ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มิติแห่งมนตรา...ฟีลาเนเซีย[ดองค่ะ]

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 51


     

    บทนำ

     

                แสงนวลจากดวงจันทราสาดส่องลงมากระทบเข้ากับปราสาทสีขาวพิสุทธิ์ซึ่งตั้งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกควัน สิ่งก่อสร้างที่ราวกับผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่าเพื่อเป็นสิ่งแสดงตัวตนแห่งแสงสว่าง ราวกับการแต่งแต้มสีน้อย ๆ ลงบนภาพวาดสีดำสนิทบนท้องนภา...

                บทยอดหอคอยสูงสุดนั้น...

                สตรีร่างบอบบางน่าทะนุถนอมกำลังเหลือบนัยน์เนตรสีทองแสนรอบรู้ขึ้นไปจับจ้องบนท้องฟ้ากว้าง ปล่อยให้เรือนผมสลวยปลิวพลิ้วไปตามสายลม ยามหูสดับฟังเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ก้าวเข้ามาใกล้... ดวงหน้างามก้มลงต่ำแล้วถอนลมหายใจยาว...ก่อนการปรากฏตัวของผู้มาใหม่จะทำให้หล่อนเอ่ยเบา ๆ ราวกับรำพึง

                "คืนนี้ดวงดาวทอแสงน้อยลงอีกแล้ว..."

                ชายหนุ่มรูปหน้าคมคายเจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลใช้นัยน์เนตรสีนิลทรงเสน่ห์จับจ้องไปยังสตรีผู้รอบรู้ทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้าก่อนเอ่ยเรียบ ๆ

                "เจ้าเห็นอะไรกันแน่" ดวงเนตรของผู้ถูกถามไหววูบ ก่อนเสียงใสจะเอ่ยไปอีกเรื่อง

                เขาว่ากันว่าแสงจากดวงดาวเป็นแสงแห่งความหวัง... ทุก ๆ คนจักกล้าทำทุกสิ่งตราบที่มีความหวัง...“ ริมฝีปากแดงอิ่มเม้มแน่นยามเว้นวรรควาจาด้วยเลื่อนสายตาขึ้นไปสบกับบุรุษสูงศักดิ์

                "...เสียแต่ตอนนี้ไม่มีแสงดาว"

                บุรุษผู้สดับฟังมีสีหน้าเคร่งขรึม เนตรสีนิลทอดมองไปไกลยังความกว้างใหญ่ไพศาลของท้องฟ้าเบื้องบนก่อนเอ่ยถามในสิ่งที่ครุ่นคิด

                "เจ้าเคยบอกว่านางจะเป็นดั่งความหวังของชาวเรา คำเอ่ยที่เรียกรอยยิ้มน้อย ๆ บนดวงหน้างาม

    "นางเป็นยิ่งกว่านั้น...ท่ามกลางความสิ้นหวังนางจักเป็นผู้ชี้ทาง"

    "ก็ในเมื่อเจ้ารู้ในทุกสิ่งทำไมถึงไม่แก้ไข"

    "บางสิ่งรู้ก็เหมือนไม่รู้"

    ดวงหน้าคมคายชักเริ่มตึงกับการเถียงแบบเด็ก ๆ เสียงทุ้มจึงหลุดสบถ...

    "จ้าวความลับ"

    สตรีสูงศักดิ์หัวเราะคิกขบขันกับความหงุดหงิดของอีกฝ่าย... เสียงหวานที่เอ่ยออกมาจึงเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ

    "รู้แล้วยังถาม"

    เจ้าหล่อนกระแอมไอสองสามทีก่อนดวงหน้างามจะแปรเปลี่ยนกลับเป็นเคร่งขรึม แล้วเสเอ่ยไปเรื่อยราวคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

    "มันเป็นเรื่องเมื่อเนิ่นนาน... เป็นความผิดพลาดซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ครั้นที่เทพเจ้าบันดาลให้เกิดเมืองขึ้นมาเพียงเพราะนิยมชมชอบในสิ่งที่แตกต่าง ผิด... ที่ท่านเมตตาชาวเรามากกว่ามนุษย์และเลือกที่จะให้เรามีมนตรา ผิด... ที่ท่านเริ่มเบื่อหน่ายและพิสมัยให้สงครามก่อกำเนิด..."

    "... สงครามหากเคยมีขึ้นสักครามันจะไม่มีวันจบ ...แม้บัดนี้จะเห็นชาวเราแบ่งเขตแดนและอยู่กันอย่างสมดุลกลมเกลียวตามธาตุแห่งธรรมชาติ แต่ก็นั่นแหละ มันคือความผิดพลาดของสิ่งมีชีวิตแสนเขลา ซึ่งเลือกที่จะมีความแตกต่างเช่นแสงสว่างและความมืด

    ยกย่องเทิดทูน...เซดาลีนสุดขั้วหัวใจ

    ในขณะเดียวกันก็แสนชิงชัง...ฟาเซล..."

    "... ยังไม่นับการเลือกให้ภูตผู้เป็นทาสรับใช้แห่งธรรมชาติขึ้นมาเป็นชนชั้นปกครอง และเลือกที่จะกดผู้ที่มีเศษมนตราให้ไร้ค่าต่ำต้อย หาได้มีความสำคัญดั่งผู้มีมนตราไม่ มันคือความผิดพลาดซ้ำ ๆ หลากครั้งหลายครา... ยาวนานเกินกว่าจะแก้ไขได้หากมิมีการสละเลือดเนื้อ…"

    "ฟีลาเนเซียไม่มีสงครามมาเนิ่นนานแล้ว... เจ้าต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่"

    หากแต่สิ่งที่ตอบความร้อนรนของอีกฝ่ายมีเพียงรอยยิ้มลึกลับบนเรียวปากสีสด... เย้ยหยัน... เศร้าสร้อย   ดวงหน้างามของอิสตรีแลดูเหม่อลอยในขณะที่เจ้าหล่อนทอดมองไปไกลแล้วแย้มรอยยิ้มบาง...

    "วันนี้ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง... มันเป็นตำนานเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่และผู้คนเลือกที่จะลืมเลือนไปนานแสนนาน เจ้ายังจำได้ไหมถึงตำนานชีวิตของท่านเฮมอสและเดริกผู้ยิ่งยง เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าสร้างนครแห่งนี้ขึ้นมา ท่านทั้งคู่คือสองพี่น้องร่วมสาบาน จอมเวทผู้ดูแลนครแห่งมนตราฟีลาเนเซีย

    หากแต่ในวันหนึ่ง... ชะตากรรมอันโหดร้ายก็ได้เกิดแต่พวกเขาเพียงเพราะพระเจ้าเบื่อหน่ายในความสุขสงบอันยาวนาน... ผู้อนุชาเดริกเป็นฝ่ายตัดสัมพันธ์โดยยึดครองอาณาจักรทั้งหมดทางทิศประจิม แอบสั่งสมกำลังพลเงียบ ๆ เพื่อก่อสงคราม

    หลังจากนั้นทศวรรษ... เดริกผู้ครอบครองอำนาจอันสมบูรณ์ก็ได้ส่งกองทัพไปท้าทายเฮมอสผู้ซึ่งกลายเป็นกษัตริย์แห่งดินแดนมนตราที่เหลือ

    สงครามในครานั้นทั้งสองพงศ์พันธุ์มีแต่ความสูญเสีย เฮมอสเป็นฝ่ายได้ชัย เนื่องด้วยความช่วยเหลือจากเทพธิดาอาเธน่าเทพีแห่งความรู้ผู้มีความชาญฉลาดเหนือผู้ใด สงครามได้เลิกราแต่ตราบใดที่ทายาทของทั้งสองฝ่ายยังดำรงเผ่าพันธุ์   ความแตกแยก... ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลีกหนี…"

    สตรีผู้เล่าเรื่องราวหัวเราะเบา ๆ ราวจะขบขันเรื่องราวที่ตัวเองบอกเล่า... บุรุษผู้ฟังจึงเอ่ยเสียงขรึมกับอาการของอีกฝ่าย

    "เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว"

    เสียงทุ้มแสดงความหงุดหงิดที่ยากนักจะเกิดกับผู้เงียบขรึมเป็นนิตย์อย่างบุรุษเรือนผมและนัยน์เนตรสีรัตติกาล ทำเอาสาวน้อยผมทองหัวเราะคิกคักชอบใจก่อนนัยน์เนตรคู่สวยจะพราวระยับยามเจ้าตัวหันกลับไปทอดสายตามองไปยังนภากว้างยามราตรี...

    ทิ้งความเงียบให้โรยรา เหลือเพียงเสียงใบไม้ร่วงหล่นและสายลมที่กรีดกราย...

    ก่อนเสียงขับขานลำนำแสนหวานจะดังกังวานไปในราตรี...

     

    ...บทเพลง บรรเลง แผ่วเบา

    เรื่องเล่า จักถูก ขับขาน

    นิทาน กาลก่อน วันวาน

    ตำนาน แห่งทิวา ราตรี

    ...บทเพลง บรรเลง เชื่องช้า

    ฟากฟ้า ปราศจาก แสงสี

    เหตุไร้ ดารา ในราตรี

    เปรมปรีดิ์ สิ้นสูญ ยาวนาน...

    ...บทเพลง บรรเลง อีกครั้ง

    ความหวัง จักถูก ขับขาน

    ชี้ทาง ตำนาน แห่งกาล

    ข้ามผ่าน รัตติกาล มืดมน...

    บทเพลง ยังคง บรรเลง

    เปล่งเพลง ร้อยเรียง สับสน

    หนทาง เบื้องหน้า ช่างมืดมน

    สับสน สูญสิ้น หนทาง...

     

    เมื่อเสียงใสจบลง ความวังเวงก็เริ่มเข้ามาแทนที่เช่นเก่า

    หากคราวนี้สายลมและเหล่าใบไม้กลับนิ่งสนิท... ดุจต้องการไว้อาลัยให้บางสิ่งบางอย่าง

    ก่อนการไหวกายดั่งปกติจะเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง ทิ้งเสียงเสียดสีแผ่วเบาซึ่งทำเอาผู้ฟังเกิดความรู้สึกเศร้าพุ่งกุมใจ ราวกับเสียงบทเพลงแห่งธรรมชาติ ที่กำลังขับขานตอบรับถ้อยคำธิดาพยากรณ์

    สตรีร่างบางรับฟังสิ่งนั้น นางผายมือออกแล้วย่อกายลงต่ำ... เชื่องช้า งามสง่า การกระทำที่เรียกสายตาประหลาดจากบุรุษผู้ยืนเคียงข้าง หากผู้กระทำกลับเพียงแย้มรอยยิ้มบางก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากหาวและกล่าวเรียบง่าย...

    "ข้าคงต้องขอตัวไปนอนก่อน" คิ้วบนดวงหน้าของบุรุษขมวดมุ่นอย่างวิตกเหลือคณา... ให้ชวนสงสัยว่าทำไม?

    "พักนี้นิทราของเจ้าบ่อยและยาวนานนัก..."

    วาจาเปรยดั่งไร้ความหมายที่เรียกรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าผู้ฟัง เสียงสนทนาสุดท้ายแห่งค่ำคืนจึงเป็นการรับคำ ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะปริดปลิวหาย... ลาลับไปกับสายลม... กลมกลืนไปกับความมืดมิดแห่งรัตติกาล

    "เจ้าก็รู้... ว่ามันหมายความเช่นไร"

     

     

                เบื้องหลังไกลห่างออกไปนั้น... ดาราที่เคยพร่าพรายกระจ่างฟ้ากลับดับแสงลง  ทิ้งให้สหายเช่นดวงจันทราผจญอยู่ในห้วงอนธกาลแสนว่างเปล่าอย่างเปลี่ยวดาย...

                เสียงกระซิบแผ่วเบาดังสืบต่อไปในพงไพร แจ้งขับขานลำนำด้วยท่วงทำนองที่อ้างว้างเหลือคณา...

    หมอกควันไร้ที่มากำลังเคลื่อนกายไปปิดบังฟากฟ้าอย่างเชื่องช้าเศร้าสร้อย... ดูราวกับหัตถ์แห่งความมืด ซึ่งพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะแบ่งกั้นให้สรรพสิ่งมีเพียงขาวกับดำ

     

    __________________________________________________________________
    14 พ.ค. 08
    ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ฟีลาเนเซียค่ะ...
    ไม่รู้ว่าการแก้ไขครั้งนี้จะดีขึ้นหรือแย่ลงแค่ไหน
    แต่เมโลเองก็ได้ใช้ความตั้งใจและพยายามกับมันมากเลย...
    ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนมากค่ะสำหรับการติดตาม(ยิ้ม)

    ปล.ตัดสินใจใช้กลอนอันที่สองก่อนเพราะว่ายังไม่สามารถแก้สัมผัสกลอนแรกได้ค่ะ(ฮา) และจะพิจารณาใหม่อีกทีนะคะ
    ปล2.หอคอยกลายเป็นคอหอย... ขอบคุณพิมมากที่ทัก พี่ขำจริง ๆ สิให้ตาย...

    ปล3.เข้ามาอีดิทแก้Frontค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×