ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มิติแห่งมนตรา...ฟีลาเนเซีย[ดองค่ะ]

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 โชคชะตา

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 51


     

    ตอนที่ 2 โชคชะตา

     

    สาวน้อยผมสีธาราทอดสายตาออกไปยังท้องฟ้าที่ในยามนี้แสงแห่งวันใหม่กำลังทอประกายสร้างสีสันให้กับเมืองแห่งผืนน้ำ แววอาลัยฉายวาบอยู่ในดวงเนตรคู่สวยยามเจ้าของใช้มันจับจ้องบ้านเรือนประชากรที่สักวันหนึ่งในอนาคตเธอจะต้องกลับมาเป็นผู้ปกครองมัน

                  จากกันทีกับเรเวลล่า...อีกเกือบปีเราคงจะได้พบกันใหม่

    "ท่านหญิงเซเรลาเนีย...เกือบจะได้เวลาออกเดินทางแล้วเพคะ"

    "ข้ารู้แล้ว"

     

     

    พามาเนทจัดเป็นสถาบันฝึกมนตราที่เป็นที่นิยมที่สุดในฟีลาเนเซีย ผู้คนที่จบออกมาจากสถาบันแห่งนี้ล้วนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จึงไม่น่าแปลกใจหากในวันนี้ผู้คนมากหน้าหลายตาจะมาเยือนยังจัตุรัสเซนเทียโก้แห่งเฟรีน่าเมืองศุนย์กลางการปกครองของฟีลาเนเซีย อันเป็นจุดนัดหมายของหนุ่มสาววัยประมาณสิบหกปีผู้ทะเยอทะยานต้องการเป็นนักเรียนเวทแห่งพามาเนท

    "น่าสงสารพวกที่มาทางเกวียนนะว่าไหมเซเร ด่านเข้าเมืองเฟรีน่าป่านนี้คงปิดตายเพราะรองรับผู้คนที่ทะลักล้นเข้ามาไม่ไหว" เซเรลาเนียเลิกคิ้วรับคำถามก่อนจะเอ่ยตอบหน่าย ๆ ให้คนฟังนัยน์ตาพราวระริก

    "หรือเจ้าจะบอกให้คนพวกนั้นหายตัวมาล่ะ? ถ้าทำกันได้เค้าก็คงทำกันไปนานแล้ว การตัดมิติน่ะไม่ใช่เรื่องง่าย...เจ้าก็รู้นี่ ลาร์ส"

    "หืม...ไม่ใช่เรื่องง่ายงั้นหรือ? ข้าก็ไม่เห็นเจ้าจะลำบากอะไรเลยนะตอนมาโผล่พรึ่บเอาที่นี่น่ะ" คำพูดที่ทำเอาคนฟังขยับรอยยิ้มขำตัดบทง่าย

    "ก็ระดับมันต่างกัน" ลาซาลัสยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายเปิดช่องให้ก่อนรีบส่งคำกระเซ้าภูตสาว

    "เคยมีคนบอกไหมเซเร ว่าเจ้าน่ะ...หลงตัวเอง" คนโดนแซวสวนกลับอีกฝ่ายทันควันแบบไม่ต้องคิดก่อนจะหัวเราะขบขันชนิดที่คนแซวทำสีหน้าปั้นยาก

    "แล้วเคยมีคนบอกเจ้ามั้ยล่ะลาร์ส ว่าเจ้าน่ะ...ปากมอม"

    เสียงหัวเราะสนุกสนานของสองหนุ่มสาวทำเอาผู้สมัครที่เหลือหันมามองขวับอย่างนึกสงสัยว่า  คนที่เตรียมตัวจะรับการทดสอบของพามาเนทที่แสนจะขึ้นชื่อเรื่องความโหดหิน เหตุไฉนจึงดูไม่อนาทรร้อนใจซ้ำยังตีหน้าระรื่น ขณะคนอื่นกลุ้มกันจนแทบคลั่ง

                ...พวกมันท่าจะบ้า! เอาวะอย่างน้อยก็ตัดคู่แข่งไปได้สองคน!

    นักเวทหนุ่มผู้สมัครสอบที่ยืนแถวนั้นสรุปเองเออเองเงียบ ๆ

     

     

    ขวับ

    เสียงหายตัวด้วยเวทตัดมิติที่ดังขึ้นเรียกสายตาทุกคู่ของทุกคนในจัตุรัสเซนเทียโก้ให้ถูกสะกดอยู่กับร่างที่เพิ่งปรากฏตัวบนเวทีเล็ก ๆ กลางจัตุรัส

    เด็กชายวัยไม่น่าจะเกินแปดขวบ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผมสีดำ นัยน์ตากลมโตสีม่วงและแก้มใส ๆ ที่เลอะคราบช็อกโกแลต กำลังยืนกระแอมกระไออย่างน่าเอ็นดู

    "สวัสดีครับ...ทุกคน" เจ้าตัวน้อยหยุดเว้นวรรคเพื่อแย้มรอยยิ้มเรียกความนิยมกระจายจากบรรดาสาวน้อยทั้งหลาย
             
    "ทุกคนอาจจะคิดไม่ถึงนะครับ แต่ผมนี่แหละครับเวอร์เนส ศาสตราจารย์ใหญ่ประจำพามาเนท" เสียงอื้ออึงฮือฮาอย่างตะลึงงันแบบไม่ได้ศัพท์แถมยังทำร้ายจิตใจดวงน้อย ๆ ของผู้ถูกนินทาโต้ง ๆ ตอบรับประโยคนั้นเป็นอย่างดี
             
    "ไอ้เปี๊ยกนั้นน่ะนะ อาจารย์ใหญ่ของพามาเนท"
             
    "
    ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนนะว่า...อาจารย์ใหญ่พามาเนทเป็นทารกไร้ฝีมือ"

    "ไอ้เราหลงนึกเอ็นดูไปตอนแรก ที่ไหนได้ เด็กเลี้ยงแกะชัด ๆ "

    แก้มอมชมพูของคนถูกประณามขึ้นสีแดงก่ำอย่างน่ากลัวก่อนเจ้าตัวจะยกมือฟาดสายฟ้าลงมากลางจัตุรัส

    เปรี้ยง!  เปรี้ยง!  เปรี้ยง! 

    สร้างความเสียหายเสร็จคนโกรธก็ตะโกนก้องอย่างแสนขัดใจ

    "ถ้าไม่อยากเรียนก็กลับบ้านไปเลยไป"

    ...แล้วสรรพเสียงทั้งหมดก็เงียบงัน

     

     

                เซเรลาเนียถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายหลังจากฟังคำพูดน้ำท่วมทุ่งของศาสตราจารย์เด็กเอาแต่ใจเวอร์เนสมายาวนานแต่ไม่ได้รู้ความกระจ่างซักนิดเดือดร้อนให้บุรุษที่ยืนยิ้มอารมณ์ดีอยู่ข้าง ๆ ต้องถือเอาตนเองเป็นวิทยากรจำเป็น

                "เดี๋ยวเขาจะให้แจกการ์ดคนละใบมีสีขาวกับสีดำ ให้หาคนที่การ์ดสีตรงกันข้ามกับตัวเองแล้วก็จับคู่กันไปเข้าวงแหวนเวทของศาสตราจารย์เวอร์เนสบนเวทีเพื่อหายตัวไปป่าดำ รับการทดสอบโดยการหาทางออกให้เจอ อ้อ...ในนั้นน่ะเขาจะมีด่านไว้ให้  อยากทำร้ายคู่ต่อสู้แค่ไหนก็ได้ตามสบาย แล้วก็... ก่อนเข้าน่ะให้เอาการ์ดของคู่มาประกบกันจะได้เวทพันธนาการคู่เอาไว้น่ะ"

                ภูตสาวเอื้อมมือไปหยิบการ์ดสีขาวเบื้องหน้า  ดวงตาสีฟ้าเหลือบไปมองคนข้างกายเป็นเชิงถามไถ่

                "ข้าก็ได้การ์ดขาว" ลาซาลัสตอบง่าย  ๆ พลางชูการ์ดขึ้นมา...คำตอบที่ทำเอาคนฟังใจหายลึก ๆ ก่อนเสียงใสจะเอื้อนเอ่ย

    "งั้นเจอกันที่พามาเนท...ข้าจะรอ"

    "ข้าต่างหากที่ต้องรอ" ลาซาลัสสบตากับเซเรลาเนียก่อนชูนิ้วโป้งเป็นเชิงโชคดีให้ ท่านหญิงแห่งเรเวลล่าจึงตอบแทนในแบบฉบับของตัวเอง

    พลั่ก!

    มือเรียวตบเต็มแรงไปกลางหลังของผู้วิเศษแห่งเซดาลีนจนเกือบหน้าทิ่ม ก่อนผู้ประทุษร้ายจะแย้มรอยยิ้มเย็น

    "อย่าเก่งแต่ปากล่ะ!"

    กล่าวเสร็จก็หันหลังขวับแบบไม่คิดจะช่วยเหลือเหยื่อของตนแต่ประการใด

     

     

                สายลมที่พัดผ่านพาเอากลิ่นเหม็นเหียนดั่งเช่นซากศพโชยผ่าน... อุณหภูมิรอบกายก็พากันเย็นลงรวดเร็วอย่างชวนพิศวง และการบีบตัวกันแน่นของบรรยากาศโดยรอบก็ยิ่งเรียกเลือดในกายของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าให้พลุ่งพล่าน

                ใครบางคนกำลังกางเขตแดน...

                ดวงตาคู่สวยหรี่ลงอย่างพินิจพิจารณาก่อนริมฝีปากงามจะคลี่รอยยิ้มหวานถูกใจ

    ที่แน่ ๆ ...ฝีมือไม่เลว

                ภูตสาวหมุนกายไปยังทิศทางที่มนตราถูกส่งผ่านมา ดวงตาสีฟ้าทอประกายลึกลับยามขาเรียวค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปใกล้ศูนย์กลางแห่งเขตอาคม

                แรงกดดันในบรรยากาศที่ตอนแรกสัมผัสได้เพียงแค่เล็กน้อย หากเมื่อยิ่งย่างก้าวความอึดอัดก็ยิ่งเพิ่มพูน...มากเสียจนผู้คนรอบกายของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าพากันล้มลงวูบไปทีละคน

    ร่างบางค่อย ๆ ก้าวแทรกฝูงชนที่รายล้อมแหล่งกำเนิดเวทจนดูเสมือนวงล้อมขนาดใหญ่ก่อนกวาดสายตามองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างประเมินค่า...

                อักขระเวทสีดำทะมึนปรากฏเขตแดนล้อมรอบสามบุรุษไว้

                สองบุรุษผู้นอนกุมคอดิ้นทุรนทุรายทรมานราวกับมีมือของมัจจุราชที่มองไม่เห็นกำลังฉุดพรากลมหายใจของพวกเขา...ดวงตาสองคู่เบิกกว้างลนลานจ้องมองไปยังบุรุษคนสุดท้ายผู้เป็นดั่งซาตานในคราบผู้วิเศษ

                ...ชายหนุ่มผู้มีพลังเวทมหาศาลในชุดคลุมสีดำกลมกลืนไปกับเรือนผมสีรัตติกาล ดวงตาสีน้ำทะเลเหม่อมองไปยังสองบุรุษบนพื้นอย่างเย้ยหยันไร้ความปรานี

                ภาพที่ทำเอาคิ้วเรียวของผู้จับจ้องมุ่นลงเล็กน้อยกับการเจอบุรุษในฝันคนที่สองแบบไม่คาดคิด

                ดูเหมือนที่เธอเห็นจะเป็นอนาคตจริง ๆ เสียแล้วสิ

                แต่ทำไมนะ... ทั้งที่ชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังกระทำในสิ่งที่แสนร้ายกาจแต่สัญชาตญาณของเซเรลาเนียกลับบอกว่าคนตรงหน้าไม่น่ากลัวเลยสักนิด

              รู้สึกราวกับโหยหาบุรุษตรงหน้า...เพราะอะไร?

                ลมหายใจหนักหน่วงถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับการตัดสินใจของภูตสาว

                ตอนแรกเธอแค่ต้องการคู่หูที่ไม่ถ่วงจนเกินไป...แต่ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เจอคนระดับนี้แล้ว

                ตอบรับห้วงคำนึงรอยยิ้มเสแสร้งเต็มรูปแบบปรากฏบนหน้านวลทันใดยามท่านหญิงแห่งเรเวลล่าก้าวไปเผชิญหน้ากับบุรุษผมดำ

                เป๊าะ!

                เสียงดีดนิ้วที่ดังขึ้นทำลายเขตอาคมนรกโดยสิ้น อักขระเวทสีดำถูกลบเลือน กลิ่นชวนคลื่นไส้จางหาย  อุณหภูมิรอบกายก็สูงขึ้นจนเป็นปกติ  และความกดดันในบรรยากาศก็ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นทำเอาฝูงชนที่รายล้อมมุงดูอยู่รู้สึกดั่งตัวเองเพียงนึกคิดไปเองหรือฝันไปหากไม่มีสิ่งช่วยพิสูจน์เหตุการณ์อยู่เบื้องหน้า...

                หนึ่งคือเหยื่อของมัจจุราชทั้งสองยังนอนอยู่แนบพื้น ถึงจะไม่ได้ดิ้นรนทุรนทุรายแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นมานั่ง

                และสองคือร่างที่ยืนเผชิญหน้ากันกลางวงล้อมก็คงช่วยยืนยันได้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่มิใช่แค่เพียงภาพลวงตา

                ...หนึ่งพ่อมดซาตานแสนเลือดเย็นกับอีกหนึ่งสตรีที่ก้าวเข้าไปทำลายอาคมร้ายกาจเพียงการดีดนิ้ว

                บางที...นี่อาจจะเป็นการพบเจอแห่งโชคชะตาและจุดบรรจบแห่งชะตากรรม...หนึ่งความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจประดุจสีดำและหนึ่งความไร้เดียงสาใสซื่อราวกับสีขาวบริสุทธิ์

    หากทว่า...ผู้ใดเล่าจะเป็นสีขาว

    ...แล้วบุคคลใดเล่าจะเป็นสีดำ

    "ขอทราบได้ไหมคะ...ว่าเหตุใดท่านจึงนึกอยากเล่นสนุกกับความตาย" บุรุษผู้ฟังเลิกคิ้วบอกความไม่ใส่ใจก่อนเปรยเสียงทุ้มเฉยชา

    "ชีวิตไม่ใช่สิ่งมีค่า" คำตอบคนละเรื่องทำเอารอยยิ้มที่ปั้นให้ดูซื่อของคนถามชักค้าง ก่อนคำว่าขันติจะกระโดดโลดเต้นไปมาในสมองอย่างอดทน

    หมอนี่จะไม่ใส่ใจแม้กับการมอบความตายให้ผู้คนงั้นหรือ? 

                ความคิดที่ทำเอาคนคิดชักกรุ่นคำประชดสุภาพจึงถูกส่งไปให้ให้อีกฝ่ายอย่างแสนหมั่นไส้

    "แม้บางครั้งชีวิตจะดูไม่ใช่สิ่งมีค่าแต่ข้าก็ไม่เคยเห็นว่าชีวิตจะไร้ค่าได้อย่างไร...แต่ก็อย่างว่า คนเราต่างจิตย่อมต่างใจ เราไม่มีสิทธิที่จะไปบังคับใจใครได้ ข้าจึงมิอาจบังคับใจท่าน...ให้เห็นชีวิตของเหยื่อเบื้องหน้าท่านทั้งสองชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ" ถ้อยวาจาแสนเรียบง่ายแต่กลับกระแทกใจด้านชาของผู้รับฟังยามถ้อยคำนั้นบาดลึกเข้าไปยังอดีตเมื่อครั้นยังอยู่ในวัยเยาว์อันแสนสุข  ถ้อยวาจาที่ทำให้หวนคิดถึงเธอผู้นั้นและ...สตรีเบื้องหน้า

     แววเศร้าสร้อยปรากฏไหววูบในดวงตาสีน้ำทะเลก่อนจะจางหายไป หากกระนั้นท่าทีของผู้ฟังก็อ่อนลงกว่าเดิม

    "แล้วพวกไร้ฝีมือแต่ชอบรังแกผู้อื่นนั้น... ชีวิตจัดได้ว่ามีค่าหรือไม่เล่า?" หัวคิ้วของคนฟังมุ่นลงเล็กน้อยยามความเข้าใจเริ่มฉายวาบ

    บางที...บุรุษตรงหน้าอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

    "ชีวิตย่อมคือชีวิต ชีวิตของหนึ่งบุคคลไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้  ...เว้นเสียแต่ว่าลมหายใจของคนเหล่านั้นไม่อาจจัดได้ว่าเป็นสิ่งที่มีค่าพออย่างชีวิต" ซาตานหนุ่มขยับยิ้มวูบนึกรู้ว่าอีกฝ่ายก็เห็นด้วยกับตนไม่น้อยก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยเชิงล้อเลียน

    "เห็นทีเราคงจะต้องพักเรื่องปรัชญามหาปราชญ์ไว้ก่อนกระมัง ข้าไม่นึกอยากสันทัดเรื่องนี้สักเท่าไหร่  และเจ้าเองก็คงไม่ใช่นักบวชแสนเมตตาขนาดจะเดินเข้ามาเพื่อช่วยสิ่งไร้ค่า" เซเรลาเนียขยับรอยยิ้มรับคำ มือเรียวคว้าขึ้นในอากาศตวัดวูบเดียวการ์ดขาวก็ปรากฏบนมือประกาศเจตจำนงของตน ก่อนอีกฝ่ายจะร่อนการ์ดดำให้มาอยู่ในมือท่านหญิงแห่งเรเวลล่า ความร้อนไหม้เริ่มรู้สึกได้ยามสายใยสีแดงคล้ายแส้เพลิงสอดคล้องอยู่ที่นิ้วก้อยของทั้งสองฝ่าย

    เวทแห่งพันธนาการ

    หากคู่หูตาย...ตนเองย่อมไม่อาจเหลือลมหายใจ

    บุคคลทั่วไปอาจหวาดหวั่นกับการถูกเวทที่มีเงื่อนไขชวนสยอง แต่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีคู่นี้คงจัดไม่ได้ว่าอยู่ในบุคคลทั่วไป...

    "ข้าไม่ชอบตัวถ่วง" คำปรามาสจากอิสตรี

    "ความเห็นตรงกัน" คำไว้ลายจากฝ่ายบุรุษ

     

     

    เบื่อ!

    บทสรุปที่ทำให้สาวน้อยต้องถอนหายใจอีกครั้งกับการทดสอบที่เห็นเขาคุยนักคุยหนาว่ายากแสนยากลำบากลำบนแสนเข็ญ! แต่กลับยังไม่มีอะไรซักอย่างให้เธอทำนอกจากเดินชมทัศนียภาพที่แสนจะน่าตื่นตาตื่นใจ! ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองรอบกายเป็นรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่แต่ก็ต้องมองเมื่อมันคือสิ่งเดียวที่พอจะทำได้ในตอนนี้

    ทั้งที่ยามนี้เป็นเวลาบ่ายแต่ด้วยสภาพของป่าดำ...ที่ดำจริงอย่างแสนจะแจ่มแจ้ง พันธุ์ไม้รอบป่าจึงพากันเจริญเติบโตปรู๊ดปร๊าดสูงเอาสูงเอาอย่างน่าหวาดหวั่น...แถมกิ่งก้านสาขาของเหล่าพันธุ์ไม้ยังต่างพากันแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วจนไม่อาจเห็นแสงแห่งดวงอาทิตย์

    ด้วยเหตุนี้กลางวันของที่แห่งนี้ก็เลยมืดมิด...

    มืดมิดเสียขนาดที่ว่าถ้าบุคคลข้างกายของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าไม่เสกเปลวไฟขึ้นมาไว้ในมือ... แม้แต่หนทางข้างหน้าพวกเธอก็คงมิอาจมองเห็น

    คิดถึงคนผมดำข้างกายก็ยิ่งจะพาลให้ความหงุดหงิดของเซเรลาเนียพุ่งขึ้นมาริ้ว ๆ เมื่อนึกถึงบทสนทนาก่อนที่พวกเธอจะเดินทางมารับการทดสอบ! บทสนทนาเจ้าปัญหาของคนผมดำกับศาสตราจารย์เด็กเอาแต่ใจ! 

     

     "ข้าชอบการจับคู่กันของพวกเจ้าจัง เลยว่าจะให้รางวัลพวกเจ้าสักหน่อย...ให้เลือกเส้นทางการทดสอบเอาเองเลยดีกว่า  พวกเจ้าอยากได้การทดสอบแบบไหนล่ะ? ยาว ๆ ง่าย ๆ หรือสั้น ๆ แต่โหดหิน"ในขณะที่เซเรกำลังครุ่นคิดในคำตอบของคำถามที่ผู้ถามกล่าวอย่างแสนจะอารมณ์ดี คนข้างกายของเธอก็ชิงตอบแบบไม่คิดจะขอคำปรึกษาใด ๆ

    "เอาทางที่มีพวกน่ารำคาญน้อย ๆ "คนฟังหัวเราะในลำคอรับคำกล่าวแสนอวดดีก่อนแย้มรอยยิ้มสดใส

    "ได้ตามที่ขอครับ"

     

    ใช่ได้ตามที่ขอ!

    ขอให้ไม่ค่อยเจอคน...พวกเธอถึงยังไม่เจอใครเลยตั้งแต่มาที่นี่!

    เจริญพรในใจเสร็จสาวน้อยที่ปกติเคยเงียบเป็นนิดก็กระชากเสียงดังแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตถามคนตัวสูงข้างกายเพราะดูอีกฝ่ายจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับความเงียบที่แปลกประหลาดผิดปกติเอาเสียเลย...

    "เจ้าคิดว่าการทดสอบนี้ต้องการสิ่งใด" คำถามที่ทำให้คนทำหน้าครุ่นคิดเหลือบนัยน์ตามามองผู้พูดประกายบางอย่างในนั้นให้ความรู้สึกคุ้นชินอย่างน่าประหลาด ...ทั้งที่ไม่เคยพบพานกันมาก่อนสักนิด

    "เจ้าเองก็คงรู้สึก... กำลังมีบางสิ่งเคลื่อนมาทางนี้"

    คำลองเชิงที่เซเรลาเนียพยักหนักยืนยัน และตอบรับคำกล่าวนั้น...พุ่มไม้ที่อยู่ด้านหน้าก็สั่นไหวเรียกให้สองบุคคลตั้งสติเตรียมพร้อมหากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น หากแต่สิ่งที่ก้าวออกมากลับเป็นสัตว์เทพในตำนานที่หาได้ยากยิ่ง

    ...แสงสีทองเปล่งประกายจากร่างแสนสง่า คล้ายอาชาสีขาวบริสุทธิ์ หากทว่าสามารถโบยบินด้วยปีกขาวนุ่มนวลดั่งปุยเมฆ

    เปกาซัส !

    ชั่วครู่ที่ความเงียบงันเข้าครอบงำทุกสิ่งก่อนลำนำขับขานไพเราะคล้ายเสียงแห่งพงไพรขับกล่อมจะค่อย ๆ ดังขึ้นในห้วงคำนึง...

    ...โชคชะตา นำเกลอเก่า ให้พานพบ
    จุดบรรจบ ชะตากรรม ครั้นความหลัง
    กายเข้มแข็ง จิตสงบ ดั่งพลัง  
    พบความหวัง ด้วยคำมั่น สัตย์สัญญา...

    ...เมื่อมนตรา พันผูก ดวงสหาย
    จงรีบคลาย วังน้ำวน ในห้วงหา
    รีบจับมือ ร้อยใจ เอ่ยวาจา
    ถอนชะตา พันธนา แห่งด้ายเพลิง

    เมื่อสิ้นเสียงแห่งมนต์สะกด... ผู้ฟังทั้งสองก็รีบหันขวับไปพินิจผู้มาเยือนอย่างนึกรู้ว่าต้นเสียงมาจากทิศใด

    ความตึงเครียดแผ่ออกจากร่างของผู้ถูกทดสอบทั้งสองก่อนจะค่อย ๆ ลดเบาบางลง

    ความคลางแคลงใจในตัวสัตว์เทพเริ่มจางหายยามเมื่อเจ้าตัวดูเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไรกับสรรพสิ่งรอบกาย หากแต่ยืนนิ่งอย่างรอคอยในบางสิ่ง

    คำตอบของปริศนา?

    นัยน์ตาสีธาราหันไปมองผู้ร่วมชะตา... นัยน์ตาสีน้ำทะเลเองก็เลื่อนมาสบ ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะพยักลงน้อย ๆ อย่างมีความเห็นเดียวกัน... แล้วเสียงแรกก็ถูกเอ่ยจากฝ่ายบุรุษ

    "...เมื่อมนตราพันผูกดวงสหาย"

    ดวงหน้างามแย้มรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยรับลูก...

    "จงรีบคลายวังน้ำวนในห้วงหา..."

                ลมหายใจของผู้ถูกพันธนาการทั้งสองสอดประสานกันอย่างสงบลงตัวก่อนร่างสองร่างจะเดินมาให้แนบชิดยามตกอยู่ในห้วงคำนึง

              รีบจับมือร้อยใจเอ่ยวาจา...

                มือบางของอิสตรีถูกกอบกุมเบา ๆ จากบุรุษก่อนเสียงสองเสียงจะร่วมกันเอ่ยอย่างเชื่องช้าหากทว่ามั่นคง

                  "ถอนชะตาพันธนาแห่งด้ายเพลิง... "

                ดั่งรับรู้ถึงวจีแห่งกุญแจ... สายใยที่เคยเปล่งประกายด้วยเพลิงโชติช่วงก็วูบดับลงช้า ๆ พร้อมกับที่ส่วนปลายของมนตราค่อย ๆ บิดคลายตัวออกจากนิ้วมือของผู้ถูกพันธนาการ

     

     

    สายตาของสัตว์หายากในตำนานมองเหม่อไปยังทางที่ตนเพิ่งส่งสองบุคคลเข้าไป...

    นัยน์ตาคู่งามฉายแววหวั่นวิตกระคนกลัวเกรง ร่างสีขาวจมอยู่ในห้วงคิดจนมิอาจสัมผัสได้ถึงผู้ที่ล่วงล้ำอาณาเขตแห่งตนเข้ามาใกล้

    "เจ้าเองก็มาทดสอบเหมือนกันหรือ... อิซ"

    ดวงตาสีทองตวัดไปมองร่างที่เพิ่งเดินออกมาจากความมืดอย่างระแวงก่อนจะแย้มรอยยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด... เสียงพึมพำบทเวทแผ่ว ๆ แว่วไปตามสายลมก่อนที่ร่างแสนสง่าของเปกาซัสจะถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นร่างที่แท้จริง...

                ...สตรีดวงหน้างามในชุดคลุมสีขาวยาวกรอมเท้าช่วยปิดบังเส้นผม ท่าทางยามเยื้องย่างของนางบอกชัดถึงตำแหน่งที่สูงศักดิ์ แสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากเรือนร่างบอบบาง

                ...เพราะการมาของภูตรับใช้เช่นเจ้า ขอบเขตเวทของข้าถึงได้พังคลืนไปหมดคำกล่าวเหมือนจะตำหนิหากผู้ฟังยิ้มรับ

                "นายหญิงอยากให้ข้ามาดูด้วยตาตนเอง... ท่านก็คงจะเห็นแล้ว และคงจะต้องเชื่อในโชคชะตาที่ท่านปฏิเสธมานานเป็นแน่สินะคะ... ท่านเวอร์เนส" ศาสตราจารย์แห่งพามาเนทผู้ถูกล้อเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ คล้ายไม่ใส่ใจ ก่อนวกไปในเรื่องสำคัญ ดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่เคยแย้มยิ้มเสมอแลดูจริงจัง

                "นางเห็นสิ่งใดกันแน่" คำถามที่ทำให้ร่างบางของสตรีถอนหายใจน้อย ๆ

                "ข้าเองก็มิอาจรู้หรอกค่ะ...ความนึกคิดของนายหญิงนั้นล้ำลึกกว่าผู้ใด หากแต่นางจะบอกผู้อื่นเฉพาะที่จำเป็น...ท่านสอนนางมาเอง ท่านย่อมรู้ดีถึงความสามารถในการเก็บงำของนาง…" เสียงใสเว้นวรรคไปชั่วครู่ก่อนดวงหน้างามจะดูวิตกกังวลหนักกว่าเดิมยามเอ่ยอีกครั้ง

                "พักนี้นายหญิงหลับใหลนานเหลือเกิน... นานเสียจนทำให้ข้ารู้สึกกลัวยิ่ง กลัวเพราะข้าช่างขลาดและเขลานัก... สิ่งที่ข้าพอจะรู้ก็มีเพียงสาสน์ที่นางให้ข้ามาบอกแก่ท่าน...

                ศึกครั้งนี้จักยิ่งใหญ่กว่าที่เคย... สหายที่มีค่าแห่งเราจะลดลงอย่างเหลือเชื่อ ศัตรูตามสายเลือดของเราจะได้อำนาจที่เขาเคยแสวงหามานับไม่ถ้วน... เวลาแห่งความสงบสุขจักถูกเลือนหายยามความมืดแห่งความตายเข้าครอบงำ... ผู้ที่เคยเป็นที่พักพิงยามศึกครั้งเก่าก่อนจำต้องร่ำไห้ทรยศแก่เรา... และความหวังในยามนี้เป็นดังเช่นแสงดาวที่ท่านเฝ้ามอง…’”

                แสงดาวที่ข้าเฝ้ามอง

                ริมฝีปากของผู้ฟังกระตุกขึ้นราวกับจะยิ้มเยาะหยันให้ตัวเอง

              แสงดาวที่มอดลงไปทุกที....

     

    "ทางซ้าย"เสียงใสว่า

              "ทางขวา"เสียงทุ้มเอ่ยค้าน

              "ทางซ้าย"เสียงใสเอ่ยแย้งอีกรอบ

              "พอซะทีได้ไหม! เจ้ารู้ไหมว่าคนเราปกติจะไปทางไหนถ้าหลงทาง...ทางซ้าย! เจ้าเข้าใจไหมทางซ้าย!เพราะฉะนั้นเราจะไปทางขวา!" บุรุษเจ้าของผมสีดำเอ่ยอย่างสุดกลั้นกับบทสนทนาเจ้าปัญหาที่ดูจะยืดเยื้อยาวนานอย่างงี่เง่าไร้แก่นสาร

              "เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคนคิดอย่างเจ้าเขาก็จะไปทางขวากันเข้าใจไหม! เพราะฉะนั้นเราจะไปทางซ้าย!"

              "โถ่เว้ย!..เจ้าจะไปทางไหนก็ไปข้ารำคาญ" ท้ายสุดเขาก็ต้องยอมสตรีเบื้องหน้า

     

              ใช่ยอม!

                ยอมแล้วเป็นไง!

                มือหนากระชากมือบางของอีกฝ่ายอย่างแรงขณะพุ่งตัวหลบกระสุนไฟที่ถูกส่งมาจากผู้เข้าทดสอบคู่อื่นก่อนกลุ่มควันจะโชยกรุ่นเมื่อลูกไฟเหล่านั้นเข้ากระทบกับสายน้ำแถวนั้นที่รีบพุ่งวูบมาปกป้องสตรีข้างกาย...

                ความสามารถของภูต... ธรรมชาติจะปกป้องพวกนางเสมอแม้ไม่ต้องเรียกหา

                นางเป็นภูตน้ำ... และเป็นคนเดียวกับที่เขาคิด

                ในเสี้ยวแรกที่รับรู้ว่าสตรีข้างกายคือนางความรู้สึกดีใจก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว

                รวดเร็ว... พอ ๆ กับที่ความรู้สึกนั้นดับวูบลง

                ความทรงจำในวันวานคอยตอกย้ำถึงความแตกต่างเสมอมา... และคงจะ... ตลอดไป

                เสียงทุ้มพึมพำบทมนตราก่อนคลื่นพลังสีดำจะถูกส่งไปให้ฝ่ายที่จู่โจมมาพาให้ร่างสองร่างของฝ่ายนั้นกลืนหายไปในความมืดมิด

     

     

              "ข้าเสียใจ"

                เสียงอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นขัดความเงียบในขณะที่พวกเค้าออกเดินทางต่อไปในเขาวงกต...ทางลับที่จะพาไปสู่พามาเนท

                "..."        

                "ข้าขอโทษ" เสียงพึมพำค่อย ๆ อย่างสำนึกผิดทำให้ใจที่ตั้งใจจะด้านชาอ่อนลง แววตาบนใบหน้าคมคายฉายแววหม่นหมองชั่วครู่ก่อนจางหาย

                "ทิฐิของท่านดูจะรุนแรงนัก...ท่านหญิงเซเรลาเนียแห่งเรเวลล่า" คำกล่าวของเขาทำให้เจ้าของนามตกใจจริงอย่างที่คาด ทำเอาความรู้สึกเยาะหยันในตัวเองพุ่งวูบเข้ามากลางใจ

                กับสิ่งที่ตนเองก็รู้ดีว่าไม่ควรหวัง...แต่ก็ยังคาดหวัง

                หัวใจถึงได้กระตุกวูบกับคำกล่าวเพียงสั้น ๆ

              "ท่านรู้จักข้า?" ผู้ฟังนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยปด

                "เพียงเห็นความสามารถของท่านข้าก็คงจะเดาออกได้ไม่ยาก... ท้ายเสียงเงียบไปยามบุรุษผู้กล่าวทำใจที่จะกล่าวประโยคเดิมพัน

                แล้ว...เจ้าไม่รู้จักข้า?" ดวงหน้างามที่แสดงความงุนงงตอบรับคำถามทำให้เขาตัดสินใจ

              พอเสียที

                "เอาเถอะ ข้าคงคิดไปเองว่าเจ้าจะรู้จัก ข้าชื่อดาร์ฟ..." ท้ายเสียงเงียบไปคล้ายไม่แน่ใจก่อนเอ่ยใหม่

                "...ดาฟาเดลเจ้าชายแห่งฟาเซล"

                "ถ้างั้นท่านก็คงจะเป็นเจ้าชายองค์รองแห่งดินแดนความมืด ข้านี่คงมีความรู้น้อยที่ไม่รู้จักท่าน...ยินดีที่ได้รู้จักเพคะ ท่านดาร์ฟ" เอ่ยด้วยรอยยิ้มตามมารยาทพร้อมวาจามีไมตรี หากเจ้าชายแห่งฟาเซลกลับตอบรับถ้อยคำนั้นเพียงการหันหลังเดินต่อไปตามทางด้วยฝีเท้าที่เร็วขึ้นและเสียงทุ้มเย็นชา

              "ข้าไม่ยินดีที่ได้พบเจ้า"

                 

     

              ไร้มารยาท!

                คำสบถในใจของท่านหญิงแห่งเรเวลล่ายามต้องอึ้งไปกับถ้อยวาจาของอีกฝ่าย...ดาฟาเดล เจ้าชายแห่งฟาเซล

                ร้ายนัก! ถึงขนาดทำให้คนอย่างเธออารมณ์เสีย!

                บุคคลทั่วไปก็คงรู้... การทำความรู้จักเป็นมารยาทที่พึงกระทำของทุกคน

                ยิ่งคนที่ต้องเข้าสังคมบ่อยอย่างชนชั้นปกครองด้วยแล้วยิ่งต้องถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก แต่บุรุษผู้เดินนำเบื้องหน้าเธอ... เจ้าชายแห่งแดนผู้วิเศษดูเหมือนจะไม่ตระหนักถึงมันสักกนิด!

                คิดแล้วเนตรสีฟ้าคู่สวยก็ฉายแววระริก ยามความท้าทายอยากลองดีพลุ่งพล่านขึ้นตามนิสัย!

              ...เรเวลล่ามีศักดิ์ศรี!

                "เคยได้ยินชื่อของท่านดาร์ฟมาก็ตั้งหลายหน แต่หม่อมฉันคงเขลานักที่ไม่เคยทราบว่าท่านชอบจมอยู่กับตนเอง แล้วก็... ออกจะ... มีอารมณ์ร้ายอยู่ไม่น้อย" ริมฝีปากงามกระตุกยิ้มยามเอ่ยระบายอารมณ์ลอย ๆ ก่อนรอยยิ้มจะเหยียดออกมากกว่าเก่าเมื่อสังเกตเห็นจังหวะก้าวเดินที่ชะงักของเจ้าชายนอกสังคม

                ดาฟาเดลเหลือบมามองหญิงสาวที่ช่างพูดแดกดัน... ดวงเนตรสีน้ำทะเลฉายแววเย็นชา

                "จะบอกว่าข้านิสัยแย่ ?" เรียวปากบางของเซเรลาเนียกระตุกยิ้มเหยียด ก่อนเอ่ยเสียงใส

                "ข้ามิบังอาจ"

             

              มิบังอาจ!!!

                พูดมาได้!

              คิดแล้วรอยยิ้มเหยียดก็ปรากฏบนใบหน้าคมคายบ้าง...

                สร้างความฉงนจนยิ้มค้างให้สาวน้อยจอมแดกดัน

                "ความดีความเลววัดกันที่ตรงไหน... ระหว่างคนเลวที่ฆ่าใครต่อใครแต่ตระหนักในความชั่ว จำต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพ กับพวกที่เรียกตัวเองว่าคนดี... เพราะฆ่าพวกที่ตนเองคิดว่า เรียกว่า...ชั่ว เข่นฆ่า... แต่กลับบอกว่าทำเพื่อบ้านเมือง เอ... เราจะจัดแบ่งความดีความเลวที่ตรงไหนดีล่ะ... การยิ้มเสแสร้งกับการนิ่งเพราะไม่ชอบใจอันไหนคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ น่าขำไหมล่ะ? ...ท่านหญิง!"

                ราวกับโดนบางสิ่งฟาดแสกหน้า หรือไม่ก็คงเป็นมนตร์จังงันที่ถึงกับทำให้ท่านหญิงคนเก่งแห่งเรเวลล่านิ่งเงียบ

                นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่เคยมีคนคิดเห็นเช่นเธอ

                ความคิดที่จำต้องลบเลือนเพื่อหน้าที่ของชนชั้นปกครอง

                เป็นคนเหนือคน.. .เพื่อให้ตนแข็งแกร่งภายใต้หน้ากากยิ่งกว่าผู้ใด!

              "น่าขำพอดูเชียวละเพคะท่านดาร์ฟ... แต่จะให้ทำเยี่ยงไร? มีใครบ้างที่จะสามารถเปิดตนได้อย่างเสรีในสังคมซึ่งมีแต่การหยิบฉวยผลประโยชน์และการสวมหน้ากาก ไม่มีผู้ใดจะทำได้ทุกอย่างที่คิดหรือแม้แต่จะพูดในทุกสิ่งที่หวังหรอกเพคะ

                หากบุคคลนั้นยังจำต้องอยู่กับสังคม... หม่อมฉันก็คิดว่าการเสแสร้งคงจะเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง..."

                "ท่านหญิงคงกำลังพยายามเบี่ยงประเด็น หรือบางทีท่านอาจเข้าใจอะไรผิดไป... เรากำลังพูดถึงสิ่งที่ถูกเรียกว่าความดีกับความเลว ไม่ได้พูดถึงว่า... คนทำเลวมีเหตุผลอะไร"คำด่าที่ทำเอาท่านหญิงผู้เข้าใจผิดแทบถึงจุดเดือด!

                กับความหยาบคายอย่างถึงที่สุดของเจ้าชายแห่งฟาเซล!!

                หากแต่ยังไม่ทันได้ด่าให้หายแค้นหูก็แว่วเสียงเคลื่อนไหวจากทางสามแพร่งเบื้องหน้า ฝีเท้าของทั้งสองจึงถูกผ่อนเบาจนแทบไม่ได้ยินยามจิตเร่งจับการเคลื่อนไหว

                หกคน... ฝีมือพอถูไถ

    "ท่านยืนรอตรงนี้ก็ได้... ข้าจะไประบายอารมณ์สักหน่อย ถือเสียว่าเป็นการทดแทนที่ทำให้ท่านต้องไปออกกำลังน่าเบื่อนัดที่แล้ว" เสียงใสว่า

                "คนละสามเพื่อความเท่าเทียม...ถือซะว่าทดแทนที่ข้าพูดตรงไปหน่อย" และอีกเช่นเคยที่เสียงทุ้มจะค้านอย่างชวนหาเรื่อง

                เหอะ...

                ถ้าไม่ติดว่าพวกนั้นจะได้ยินเสียงนะ

              คิดแล้วท่านหญิงคนงามก็ได้แต่สาปแช่งในใจ!

     

     

    ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามมัดอย่างคนขยันออกกำลังคว้าดาบที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมาถือระวังภัย มือหยาบกร้านที่บ่งบอกถึงความจัดเจนในการศึกจัดแจงชี้ทิศทางให้คู่หูรูปร่างลักษณะเดียวกันไปข้างหน้า

    ไป...ทางนี... หากยังพูดไม่ทันจบประโยคนักรบเจนศึกก็รู้สึกถึงสัมผัสหนัก ๆ ของฝ่ามือที่ท้ายทอยก่อนตัวจะชาและล้มตึง! ชายร่างหนาอีกคนรีบกระโดดพุ่งตัวเข้าหาร่างที่ปรากฏแต่เงาในความมืดก่อนจะฟาดดาบลงไปสุดแรง!

    เคร้ง!

    เสียงที่ได้ยินหลังวาดดาบที่คิดจะเผด็จศึกในทีเดียวทำเอาชายร่างหนาชะงักค้างด้วยความตะลึง...ความแรงของดาบที่ไม่น่าจะมีใครรับไหวกับหยุดชะงักกับสิ่งขวางกั้น

    น้ำแข็ง?

    หากก่อนที่ความเข้าใจจะโลดแล่นร่างบอบบางก็สาวเท้าออกมาจากเงามืดให้นักรบเจนศึกตาเบิกกว้างกับขนาดของศัตรูที่ล้มคู่หูตนง่าย ๆ ดวงหน้าถมึงทึงกัดฟันกรอดคว้าดาบพุ่งเข้าใส่ร่างบอบบางนั้นเต็มแรง!

    เซเรลาเนียหลบตัววูบไปด้านซ้ายตามวิถีดาบอย่างใจเย็น... มือขวาจับข้อมืออีกฝ่ายล็อคไว้เบา ๆ ก่อนกดมือซ้ายไปที่ข้อศอกของอีกฝ่ายแบบไม่ใส่ใจ

    กร็อบ!

    สภาพแขนที่ตกข้างผิดลักษณะกับความปวดที่แล่นขึ้นริ้ว ๆ ทำเอาเจ้าของแขนอารมณ์เกรี้ยวกราดหนักกว่าเก่าหากยังไม่ได้ทันตอบโต้ร่างของเซเรลาเนียก็กระโดนวูบเดียวไปอยู่หลังชายร่างยักษ์ปลายดาบคมถูกแนบอยู่ที่ลำคอของอดีตเจ้าของดาบจนเลือดไหลซึม ริมฝีปากงามแย้มรอยยิ้มเย็นอย่างคนอารมณ์ยังไม่ปกติ เสียงที่ดังออกมาจึงแหบพร่าชวนสยอง

    "รู้มั้ยที่เรเวลล่า... โทษของคนที่มันถือดาบใส่ข้าจะเป็นเช่นไร?" ความเร็วนรกของร่างบางประกอบกับฝีมือทำเอาคนคิดจะสู้ด้วยเริ่มหน้าเสียหากศักดิ์ศรีนักรบที่ค้ำคอทำให้ร่างนั้นเหยียดตัวตรงก่อนส่งคำตอบกลับตวัดห้วนสั้นอย่างทระนง

    คนตรงหน้าก็แค่อิสตรี!

    "ข้าไม่ได้ถามเจ้า!" บรรยากาศรอบกายเย็นลงอย่างน่าประหลาดกับคำกล่าวนั้น... เย็นลงจนคนที่หน้าเสียอยู่แล้วกลายเป็นซีด

    "เฮ้อ... เอาเป็นว่าข้าขอสอด..." คำพูดถูกเว้นไปนิดยามริมฝีปากแดงระเรื่อยื่นเข้าไปกระซิบริมหูอีกฝ่ายแผ่วเบา

    "... ไม่เคยมีใครรอดพ้นจากกรงขังน้ำแข็ง!" กล่าวเสร็จสมใจขาเรียวก็เตะเข้าไปที่ข้อพับของอีกฝ่ายจนต้องลงไปนั่งกองไม่เป็นท่า ฝ่ามือบอบบางแนบไปที่แก้มของอีกฝ่ายก่อนแสร้งฉีกยิ้มอ่อนโยน...

    "ฝีมือเจ้าเองก็พอไหว... เป็นทหารเฝ้าอุโมงค์ที่นี่ไปก็แล้วกันนะจ๊ะ!"

    สิ่งที่ชายร่างยักษ์รับรู้ด้วยดวงตาเบิกโพลงเป็นครั้งสุดท้ายก็คงจะไม่พ้นเสียงหวานอาบยาพิษกับความรู้สึกเย็นเยียบจากข้างแก้มก่อนลามไปทั่วร่างดุจเดียวกับน้ำแข็งที่ลามไปทั่วกาย

    ...เผยตุ๊กตาน้ำแข็งในกรงขังอันสมบูรณ์

    ท่านหญิงแห่งเรเวลล่าแย้มรอยยิ้มเย็นมองผลงานตัวเองด้วยความรู้สึกเรียบเฉย ดวงหน้างามไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด ๆ จวบจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความเป็นเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบกาย...

    สายลมคละคลุ้งไปทั่วก่อนจะรวมตัวกันและพัดกระแทกวูบอย่างแรงเข้ากับเป้าหมาย!

    ซูม!

    ละอองน้ำรอบกายถูกเรียกรวมให้กลายเป็นเกราะป้องกันท่านหญิงแห่งเรเวลล่ายามดวงหน้างามฉายแววฉงน

    ใครที่มีอำนาจรุนแรงขนาดนั้น?

    ฉับพลันมือเรียวก็ปรากฏก้อนน้ำแข็งบอบบางก่อนกลุ่มพลังจะถูกส่งวูบไปทิศทางที่จับได้ถึงไอแห่งเวท

    เซเรลาเนียก้าวเท้าอย่างระวังไปทางทิศที่จับได้ว่าศัตรูถูกสกัดการเคลื่อนไหว สติถูกตั้งมั่นเตรียมพร้อม หากแต่จิตกลับสัมผัสได้ถึงไอเวท...ซึ่งคุ้นเคย?

    "เล่นแรงจังนะเซเร...ทำซะคู่ข้าเกือบไม่ไหวเชียว…" เสียงทุ้มคุ้นเคยอย่างที่คาดทำให้รอยเคร่งเครียดบนใบหน้าภูตสาวจางหาย

    ...หรืออันที่จริงต้องบอกว่าถึงเจ้าจะเร็วเกินกว่าสายลม แต่นางเองก็จวนจะหลบพ้นอยู่แล้ว ถ้าไม่ดันไปสะดุดฝุ่นบนพื้นเสียก่อน... คำกล่าวพร้อมอาการแสร้งผ่อนลมหายใจที่ผู้ฟังขยับรอยยิ้มยั่วรับ

    "ไหนเจ้าบอกจะไปคอยข้าไงล่ะ... ลาร์ส"

    บุรุษผมสีน้ำตาลอ่อนขยับรอยยิ้มรับคำกล่าว ดวงตาสีมรกตทอประกายระริก

    "เจ้าก็ไม่ได้ทำได้ดีไปกว่าข้าเลยนี่ เซเร" ว่าพลางเจ้าตัวก็หัวเราะหึ ๆ เอื้อมมือส่งให้อีกหนึ่งสตรีที่นั่งกองอยู่กับพื้น มือหนาสะบัดวูบเดียวน้ำแข็งที่เกาะอยู่ที่ขาเรียวก็สลายไปดั่งไม่เคยปรากฏ

    การกระทำที่ราวกับหยามหน้าจนเจ้าของเวทคิ้วกระตุก หากแต่ต้องสะกดไว้เมื่อจำต้องละสายตาไปยังจุดที่น่าสนใจกว่า

    ยามร่างของอีกหนึ่งสตรีโผล่ขึ้นมายังแสงของคบเพลิงเผยให้เห็นร่างของภูตสาวดวงหน้างาม หากทว่าดูประหม่า เส้นผมยาวสลวยและดวงเนตรกลมโตเป็นสีพฤกษาดูกลมกลืนชวนมอง...

    เซเรลาเนียเหลือบมองร่างนั้นอย่างพินิจก่อนนึกถึงตำราหลายหลากที่เคยอ่านผ่านตาถึงบรรดาชนชั้นปกครอง เรียวปากบางแย้มรอยยิ้มอย่างใจเย็น มือเรียวเอื้อมไปจับกระโปรงที่สวมใส่ไว้ก่อนย่อตัวให้น้อย ๆ

    "คงต้องขอให้ท่านอภัยแก่การบังอาจของข้า และยินดีที่ได้พบท่าน...ท่านหญิงรีเลนวาน่าแห่งวาตาเซีย"  ดวงตาสีพฤกษาของสตรีเบิกกว้างขึ้นเล็ก ๆ ก่อนแววเข้าใจจะฉายวาบยามลาซาลัสคนช่างพูดเอ่ยกลั้วหัวเราะ

    "อ่า... เรน่า ไม่ต้องตกใจไปหรอก...ไม่เคยได้ยินถึงความฉลาดแสนรู้ของเรเวลล่าเหรอ" วาจาที่ทำเอาผู้ถูกชมชักสีหน้าพิลึก หากสตรีอีกคนกลับแย้มรอยยิ้มดูไร้เดียงสา

    "ถ้าเช่นนั้นท่านคงจะเป็นท่านหญิงเซเรลาเนียแห่งเรเวลล่า...วาตาเซียน้อมรับโอกาสแห่งการพบเจอด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งเพคะ..." ว่าพลางเจ้าของเสียงหวานก็ย่อตัวลงให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม

    "จบการทักทายอย่างเป็นทางการกับท่านหญิงแห่งสายลมซะที... สำหรับคนที่จะเป็นสหายร่วมชั้นปีกันจะว่าอะไรมั้ยเพคะ... ถ้าเรเวลล่าจะถือวิสาสะเรียกท่านว่าเรน่าดังเช่นเซดาลีน"

    "ไม่เป็นไรเช่นเดียวกับที่ข้าจะเรียกท่านว่า... เซเร" รอยยิ้มหวานส่งให้ท่านหญิงแห่งเรเวลล่าอย่างจริงใจ...หารู้ไม่ว่าคำพูดของตนจะถูกนำไปเป็นฉนวนสงครามน้ำลาย

    "ข้าถูกชะตาเจ้ามากเลยเรน่า... รู้มั้ยข้าชอบคนมีมารยาท" เซเรลาเนียเอ่ยเรียบ ๆ พลางปลายตาไปทางเป้าหมายที่เพียงแต่หัวเราะในลำคอ ก่อนบทสนทนาระหว่างมิตรใหม่จะถูกชักนำไปยังเรื่องอื่น

     

     

    เพล้ง!

    คลื่นพลังสีดำขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ถูกซัดมาจากไหนกระแทกวูบเข้ากับม่านพลังจากผู้วิเศษแห่งเซดาลีนจนแตกกระจาย วงอักขระโบราณเริ่มลามมาตามพื้นก่อนจะทอสีแดงเรืองรองราวกับเลือด

    ร่างสามร่างที่อยู่ในข่ายคุ้มกันถึงได้รีบชะงักบทสนทนามาเพ่งพิศภายนอกอย่างระแวดระวัง ก่อนจะได้ยินเสียงพึมพำบทเวทแผ่ว ๆ ทุ้มต่ำ

    บทเวท...ที่ทำให้เซเรลาเนียต้องส่งเสียงกร้าว

    "ดาร์ฟ... นี่คนรู้จักของข้า!"

    ตอบรับคำกล่าวนั้นร่างสูงสง่าในชุดดำก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้จากมุมมืด บนใบหน้าคมคายปรากฏรอยยิ้ม...เยาะ

    "เห็นเจ้าบอกว่าจะมาจัดการ... ไหงทำไม่ได้เสียล่ะ?"

    "ข้าบอกว่านี่คนรู้จัก!" อีกฝ่ายเพียงแต่แกล้งเลิกคิ้วก่อนสร้างรอยยิ้มเหี้ยม...

    "กติกาไม่ได้ห้ามฆ่าคนรู้จัก" เซเรลาเนียกัดฟันกรอดมองเจ้าชายแห่งฟาเซลด้วยแรงอารมณ์

    ...ลาร์สกำลังโดนเวทเจ้าหมอนี่

    เพราะมนตราที่ตัวเองสร้างไว้ถูกทำลายผู้วิเศษแห่งเซดาลีนจึงเสียศูนย์ไปชั่วครู่ และนั่น...ก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าชายแห่งฟาเซลเหนือกว่าในทุกด้าน!

    ภาพคนทั้งสองกำลังเอามือกุมคอราวกับหายใจไม่ออกทำเอาเซเรลาเนียแทบคลั่ง...

    รู้แต่ช่วยไม่ได้... คิดแล้วก็ต้องเพ่งพิศไปที่เจ้าของบทมนตรา

    นึกรู้ว่าคราวก่อนที่เธอแก้เวทได้หมอนั่นคงใช้แค่เศษพลัง

                "พวกเขาเป็นสหายข้า!"

                "สหายเจ้า?... งั้นทำไมเจ้าไม่ช่วยล่ะ" ใบหน้าผู้พูดนิ่งสนิทแม้ยามปรายมองคนที่ต้องเวทแห่งตน ทำเอาเซเรลาเนียรู้สึกกรุ่นขึ้นอย่างถึงที่สุด... และไม่รู้ว่าด้วยสิ่งใดดลใจ

                เธอถึงตัดสินใจทำเช่นนั้น...

    มือบางของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าถูกยกขึ้นมาระดับอกตอบรับคำท้าของคนไร้หัวใจทันควัน มีดน้ำแข็งปรากฏขึ้นในมือเล็กก่อนจะถูกส่งไปแนบที่ลำคอขาวเนียนของตนเองจนเลือดซึม

    "ถ้าเจ้าไม่คลายมนตราข้าจะตาย แล้วแน่นอน... เจ้าจะแพ้การทดสอบ!" ดวงตาสีน้ำทะเลที่เคยทอประกายเย็นชาแทบเดือดไปกับประโยคนั้น...เสียงทุ้มพึมพำเพียงนิดอักขระและกลิ่นชวนคลื่นเหียนรวมถึงอาการทุรนทุรายของผู้ถูกเวทก็จางหาย

    คนที่เคยเย็นชาอยู่เสมอทอดมองเซเรลาเนียด้วยแววตาประหลาด

    ...ข้าไม่ได้อยากชนะ

     

     

              "เป็นไงบ้าง"

                เสียงใสถามอย่างร้อนรนยามรีบเร่งเข้าไปประคองคนสำคัญจากเมืองทั้งสอง รีเลนวาน่าไอแค่ก ๆ ในขณะที่ลาซาลัสเอามือโบกไปมาเป็นสัญญานว่าไม่เป็นไร

                ดวงตาสีฟ้าส่งไปประณามบุรุษที่กำลังเดินมาทางนี้ ดาฟาเดลวาดมือเหนือทั้งสองเหยื่อของตนเพียงผ่าน ๆ อาการขาดอากาศของทั้งคู่ก็ดูจะทุเลาลง

                หากกระนั้น...นั่นก็ยังมิอาจสาสมในความคิดของเซเรลาเนีย

                มือบางผลักไปที่อกแกร่งเต็มแรง...ดวงตาสีฟ้าแสนโกรธาสบกับดวงตาสีน้ำทะเลที่ดูราวกับเศร้าสร้อย

                และเมื่อสัมผัสกับร่างของบุรุษผู้นั้น...

                คำต่อขานมากมายที่เตรียมประณามกลับต้องถูกเก็บพับหายไป ยามท่านหญิงแห่งเรเวลล่ารู้สึกชาวาบจากหน้าผากไปทั่วกาย ความรู้สึกทั้งมวลราวกับติดปีกบินหาย... สดับฟังได้แต่เสียงใสที่ดูราวกับมีมนต์สะกดเพรียกหา

                เบาหวิว แหบพร่า น่ากลัว... ทว่ากลับชวนฟังและแสนคุ้นเคย

                แสงสว่างเอ๋ยจงกลืนกินดับสิ้นซึ้งรัตติกาลทั้งมวล... ดาราเอ่ยจงเปล่งประกายเจิดจ้าดั่งพลัง...หากแต่ยังก่อนมนตราเอ๋ยอย่าได้คลายหน้าที่อันไม่อาจบิดพลิ้วของเจ้าลง..."

                สติทั้งมวลพลันดับวูบลงพร้อมเสียงตะโกนเรียกชื่อก้องอย่างตกใจ... และมือแกร่งที่รับร่างบางไว้ได้อย่างทันท่วงที

     

    _____________________________________________________________________________________
    19 พ.ค. 08
    ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ(ยิ้ม)
    ปล.ใครคอมเม้นท์ขอให้หน้าตาดี (ฮิ้ว) = =
    |||
    ปล2. อ่า เป็นอีกกลอนที่พยายามแก้สัมผัสแล้วออกมาแปลกพิลึก...เสนอแนะได้นะคะ จะลองแก้ต่อไปค่ะ(กระซิก ๆ )

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×