ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    take it to you

    ลำดับตอนที่ #12 : ความจริงหลังการแข่ง(Rewrite 100%)

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 50


                   เคนกับคีฟเดินทอดหุ่ย ไปตามทางเรื่อยๆอย่างไม่เร่งร้อน

                  "นี่ แอนทิสมันให้ไปหาที่ไหนนะ?" เคนเปิดบทสนทนาขึ้นมา

                 "ก็ไอ้บ้านหลังนั้นไง" คำตอบเรียบ หลุดออกมาจากปากคู่สนทนา ทำให้ผู้ถามไม่รู้จะพูดต่อได้อย่างไร

                  เมื่อไม่มีอะไรจะพูดต่อ ทั้งสองจึงเดินไปยังที่หมาย แต่ยังไม่ทันจะเข้าไปในตัวบ้าน ร่างอันแสนคุ้นตาร่างหนึ่งก็เดินสวนออกมา

                   "เฮ้! เจ้า! เอ่อ... เร! ใช่รึเปล่า?" เคนเรียกรั้งร่างหนานั้นไว้ แต่ประโยคสุดท้ายนั้นเบาเสียจน เหมือนเป็นการแสดงความไม่แน่ใจกับตัวเอง

                  ร่างนั้นค่อยๆหันมาอย่างช้าๆ แล้วเสียงพร่าจนน่ากลัวนั่นก็เอ่ยขึ้น "เปล่า..นั่นชื่อน้องชั้น ชั้นชือโรฟ.." น้ำเสียงนั้นฟังดูจะไม่พอใจเท่าไหร่นัก ที่มีคนเรียกชื่อผิด

                  "อ...ขอโทษที เอ่อ..แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?" เคนเอ่ยเสียงเบา

                  "ข้าก็มาเอา'ค่าจ้าง'น่ะสิ.."

                  " 'ค่าจ้าง'? ทำไมล่ะ?" น้ำเสียงทุ้มนุ่มของคีฟ แฝงความไม่เข้าใจไว้อย่างชัดเจน หลังจากฟังบทสนทนาของเคนและโรฟ

                  โรฟขมวดคิ้วเข้าหากัน และแล้วก็ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรออก"อ๋อ...อืม..พวกเจ้ายังไม่รู้เรื่องสินะ เอาเถอะเดี๋ยวก็รู้เอง.." เมื่อพูดเสร็จโรฟก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

                  "อ้าว เฮ้!! เดี๋ยวสิ!!" เคนพยายามตะโกนเรียก แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วร่างนั้นลับตาไปเสียแล้ว..

                  เมื่อทำอะไรไม่ได้ดังนั้น เคนจึงเปิดประตูเข้าไปหาคนที่รอพบอยู่ภายใน

                  แอนทิสนั่งยิ้มต้อนรับอย่างมีไมตรีจิต พลางเรียกให้ผู้มาเยือนนั่งลงเบื้องหน้า

                  "นี่..หลังจากผ่านการทดสอบ แล้วต้องทำอะไรบ้างล่ะ?" เคนเปิดบทสนทนา

                  แอนทิสยื่นกระดาษให้แก่ผู้มาเยือนคนละแผ่น "กรอกใบสมัครให้ครบก็พอแล้วล่ะ"

                  "เมื่อกี๊ข้าเห็นโรฟ เดินสวนออกไป เขาบอกว่ามารับค่าจ้าง มันหมายความว่าอะไร?" คีฟเล่าเหตุการณ์พร้อมกับถามคำถามออกมา
             
                 "อ้าว ก็เค้าเป็นลูกจ้างข้าก็ต้องได้เงินค่าจ้างสิ" แอนทิสตอบแบบสบายๆ

            "แปลว่าอะไรลูกจ้างเจ้า?" เคนถามซ้ำ ในขณะที่เพื่อนของเขานิ่งเงียบ

            "ถามอะไรแปลกๆ ลูกจ้างของข้าก็คือคนที่ชั้นจ้างไว้ทำงานน่ะสิ"

            "เออ..ก็ใช่ โว้ย! จะบ้ารึไงไอ้... ข้าหมายความว่าทำไมลูกจ้างของเจ้าถึงลงแข่งด้วยต่างหากเล่า?" เคนเริ่มขึ้นเสียง

            "ก็ตามกฎ ไม่ได้เขียนระบุไว้สักหน่อยว่าลูกจ้างไม่มีสิทธิ์ลงน่ะ"

            "ความจริงการแข่งมันก็ควรจบแค่รอบที่ 2 เพราะว่าอีก 4 คู่ที่เหลือก็เป็นลูกน้องของข้าอยู่แล้วน่ะนะ" แอนทิส กล่าวต่อเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบ

            "แล้วเจ้าจะให้พวกข้าแข่งรอบ 3 ทำไมกันเล่า?!"  คีฟที่นิ่งเงียบอยู่นายเป็นฝ่ายระเบิดออกมา

            แต่แอนทิสก็เพียงแค่ยิ้มแล้วตอบอย่างสบายๆ เหมือนเคย "ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มีปัญญาแม้แต่เอาชนะพวกเขาได้ พวกเจ้าก็ไม่คู่ควรกับหน้าที่ที่จะปกป้องสิ่งสำคัญขนาดนั้น ไม่จริงหรือ... แล้วข้าก็อยากหาเงินเข้าบริษัทเท่านั้นแหละ.." รอยยิ้มที่ดูสบายๆนั้นเรียบเย็นขึ้น อีกทั้งสายตาที่ปรายมานั้น กลับเปี่ยมด้วยอำนาจอย่างประหลาด หากมันก็เป็นเพียงชั่วแวบจนชวนให้นึกว่าพวกเขาตาฝาดไป

            ทั้งสองคนนิ่งเงียบเมื่อได้ฟังเหตุผลที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย พวกเขาจึงยื่นมือไปรับใบสมัครที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะมาเขียนอย่างรวดเร็ว

                  " เขียนเสร็จแล้ว! " เสียงใสๆโพล่งขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง แล้วจึงส่งแผ่นกระดาษคืนแก่แอนทิสพร้อมกับคีฟซึ่งวางปากกาไปนานแล้ว

                  แอนทิสรับกระดาษทั้ง 2 ใบ มาตรวจดูแต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นแผ่นกระดาษใบที่สอง


                   " นี่มันอะไรกัน? คีฟ...เจ้าทำไม? "

                   " แอนทิสข้าขอเวลาซักเดี๋ยวได้รึเปล่า? " คีฟขัดขึ้นอย่างกะทันหัน แอนทิสซึ่งนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก็พยักหน้าตกลง

                    " เคนเจ้าอยู่ที่นี่แหละไม่ต้องตามมา " ร่างสูงพูดสั้นๆแล้วลุกขึ้นเดินออกไปทันที โดยมีแอนทิสเดินตามออกไป ปล่อยให้ร่างโปร่งบางที่อยู่ในสภาพจำต้องทำตาม นั่งมุ่นหัวคิ้วอยู่เพียงคนเดียว

                   
    ....เมื่อเดินออกมาได้ครู่หนึ่ง แอนทิสก็ยื่นแบบสอบถามใบเดิมเข้าใส่หน้าคีฟ

                    " คีฟเจ้าจะช่วยอธิบายเกี่ยวับไอ้นี่ก่อนได้รึเปล่า? " เสียงที่ฟังดูสนุกสนานอยู่เสมอพลันเรียบเฉยด้วยความไม่พอใจ

                    นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงกระพริบช้าๆ พร้อมกลับไล่สายตาไปยังมือเรียวที่ขาวจนซีด ราวกลับไม่เคยถูกแดดมาก่อนเลย จนสายตามาหยุดอยู่ยังแผ่นกระดาษตรงหน้า ที่เพิ่งจากเขาไปได้ไม่ถึง 5 นาที แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยเหมือนเคย

                    " อา...ตั้งใจฟังดีๆล่ะ "

                    กระแสเสียงทุ้มนุ่มเริ่มเอ่ยเล่า ในขณะที่คนฟังทำหน้าราวกับฟังเรื่องเหลือเชื่ออยู่ก็ไม่ปาน

                    ...เรื่องเล่าจบลงพร้อมกับความเงียบที่เริ่มคืบคลานเข้ามาในบรรยากาศ ของหนึ่งผู้เล่าไม่เคยคิดที่จะเอ่ยปากอยู่เป็นปกติ กับอีกหนึ่งผู้ฟังที่แม้จะเอ่ยปากอยู่เป็นนิจ หากแต่เมื่อฟังเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อแล้ว ก็ได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก

                    "เจ้า'ไม่อยาก' จะพูดเรื่องนี้  ไม่สิ ยัง 'ไม่ถึงเวลา' จะบอกเรื่องนี้กับเคนสินะ..." ในที่สุดแอนทิสก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลาย ความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ลง

                    " อา...แล้วเจ้าก็ไม่ควรจะเอ่ยปากเรื่องนี้ เข้าใจใช่รึเปล่า..? "

                    " แล้วถ้าข้าพูดออกไปล่ะ... "

                    " ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไร หรือไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ตาม..."

                    แม้คนตรงหน้าจะยังคงเป็นคน คนเดียวกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

                    แม้คนตรงหน้าจะยังคงเป็นเพียงแค่คนที่เขากำลังจะจ้างไว้ทำงานก็ตาม

                    แต่เขากลับไม่ลังเลเลยว่าคนตรงหน้า กำลังพูดความจริงหรือล้อเล่น คนตรงหน้าเขาบัดนี้ไม่ได้ไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน หากเขาหลุดปากเรื่องที่ได้รับรู้โดยไม่ได้ตั้งใจ เขาคงไม่มีโอกาสได้รับรู้วันพรุ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

                    รอยยิ้มระบายบนใบหน้าขาวซีดที่บัดนี้ดูจะซีดลงกว่าเดิม และยังมีเหงื่อผุดพรายตามหน้าผากและไรผม ราวกับกำลังเย้ยหยันให้กับความรู้สึกกลัวที่กำลังเผชิญ นานแล้วสินะที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้ นานจนเกือบจะลืมเลือน...

                    " ย่อมได้ ข้าจะไม่เปิดปากแน่นอน รับรองด้วยเกียรติทั้งหมดของ แอนทิส เรกการ์ดผู้นี้"


     

                    " ไปกันนานชะมัด ตามไปแอบฟังดีมั้ยเนี่ย? " เคนบุ้ยปากอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เขาก็ไม่คิดจะทำอย่างที่พูดอย่างแน่นอนเพราะเขารู้จักเพื่อนของเขาดี เกินกว่าจะทำแบบนั้น และรู้ดีว่าหากไม่ต้องการจะปกปิดจริงๆ เพื่อนของเขาก็คงจะเปิดปากเล่าต่อหน้าเขาอย่างแน่นอน

                    แต่ก็ยังคงรู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมากว่า 6 ปีมีเรื่องที่ต้องการปิดบังเขา

                    น้อยใจ... ทำไมกัน? ในเมื่อพวกนั้น จะทำอะไรก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเราซะหน่อยไม่ใช่เหรอ?

               
    ทำไมถึงรู้สึกงุ่นง่านใจอย่างบอกไม่ถูก.... 
                 

                
    เคนสะบัดหัวไล่ความคิดยุ่งเหยิงออกไป เขาไม่ชอบการอยู่คนเดียวเอาเสียเลย มันทำให้พาลคิดแต่เรื่องฟุ้งซ่าน กลับมากันเร็วๆสิไอ้พวกบ้า..

                    เสียงประตูดังขึ้นพร้อมๆกับร่างสองร่างที่ก้าวเข้ามา

                    " ทำไมไม่กลับกันมาพรุ่งนี้ซะเลยล่ะ " เคนกัดโดยที่ยังคงนั่งหันหลังให้กับประตู

                   

                    ผู้ที่เพิ่งกลับเข้ามาทั้งสองคน เบิกตากว้างอย่างงงๆ   งอนอะไรอีกล่ะเนี่ย!?

                    แอนทิสยิ้มอย่างรู้ทันในอารมณ์ของผู้ที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาในขณะนี้  ในขณะที่คีฟก็ยังคงทำได้แค่ยืนอึ้งอยู่อย่างเดิม

                    " อย่างอนน่า มันไม่น่ารักหรอกนะ " แอนทิสพูดขำๆ ในขณะที่ผู้ถูกพาดพิงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว

                    " ใครบอกกันว่าข้างอนกัน!! " ปากก็พูดอย่างนั้น แต่ใบหน้ากลับแดงขึ้นอย่างชัดเจน จนคนมองอดแหย่ต่อไม่ได้

                    " แล้วใครบอกกันล่ะว่าข้าหมายถึงเจ้าน่ะ?  "

                    เคนหน้าแดงจัดก่อนจะสะบัดหน้าพรืดกลับไปทางเดิม แอนทิสหัวเราะก๊ากอย่างสาแก่ใจ ส่วนคีฟก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างระอา

                    " ข้าว่าเราเข้าเรื่องงานกันซะทีดีกว่านะ " คีฟเปิดบทสนทนาอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปพอสมควร

                    " ใช่ๆ ลืมไปเลยๆ " แอนทิสเอาหลังมือปาดน้ำตา แล้วพยายามกลั้นหัวเราะ พร้อมกับเดินไปนั่งที่โต๊ะไม้ที่ตั้งอยู่กลางบ้าน

                    คีฟเดินตามไปนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของแอนทิส โดยไม่ลืมลากเคนมาด้วย พร้อมกับคำพูดแทงใจดำ ' เจ้าจะงอนข้าก็ไม่สนหรอก แต่ต้องหาเงินก่อนเข้าใจมั้ย? '


                   
    " เอาล่ะนะต่อไปนี้พวกเจ้าก็เป็นพนักงานพิเศษในบริษัทของข้าโดยสมบูรณ์ " แอนทิสเริ่มพูดด้วยเสียงจริงจัง

                    " พวกเจ้าจะต้องรับคำสั่งโดยตรงจากข้าผู้เดียว หรือโดยคำสั่งตรงจากชั้นผ่านทางเลนาร์ด ไม่มีกรณีอื่นใดทั้งสิ้นเข้าใจรึเปล่า? "

                    ผู้ฟังทั้งสองพยักหน้าตาม

                    " พวกเจ้าสองคนไม่จำเป็นจะต้องเข้าออกตัวสำนักงานเหมือนพนักงานทั่วไป แต่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ แต่ต้องมาเมื่อมีคำสั่งเรียกจากข้า "

                    " แล้วถ้าอยู่กันคนละเมือง แล้วจะทำยังไงล่ะ? "

                    แอนทิสหยิบถุงผ้าสีเทาเข้มออกมาจากระเป๋ากางเกง แล้ววางมันลงบนโต๊ะก่อนจะเปิดออก แล้วส่งของที่อยู่ภายในให้กับคนทั้งสองเพียงชิ้นเดียว แล้วถืออีกชิ้นไว้ในมือ

                    เคนรับของมาจากแอนทิส มันเป็นผลึกสีทองใส ขนาดพอดีกำมือ ดวงตาสีน้ำตาลพราวด้วยความสงสัย

                    คีฟดึงของในมือเคนออกไปถือไว้เอง เขาพิจารณามันอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเบาๆว่า

                    " ผลึกเวทย์..."

                    แอนทิสยิ้มแล้วพยักหน้า ในขณะที่เคนได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงง

                    " มันเป็นผลึกที่เกิดจากการบีบอัดพลังเวทย์จำนวนมหาศาล ให้คงรูปเพื่อให้อยู่ในขนาดที่พกพาได้ " คีฟอธิบาย

                    " ใช่ แล้วมันก็จะเกิดการตอบสนอง เมื่อเราส่งคลื่นพลังเวทย์เข้าไปในผลึก ทำให้เกิดผลตามที่ผู้ใช้ต้องการ" แอนทิสพูดเสริม พร้อมกับวางผลึกสีทองลงบนโต๊ะ แล้วเดินออกมา

                    แต่เคนก็ยังคงไม่หายงงอยู่ดี " แล้วทำยังไงล่ะ?"

                                                                                                                                        

                    " เดี๋ยวข้าจะทำให้ดู " คีฟพูดด้วยเสียงเรียบเย็น นัยน์ตาสีอมน้ำตาลหรี่มองผลึกในมือ พลันผลึกนั้นก็ส่งแสงสว่างวาบ จนมองไม่เห็นผู้ถือผลึกประหลาด ร่างสูงกำยำ หายไปต่อหน้าต่อตาพร้อมกับแสงที่มอดดับลง

                    "อ้าว! เฮ้ย!" เคนอุทานอย่างตกใจ  

                    "ข้าอยู่นี่.." เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากเบื้องหลัง

                    เคนหันหลังกลับไปมองคีฟ ซึ่งยืนเยื้องหลังแอนทิสไปเล็กน้อย อย่างฉงน

                    "จ...เจ้าไปอยู่ตรงนั้นได้ไง?"

                    คีฟโบกผลึกในมือไปมา "ก็เพราะมันนี่แหละ" 

                    เคนทำหน้าอึ้งๆเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลใสเบิกกว้าง ก่อนจะพราวระยับอย่างนึกสนุก

                    "โห...แล้วข้าจะทำแบบนั้นมั่งได้รึเปล่า?"     

                    คีฟกับแอนทิสสบตากัน ก่อนที่คีฟจะพยักเพยิดให้อีกฝ่ายพูดแทน

                    "เสียใจด้วยนะที่เกรงว่าจะไม่ได้"

                    "ทำไมล่ะ?" เคนทำหน้าปั้นยากกับคำตอบที่ได้รับ

                    แอนทิสถอนหายใจบางเบา ก่อนจะเอ่ยต่อ "ถ้าเจ้าไม่มีพลังเวทย์ หรือไม่สามารถดึงพลังเวทย์ออกมาได้ เจ้าก็ใช้ผลึกนั่นไม่ได้หรอก" นัยน์ตาสีชานั้นเบือนไปทางคีฟชั่วแวบ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอันไม่เป็นมิตร

                    ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการกล่าวแบบนั้นแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนจะต้องมีปริมาณพลังเวทย์อยู่ในตัวแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้อยหรือมากก็ตาม ดังนั้นทุกคนจึงสามารถตอบสนองต่อผลึกเวทย์ได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ตัวเขาสามารถใช้ผลึกเวทย์ได้ แม้จะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็ตาม

                     แต่เคนไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาไม่มีพลังเวทย์อยู่ในตัวเลยแม้แต่น้อย! ซึ่งเป็นเรื่องที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ ราวกับว่าสิ่งที่มีนั้นถูกปิดผนึกเพื่อหลบซ่อนจากอะไรบางอย่าง


                    "แต่ความจริงมันก็ไม่เห็นจำเป็นไม่ใช่รึไง? คีฟก็ใช้ได้นี่นา"

                    เคนได้แต่ทำหน้ามุ่ยเพราะเถียงไม่ออก จะบอกได้ไงว่าเขาแค่อยากลองเล่นดูเท่านั้น...

                    "ก็ว่ากันตามนั้นแหละ ถ้าข้าเรียกก็ต้องมามันก็แค่นั้น"
     
                    เล่นพูดแบบนี้ก็เถียงไม่ได้เลยสิ....
                  
     -------------**********-------------**********

    เย้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!~ จบแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    ในที่สุดเราก็จะได้อัพบทที่ 13 ซะที โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววววว...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×