ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุ้มสรวงคำ

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 55






    “ อินจะไปเชียงใหม่หรือลูก?

    “ ค่ะแม่ พอดีอินต้องไปงานแต่งยัยกร แล้วก็กะจะเที่ยวต่อซักอาทิตย์ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะเอยลากนายตั้มกับยัยไพไปเป็นเพื่อนด้วย”

     “ แล้วจะไม่เสียการเสียงานหรืออิน?

    คุณอาภาขมวดคิ้วถาม ขณะที่บุตรสาวหัวเราะขัน

    “ ถ้าแม่หมายถึงยัยไพ...รายนั้นทะเลาะกับเจ้านายเพิ่งจะลาออก ส่วนนายตั้มเองก็เห็นว่าจะขอทางบ้านลางานซักพัก”

    อินทิราทำงานฟรีแลนซ์จึงไม่มีผลกระทบในเรื่องเวลามากนัก ส่วนช่อไพลินเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนที่เพิ่งจะลาออกจากงานได้ไม่กี่วันนั้น มีนิสัยไม่ยอมคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแถมยังตรงไปตรงมาเสียจนคงจะไปขัดหูขัดตาใครเข้า ทำงานที่ไหนก็มักจะอยู่ไม่ค่อยยืด ขณะที่ปราโมชย์หรือนายตั้ม หนุ่มใจสาวเพื่อนสนิทของทั้งสอง ครอบครัวทำธุรกิจเล็กๆ ตัวชายหนุ่มเองก็อยู่ช่วยกิจการครอบครัว จึงไม่มีปัญหาเมื่อหล่อนเอ่ยปากชวนแกมบังคับกลายๆ

    “ แล้วนี่จะไปกันยังไง ขับรถไปหรือลูก”

    “ เหนื่อยแย่เลยค่ะแม่ นายตั้มเขาก็บ่นว่าไม่ชอบนั่งรถนานๆ เลยว่าจะขึ้นเครื่องกันไป เร็วดีด้วย”

    “  แม่ว่าอินไปพักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกันนะลูก”

    มารดาเอ่ยกับบุตรสาวอย่างเอาใจเมื่อเห็นว่าที่ผ่านมาอินทิราทำงานหนักแบบแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน

    คุณอาภาพิศมองบุตรสาวคนเล็ก อินทิรามีใบหน้าไทยแท้ถอดแบบมาจากตา ผมยาวตรงดำขลับตามธรรมชาติ ริมฝีปากกระจับรับกับดวงหน้ารูปไข่ ดวงตาคมเหมือนแขก... หล่อนไม่ใช่คนขาวจัดซึ่งแตกต่างจากอนุวัฒน์พี่ชายค่อนข้างมาก เพราะรายนั้นออกไปทางครึ่งจีนซึ่งได้รับมาจากทางบิดา

    พอนึกถึงบุตรชายคนโตนางก็สะท้อนใจ ป่านนี้อนุวัฒน์จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้...

    “ คุณแน่ใจแล้วนะว่าลูกสาวคุณมันไม่ได้คิดอะไรแผลงๆอยู่น่ะ”

    คุณอณตซึ่งอ่านหนังสือพิมพ์และฟังการสนทนาของภรรยากับบุตรสาวมาได้ซักพักเอ่ยขัด

    “ เอ๊ คุณนี่! ชอบหาเรื่องอยู่เรื่อย”

    “ คุณก็ทำอย่างกับไม่รู้จักนิสัยยัยอิน...” บิดาพูดกลั้วหัวเราะพลางมองมาทางบุตรสาว ขณะที่อินทิราทำตาใส

    “ ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อ พ่อบอกไว้ก่อนเลยนะว่าไอ้เรื่องตามหาพี่ชายแกน่ะ ไม่ต้องไปตามมันให้เหนื่อยหรอก ไอ้ลูกไม่รักดีพรรค์นั้น”

    มารดาหล่อนหน้าตึงขึ้นมาทันใด... เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเหมือนทุกครั้งที่เอ่ยถึงอนุวัฒน์ อินทิราจึงถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะเข้าไกล่เกลี่ย

    “ โธ่...พ่อขา อินบอกเมื่อไหร่ล่ะคะว่าจะไปตามหาพี่นุ” หล่อนพูดเสียงประจบ

    อนุวัฒน์พี่ชายคนเดียวของหล่อนเคยเป็นบุตรชายที่เชื่อฟังคำพูดของบิดามารดาเสมอมา ทั้งการเรียนและความประพฤติดีทุกอย่าง มีแต่หล่อนเสียอีกที่มักจะออกนอกลู่นอกทางอยู่เรื่อย...

     จนกระทั่งเมื่อชายหนุ่มไปทำงานที่ต่างจังหวัดเมื่อต้นปี อนุวัฒน์ก็ไม่ค่อยกลับบ้าน ครั้งสุดท้ายที่อินทิราเจอพี่ชายคือเมื่อเดือนก่อน อนุวัฒน์เปลี่ยนไปจนแทบจะจำไม่ได้ สภาพทรุดโทรม ใบหน้าหมองคล้ำ และยังมีข่าวแว่วมาว่าเขาติดทั้งการพนันและผู้หญิง จนกระทั่งขาดการติดต่อไปในที่สุด เรื่องนี้ทำให้บิดาของหล่อนโมโหมาก ส่วนมารดาก็ร้องไห้อยู่หลายวัน... นี่เป็นเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เมื่อพูดถึงอนุวัฒน์บิดาของหล่อนจะหงุดหงิดขึ้นมาทันที

     “ แล้วก็อย่าหายไปเหมือนกับพี่ชายแกล่ะ”

    “ โธ่... อินไม่หายไปไหนหรอกค่ะพ่อ”

    หล่อนเข้าไปนั่งข้างบิดาแล้วกอดแขนอย่างประจบ ขณะที่คุณอณตมองบุตรสาวกึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม

    “ ไม่ต้องมาอ้อนเลย ไปอ้อนแม่เขานู่น...นั่งเงียบไปนานแล้วนั่นน่ะ”

    หล่อนหัวเราะเบาๆแล้วขยับเข้าไปกอดร่างท้วมของมารดาแทนขณะที่พูดให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน

    “ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ อินจะตามพี่นุกลับมาให้ได้”

    คุณอาภาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง แววตาคู่นั้นคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความเศร้า...ซึ่งพอเห็นทีไรหล่อนก็มักจะเจ็บปวดไปด้วยทุกครั้ง เหตุนี้เองที่ทำให้หล่อนต้องขึ้นไปเชียงใหม่ในครั้งนี้เพื่อตามพี่ชายกลับมา...

    หากบิดารู้ว่าหล่อนตั้งใจจะไปตามหาอนุวัฒน์ก็คงจะห้ามปรามเหมือนเคย อินทิราจึงจำเป็นต้องโกหก หล่อนเป็นคนประเภทที่เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆซึ่งบิดารู้ดีในเรื่องนี้...

    พ่อขา...อินขอโทษ แต่อินตั้งใจแล้วว่าจะพาพี่นุกลับมาให้ได้

    คุณอาภากอดบุตรสาวอีกครั้งพลางลูบผมของอีกฝ่ายแผ่วเบา เอ่ยเสียงเครือ

    “ ดูแลตัวเองดีๆนะลูก...”

     


     

    อินทิราเดินเข้ามาในสนามบิน มองซ้ายมองขวาอยู่ซักพักก็เห็นผมสีทองสว่างของเพื่อนสาวโดดเด่นมาแต่ไกล ปราโมทย์และช่อไพลินยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่มีกระเป๋าเดินทางกันคนละใบขณะที่ปราโมชย์มีกระเป๋าถือขนาดย่อมอีกใบ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เพื่อนหนุ่ม ก็เปิดฉาก

    “ นัดฉันตั้งแต่ไก่โห่แต่ดันมาสายนะยัยอิน”

    ปราโมชย์พูดพลางทำท่างอนสะบัดอย่างไม่จริงจังนัก อินทิราจึงเข้าไปกอดแขนอีกฝ่ายเป็นเชิงง้อด้วยกริยาสนิทสนมก่อนจะหันไปมองช่อไพลินที่ยืนนิ่งเงียบอย่างผิดปกติ

    “ เป็นไรน่ะไพ?

    อีกฝ่ายถอนใจออกมา

    “ อารมณ์เสียตั้งแต่เช้าเลยน่ะสิ ม๊าด่าฉันเปิงหาว่าตกงานแล้วยังหนีเที่ยว...ให้ตายเหอะ ถ้าเลือกได้ใครจะอยากตกงาน แต่แกก็รู้นะอินว่าอีตาบอสนั่นมันเขี้ยวแสนเขี้ยวเลยใครจะไปทน!

    สีหน้ายุ่งๆและคำบ่นกระปอดกระแปดนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั้งสองคนได้ ตั้งแต่คบกันมาช่อไพลินเป็นสาวมั่นที่ภายนอกดูแรงๆ แต่ถ้าหากได้รู้จักกันจริงๆแล้วหล่อนเป็นคนที่มีน้ำใจมากทีเดียว ช่อไพลินเคยปะทะกับคนมาแทบทุกประเภทยกเว้นมารดาคนเดียวที่อีกฝ่ายยอมแพ้เพราะเถียงไม่เคยจะชนะ

    “ นี่ๆหยุดขำกันเลยนะ”

    “ โธ่ ทำหน้านิ้วคิ้วขมวดแบบนี้เดี๋ยวแก่เร็วนะเพื่อน”

    อินทิราว่าพลางยื่นนิ้วไปแตะระหว่างหัวคิ้วเพื่อนสาวอย่างล้อๆทำให้ช่อไพลินยิ้มออกมาได้นิดหน่อย

    “ โอ๊ย พวกเลิกโอ๋กันซะทีเถอะ นี่หล่อนทั้งสองเป็นเลสฯอย่างที่เขาว่ากันจริงๆใช่มะ แล้วใครรุกใครรับยะ”

    แม้จะรู้ดีว่าไม่ใช่ แต่ปราโมชย์ก็ยังคงแซวด้วยความสนุกปาก

    “ ทั้งรุกทั้งรับไง...ผลัดกัน”

    “ ต๊าย! พูดได้ไม่อายปากนะยัยอิน”

    อินทิรายังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะคล้องแขนเพื่อนทั้งสองลากให้เดินไปด้วยกันโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุการณ์เหล่านั้นอยู่ในสายตาคมกริบของใครบางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก...

    หนวดเคราที่เริ่มจะเขียวครึ้มตัดกับผิดขาวจัดนั้นทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูงดูคมเข้มและดุ...จนเกือบจะไม่น่าเข้าใกล้ บวกกับการสวมเสื้อผ้าอย่างง่ายๆแล้วเขาก็ดูเหมือนปุถุชนธรรมดาที่ไม่น่าจะมีความพิเศษใดๆ

    “ มองอะไรเหรอกาล?

    ปิยังกูรหันมาตามเสียงก่อนจะยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มคล้ายดูถูกแว่บนึง ศรุตาจึงเลิกคิ้วก่อนจะมองตามสายตาเขาไป แต่โดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนยากที่จะเดาได้ว่ารอยยิ้มนั้นเกิดจากอะไร

    “ อย่าสนใจเลย...ไปกันเถอะ”

     

     

     

     

     ***************************************
    ลงเจิมค่ะ :D




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×