ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KHR] XS l Under the Dark Sky

    ลำดับตอนที่ #1 : 1st night

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 53


    นภาสีดำมืดไร้เมฆหมอกทอดตัวยาวสุดสายตา

    นัยน์ตาสีวารีทอดมองผืนฟ้าเบื้องบนอย่างเหม่อลอย

    ดวงจันทร์นวลทอแสงกระจ่างตาท่ามกลางความมืดมิดที่โอบล้อม

    ฝ่ามือเรียวค่อยยกขึ้นวางแนบสัมผัสความเย็นของกระจกหน้าต่างใส

    หมู่ดาราพรายพร่าง

    ร่างโปร่งทรุดตัวนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง เอนศีรษะซบพิงบานกระจก ปลายนิ้วเรียวยาวลดลงเชื่องช้า

    ...มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?...

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉุดกระชากห้วงความคิดกลับคืน

    "เข้ามา" เสียงอนุญาตดังแผ่วเบา หากสายตายังคงเบือนไปด้านนอกดุจเดิม

    "ท่านแซนซัสมีคำสั่งให้ไปพบที่ห้องครับ ท่านสควอโล่" ร่างที่เปิดประตูเข้ากล่าวนอบน้อม

    สายลมพัดให้ใบไม้เสียดสี

    "อือ..เดี๋ยวตามไป ออกไปก่อนเถอะ"

    ผู้เป็นลูกน้องมีทีท่าอึดอัดเล็กน้อย ก่อนละล่ำละลัก "อะ...แต่สั่งว่าให้ไปทันทีครับ"

    ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจก่อนตัดสินใจลุกขึ้น "เข้าใจแล้วไปก็ได้"

    ร่างของรองหัวหน้ากลุ่มและบริวารหายไปจากห้อง

    ประตูบานหนาปิดลง

    ...นภาสีดำมืดทอดตัวยาวสุดสายตา...

    ................................................................................

    "มีอะไรวะ,บอส?"

    ...คำถามโง่ๆ... แต่กระนั้นทุกครั้งที่เข้ามาเขาก็ยังคงถาม

    ...ด้วยหวังว่าสักวันจุดประสงค์ที่เขาถูกเรียกเข้ามาในนี้จะเปลี่ยนไป...

    ร่างของนภาสีดำนั่งอยู่บนเตียงหลังกว้าง แม้ว่าตัวเขาจะก้มหน้าลงจนมองไม่เห็นสีหน้าของฝ่ายนั้น แต่เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้อารมณ์ดีแน่นอน

    "ถอดเสื้อผ้าออกซะ" เสียงสั่งเรียบเรื่อยแฝงความเด็ดขาดอยู่ในที

    ร่างโปร่งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบก นิ้วเรียวค่อยๆเลื่อนขึ้นปลดกระดุมเสื้ออย่างเชื่องช้า พยายามยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด

    "ชิ!" มือหยาบใหญ่คว้ามือเรียวที่เพิ่งปลดกระดุมไปได้แค่เสื้อตัวนอก ก่อนเหวี่ยงร่างบางลงกับผืมเตียงอย่างรุนแรง

    "ชักช้าชะมัด หึ! อยากให้ฉันเป็นคนถอดให้ใช่มั้ยล่ะ?" ริมฝีปากหนาบิดยิ้ม

    "เปล่านะบอส!!" เพียงมือข้างเดียวและร่างใหญ่หนาที่ตามลงมาทาบทับ ทุกการเคลื่อนไหวก็ถูกหยุดตรึงอย่างง่ายดาย

    "หุบปากซะไอ้สวะ"

    เสื้อผ้าที่เหลือติดกายถูกกระชากออกแทบจะพร้อมกันในคราวเดียว

    "หยุด!! บอส!" สควอโล่ประท้วง แต่เมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาสีโลหิตที่มองตรงมาราวต้องการแผดเผา ทุกอย่างก็พลันหยุดนิ่งคล้ายถูกดูดกลืน

    ดวงตาสีฟ้าใสหรี่ปิด ร่างกายทอดลงยอมรับทุกสัมผัสจากท้องนภา

    ...เรื่องนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?...

    ................................................................................

    วันนี้เป็นวันแรกแห่งการกลับสู่ปราสาทของเหล่าผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มวาเรียหลังจากศึกชิงแหวนจบลง ทำให้ปราสาทที่เคยเงียบเหงากลับมาอึกทึก

    ...ซะที่ไหนกันล่ะ...

    ทุกคนตกอยู่ในสภาพที่แทบเรียกได้ว่าสะบักสะบอมสุดๆ

    เบล ลุซซูเรียและมาม่อนแยกย้ายกันกลับห้องนอน ในขณะที่แซนซัสและสควอโล่จำต้องตรงดิ่งไปยังห้องทำงานเพื่อสะสางสิ่งที่ทิ้งเอาไว้ โดยมีเลวี่ติดห้อยไปด้วยอย่างไม่ต้องเรียก ทั้งๆที่มันควรจะเป็นแบบนั้นแต่แล้ว...

    "ไม่ต้องตามมาไอ้ฉลามหัวเน่า" น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นจากร่างตรงหน้า

    คนถูกสั่งไม่ให้ไปมุ่นหัวคิ้ว เป็นความจริงที่ว่าแผลที่โดนฉลามกัดจะยังไม่หาย แต่เขาก็ไม่คิดว่าร่างสูงจะคิดถึงเขาหรอก แถมอีกฝ่ายเองก็อาการหนักไม่แพ้กันจะให้นั่งจัดการงานเอกสารคนเดียวนานๆนั้นคงเป็นไปไม่ได้

    "อย่าพูดบ้าๆน่าบอส แกจะไปทำงานคนเดียวหมดได้ยังไง?"

    "ไม่ต้องมายุ่งไสหัวไปซะ"

    ร่างโปร่งกำมือแน่นอย่างหงุดหงิด ก่อนตวาดก้อง "จะเอาแต่ใจก็ให้มันน้อยๆหน่อยนะ!! ดูสารรูปตัวเองซะบ้าง!!"

    หากคนถูกว่ากลับเพียงปรายหางตามอง

    "เดี๋ยวฉันจะให้เลวี่มาช่วยแทน แกจะไปไหนก็ไปซะ"

    บุคคลที่สามหันไปยิ้มเยาะให้ฉลามหนุ่มอย่างสะใจ ก่อนเดินตามผู้เป็นนายไป

    "หึ! ไม่อยากเห็นหน้าฉันนักใช่มั้ยวะ!!? ไอ้บอสงี่เง่า!" เสียงตะโกนดังไล่หลังแล้วเจ้าตัวจึงเดินปึงปังกลับห้องไป

    ................................................................................

    ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างหงุดหงิด

    ไม่ได้ต้องการจะไล่ แต่ระยะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนักเวลาที่เห็นวงหน้าหวานนั่น...

    "งี่เง่า..." เสียงสบถดังลอดลำคอ มือหนายกแก้วบรรจุของเหลวสีอำพันขึ้นดื่ม

    ...อาจเป็นเพราะร่างโปร่งที่แบบบางเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย

    ...อาจเป็นเพราะแววตาหยิ่งทระนงที่มองมา

    ...หรืออาจเป็นเพราะเส้นผมสีเงินยาวที่พาลตอกย้ำถึงความผิดพลาดของเขา...

    แก้วว่างเปล่าถูกเติมเหล้าดีกรีสูงลงไปไม่ขาด มือใหญ่ยกแก้วเนื้อดีขึ้นแกว่ง นัยน์ตาสีสดมองของเหลวที่ค่อยหมุนวนแช่มช้า

    ...เป็นความรู้สึกเจ็บแปลกๆที่หน้าอกด้านซ้ายนี่หรือเปล่า...

    นับแต่วันที่ไอ้สวะนั่นโดนฉลามลากลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงติดตรึงและฝังแน่นอยู่ในสมอง ชัดเจนราวเพิ่งเกิดขึ้น

    และสิ่งที่เขาไม่มีวันลืมได้เลย คือสิ่งที่เกิดขึ้นในวินาทีถัดมาที่ทุกสิ่งทุกอย่างนิ่งค้างราวโลกหยุดหมุน จำได้ว่าคนที่ไม่เคยเห็หัวใครเช่นเขา เพ่งมองจอมอนิเตอร์ที่ทำการถ่ายทอดนิ่ง เพียงหวังว่าร่างโปร่งบางนั้นจะสามารถว่ายกลับขึ้นมาได้อีกครา

    ...หากมันไม่ใช่...

    มันบีบบังคับให้เขาต้องพูดในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะเอ่ย เพื่อกลบเกลื่อนให้ดูราวกับไม่ได้สนใจ

    ไม่สนใจไอ้สวะนั่น...

    ไม่สนใจความรู้สึกที่แล่นวาบไปทั่วหน้าอกด้านซ้าย...

    กล๊อง...,เสียงน้ำแข็งกระทบผนังแก้วดังสะท้อนก้องอยู่ในห้องอันเงียบสงัด

    "น่ารำคาญชะมัด..."

    ทุกครั้งที่เห็นเจ้านั่น ทำไมเขาจะต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย

    ทั้งไม่เข้าใจและไม่ชอบความรู้สึกงี่เง่าไร้สาระนี่...

    ของเหลวสีอำพันถูกกระดกพรวดเดียวหมด

    ...บางทีอาจเป็นที่ความรู้สึกผิด...

    ................................................................................

    ร่างโปร่งบางทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มอย่างขุ่นมัว

    ...ทำไมต้องไล่กันขนาดนั้นด้วย ไม่พอใจอะไรเขาทำไมไม่พูดตรงๆหล่ะ?...

    "ไอ้บอสบ้า!!"

    โกรธที่เขาแพ้ในศึกชิงแหวนนั่นก็รู้อยู่ แต่บอกเขามาตรงๆก็ได้นี่...

    งี่เง่า! งี่เง่า! งี่เง่า! งี่เง่า! งี่เง่าที่สุด!!!

    เส้นผมสีเงินปรกลงปิดใบหน้าจากแรงอาละวาด ให้มือเรียวยกขึ้นเสยเส้นผมเหล่านั้นขึ้น

    ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองเส้นไหมสเงินสลวยที่ติดมือขึ้นมา ก่อนนิ่งไปเมื่อตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง


    ...8 ปี...

    เหมือนจะเนิ่นนาน แต่ก็ราวกับเพียงพริบตา

    นับแต่เริ่มคำสาบานจนบัดนี้... ทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าหนูนั่นครองแหวนและกลายเป็นว่าที่รุ่นที่ 10 โดยสมบูรณ์

    ส่วนพวกเขากลับต้องมารอคำตัดสินโทษอยู่ที่นี่

    มือเรียวกำแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว จนเส้นผมในมือพันกันยุ่งเหยิง

    เส้นผมที่เป็นเสมือนตัวแทนของคำอธิษฐานและคำสาบาน ว่าสายฝนจะรับใช้และไม่มีวันทรยศต่อผืนนภา

    เขาพยายามทำตัวให้เหมาะสมและคู่ควรกับการยืนเคียงข้างคนๆนั้น พยายามจนได้ชื่อ 'เทพดาบรุ่นที่สอง' มาไว้ในครอบครอง

    ...แต่มันก็ไม่เพียงพอ...

    เพราะคำสาบานนั้นไม่อาจเป็นจริงได้ดังที่วาดฝันเอาไว้อีกแล้ว

    หากตัวเขากลับปล่อยให้เส้นผมนี้ยาวเรื่อยมาโดยไม่ได้ตัดออก

    "หมอนั่นคงรำคาญสินะ.."

    รำคาญทุกสิ่งที่รวมกันขึ้นเป็นตัวเขา...

    "เพราะงั้นแกถึงไล่ฉันสินะ..." น้ำเสียงแหบพร่าบางเบากว่าที่เคย

    "เพราะฉันไม่มีประโยชน์กับแกอีกต่อไปแล้ว" สควอโล่พึมพำด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ถ้อยคำเสียดแทงนั้นราวต้องการตอกย้ำทุกสิ่งกับตนเอง

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาตามใจ ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง และเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของแซนซัสมาโดยตลอด

    ...ครานี้ก็คงไม่ต่างออกไป...

    หากนภาสีดำนึกรำคาญและไม่อยากเห็นหน้าเขา สวะไร้ค่าเช่นเขาจะทำสิ่งใดได้อีกนอกจาก

    ...ไม่ไปให้ฝ่ายนั้นเห็นหน้า...

    ................................................................................

    "ได้เวลาอาหารเย็นแล้วจ้า!" ลุซซูเรียที่อาการดีขึ้นหลังนอนหลับไปกว่าครึ่งวัน หิ้วหม้อซุปอุ่นๆมาวางลงบนโต๊ะอาหาร

    เบลพุ่งเข้าสู่ที่นั่งประจำเป็นคนแรกพร้อมด้วยมาม่อนที่เกาพอยู่บนหัว "เจ้าชายจะกินซูชิอะ,ชิชิชิ"

    "ร่างกายเป็นแบบนี้เจ้ว่ากินซุปไปก่อนดีกว่านะจ๊ะ"

    "ก็ได้อะ.." ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีทองพังพาบลงกับโต๊ะ

    "สควอโล่หล่ะ?" เจ้าตัวเล็กที่อยู้บนหัวเบลถามขึ้น

    "เจ๊ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่บอกว่าไม่อยากอาหารคงอาการไม่ค่อยดีมั้ง?"

    เจ้าชายโงหัวขึ้นทันที "จริงเหรอ? เดี๋ยวเจ้าชายไปเยี่ยมสควอโล่ดีกว่า ชิชิชิชิชิชิ"

    "ก็ดีนะ เจ๊จะได้ยกอาหารขึ้นไปให้ด้วย" กระเทยถึกเห็นพ้อง

    "เย้! งั้นเจ้าชายจะทำเค้กไปให้สควอโล่!!"

    "อย่าเลยค่าซ่อมครัวมันแพงนะ" มาม่อนถอนหายใจ

    แอ๊ด..,เสียงบานประตูใหญ่ดังเบาๆ ให้ทุกสายตาเบือนไปยังต้นเสียง

    ร่างสูงใหญ่ของผู้ดำรงยศสูงสุดในวาเรียเดินเข้ามาเงียบๆ ตามด้วยร่างของหัวหน้าหน่วยอัสนี

    แซนซัสเดินไปนั่งลงที่หัวโต๊ะทำให้ทุกคนนั่งที่อย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีชาดเบือนมองที่นั่งใกล้ๆที่ยังคงว่างอยู่

    "ไอ้ฉลามหัวเน่านั่นไปไหน?"

    "สควอโล่บอกว่าไม่อยากกินน่ะบอส" เจ้าชายตอบเสียงใสพลางตักอาหารใส่จาน

    "อาการคงยังไม่ค่อยดีขึ้นมั้งคะบอสขา ก็ออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนดตั้งนานนี่นา" หัวหน้าหน่วยอรุณเสริม

    "เดี๋ยวพวกเราจะขึ้นไปหาหล่ะ บอสไปด้วยกันมั้ยล่า~" เบลเคี้ยวไปชวนไป

    "ไร้สาระ" คนถูกชวนตอบเรียบ ยกแก้วไวน์ในมือขึ้นลิ้มรส

    มื้ออาหารดำเนินไปอย่างปกติ แม้ไม่มีคนสีงเกตเห็น แต่โกเมนน้ำเอกนั้นก็เบือนไปยังที่นั่งข้างตัวโดยไม่รู้สึกตนอยู่ตลอดเวลา

    ...ไม่อยากกินข้าวงั้นเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อ...

    เรื่องที่บอกว่าอาการไม่ดีนั้นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ไม่เข่นนั้นใครกันเล่าที่ตะโกนใส่หน้าเขาเมื่อกลางวัน

    'หึ! ไม่อยากเห็นหน้าฉันนักใช่มั้ยวะ!!? ไอ้บอสงี่เง่า!'

    ประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายทิ้งไว้นั่นหรือเปล่า?...

    ...คงไม่ใช่หรอกมั้ง...

    แล้วถ้าอย่างนั้นมันเพราะอะไรกันเล่า??

    ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันก่อนแก้วไวน์นั้นจะแตกละเอียดคามือ "โธ่เว้ย!" เสียงสบถกร้าวให้ผู้ร่วมโต๊ะที่เหลือสะดุ้งสุดตัว

    "บ..บอสโกรธอะไรอะ?" เบลหันไปกระซิบกับมาม่อนที่ด้แต่ส่ายหน้าไปมาทั้งๆที่เหงื่อตก เขาจึงหันไปกระตุกชายเสื้อของลุสซูเรียที่นั่งอีกด้านแทน

    "เจ้ว่า...อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยดีกว่านะ"

    "ฉันว่าเพราะนายกินเสียงดังแน่เลยเบล..." มาม่อนว่า

    "มาม่อนนั่นแหละเอาแต่นั่งคิดค่าอาหารมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว...." เบลสวน

    "ทั้งสองคนอย่าเถียงกันเลยน่า" ลุสซูเรียปราม

    "แต่ว่า.." สองหน่อประสานเสียง

    ปึง!!!,เสียงทุบโต๊ะดังลั่นส่งทุกอย่างสู่ความเงียบงัน ร่างสูงแผ่รัศมีไม่น่าเข้าใกล้โดยชัดเจน

    ไม่พูดกล่าวแซนซัสเพียงหมุนตัวเดินออกจากโต๊ะอาหาร ทำให้ทุกคนที่เหลือต้องรีบดึงสติกลับมา

    "อ๊ะ? เจ้ไปหาสควอโล่ดีกว่า..." ลุสซูเรียลุกหนีไปเตรียมถาดอาหาร

    "เจ้าชายไปช่วย!!"

    "เบลรอด้วยฉันจะไปทางนั้นพอดี..เลวี่ไปมั้ย?" มาม่อนหันไปถามคนที่นั่งแข็งทื่อไปแล้ว

    "ม..ไม่เป็นไร.. ฉันนึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระนิดหน่อย"

    สุดท้ายทั้ง 4 หน่อจึงสลายโต๋อย่างรวดเร็ว ...ไม่ว่าใครจะมองว่าขี้ขลาดหรืออะไรก็ตาม แต่การเข้าใกล้บอสของพวกเขในยามนี้นั้นเป็นอะไรที่โง่ที่สุดแล้ว...

    ส่วนต้นตอของความหวาดกลัวก็เดินกลับห้องโดยไม่สนใจอะไรอีกเลย

    สามทหารเสือที่บุกบั่นมาจนถึงห้องของฉลามคลั่งได้สำเร็จก็เคะาประตูและผลุบหายเข้าไปอย่างรวดเร็วเมื่อเจ้าของห้องอนุญาต

    "สควอโล่เป็นยังไงมั่ง? ชิชิชิชิชิชิชิชิ" เบลกระโดดึ๋งขึ้นไปกอดคนที่นอนอยู่บนเตียง

    "ทำอะไรวะ!!? ออกไปนะโว้ยยยย" คนถูกกอดยกเท้าขึ้นถีบเจ้าชายตัวแสบ

    หลังรบกันอย่างอึกทึกครึกโครมอยู่พักหนึ่ง เบลก็ยอมนั่งลงอย่างสงบพร้อมมาม่อนและลุซซูเรีย

    "ตกลงพวกแกมาทำอะไรที่นี่?" เจ้าของห้องยืนกอดอกถามอย่างไม่พอใจ

    "เจ๊เห็นว่าสควอโล่ไม่ยอมลงไปกินข้าว ก็เลยยกซุปขึ้นมาให้น่ะจ้ะ"หัวหน้าแก๊งตอบ ลูกไล่อีกสองคนก็รีบพยักหน้ายืนยันหลายๆที

    ร่างโปร่งพยักหน้าเข้าใจแกมระอา ก่อนรับถาดอาหารมาวางลงที่โต๊ะข้างเตียง

    "นี่ๆ ทำไมสควอโล่ไม่ยอมลงไปกินข้าวข้างล่างล่ะ? เมื่อกี้บอสหงุดหงิดน่ากลัวมาเลย...บรื๋อ~~" เบลเปิดบทสนทนาอีกครั้ง

    ...บอสหงุดหงิดงั้นเหรอ?...

    "แล้วไง?" ร่างบางเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ

    "โกรธอะไรก็ไม่รู้อะ ขนาดบีบแก้วแตกคามือเลย..."

    "บอสก็หงุดหงิดทั้งวันอยู่แล้วนี่ แปลกตรงไหน?"

    "อืม" อีกสามคนนิ่งคิดตามอย่างเพิ่งนึกออก

    ...ที่รู้สึกว่าบอสโมโหมากกว่าปกตินั้นอาจเป็นเพราะ วันนี้ไม่มีสควอโล่คอยทุ่มเถียงด้วยต่างหาก...

    บทสนทนาเรื่อยเจื้อยดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันกลับห้องนอน

    ร่างโปร่งบางเกินบุรุษกลับขึ้นไปนอนบนเตียงหลังทุกคนเดินออกไป เสียงถอนหายใจดังเหยียดยาว

    ...ทำไมนะ? แค่ไม่ได้เห็นหน้าโหดๆนั่นแค่ครึ่งวันเขาก็รู้สึกไม่ดีเสียแล้ว...

    เพราะปกติอยู่ด้วยกันตลอดรึไงนะ?

    เพราะไม่มีน้ำเสียงทรงอำนาจมาคอยสั่งราวกับเขาเป็นข้าทาส?

    เพราะไม่มีแก้วที่ปามาใส่ให้คอยหลบ?

    หรือเพราะ..คิดถึง?...

    มวลความคิดหยุดลง ทุกสิ่งชะงักกึก

    "ฮะๆ คิดถึงบ้าบออะไร เรานี่ท่าจะเพ้อใหญ่แล้วนะเนี่ย"ร่างโปร่งหัวเราะเบาๆกับความคิดนั้น

    ...ปกติออกไปทำงานข้างนอกคนเดียวเป็นอาทิตย์ยังไม่เคยรู้สึก...

    แต่ว่าถ้าอย่างนั้นแล้ว...

    ...ความรู้สึกที่มีนี้มันอะไรกันล่ะ?...

    -*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

    นี่เป็นแฟนฟิคชั่นเรื่องยาวเรื่องแรกยังไงก็ฝากด้วยนะครับ

    เข้ามาเปลี่ยนวันที่เครี้ยกๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×