ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มิติแห่งมนตรา...ฟีลาเนเซีย[ดองค่ะ]

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 ดาราร่ำไห้

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 51


     

    ตอนที่ 1 ดาราร่ำไห้

     

                ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้และเหล่าพฤกษา กลิ่นหอมรัญจวนกำลังลอยฟุ้งรอบกายของสตรีร่างบางเจ้าของเรือนผมยาวสีฟ้าสดใส การก้าวเท้าเร็ว ๆ ของนางบ่งชัดว่าเจ้าตัวหาได้ชื่นชมในความงามของสถานที่แห่งนี้ไม่ เนตรแสนงามลึกล้ำดั่งความลับแห่งรัตติกาลของเจ้าหล่อนกวาดมองไปทั่ว ขณะที่หูคอยสดับฟังเสียงแผ่ว ๆ ซึ่งแว่วมา...

    เสียงน้ำ ...บางทีที่นั้นอาจมีผู้อยู่อาศัย

    ไวเท่าความคิดนางรีบสาวเท้าไปตามทางที่คาดว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเสียง ดวงหน้างามฉายประกายครุ่นคิดชัดตลอดทุกการย่างก้าว...

    เธอมาที่แห่งนี้เป็นอาทิตย์แล้ว....  

    มาทุกครั้งยามหลับใหล หากแต่การมาครั้งก่อน ๆ ทำให้เธอตระหนักถึงความจริงที่น่าพรั่นพรึง...

    ที่แห่งนี้มิใช่ความฝัน

    คราบโคลนที่เคยเลอะเสื้อผ้าเธอยามอยู่ที่นี่เป็นอย่างไร ยามตื่นก็เป็นเฉกเช่นนั้น อีกทั้งอาการหอบของเธอในยามที่เดินทางมายาวไกลเช่นตอนนี้...อย่างไรเสียก็คือความจริง!

    ทว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว...ที่นี่คือที่ไหนกันเล่า?

    คำถามที่ไร้คำตอบทำเอาเจ้าของดวงหน้างามเผลอขบริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากันแล้วทอดถอนลมหายใจออกมายาว มือบางจัดการเสยปอยผมที่เกะกะให้ออกไปพ้นใบหน้าก่อนปาดเม็ดเหงื่อที่เริ่มซึมชื้นออกมา...

    เอาเถอะ...

    ครั้งนี้เธออุตส่าห์เดินมาไกลกว่าครั้งไหน ๆ  หากเจอผู้อื่นจะได้รู้สักทีว่าที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่!

    เสียงน้ำที่ดังขึ้นทำให้เจ้าหล่อนเร่งฝีเท้าไวอีกเท่าตัว...

     


    น้ำตกสีฟ้าใสสูงชะลูดขึ้นไปจนสุดตา สะท้อนแสงสุริยาจนเกิดประกายระยิบระยับชวนมองราวกับม่านแก้ว...

    ทั้งที่งดงามเกินจะกล่าวหากภาพนั้นกลับเป็นภาพที่ทำให้ผู้มาเยือนต้องลอบถอนลมหายใจ...

    ด้วยไม่มีผู้ใดอยู่ ณ ที่นี้ตามแรงคาดหวัง

    แม้กระนั้นชั่วครู่ต่อมานางก็แย้มรอยยิ้มบางอย่างนึกสนุกยามมองไปที่ผืนน้ำสีสวยชนิดหาได้ยากยิ่งตามธรรมชาติทั่วไป สตรีเรือนร่างบางจึงนำมือจุ่มลงไปในน้ำก่อนจะแย้มรอยยิ้มกว้างกว่าเก่ากับความเย็นแสนสบายอันน่ารื่นรมย์ของมัน

    ไม่ต้องคอยให้เสียเวลาเจ้าหล่อนก็ค่อย ๆ หย่อนกายลงไปดำผุดดำว่ายในสายน้ำอย่างสนุกสนานตามประสาภูตแห่งสายธาราเป็นเวลานาน หากชั่วขณะที่เธอต้องการจะขึ้นไปพักบนผืนดินอีกครั้งกลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างซึ่งพันรอบข้อเท้าของตนไว้แน่น!!

    ร่างบางพยายามสลัดพันธนาการนั้นทุกวิถีทางหากดูเหมือนความพยายามจะไร้ผล...

    แรงบีบรัดรอบข้อเท้าดูจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นตามการดิ้นรน...

    และโดยไม่ทันตั้งตัว...

    ร่างบางก็ถูกกระชากจนดำดิ่งลงสู่วังวนแห่งความมืดมิด!!

     


    แม้ร่างกายจะหายใจใต้น้ำได้ตามแบบฉบับของภูตผู้ได้รับเลือกจากธรรมชาติ หากหญิงสาวเองก็ต้องดิ้นรนอย่างแรงเมื่อสิ่งมีชีวิตประหลาดที่กำข้อเท้านางไว้เริ่มเคลื่อนกายขึ้นมาเรื่อยจนมัดไปรอบกายเธอ!!

    เสียงใสพึมพำอยู่ชั่วครู่แสงสีฟ้าก็สว่างวาบขึ้นจากกายสตรีสาวเนื่องด้วยมนตราที่หวังสะกดร่างดำทะมึนที่พันอยู่รอบกายให้คลายออก... หากไร้ผล!! เหตุการณ์ที่ทำเอาเจ้าของเวทต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจนัก เมื่อปกติแทบไม่มีสิ่งใดทานทนต่อมนตราทรงศักดิ์แห่งตน

    ยินดีต้อนรับ... ท่านหญิงเซเรลาเนียแห่งเรเวลล่า

    เสียงทุ้มดังกึกก้องไปทั่วบริเวณราวสะท้อนไปมาตามสายธารที่ไหลวน เรียกสติของภูตสาวให้หลุดจากภวังค์ แล้วใช้เนตรสีฟ้ากวาดตามองไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง...

    แม้จะไม่สะดวกนักด้วยติดอยู่ในพันธนาการ หากสตรีเจ้าของชื่อก็รู้ชัดว่ารอบข้างไม่มีผู้ใด!

    ท่านหญิงไม่ต้องสงสัยว่าข้าเป็นใครหรอก..

    คำตอบกลางใจจากเสียงทุ้มไร้ที่มายังคงกล่าวต่อไปจนผู้ฟังต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด เพราะความทรงศักดิ์ของบุรุษปริศนาผู้พูดนั้นฉายชัดให้รู้สึกได้ทั้งที่ผู้ฟังมิอาจจะมองเห็นกาย...

    ยิ่งรวมกับความจริงที่ว่าบุรุษผู้นี้มีอำนาจ ขนาดสะกดมนตราของเธอได้ด้วยแล้ว

    ตัวจริงของบุคคลผู้นี้ก็ยิ่งน่ากลัวเกรง!

    หากกระนั้น แม้สถานการณ์จะตึงเครียดและเจ้าของเสียงปริศนาจะลึกลับชวนให้ไม่ไว้ใจเพียงใด แต่ความรู้สึกส่วนลึกในใจนั้นบอกหญิงสาวว่าบุคคลผู้นี้ไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเธอ

    ดังนั้นแม้นัยน์ตาคู่สวยจะฉายแววไม่แน่ใจ หากน้ำเสียงหวานใสที่เอ่ยออกมากลับไม่มีความหวาดหวั่น

    "ท่านต้องการสิ่งใด?!" เอ่ยถามเข้าเรื่องอย่างตรงประเด็นเป็นที่สุด

     หืม...ข้าต้องการสิ่งใดงั้นหรือ?’

     น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่กล่าวกลับมาคราวนี้นอกจากจะทรงอำนาจแล้วยังแฝงความพอใจเอาไว้อย่างลึกล้ำ ความพอใจที่ทำเอาผู้ฟังต้องลอบเก็บงำความคิดว่ามันเป็นเพราะเหตุใด...

    ...ข้าไม่ได้ต้องการอะไรสิ่งใดจากท่านหรอกท่านหญิงน้อย... ข้าเพียงแค่อยากจะมอบของรับขวัญให้ผู้มาเยือนดินแดนแห่งนี้ก็เท่านั้น...

    เสียงทุ้มเงียบไปราวกับกระตุ้นให้ผู้ฟังรอคอย สายน้ำรอบกายที่เคยเย็นจัดเริ่มอุ่นลงจนรู้สึกผ่อนคลาย หากกระนั้นพันธนาการซึ่งกักขังร่างของเธอไว้ก็ยังไม่ยอมคลายออก ทิ้งกายของหญิงสาวให้ล่อยลอยเดียวดายกลางสายธารอย่างไร้ความสามารถในการป้องกันตัว!

    หากดูเหมือนเจ้าของเสียงปริศนานั้นจะไม่สนใจเลยสักนิด เสียงทุ้มนั้น...จึงกล่าวต่อไปอย่างเชื่องช้า ทว่ากลับเน้นย้ำและทรงพลังอำนาจยิ่ง

     ...เอาเป็นอะไรดีล่ะ? อนาคต...ดีไหม?!

    ราวกับไม่ต้องการคำตอบสายน้ำรอบ ๆ กายของผู้ถูกเรียกว่าท่านหญิงแห่งเรเวลล่าก็หมุนเป็นวงกลมล้อมรอบตัวเธออย่างรวดเร็ว ความรุนแรงของมันทำเอาเส้นผมสีธาราพลิ้วไหวสะบัดไล้ไปตามผืนธาร ก่อนภาพอันเลือนรางจะปรากฏขึ้นบนสายน้ำที่หมุนวน!

    ภาพแรกนั้นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนตาสีมรกตกำลังจุมพิตมือขาวจัดของใครบางคน เสียงเอ่ยวาจาจากชายหนุ่มผู้นั้นฟังไม่ได้ศัพท์แล้วภาพนั้นก็จางหายไปก่อนปรากฏภาพใหม่ขึ้นมาแทนที่...

    ตัวเธอกำลังยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผมเรือนผมรัตติกาลดวงตาสีน้ำทะเล ด้วยสีหน้าที่เรียกได้ว่าบูดสุดกู่แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพนี้ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดิมก่อนจะปรากฏภาพใหม่ขึ้นมาทดแทน

    สาวน้อยน่ารักเรือนผมและดวงตาสีเพลิงกำลังส่งยิ้มให้เธออย่างร่าเริง  

    หากก่อนที่จะทันได้เห็นภาพถัดไปร่างบางก็รู้สึกอบอุ่นวาบไปทั่วร่างก่อนแสงสีทองจะสว่างเจิดจ้าออกมาจากหน้าผากมน...กลืนกินทำลายซึ่งพันธนาการทั้งหมดทั้งมวลอย่างรวดเร็ว เนตรสีฟ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตกใจก่อนจะรู้สึกถูกกระชากอย่างแรงดุจถูกมือที่มิอาจมองเห็นฉุดกายวูบขึ้นมาจากสายธารก่อนจะมานอนหอบที่พื้นหญ้าริมน้ำตกอย่างหมดแรง...

    นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบมองคนที่ใช้มนตราประหลาดฉุดเธอขึ้นมาจากธารา ก่อนจะต้องเบิกตากว้างตกใจเสียยิ่งกว่าตอนเห็นภาพที่เสียงปริศนากล่าวอ้างว่าเป็นภาพอนาคตเสียอีก!!

    สตรีร่างบางเจ้าของเรือนผมสีทองกำลังใช้นัยน์ตาสีเดียวกันทอดมองมาที่เธออย่างอ่อนโยน หากสิ่งที่น่าตกใจคือสตรีตรงหน้ามีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายเธอเสียจนน่าหวาดหวั่น!

    "ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ...เซเรลาเนีย ที่ฉุดเจ้าขึ้นมาแรงซะขนาดนี้ แต่เราเกรงว่าพลังเวทของเจ้าในตอนนี้คงจะไม่สามารถทนเห็นอนาคตได้นานนัก" สตรีเบื้องหน้าเว้นวาจาไปพักใหญ่ก่อนจะยื่นมือมาให้เธอเป็นเชิงแนะนำตัวพร้อมแย้มรอยยิ้มอ่อนโยน

    "ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จ๊ะ... เซเร  เราชื่อเซนเดอริเซีย คงจะดีกว่าหากเจ้าจะเรียกว่าเซนเซีย" ทั้งที่สมองยังมึนงงไปหมดกับเรื่องต่าง ๆ ที่ดูจะเกิดขึ้นเร็วเหลือรับ ทว่าด้วยมารยาทที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่จำความได้ทำให้เซเรยื่นมือกลับไปจับตอบสตรีเจ้าของดวงเนตรสีทองที่ฉายแววรอบรู้อย่างปิดไม่มิด...

    ...ความรอบรู้รวมถึงความทรงศักดิ์ ชนิดแค่เอ่ยวาจาผู้คนก็คงยอมสยบอยู่แทบเท้า!

    "ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันค่ะ...ท่านเซนเซีย"เสียงหวานเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มในขณะที่สมองกำลังประมวลความคิดอย่างหนัก

    แปลก...แปลกมาก

    ทุกคนที่นี่ดูเหมือนจะรู้จักเธอ  ทั้งที่เธอแน่ใจว่าไม่เคยแม้กระทั้งพบเจอพวกเขามาก่อน  

    มัน...ประหลาด

    ประหลาดจนเกินไป!!

    หากก่อนที่เธอจะได้เอ่ยถามอะไร  เซนเดอริเซียก็ชิงตัดบทเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าทุกที

    "สำหรับคำถามมากมายของเจ้าคงจะต้องเก็บไว้ก่อนนะเซเร เจ้าใกล้จะตื่นเต็มทีแล้ว...เมื่อตื่นเจ้าจะจากไป เสียดายจริงที่ได้คุยกันน้อยเหลือเกิน  แต่เร็ววันนี้เราจักได้เจอกันใหม่  ขอให้พระเจ้าช่วยอำนวยพรให้โชคดีจงสถิตอยู่กับเธอนะจ๊ะ...เซเร"

    ภาพบุปผาแสนงามคละสีนานาพันธุ์และน้ำตกซึ่งชวนมองราวกับม่านแก้วถูกหมอกควันเข้าปกคลุมเจือจางมันไปอย่างเชื่องช้า พร้อมกับการที่รัตติกาลเริ่มกลืนกินแสงสว่างให้เลือนหาย...

    และนั่น...เป็นเสียงสุดท้ายก่อนสติทั้งมวลของเซเรลาเนียจะดับวูบลง

     

    เสียงวิหคขับขานรับรุ่งอรุณที่แว่วมาทำให้ร่างบอบบางของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าไหวกายน้อย ๆ  ก่อนแสงแดดบางเบาที่ลอดเข้ามาคลอเคลียจะทำให้นัยน์เนตรเรียวปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า

    ภาพห้องนอนแสนวิจิตรโทนสีฟ้าขาวเจนตาแทนที่ดินแดนประหลาดมากด้วยปริศนา  ทำให้เซเรลาเนียอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ คำตอบของความลับที่เธอเสาะหามาตลอดอาทิตย์ท้ายสุดก็กลับหลุดลอยหายไป...

    แต่อย่างน้อยคราวนี้เธอก็ไปได้ไกลกว่าทุกที

    เธอได้รู้ว่าดินแดนแสนแปลกนั่น มีผู้อื่นอาศัยอยู่ ไม่ใช่ตนเองที่ประหลาดโดนดึงไปเพียงผู้เดียว...

    ความคิดที่ทำให้ต้องนึกย้อนไปถึงหนึ่งสตรีซึ่งอยู่ที่นั่น...

    ท่านเซนเซียผู้มากด้วยอำนาจ...

    อำนาจ... ที่มิต้องแสดงออกเธอก็รู้สึกได้  

    หากนางผู้ยิ่งใหญ่นั้น... เป็นใครกันเล่า?

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     เสียงเคาะประตูขัดจังหวะ ทำให้เซเรลาเนียต้องตัดความว้าวุ่นทิ้งแล้วหยิบหน้ากากของสตรีผู้สูงส่งแสนเพียบพร้อมแห่งเรเวลล่าขึ้นมาสวมใส่อย่างเช่นปกติ

    "เข้ามาได้"  

    ประตูสลักลายวิจิตรงดงามบานใหญ่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นสตรีสูงวัยเดินนำหน้าเหล่านางกำนัลเข้ามา  ร่างของหญิงชราก้าวออกมาข้างหน้าย่อกายแสดงความเคารพต่อท่านหญิงแห่งเรเวลล่าเล็กน้อยอย่างผู้ถูกฝึกกวดขันมาดีก่อนเอ่ยวาจา

    "ท่านเฟรานีย่าให้มาแจ้งแก่ท่านหญิงว่า วันนี้จะมีแขกจากทางเซดาลีนมาร่วมรับประทานอาหารเช้า ข้าจึงพาพวกนางกำนัลมาช่วยท่านหญิงแต่งตัว"

    "ฝากเรียนท่านเฟรานีย่าด้วยว่าข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านแม่นมมากที่ช่วยเป็นธุระให้" เสียงใสจากร่างบางที่นั่งบนเตียงกล่าวราบเรียบกับแม่นมนาเท็ตช่าที่เดินหลีกออกจากห้องไป เซเรลาเนียลุกขึ้นยืนก่อนจะสาวเท้าหายเข้าไปห้องน้ำแล้วออกมาอีกครั้งในชุดคลุมอาบน้ำให้เหล่านางกำนัลช่วยกันประทินโฉมมิขาดมือ  ทำเอาสตรีที่นั่งนิ่งราวกับตุ๊กตารู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นที่สุด

    งานเลี้ยงรับร้องของชนชั้นสูงนั้นเต็มไปด้วยหน้ากากบางเบา แสร้งยิ้ม แสร้งหัวเราะ หรือแม้กระทั่งการแกล้งทำเป็นชมชอบในความโอ้อวดของผู้มาเยือน... แม้ภายใต้หน้ากากนั้น จะประกอบไปด้วยความชิงชังมากเท่าไหร่ก็ตาม

    หากครั้งนี้นั้นต่างออกไป...

    ฟีลาเนเซียแบ่งดินแดนตามธาตุทั้งหกและมีเมืองศูนย์กลางการปกครองหนึ่งเมือง...

                เซดาลีน... เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ หากกลับมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในเมืองทั้งหมด เมืองซึ่งท่านธิดาเทพและท่านทูตแห่งความตายเจ้าของอำนาจสูงสุดแห่งฟีลาเนเซียปกปักษ์ดูแลไว้...

                ความคิดที่ทำเอาเซเรลาเนียลอบผ่อนลมหายใจยาว

    เซดาลีนส่งคนมา... บางทีเธออาจต้องเตรียมใจรับเรื่องร้ายแรง

     


    สตรีหน้าตาสะสวยดูสง่าในเครื่องแต่งกายยาวกรอมเท้าสีฟ้าตัดจากผ้าเนื้อดีรับกับนัยน์เนตรคมสีธารา ช่วยขับผิวขาวให้ยิ่งดูโดดเด่น เส้นผมงามละเอียดถูกรวบถักเป็นเปียไว้ด้านข้างก่อนจะแซมด้วยดิ้นทองพันเป็นเกลียว เทียร่าสีเงินประดับไพลินบ่งบอกฐานะของผู้สวมใส่ถูกจัดวางไปด้านข้างนิด ๆ อย่างดูมีศิลป์ ริมฝีปากบางถูกแต่งแต้มให้เป็นสีชมพูระเรื่อทรงเสน่ห์ชวนหลงใหล

    ภาพเบื้องหน้าดุจภาพวาดชั้นดีที่มีจิตรกรมือเอกมาสรรค์สร้าง พาให้เหล่านางกำนัลนึกชื่นชมท่านหญิงน้อยของตนยิ่งนัก นางวางตัวได้ดีเสมอ เช่นเดียวกับตอนนี้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยกริยาอันแสนสง่า หากทว่าเหล่านางกำนัลไม่ได้รู้เลยว่าในใจคนที่ถูกชื่นชมบูชานั้นแสนจะกังวลสับสนเพียงใด

                 เธอเองไม่นิยมการออกไปพบปะผู้คน  ถ้าเลี่ยงได้เธอมักเลี่ยงเสมอ  หากท่านเฟรานีย่าสั่งมาเองคงจะต้องมีเหตุจำเป็นจริง ๆ และเธอก็ไม่ใช่คนเอาแต่ใจตัวเองจนเสียงาน

    มือบางภายใต้ถุงมือยาวถึงศอกลอบกำแน่นใต้โต๊ะมิให้ผู้ใดเห็นเพื่อบรรเทาอาการวิตกของตน ก่อนเซเรลาเนียจะค่อย ๆ คลายกำมือนั้นลงและเชิดหน้าขึ้นเรียกความมั่นใจยามเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มคณะใหญ่เคลื่อนเข้ามาใกล้ให้ได้ยิน

    "องค์รานีแห่งเรเวลล่า... ท่านเฟรานีย่า  เสด็จ" เสียงประกาศจากนาเท็ตช่าแม่นมของเซเรลาเนียที่เป็นถึงคนสนิทของเฟรานีย่าทำให้คนวางตัวไม่ถูกจำต้องลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารมายืนที่ด้านข้างแทนอย่างรู้มารยาท

    ยามเมื่อประตูห้องอาหารเปิดออกอีกคราผู้ที่เดินนำเข้ามาเป็นคนแรกคือสตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินเจ้าของนัยน์เนตรสีฟ้าที่ทั้งทรงอำนาจและแสนรอบรู้ บนเรือนผมสีเดียวกันของนางประดับด้วยเทียร่าสีทองฝังไพลิน... บ่งชัดถึงตำแหน่งอันทรงเกียรติของนาง...องค์รานีแห่งเรเวลล่า

    ภูตน้ำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในฟีลาเนเซีย!!

    หากแต่สายตาของเซเรกลับถูกสะกดอยู่ที่อื่น หล่อนมองเลยผ่านความงามติดตรึงเยี่ยงภูตขององค์รานีแห่งเรเวลล่าเพื่อจับจ้องไปยังบุคคลผู้เดินตามนางเข้ามา...

    ชายซึ่งมีทุกส่วนสัดแห่งความสง่าและเข้มแข็งชวนให้ทุกอิสตรีเคลิ้มฝันหลงใหลแม้ใบหน้านั้นจะหวานเยี่ยงสาวงามหายากจนเหล่านางกำนัลผู้ลอบมองนึกอาย...

    หากนั้นไม่ได้มีความสำคัญต่อเซเรลาเนียแต่ประการใด หากมิใช้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนและนัยน์ตาสีมรกตชวนคุ้นเคยทั้งที่ไม่เคยพบพานกันมาก่อน

    ภาพที่เล่นงานให้ท่านหญิงน้อยแห่งเรเวลล่าถึงกับลืมเก็บอาการ แล้วเบิกตากว้างตกใจ กับผู้มาเยือนซึ่งคาดไม่ถึง...

    บุรุษคนแรกในห้วงฝันของเธอเอง!

     


    ดวงตาสีธาราสดใสเหลือบมองคนข้างกายที่กลายเป็นว่าหลังรับประทานอาหารซึ่งมีการสนทนาแนะนำตัวกันเสร็จสิ้นลงไป ท่านหญิงเฟรานีย่าก็ส่งโด่งให้เธอมาเป็นผู้นำเที่ยวกิตติมาศักดิ์ในบริเวณราชฐานแห่งเรเวลล่ากับหมอนี่...

    บุรุษอีกคนที่เธอควรสงสัย...

    ลาซาลัส... ผู้วิเศษแห่งเซดาลีน

                "สวนของเรเวลล่าแห่งนี้ดูร่มรื่นนัก ทั้งยังวางผังได้อย่างงดงาม ได้ยินจากท่านเฟรานีย่ามาว่าท่านหญิงเป็นคนดูแลเอง หม่อมฉันเองก็ชอบพฤกษา ท่านหญิงคงไม่ว่ากระไรถ้าไว้ว่าง ๆ หม่อมฉันจะมาขอฝากตัวเป็นศิษย์" คำสนทนาแรกกลับมาจากผู้มาเยือนทำเอาเจ้าบ้านรู้สึกผิดกับความไร้มารยาทเพราะมัวแต่คิดมากของตัวเอง

                "เรเวลล่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ พืชพรรณจึงเติบโตได้ดีเป็นธรรมดา หม่อมฉันไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกเพคะ" ประโยคของสาวน้อยที่จงใจตัดบทเอาดื้อ ๆ ทำเอาอีกฝ่ายลอบยิ้มขัน

                "ท่านหญิงไม่คิดจะชวนหม่อมฉันคุย? " ตาสีมรกตที่เลื่อนมาสบกับเธอทำให้เลือดในกายเซเรลาเนียไหลเวียนร้อนวูบอย่างน่าประหลาด ราวกับมีพลังงานที่มองไม่เห็นส่งผ่านไปมาระหว่างเขาและเธอ ดวงหน้างามมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยครุ่นคิดกับบรรยากาศแปลก ๆ ก่อนส่งรอยยิ้มเสแสร้งให้อีกฝ่ายอย่างมีมารยาท

                "หามิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ไม่กล้าชวนบุรุษที่เป็นถึงบุคคลในตระกูลองครักษ์ของท่านธิดาเทพสนทนาทั้งที่ยังไม่คุ้นเคยกัน" คำตอบที่ทำให้ลาซาลัสนึกรู้ความนัยของสตรีตรงหน้า

                ...หล่อนกลัวการผูกมิตร

    "เคยมีคนบอกท่านหญิงไหม... ว่าดวงตาของท่านนั้นดูเศร้าตลอดเวลา หากเป็นตามที่หม่อมฉันคาดเดา นั้นก็คงเป็นเพราะท่านหญิงปิดกั้นตัวเอง... ไม่อยากหรือไม่กล้าแม้แต่จะพูดคุยกับผู้ใด" คำพูดแทงใจทำให้อีกฝ่ายนิ่งงัน บุรุษแห่งเซดาลีนจึงยิ้มค้าง เกาผมแก้เก้อแล้วก้มลงไปคว้าดอกไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นหญ้ามายื่นให้สตรีสาว ก่อนคนพูดตรงเผงจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลงราวปลอบโยน

    มิตรภาพก็เหมือนการปลูกพืชพรรณ กว่าจะเกิดขึ้นได้นั้นช่างยาวนาน เพราะเราหว่านเมล็ด... มันจึงเกิดขึ้น เพราะเราดูแล... มันจึงงอกเงย อาจมีบ้างบางที ที่ความใส่ใจของเรากลายเป็นสิ่งไร้ค่าในชั่วข้ามคืน อาจมีบ้าง... ที่แม้ว่าจะดูแล แต่ผลที่ได้กลับน่าเศร้า แต่นั่นไม่ใช่ ทั้งหมดกาลเวลาที่ยาวนานจะพิสูจน์ในหลายสิ่ง และท้ายที่สุดนั้น... ดอกและผลก็จะตามมา... รอยยิ้มพรายยังคงปรากฏบนใบหน้าลาซาลัส เมื่อเซเรลาเนียเอื้อมไปรับดอกไม้นั้นมาไว้ในมือ

    หากเป็นเช่นนั้นแล้ว... การหยิบยื่นดอกไม้แทนเมล็ดพันธุ์จะหมายความเช่นไรหรือเพคะ?” เอ่ยถามราวกับลองเชิง เพราะในใจนั้นแอบรู้สึกเคืองที่บุรุษผู้นี้กล่าวหาเธอกลาย ๆ ว่าไม่ยอมหว่านเมล็ดพันธุ์!

    ...หากคนฟังกลับรู้ทัน จึงย้อนถามด้วยรอยยิ้ม

    ถ้าท่านหญิงซึ่งเป็นเลิศทางด้านนี้ยังไม่ทราบ... หม่อมฉันเอง ก็ไม่กล้าที่จะล่วงรู้ เนตรสีฟ้าที่อ่อนลงถูกส่งให้ลาซาลัสตอบรับประโยคนั้น เซเรลาเนียมองอีกฝ่ายอย่างพินิจขึ้น อะไรบางอย่างภายใต้ท่าทีอบอุ่นอ่อนโยน คือความไม่ธรรมดา... ไม่ธรรมดามากเลยทีเดียว

    เมล็ดพันธุ์... ต้องหว่าน จึงจะขึ้น

    แต่กับดอกไม้ซึ่งเป็นผลิตผลนั้น...

    ความคิดที่เรียกรอยยิ้มบางให้ปรากฏบนเรียวปากรวมไปถึงดวงตา วาจาน่าฟังทำเอาเธอรู้สึกดีในความหวาดกลัว แม้อดีตที่ล่วงเลยจะสอนให้เธอเลิกเชื่อใจในลมปากของผู้คน แต่นิสัยส่วนลึกของเธอก็ยังอยากลองเสี่ยง

    เสี่ยง... กับคนที่กล้าท้าทายท่านหญิงแห่งเรเวลล่า!!

     


    ดอกไม้แสนบอบบางที่เคยร่วงหล่นจากต้นถูกนำไปวางคืนที่เก่า ก่อนมือซีดเซียวของเซเรลาเนียจะวาดผ่านให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเช่นเก่า ให้ดอกไม้งามสามารถเริงระบำอยู่บนต้น ไม่ต้องหมดค่าอยู่บนผืนดิน

    ท่านหญิงเล่นเอาของขวัญจากข้ากลับคืนสู่ต้นแบบนี้ ข้าเสียใจแย่ ผู้พูดขยับยิ้มเอ่ยกระเซ้าขัดกับวาจาลิบลับ ทำเอาผู้มองนึกหมั่นไส้เดินหนีอีกฝ่ายลึกเข้าไปในสวนเสียอย่างนั้น

    หากยังไม่ทันที่ลาซาลัสจะได้เดินตาม ร่างของเซเรลาเนียก็หันกลับมาสบตา

     ...ท่านยังมีเวลาอีกนาน... ที่จะให้ข้า

    จุดเล็ก ๆ แห่งมิตรภาพอันยิ่งใหญ่เริ่มต้นขึ้นที่ตรงนั้น

    ท่ามกลางธรรมชาติสดใสที่รายล้อมและกลิ่นคาวเลือด!

     

    ข้อมือของบุรุษแห่งเซดาลีนถูกยื่นออกไปเบื้องหน้ายามที่เสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบา

    ชั่วครู่ที่เซเรลาเนียได้แต่ยืนนิ่งงันปล่อยให้แสงแห่งมนตราสว่างวูบขึ้นระหว่างร่างทั้งสอง

    รู้สึกตัวอีกทีนั้น... กลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปในราชฐานแห่งเรเวลล่า แล้วของเหลวสีชาดก็ค่อย ๆ หลั่งรินลงจากข้อมือของบุรุษแห่งเซดาลีน!

    ...นี่คือของขวัญแรกที่หม่อมฉันจะมอบให้... แด่ท่านหญิง

    คำกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท รอยยิ้มยังคงพร่าพรายในใบหน้าหวานเกินสตรีเหมือนเช่นเคย หากคราวนี้สตรีผู้มองกลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด!

    เซเรลาเนียก้าวเท้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วที่แทบจะเป็นวิ่ง หมายจะเข้าไปรักษาบาดแผลที่อยู่ ๆ บุรุษเบื้องหน้าก็ทำร้ายตัวเองขึ้นมาดื้อ ๆ

    แต่ยังไม่ทันที่ท่านหญิงแห่งเรเวลล่าจะได้ทำตามใจตน เสียงของบุรุษแห่งเซดาลีนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฟังดูกังวานหากก็แหบพร่า ดังสะท้อนไปตามทุกหย่อมหญ้าในรั้วราชวังแห่งผืนน้ำ...

    หนึ่งคือวาจาคำสัตย์ ซึ่งประจักษ์พร้อมโลหิตหนึ่งสาย เปรียบดั่งชีวันของทาสมอบแด่นาย แม้นความตายมิอาจพรากเจตจำนงค์...

    สองคือวาจาประจักษ์สิทธิ พร้อมโลหิตซึ่งพรากมาหนึ่งสาย เปรียบประดุจอิสรภาพพรากจากนาย แก้เงื่อนตายซึ่งผูกมัดสายเลือดตน...

    เมื่อคำกล่าวแสนสำคัญนั้นจบลง มนตร์สะกดทุกอย่างก็ดูเหมือนจะพังทลาย ร่างบางของเซเรลาเนียที่ได้แต่ยืนนิ่งรับฟังในสิ่งที่คาดไม่ถึงจึงรีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย พร้อมคว้าข้อมือข้างนั้นขึ้นมาลูบสมานบาดแผลเบา ๆ สีหน้าโล่งใจปรากฏบนใบหน้าหวานอยู่ชั่วครู่... ก่อนจะกลายเป็นแข็งกร้าว!

    พันธะสัญญาของทาสแห่งสายเลือด...ใครสั่งให้เจ้าทำกันแน่ลาซาลัส!!” เสียงใสติดจะตวาดดังจากท่านหญิงผู้เคยแต่วางตัวได้ดีเสมอ...

    เซเรลาเนียรู้สึกได้เพียงความกังวลใจเกินกว่าจะกล่าวของตัวเอง...

    กับการที่อีกฝ่ายเล่นเอาพันธะสัญญาซึ่งเดิมพันด้วยชีวิต... มามอบให้แก่เธอที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก!

    เนตรสีธาราจ้องเขม่งไปที่บุรุษแห่งเซดาลีนอย่างหมายเอาคำตอบเป็นที่สุด ร่างสูงกว่าจึงยอมแพ้ ถอนหายใจเฮือก แล้วเลื่อนเนตรสีมรกตขึ้นมาสบนิ่ง

    ...ผลที่ได้ย่อมไม่แตกต่าง

    เสียงทุ้มที่เอ่ยไป...ดูราวกับไม่ใช่คำตอบที่คู่ควร หากผู้พูดก็เลือกที่จะเอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วลอบสังเกตอาการของอีกฝ่ายเงียบ ๆ

    และนั่น... ทำให้ลาซาลัสทันได้เห็นแววไหววูบในดวงตาสีฟ้าคู่สวย ถึงแม้จะเพียงชั่วครู่ แต่สำหรับคนที่เก็บอารมณ์เก่งอย่างคนตรงหน้าแล้ว...คงต้องถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญทีเดียว

    บางที... บาดแผลของสตรีเบื้องหน้าอาจจะสาหัสกว่าที่ท่านธิดาเทพเล่าให้เขารับฟังมากนัก

    ดวงตาสีเขียวทอประกายอบอุ่นยามกระทำในสิ่งที่อยู่ในห้วงคิดของตน

    ...เงื่อนไขแห่งพันธสัญญายังไม่สมบูรณ์

     

    "เจ้า!"

    อุทานได้เท่านั้นท่านหญิงแห่งเรเวลล่าก็ได้แต่เบิกตาค้างเมื่อคนตรงหน้าคุกเข่าลงก่อนฉวยมือบางของหล่อนไปจุมพิต!

    การกระทำที่ไม่เคยมีบุรุษใดอาจหาญทำกับหล่อน...

    และที่สำคัญ... การกระทำที่เหมือนกับภาพที่เธอเคยเห็นในสายธาร!

    ความรู้สึกอับอายแล่นวูบขึ้นบนดวงหน้างาม... นึกอยากหนีบุรุษตรงหน้าแต่ทำไม่ได้ ยามเมื่อดวงตาสีมรกตเลื่อนขึ้นมาสะกดเธอไว้ ความคุ้นเคยไร้ที่มาก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นำเอาความรู้สึกประหลาดเข้าเกาะกุมกลางใจ

    ริมฝีปากที่แนบอยู่ที่มือบางขยับช้า ๆ อย่างสื่อความหมายตามทุกถ้อยวาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมา

    "หน้าที่ของข้าคือการปกป้องคุ้มครองท่านหญิง กายและใจของข้าจะขออุทิศให้แก่ท่านเซเรลาเนีย หากพระองค์ต้องการสิ่งใด ต่อให้ยากเย็นสักแค่ไหน  ขอเพียงแค่พระองค์เอ่ยปาก ต่อให้เป็นชีวีของข้าผู้นี้ พระองค์ก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการนั้นอย่างแน่นอน...

    ในยามที่พระองค์ต้องหลบหนี สับสนและไม่เหลือใคร ขอพระองค์ช่วยจดจำไว้ ทาสผู้นี้จะขออยู่เคียงข้างนายเสมอ  ...และนี่คือสัตย์สาบานแห่งข้า...ลาซาลัส ทาสของท่านหญิงเซเรลาเนีย"

    สรรพเสียงรอบข้างเงียบงันราวกลับจะตอกย้ำว่ารับรู้และตอบรับต่อคำสาบานของหนึ่งพ่อมดผู้วิเศษและหนึ่งภูตสาว...หนึ่งสตรีที่ภายภาคหน้าจะเป็นผู้กุมกุญแจแห่งความหวังทั้งมวล เป็นผู้ชี้ทางเสมือนดวงดาวในรัตติกาลที่แสนมืดมน 

    ดวงหน้าหวานของภูตสาวขึ้นสีก่ำหนักกว่าเก่าหากก็น่าพิศกว่าเดิม  และบัดนี้บนดวงหน้านั้นก็ปรากฏรอยยิ้มจริงใจอย่างที่ไม่ได้ปรากฏมาเนิ่นนาน เสียงใสที่เปล่งออกมาจึงราวกับท่วงทำนองที่ธรรมชาติขับขาน

    แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนตรงหน้าถึงทำเพื่อเธอเพียงนี้...แต่เธอมั่นใจในความจริงใจและขอเลือกที่จะเปิดใจเชื่อในคำว่ามิตรภาพอีกครา

    "ถ้าเช่นนั้น คำสั่งแรกของข้าคือให้เราเป็นสหายที่ดีต่อกัน ข้าคือเซเร  เจ้าคือลาร์ส ไม่มีตำแหน่ง ไม่มียศศักดิ์มาเกี่ยวพันอีก...เจ้าทำได้ไหมล่ะ?"

    "ขอรับ ทุกอย่างจะเป็นไปตามพระประสงค์..."

    "ใช่ไหมครับ...เซเร"

     


    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรีกาล  แสงนวลจากดวงจันทราช่วยสาดส่องให้เห็นสตรีนางหนึ่งบนระเบียงกว้าง  สายลมที่พัดผ่านทำให้เส้นผมสีธาราปลิวไสว ดวงตาสีเดียวกันกำลังจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่แสงดาวริบหรี่ลงเรื่อย ๆ  ร่างบางก้มหน้าลงต่ำก่อนทอดถอนลมหายใจยาว สติทั้งมวลค่อย ๆ หลับใหลลงสู่ห้วงคำนึงอันล้ำลึก...

    ดวงดาวเป็นเครื่องชี้ดวงชะตาของฟีลาเนเซียมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อแสงดาราแห่งความหวังนั้นค่อย ๆ ดับวูบไปอย่างที่เป็นอยู่... จะเกิดอะไรขึ้นกับมิติแห่งนี้กันแน่?

    การที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ยิ่งเป็นสิ่งยืนยัน... ภูตชุดใหม่จะถือกำเนิดขึ้นก็ต่อเมื่อธรรมชาติขาดสมดุล... ซึ่งอาจหมายถึงความพินาศยิ่งใหญ่เช่นการล่มสลายของนคร

    หรือการที่ลาร์สมาคุ้มครองเธออาจเกี่ยวพันกับเรื่องนี้?

    ...ความคิดที่ได้แต่ลอบเก็บงำ ก่อนเซเรลาเนียจะตัดสินใจครุ่นคิดในเรื่องที่ใกล้เข้ามามากกว่าเดิม

    พรุ่งนี้... เธอจะต้องเดินทางไปสู่พามาเนทสถาบันแห่งเวทของผู้มีอำนาจมนตราล้นเหลือตามกฎของภูต

    ที่นั่น... เธอคงจะต้องได้พบกับบุคคลระดับสูงคนอื่นเป็นแน่

    ภูตผู้รับใช้ธรรมชาติอีกสามคน...ดินแห่งเดอร์น่า สายลมจากวาตาเซีย และเปลวเพลิงแห่งอดานีน

    ทุกคนย่อมมีด้านมืดและด้านสว่าง...ส่วนใหญ่แล้วรัตติกาลอันเป็นก้นบึ้งของมนุษย์นั้นก็มักจะกลืนกินแสงสว่างเสมอ...

    ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ด้วยแล้ว...เธอจะยังเชื่อใจใครได้อีกหรือ?  

    ลมหายใจถูกผ่อนออกมายาวนานอีกครั้งด้วยรู้ตัวดีว่าถึงคิดอะไรไปให้มากความก็คงจะไม่เกิดผล ร่างบางจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปสู่ห้องนอนของตนก่อนจะล้มตัวนอนลงเตียง แล้วเปลือกตาคู่สวยก็ค่อย ๆ ปรือปิดลงเชื่องช้าดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอันลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง

     


                เปลวไฟดวงน้อยจากเทียนเล่มยาวบนโต๊ะทำงานของผู้ที่มีอำนาจที่สุดในเรเวลล่าสะท้อนเงาวูบไหวของร่างสองร่าง เสียงพูดคุยของทั้งสองดังอยู่เพียงแผ่ว ๆ หากแต่สีหน้าจริงจังของผู้พูดบ่งบอกถึงความสำคัญของเรื่องราวได้เป็นอย่างดี

                "ท่านเฟรานีย่าเพคะ  ท่านคิดว่าลาซาลัสไว้ใจได้มากน้อยเพียงใด"

                "... คนที่ท่านธิดาเทพส่งมาล้วนมีฝีมือฉกาจทั้งนั้น หรือเจ้าจะว่าเจ้าไม่ไว้ใจนางล่ะ... นาเท็ตช่า" คำกล่าวเรื่อย ๆ แต่กดน้ำเสียงเย็นเยือกทำเอาคนที่โดนด่ากลาย  ๆ ว่าไม่ไว้ใจตัวสั่นรีบละล่ำละลักแก้

                "หามิได้เพคะ... หม่อมฉันไม่เคยคิดดูหมิ่นท่านธิดาเทพ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงยอมส่งทาสแห่งนางมาดูแลแค่ภูตตนหนึ่ง" รอยยิ้มบางเบาฉาบลงบนหน้าขององค์รานีแห่งเรเวลล่า ดวงตาสีฟ้าฉายแววระริกราวกับจะขบขันคนข้างกาย

                "แค่ภูตตนหนึ่ง... เจ้าว่าเซเรเป็นเช่นนั้นหรืออย่างไร ? อย่าดูหมิ่นนางนักเลยนาเท็ตช่าข้าไม่เคยบอกเจ้าหรือว่านางน่ะ...ไม่ธรรมดา" ถึงแม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจะกล่าวแบบอารมณ์ดีแต่กลับทำให้ลมหายใจของนาเท็ตช่าสะดุดยามเมื่อสมองประมวลผลอะไรบางอย่างที่น่าพรั่นพรึง

                "ท่านหมายความว่านางจะเป็น..." ท้ายเสียงเงียบไปอย่างนึกไม่แน่ใจหากนัยน์เนตรของเฟรานีย่าที่ทอดมองกลับมากลับตอบรับคำตอบที่รู้กัน

                "เจ้าจะรับรู้เมื่อถึงเวลา... นาเท็ตช่า อีกไม่นานนักหรอก ยามใดที่ราตรีไร้ดวงดาว..ยามนั้นผู้ชี้ทางย่อมปรากฏ ในยามนี้พวกเราที่ไร้ซึ่งอำนาจคงจะได้แต่สวดมนต์ให้กาลนั้นมาถึงอย่างช้า ๆ

                อ้อนวอน...ให้คราวนี้ผู้สูญเสียมีไม่มากเท่าหลายสหัสวรรษก่อน..." นาเท็ตช่าเหลือบมองคนพูดซึ่งมีศักดิ์เป็นนายเหนือหัวตนก่อนเอ่ยวาจาที่อยู่กลางใจอีกฝ่าย

                "ได้แต่อวยพร...อย่าให้ฟีลาเนเซียต้องแตกสลาย  และที่สำคัญที่สุดได้แต่ภาวนาให้เหล่าภูตอย่าต้องเข่นฆ่าผู้ใดอีก" คนสูงศักดิ์กว่าพยักหน้าน้อย ๆ รับถ้อยวาจานั้นก่อนจะค่อย ๆ ย่างก้าวไปที่ระเบียงแล้วแหงนดวงพักตร์มองฟากฟ้า ขยับริมฝีปากเอ่ยแผ่ว ๆ ราวตอกย้ำกับตนเอง...

                "ในยามที่ดวงดาวนั้นดับสูญเช่นบัดนี้ สิ่งที่เราต้องการ... ก็คงเป็นดั่งความหวังที่ไกล... แสนไกล"

                แสงริบหรี่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า บางแห่งดับวูบลงไป ตอบรับถ้อยวาจานั้นเป็นอย่างดี

              ... ดวงดาวกำลังร่ำไห้

     

    ________________________________________________________________________

    17 พ.ค. 08

    อืม...รีไรท์ เหมือนจะสมบูรณ์แล้วมั้งคะ...

    คือ... รู้สึกเหมือนอยากจะแก้อีก เหมือนมีสิ่งที่ต้องแก้
    (เหมือนมันจะไม่ค่อยต่อเนื่องรึเปล่าคะ
    ?)

    แต่ยังไม่รู้จะจัดการยังไง...

    เพราะฉะนั้น ช่วยคอมเม้นท์เสนอแนะกันหน่อยนะคะ (ยิ้ม)

    ปล.แก้ภาษา+คำผิดครั้งที่ 1 ให้เครดิตหวัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×