าใจ!! ชาติที่แล้วเขาทำบุญมาไม่พอรึไงนะ?! ถึงได้ต้องเป็นเบี้ยล่างคนงี่เง่าพรรณนี้!!...
นัยน์ตาสีแดงเหลือบขึ้นมองคนช่างตะโกนเล็กน้อย "ฉันจำไม่ได้ว่าเคยบอกให้แกทน"
"แซนซัส!!!!!!"
"เย็นไว้จ้า เย็นไว้" ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากทางประตูห้อง ส่งผลให้ดวงตาสองคู่หันไปมองทางต้นเสียงทันที ณ ตรงนั้นหัวหน้าหน่วยอรุณกำลังยืนหัวเราะเบาๆอย่างขบขัน
"ลุซซูเรีย..จะให้เย็นได้ไงวะ? ทำไมไอ้บอสงี่เง่านี่มันต้องคอยหาเรื่องฉันตลอดด้วย?!"
"แกเป็นเด็กสามขวบรึไง? ที่เวลามีคนทำอะไรแกแล้วต้องวิ่งไปฟ้องแม่น่ะ?"
"ไม่ใช่ว้อย!!!!!! ไอ้บอสปัญญาอ่อนทำอะไรเองไม่เป็น!"
"แล้วใครกันล่ะที่มาก้มหัวขอติดตามไอ้ปัญญาอ่อนนั่น?" ร่างสูงตอบกลับอย่างไม่ยี่หระพลางตวัดสายตาตรวจเอกสารต่อไป
สควอโล่โกรธชนิดที่เรียกได้ว่าเลือดขึ้นหน้า ในระหว่างที่กำลังคิดคำผรุสวาทคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ขัดขึ้นอีกครั้ง
"อะแฮ่ม! พอเถอะค่ะทั้งสองคน เจ๊ว่าทะเลาะกันทุกวันแบบนี้มันไม่ดีกับสุขภาพจิตเลยนะคะ" กะเทยร่างใหญ่ว่าอย่างยิ้มแย้ม และเดินเข้าไปวางเอกสารรายงานของตนลงบนโต๊ะทำงานของผืนนภาแห่งวาเรีย
ร่างโปร่งพ่นลมหายใจออกจมูกเมื่อรู้สึกเย็นลงบ้าง แม้แววตาจะสะท้อนความไม่พอใจอย่างเต็มเปี่ยม
"ทะเลาะกันบ่อยๆแบบนี้ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ?"
"ก็ไอ้บอสมันหาเรื่อง!.."
"แกมันโง่เองนี่หว่า.."
"สต็อป!!!! โอเคเจ๊ผิดเองค่ะทุกคน" ลุซซูเรียยกมือห้ามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าทั้งสองกำลังจะเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง "เฮ้อ.. ทั้งสองคนนี่ทะเลาะตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอหน้ากันรึเปล่าเนี่ย?"
พิรุณสีเลือดนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง "ครั้งแรกเหรอ? ...ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก"
"เอ๋? งั้นเหรอจ๊ะ? แล้วใครเจอใครก่อนล่ะ?" ลุซซูเรียถามต่ออย่างสนอกสนใจ หากสควอโล่กลับไม่ได้สนใจจะเล่า
"เหอะ! ก็ฉันน่ะสิวะ คนที่ไม่เคยสนใจใครอย่างบอสน่ะนะจะมาทักก่อน ฝันไปเหอะว่ะ"
ผู้ถูกกล่าวถึงในบทสนทนาละสายตาจากเอกสาร "..มีแต่พวกสวะโง่ๆเท่านั้นแหละที่กระดี๊กระด๊าอยากทำความรู้จักกับคนเขาไปทั่ว"
"ไอ้คุณบอส!!!" ฉลามคลั่งฉุนขึ้นมาอีกรอบ หากยังไม่ทันทำอะไรผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยกมือห้ามอีกครั้ง
"พอเถอะจ้ะสควอโล่ จะได้เวลาอาหารเย็นแล้วไปอาบน้ำทำตัวสบายๆดีกว่านะจ๊ะ" ผู้เปรียบเหมือนแม่บ้านประจำปราสาทว่าด้วยรอยยิ้มพลางดันหลังพิรุณสีเงินให้ออกเดิน
แม้จะไม่พอใจ แต่ร่างโปร่งก็ต้องเลิกราอย่างช่วยไม่ได้ "ฝากไว้แค่นี้ก่อนแล้วกันวะไอ้คุณบอส!"
ปัง!,ประตูบานใหญ่ปิดลง คงเหลือเพียงความเงียบงันให้กับนภาหนุ่ม มือหยาบวางปากกาในมือลง ก่อนเบือนสายตาออกไปนอกหน้าต่างราวกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
โกเมนน้ำเอกไม่ได้จับจ้องไปยังที่ใด ห้วงความทรงจำที่ค่อยๆผุดขึ้นราวตาน้ำจากผืนดินที่แห้งแล้งนั้นทำให้เปลือกตาหนาค่อยๆปรือปิดลงอย่างเชื่องช้า รอยยิ้มแค่นแสยะระบายอยู่บนใบหน้าคมสัน
...แกไม่เคยรู้อะไรเลยจริงๆไอ้ฉลามหัวเน่า...
ดวงตาสีชาดมองฝ่ามือใหญ่ของตนที่ค่อยๆคลายออก
...แกไม่เคยรู้ว่าทุกการกระทำนี้มันเรียกร้องความสนใจจากแกมากมายแค่ไหน...
ไม่เคยรู้ว่าฉันเพียงแค่อยากจะตรึงสายตาของแกเอาไว้ไม่ให้เบือนหนีไปไหน...
...แกไม่เคยคิด...
...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่เป็นฝ่ายเจอก่อนไม่ใช่แกแต่เป็นฉันต่างหาก...
................................................................................
...หงุดหงิด!!...
...น่าหงุดหงิดชะมัด!!!...
ร่างสูงใหญ่ของผู้ที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของรุ่นที่ 9 แห่งแก๊งมาเฟียอันลือชื่ออย่างวองโกเล่กำลังเดินกระฟัดกระเฟียดไปตามทางเดินที่ทอดยาวภายในโรงเรียน
....ไม่เข้าใจเลยซักนิด ทั้งๆที่เรียนจากอาจารย์ส่วนตัวที่เข้าไปสอนในปราสาทวองโกเล่เอาก็ได้ แต่ตัวเขากลับถูกส่งมาเรียนที่โรงเรียนงี่เง่านี่...
ถึงจะบอกว่าเพื่อเป็นการเรียนรู้การเข้าสังคมหรืออะไรก็ตาม แต่ไอ้แก่นั่นมันคิดจริงๆรึว่าคนอย่างเขาจะลดตัวไปสุงสิงกับใคร??...
...ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าหงุดหงิด...
และยิ่งรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อพบว่าทั้งๆที่ตัวเองคิดแบบนั้น แต่ก็กลับทนอยู่มาได้ถึงสามปี...
นาฬิกาข้อมือเรือนหรูชี้บอกเวลาที่ควรเข้าไปนั่งอยู่ในห้องเรียน หากในเมื่อไม่มีอารมณ์เรียนแบบนี้ตัวเขาก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องไปทนนั่งฟังเสียงหึ่งๆงี่เง่าของอาจารย์แก่ๆพวกนั้น ขายาวๆก้าวข้ามขั้นบันไดอย่างรวดเร็วเพื่อเปลี่ยนทิศทางไปยังดาดฟ้าอันเงียบสงบ
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนด้วยความเบื่อหน่ายในหัวคิดแต่เพียงว่าอยากหมุนเร่งนาฬิกาให้มันเดินได้เร็วกว่านี้ เพื่อให้เวลาเลิกเรียนมาถึงเสียที ทว่าในตอนที่คิดจะปิดตานอนนั้นเองเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นเสียก่อน
"โว้ย!! จะอะไรของแกนักหนาวะไอ้ม้าโง่!!?"
เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ไม่คุ้นเคยแม้แต่นิดนั้นดังชนิดที่ว่าไม่สนใจคงไม่ได้ เขาจึงจำต้องชะโงกใบหน้าไปมองผู้ที่มาใหม่เพราะมุมที่เขาใช้เป็นที่นอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นมุมอับที่สุด ทั้งไม่มีใครมองเห็น รวมทั้งมองไม่เห็นสิ่งใดๆเลยด้วย
...เด็กปีหนึ่ง?...
เจ้าของดวงตาสีเลือดเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจเมื่อมองเห็นชุดเครื่องแบบนั้น เนื่องจากว่าที่นี่เป็นโรงเรียนเฉพาะสำหรับพวกมาเฟีย กฎระเบียบจึงต้องเคร่งครัดเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถตีกรอบนักเรียนทั้งหมดอยู่ให้ในโอวาทได้ ดังนั้นจึงไม่บ่อยนักที่นักเรียนที่เพิ่งเข้าใหม่อย่างปีหนึ่งจะอาจหาญโดดเรียน
...ใจกล้าไม่เบา หน้าตาจะเป็นยังไงกันนะ?...
แซนซัสขยับกายอีกเล็กน้อยเพื่อให้สามารถเห็นผู้มาเยือนได้ชัดถนัดตา ภาพที่เขาเห็นนั้นชวนให้ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเมื่อคนทั้งคู่ดูไม่ได้เข้ากันเลยแม้แต่นิด เมื่อเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินสั้นซึ่งกำลังหันหลังให้กับเขากำลังตวาดไล่เด็กอีกคนซึ่งมีผมสีทองที่ทอประกายพอๆกับดวงตาสีอำพันของเจ้าตัว
ฟังจากบทสนทนาแล้วคนหนึ่งดูตั้งใจแน่วแน่ว่าจะโดดเรียน ในขณะที่อีกคนกำลังเกลี้ยกล่อมว่าให้กลับเข้าเรียนด้วยสีหน้าหวาดหวั่น แต่จะบอกว่าคนที่ถูกเรียกว่าไอ้ม้าโง่โดนฉุดกระชากลากมาก็ไม่ถูกนัก เพราะดูจากการที่เด็กหนุ่มอีกคนพยายามขับไสไล่ส่งเหลือเกิน ย่อมหมายถึงการที่มันตามมาโดยไม่ได้รับเชิญ
"วะ!! ก็บอกแล้วไงว่าถ้าแกไม่อยากโดดก็ไสหัวกลับไป!!" เด็กหนุ่มผมเงินตวาดกร้าว
"ม..ไม่ได้นะกลับไปด้วยกันสิสควอโล่..." ร่างที่สูงกว่าเล็กน้อยกล่าวตอบเสียงอ่อย
...หืม? ชื่อสควอโล่อย่างนั้นเหรอ? ดูเข้ากับนิสัยดีนี่...
ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยบุคคลที่ยืนหันหลังอยู่ก็หมุนตัวกลับมาคล้ายต้องการตัดบทคำพูดภายในตัว ทันทีที่เห็นดวงหน้านั้นเป็นครั้งแรกอะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ
...น่ารัก.. ไม่สิ เรียกว่าสวยคงจะถูกกว่า...
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้กลมโตหากเรียวได้รูป นัยน์ตาสีเดียวกับเรือนผมนั้นดูราวกับจะสามารถถูกดูดกลืนให้หายไปได้ยามที่เส้นไหมสีเงินนั้นปลิวต้องลม จมูกเชิดรั้นและริมฝีปากได้รูปนั้นถูกวางอย่างเหมาะเจาะอยู่บนดวงหน้าเล็กๆที่เกลี้ยงเกลา คิ้วเรียวยาวนั้นขมวดเข้าจนหว่างคิ้วเป็นรอยย่น หากไม่ได้ลดทอนความน่ามองลงเลยแม้แต่น้อย แพขนตายาวนั้นเป็นเงาทาบลงบนผิวแก้มยามเมื่อเปลือกตาบางกระพริบถี่เพื่อช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับนัยน์ตา
...ตัวเขายอมรับว่าตั้งแต่เกิดมาเขามีโอกาสได้เห็นคนที่มีใบหน้าสวยงามมานักต่อนัก...
และร่างโปร่งข้างหน้านี้ก็ไม่ได้งดงามไปกว่าคนเหล่านั้นที่เขาเคยพบ หากแต่ว่า...
อะไรบางอย่าง...
...อะไรบางอย่างมันทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้เลย...
กินเวลาเกือบนาทีกว่าที่สติของเขาจะกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ ...นี่ตัวเขากำลังคิดอะไรกับรุ่นน้องผู้ชายที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรกกันเนี่ย?...
ยินเสียงสบถพร่ำนับสิบภาษาของตัวเอง ในขณะที่ได้แต่สะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความคิดที่แสนไร้สาระ แขนแข็งแรงดันกายให้กลับไปที่เดิมก่อนเอนกายพิงกำแพง เสียงทะเลาะโวยวายนั้นยังมีมาให้ได้ยินไม่ขาด หากเด็กหนุ่มก็ได้เลือกที่จะเมินเฉยต่อมันและหลับตาลงอีกครั้ง รอยยิ้มจางๆระบายอยู่บนริมฝีปากได้รูป
...ถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่เมื่อมันเป็นไปแล้วจะลองเล่นดูก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรนัก...
...อะไรบางอย่างกำลังร่ำร้องบอกเขาว่าหนึ่งปีที่หลงเหลืออยู่ในโรงเรียนแห่งนี้คงจะไม่น่าเบื่อเสียทีเดียวนัก...
...............................................................................
เปลือกตาหนาค่อยๆปรือเปิดเมื่อโสตประสาทยินเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันราวจงใจแทรกนิทรารมย์ของเขา หัวคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันอย่างไม่ใคร่พอใจนัก ริมฝีปากพึมพำเรียกบุคคลเพียงคนเดียวในโลกที่อาจหาญได้ถึงขนาดนี้ "..ไอ้ฉลามหัวเน่า"
"กะแล้วว่าแกต้องหลับอยู่" ร่างที่ก้าวเข้ามาใหม่หัวเราะคิกคัก เหมือนสะใจเสียเต็มประดาที่เข้ามาขวางการงีบหลับของเขาได้อย่างพอดิบพอดี
นัยน์ตาสีชาดมองดวงหน้านวลนั้นก่อนเสมองไปทางอื่น
...นานเท่าไหร่แล้วนะที่ตัวเขาไม่ได้ฝันถึงเรื่องราวในตอนนั้น...
อาจเป็นเพราะลุซซูเรียกับสควอโล่กล่าวถึงการพบกันครั้งแรกของพวกเขา ทำให้แซนซัสเผลอนึกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้จนเก็บเอาไปเป็นความฝันในที่สุด
"มีอะไร?"
ร่างโปร่งไม่ตอบคำ เขาเพียงเดินเข้าไปยังโต๊ะไม้ตัวหรูและวางเอการปึกเล็กลงบนกองเอกสารที่วางเรียงรายจนแน่นขนัดอีกที "ทำงานต่อได้แล้วว้อย"
มือใหญ่ค่อยๆยื่นออกไปยังใบหน้าเรียวคล้ายต้องการคว้าอะไรบางอย่าง ซึ่งร่างโปร่งก็โน้มลงมาหามันอย่างช้าๆทั้งที่ยังไม่เข้าใจอะไรนัก
...ดวงหน้ากระจ่างตานี้ยังคงเหมือนตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน...
โป๊ก!!!
"โอ๊ย!!"
เสียงร้องดังลั่นเมื่อจุดประสงค์ของผืนนภากระจ่างแจ้ง เพราะตอนที่เขากำลังโน้มใบหน้าลงไปหาอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจนั้น มือที่เอื้อมออกมาก็คว้ากำเส้นผมของเขาเอาไว้แน่น ก่อนกระชากลงโขกกับโต๊ะไม้เนื้อดีตรงหน้าอย่างแรง
"เจ็บนะโว้ย!! จู่ๆก็ทำอะไรเนี่ย??" ฉลามคลั่งรั้งกายกลับ ในขณะที่มือเรียวยกขึ้นคลำหน้าผากของตัวเองป้อยๆด้วยความเจ็บ หากคนที่นั่งอยู่กลับเพียงแค่นเสียงออกมาอย่างเหยียดๆ
...เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์นั้นยังคงความน่าฟังไว้ไม่เปลี่ยนแปลง...
สควอโล่ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ ริมฝีปากบางพร่ำคำสบถนับสิบภาษา แต่เมื่อนภาหนุ่มเลื่อนแก้วเปล่าออกมา ตัวเขาก็เอื้อมมือไปหยิบขวดเหล้าดีกรีสูงใกล้ๆและน้ำแข็งขึ้นมาผสมและรินลงในแก้วใบนั้นโดยไม่รู้ตัวด้วยความเคยชินเสียแล้ว
แท่งแก้วใสที่ใช้ผสมเหล้านั้นขยับเบาๆ ดวงตาสีเลือดจ้องมองดวงตาสีวารีใสที่เพ่งมองของเหลวสีอำพันอย่างตั้งอกตั้งใจ
...ดวงตาหยิ่งทระนงที่แฝงซึ่งความจริงจังแบบเฉพาะตัวนี้ยังคงเป็นเช่นตอนนั้น...
มือเรียวที่ขยับไหวน้อยๆนั้นหยุดลงฉลามหนุ่มดันแก้วเหล้าให้กับคนที่นั่งราวกับเป็นราชาอยู่อีกฟากของโต๊ะ "เอ้า! เสร็จแล้ว"
แซนซัสคว้ามันมาดื่มอย่างไม่ยี่หระ ดวงตาคู่คมเบือนมองร่างที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ
"มีอะไร?"
"ป..เปล่า" เสียงตอบนั้นดูอึกอักจนน่าหงุดหงิด
ทำไมเขาถึงจะไม่รู้ว่ามันมีธุระกับเขา ในเมื่อตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องนี้มันก็มาตัวเปล่า เอกสารรายงานอะไรก็ไม่มีติดมือมาเลยสักแผ่น แล้วโง่ๆอย่างมันก็คงไม่ใช่มาเพื่อปลุกเขาให้กลับขึ้นมาทำงานแน่นอนอยู่แล้ว
"เรื่องไอ้ม้าพยศนั่นล่ะสิ"
"..." ไม่มีคำพูดใด พิรุณหนุ่มเพียงเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าตื่นๆเหมือนเป็นคำตอบกลายๆว่าเขาได้พูดแทงใจดำเข้าเต็มๆเสียแล้ว หากริมฝีปากบางนั้นก็ยังคงเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรดี
นภาหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันเป็นแบบนี้ จริงอยู่ที่ตัวเขารู้ว่าความรู้สึกของไอ้ฉลามโง่นี่มันเกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิทมากขนาดไหน แต่เขาเองก็ไม่ได้รู้ตัวเลยจริงๆว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องเป็นคนคอยรับฟังเรื่องราวต่างๆของมัน
...ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเองก็ยังเป็นเหมือนเช่นในช่วงเวลานั้นมาโดยตลอด...
"มีอะไรก็รีบๆพูดมาซะ ฉันไม่มีเวลาว่างมานั่งฟังแกทั้งวันหรอกนะ"
ใบหน้านวลใสนั้นขึ้นซับสีระเรื่อเมื่อประหวัดคิดไปถึงบุคคลที่เพิ่งได้คุยกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ริมฝีปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยนั้น เปิดและปิดลงหลายครั้งหลายครา จนสุดท้ายตัวเขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกไปอยู่ดี ดวงตาสีฟ้าเบือนมองผู้เป็นนายเป็นระยะๆเหมือนต้องการตรวจสอบดูว่าอีกฝ่ายมีทีท่าอย่างไรกับท่าทางของเขา แต่กลับไม่มีเค้าความยุ่งยากปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมสันที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนั้นเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ได้รู้สึกรำคาญเท่าไรนัก
...ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมักจะมาปรึกษาปัญหาของตัวเองกับบอสงี่เง่าพรรณนี้ แต่ว่าก็มีเพียงคนคนนี้เท่านั้นที่เขารู้สึกว่าแม้จะให้เห็นด้านที่อ่อนแอของตนก็ไม่เป็นอะไร
"ม..เมื่อกี้ฉันคุยกับดีโน่มา.."
"..."
"มัน...ช..ชวนฉันไปเที่ยวในเมืองกับมันตอนวันหยุดครั้งหน้า.." ใบหน้าที่ขึ้นสีก่ำอย่างน่ารักนั้นก้มลงเล็กน้อยคล้ายไม่กล้าสบสายตา
อาการเขินอายอย่างเป็นธรรมชาติของร่างโปร่งบางนั้นทำให้คนมองอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า 'น่ารัก' หากเมื่อคิดว่ามันไม่ใช่สีหน้าที่มีไว้เพื่อเขาแล้ว ความหงุดหงิดก็แล่นริ้วขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บแปลบ
"ก็ดีแล้วนี่" เขากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด และดูท่าว่าอีกฝ่ายก็คงรู้ตัวอยู่บ้างจึงได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาเช่นนี้
"แต่ว่าฉันไม่รู้จะแต่งตัวยังไงดีนี่หว่า...." สควอโล่พูดด้วยปลายเสียงที่แผ่วลงเหมือนรู้ดีว่าคำปรึกษาครั้งนี้มันน่าอายเพียงใด
มือหยาบออกแรงบีบแก้วในมือราวต้องการสะกดกลั้นอะไรบางอย่างไว้ภายใต้สีหน้าอันเรียบนิ่งนั้น ริมฝีปากได้รูปเพียงแค่นรอยยิ้มหยามหยันเช่นทุกที ...ทำไมตัวเขาต้องมาทนอะไรบ้าๆแบบนี้ด้วยนะ.. ไม่สมกับเป็นตัวเขาเลย...
"เหอะ! แกเป็นเด็กอนุบาลรึไงวะ?"
"ไม่ใช่ว้อย!!!! ฉันก็แค่...ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี..เท่านั้น"
"คิดยากนักก็ใส่เครื่องแบบไปสิวะ"
ดวงตาสีฟ้าเบิกขึ้นน้อยๆ ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของเอียงศีรษะน้อยๆด้วยความฉงน "แล้วจะให้บอกมันว่าอะไรล่ะ?"
แนวฟันคมขาวขบเข้าหากันแน่นอย่างหงุดหงิด "นั่นมันก็เรื่องของแก!! ไม่งั้นก็ไปคิดเอาเองสิวะ! กับอีแค่เสื้อผ้าเนี่ย!"
โดยไม่ได้นำพาต่อความหงุดหงิดนั้น ร่างโปร่งเพียงพยักหน้าเล็กๆอย่างยอมเข้าใจ ก่อนที่จะก้าวถอยออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เสียงประตูบานใหญ่งับปิดลงเบาๆ พร้อมๆกับเสียงถอนหายใจยืดยาวของเจ้าของห้อง ร่างสูงใหญ่เอนหลังเหยียดตัวบนเก้าอี้ในขณะที่ยกฝ่ามือขึ้นปิดบังดวงตา แว่วเสียงสบถแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินด้วยความหงุดหงิดจากริมฝีปากคู่นั้น
...เรื่องงี่เง่าพรรณนี้ไม่สมกับเป็นตัวเขาเลยจริงๆ...
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
เครี้ยกๆๆๆๆๆๆๆ เซย์สำนึกผิดสุดๆที่ไม่ได้มาอัพ เรื่องของเรื่องก็คือกะว่าจะปั่นอีกเรื่องให้จบไปเลยเพราะอยากรวมเล่มเต็มทีTTATT
ปรากฏว่าผ่านไปสามเดือนไม่จบ...เซย์ก็เลย แม่จ้าวจบกัน หันมาแต่งเรื่องนี้ต่อแทน กร๊ากๆๆๆๆๆ
ความคิดเห็น