ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มิติแห่งมนตรา...ฟีลาเนเซีย[ดองค่ะ]

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 ความต้องการที่แตกต่าง

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ค. 51


     

    ตอนที่ 4 ความต้องการที่แตกต่าง

               

              ระเบียงกว้างห่างไกลจากบริเวณงานกลายเป็นแหล่งชุมนุมของฝูงชนแทนห้องโถงที่จัดงานไปเสียอย่างงั้น...ยามเมื่อมีแม่เหล็กชั้นดีสองร่างยืนนิ่งแข่งกันเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง...

                นัยน์ตาสีฟ้าของสตรีแลดูว่างเปล่า... ในขณะที่เนตรสีน้ำทะเลของฝ่ายบุรุษก็แสนเย็นชา...

    ถึงกระนั้น... เสน่ห์ดึงดูดของทั้งสองร่างก็ถือว่าสอบผ่านได้คะแนนเกินเต็ม...

    เห็นได้จากสายตามากมายหลายคู่ที่เจ้าของพากันมายืนริมรั้วระเบียงจับจ้องแบบไม่กลัวว่าผู้ถูกมองจะรู้ตัวนั้นเป็นสิ่งยืนยัน!!

                เซเรลาเนียเหลือบมองบุรุษหน่วยกล้าตายที่เห็นยืนจ้องเธอมานานแสนนานเดินเข้ามาใกล้...ท่าทางยโสมั่นใจในตัวเองเสียเต็มประดาแลดูน่าขันสำหรับคนอารมณ์ดี... แน่นอนไม่ใช่เธอ

                "ท่านหญิงคนงามกรุณาให้เกียรติเต้นรำกับหม่อมฉันซักเพลง" กล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่มแสนเก็กที่คิดว่ามัดใจหญิงได้ทั้งโลกพร้อมโค้งคำนับแล้วยื่นแขนให้...

                ท่านหญิงแห่งเรเวลล่าคนงามฉีกยิ้มรับคำกล่าว...

                ยิ้มชวนเคลิ้มที่ทำให้คนรอบข้างนึกอิจฉาหนุ่มผู้ได้รับ ในขณะที่คนซึ่งรู้จักเซเรลาเนียดีพอต้องเตือนตัวเองว่าอันตราย!

                "ใช่ว่าข้าไม่อยากเต้น... แต่เห็นทีท่านคงไม่พร้อมจะเต้นกับข้าเป็นแน่" คิ้วของคนฟังคำปฏิเสธประหลาดขมวดมุ่น... ไร้เดียงสาเสียจนไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกใช้เป็นที่ระบายอารมณ์หงุดหงิดของสตรีเบื้องหน้า จนรู้สึกเย็นแปลก ๆ ที่บริเวณขาแล้วขยับไม่ได้เอาดื้อ ๆ นั่นแหละถึงจะได้รู้...

                ขาสองข้างของเขาถูกน้ำแข็งแช่ขึ้นมาถึงเข่าเสียแล้ว...

                รอยยิ้มเย็นปรากฏบนเรียวปากบางหากก่อนที่เซเรลาเนียจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น ร่างทั้งร่างของภูตสาวก็ถูกคนข้างตัวซึ่งยืนดูเหตุการณ์มาโดยตลอดจับข้อมือกระชากวูบเดียวปลิวไปตามทางเดินพร้อมคำอธิบายสั้น ๆ ได้ใจความ...

              "ไปเต้น"

     

              ขาเรียวจึงจำต้องจ้ำพรวด ๆ ตามคนขายาว... สองข้างทางที่เดินผ่านพากันเงียบกริบก่อนเสียงซุบซิบจะไล่ตามหลังกล่าวขานถึงวีรกรรมระบายอารมณ์ของท่านหญิงแห่งเรเวลล่า

    ยิ่งใกล้ห้องโถงท่วงทำนองเพลงเชื่องช้าแสนอ่อนหวานก็ยิ่งดังขึ้น... เสียงดนตรีที่ราวกับจะขับกล่อมคู่เต้นทุกคู่ให้อยู่ในภวังค์...

    เสียก็แต่... ไม่ใช่สำหรับคนคู่นี้เป็นแน่!

    ดาฟาเดลกระชากเอวบางของคนตรงหน้าเข้ามาแนบร่างในท่าเต้นรำ ทำเอานัยน์ตาของคนถูกถือสิทธิ์จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง หากเพราะฝูงชนโดยรอบที่เริ่มต้นเคลื่อนกายสำหรับเพลงใหม่ทำให้ต้องคล้อยตามอย่างเสียไม่ได้ เซเรลาเนียก้าวเท้าตามจังหวะเต้นนำของอีกฝ่ายด้วยจังหวะที่ถูกต้องเป๊ะ ทั้งยังดูงามสง่ามีเสน่ห์อย่างผู้ถูกฝึกหนักจนเข้าเส้นเลือด ขาทั้งสองข้างจึงก้าวพริ้วได้แม้ยามอารมณ์ผู้เต้นไม่ได้อยู่ในโหมดชวนโรแมนติกเลยสักนิด!

    ท่านหญิงแห่งเรเวลล่ากัดฟันกรอดกับความไร้มารยาทของคู่เต้นที่กล้าหักหน้าเธอกลางฝูงชนเมื่อครู่แล้วยังทำตัวเฉยสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น! ริมฝีปากบางเริ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรงพยายามข่มความโกรธเอาไว้ลึก ๆ หากในท้ายที่สุดใบหน้าไร้อารมณ์สำนึกแม้แต่น้อยของเจ้าชายแห่งฟาเซลก็ทำความอดทนขาดผึง

    ส้นเข็มของรองเท้าคู่สวยถึงได้กระแทกเต็มแรงไปบนเท้าของคู่เต้นอย่างแสนประณีต!

    อาการชักเท้าหนีตอบสนองเรียกรอยยิ้มหยันขึ้นมาบนหน้าก่อนเอ่ยเสียงใส...หาเรื่อง!

    "หงุดหงิดอะไรล่ะ... คนขี้อิจฉา" นัยน์เนตรผู้ฟังฉายแววงุนงงหากสีหน้ายังไม่แปรเปลี่ยน

    "อิจฉา?"

    "หืม... ไม่รู้รึ? หรือเจ้าจะปฏิเสธว่าที่เจ้าทำร้ายลาร์สกับเรน่า... ไม่ได้มาจากความอิจฉา " มือหนาที่จับอยู่บนไหล่บางถูกบีบแน่นตามแรงอารมณ์... เฉกเช่นเดียวกับมือข้างที่จับแน่นอยู่กับมือของสาวน้อย

    หากการกระทำนั้นก็ไม่ได้ทำให้ร่างบางเกิดปฏิกิริยาอะไรมากไปกว่าแย้มรอยยิ้มมากขึ้นอย่างสมใจ ก่อนอาศัยจังหวะหมุนตัวพลิ้ว...

    กระแทกส้นรองเท้าลงไปที่เก่าแรงกว่าเดิม!!

    "ยอมรับแล้วสิ? ทำไม? พวกเรามีอะไรให้เจ้าต้องอิจฉา" ปลายเสียงดังขึ้นราวประชดเรียกความเคร่งกร้าวขึ้นให้ปรากฏบนใบหน้าที่เคยเรียบเฉย

    "หึ... ถ้าข้าบอกว่าหน้าที่ล่ะ" เสียงทุ้มเรื่อยเฉื่อยราวพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ... หากดวงตากลับจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายเขม็ง!

    เสียงหัวเราะแหลมอย่างเสแสร้งดังขึ้นเบา ๆ จากท่านหญิงแห่งเรเวลล่า... เนตรสีฟ้าฉายแววประหลาด... อาดูรลึกล้ำ หากก็โมโหรุนแรง...

    "หน้าที่... หน้าที่... หน้าที่... เจ้าชอบหน้าที่อะไรของพวกเรารึ…?" พลันภาพสะเทือนใจที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ก็เรียกให้เสียงใสเอื้อนเอ่ยต่อ...

    "… รับเทียบโลหิตหรืออย่างไรที่เจ้าชอบ?"

    "ถ้าข้าตอบว่าใช่ล่ะ? ทั้งหน้าที่ ทั้งชีวิตแบบพวกเจ้า... ข้าอยากได้"

    คำกล่าวที่ราวกับทำให้ก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ... เซเรลาเนียหายใจลึกสงบอารมณ์พลุ่งพล่านของตนก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่ไม่ได้ตั้งใจ...

    "หมายความว่า...  เจ้าไม่อยากมีพ่อแม่?"

    " พ่อแม่บางประเภทก็ไม่สมควรมี..." คนตอบ...รับคำเรียบง่าย ผิดจากคนถามที่กลั้นใจ

    "ทำไม... เจ้ามีสิ่งล้ำค่าในมือทำไมไม่ต้องการ?"

    "แล้วเจ้าล่ะ... หน้าที่ที่พวกเจ้าได้รับดีเท่าไร? พวกเจ้าก็ไม่เคยเห็นค่า!!"

    "ดีตรงไหน? ดีกว่าการที่ได้มีพ่อแม่อยู่เคียงข้างหรือเปล่า!"

    "ดีกว่า.."

    ร่างสองร่างประสานดวงตาสองคู่ให้สบกันเนิ่นนาน... มือที่สัมผัสร่างของอีกฝ่ายถูกบีบให้แนบแน่น

    บรรยากาศรอบกายเริ่มเย็นเยียบจากอารมณ์รุนแรงของฝ่ายสตรี ในขณะที่อากาศรอบกายที่เคยมีก็พลันหายจากความโกรธของฝ่ายบุรุษ

    ความต้องการเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ความรู้สึก

    หากโลภก็ต้องการ... คิดว่าตนเองเป็นบุคคลที่เศร้าเสียที่สุดในโลก...

    ใครเล่าจะเข้าใจอีกฝ่าย... หากไม่มีชะตาเดียวกัน ต่างฝ่ายนั้นต่างปิดบัง ต่างฝ่ายต่างยึดติดในตัวเอง...

    มนุษย์แตกต่างจากสิ่งอื่นใดเนื่องด้วยมีความรู้สึก... มีความรู้... มีอารมณ์...

     แต่สักวันหนึ่ง... ความเก่งกล้าพวกนั้นจะกลับกลายมาเป็นหอกทิ่มแทงตัวเอง...

    ความรู้สึกก่อเกิดความชิงชัง... ความรู้ก่อเกิดความเจ้าเล่ห์หลอกหลวง...

     แล้วอารมณ์รักอารมณ์เกลียดมีเขตแดนที่ตรงไหน? สิ่งใดแบ่งคั่นความดีความเลว?

    มนุษย์... หนอมนุษย์...

    หลงคิดว่าตนเลิศเลอ... ทั้งที่ไม่มีอะไร... สักนิดเดียว

     

     

    "เจ้าเป็นคนบอกข้าเองมิใช่หรือ...ว่าคนเราต่างจิตย่อมต่างใจ..." บรรยากาศอึดอัดพลันจางหายยามรอยเย็นชาบนหน้าคมคายถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มจาง

    "ก่อนจะมาชวนทะเลาะด่าข้าฉอด ๆ ... เจ้าควรจะขอบคุณข้าก่อนเถอะ"

    อากาศรอบกายค่อย ๆ อุ่นขึ้นช้า ๆ จนกลายเป็นปกติ... คิ้วบนเนตรสีฟ้าเลิกขึ้นอย่างวางฟอร์มแสร้งไม่รู้...

    "จะให้ขอบคุณก็ต้องมีเหตุ... เจ้าทำอะไรให้ข้าล่ะ?"

    "อย่าคิดว่าเจ้ามองข้าออกเพียงคนเดียว"

     

    ไม่เลว

    ชื่อของเจ้าชายแห่งฟาเซลดูจะไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอย

    จริงอย่างที่ดาร์ฟว่า... ที่เธอใช้เวทกับหมอนั้นไม่ใช่แค่การระบายอารมณ์

    มันเป็นการขู่...

    เพราะหากมีคนมาจ้องเธอเอามาก ๆ ... ทำซะเหมือนเป็นตัวประหลาด แล้วเธอเกิด 'ระเบิด' ขึ้นมาละก็...

    คิดแล้วเรียวปากบางก็กระตุกรอยยิ้มร้าย

    ภูตเช่นเธอทำอะไรก็ไม่ผิด...

    หากเมื่อกี้ดาร์ฟไม่ลากเธอออกมา... พวกนั้น... ก็คง... ตาย

    "ขอบใจ... พอใจรึยัง" เสียงใสที่กล่าวเรียกรอยระยับบนเนตรสีน้ำทะเลอย่างชอบใจ ก่อนดาฟาเดลจะกระตุกมือขวาที่โอบเอวสตรีเบื้องหน้าในท่าเต้น... ให้ร่างบางเข้ามาแนบชิดกายก่อนฉกฉวยความหอมที่ข้างแก้มจากเซเรลาเนีย...

    ทิ้งสาวน้อยให้ตาเบิกกว้าง เอามือจับแก้มช็อคค้างกับรอยสัมผัสที่ยังอุ่นอยู่...

    พร้อมทั้งสำทับด้วยเสียงทุ้มกลั้วหัวเราะ...

    "เอาคืนที่เจ้าเหยียบเท้าข้า!"

    ราวกับคำพูดนั้นได้เตือนสติท่านหญิงแห่งเรเวลล่า... ร่างบางจึงรีบหันขวับ... ก่อนยื่นขาไปขวางการก้าวเดินอย่างสูงศักดิ์ของบุรุษผมสีรัตติกาล... ให้'สะดุดไม่เป็นท่า'

    ดวงหน้างามที่ถูกสูบฉีดไปด้วยเลือดจนขึ้นสีเอ่ยเสียงใสที่ติดจะสั่น... ช้า... ชัด!

    "สำหรับเจ้าควรจะโดนเหยียบจนจมดิน!!"

     

     

                ห่างออกไปอีกฝากฝั่งหนึ่งของห้องโถง นัยน์เนตรสีมรกตสองคู่กำลังจับจ้องภาพนั้น... หากแต่ต่างความรู้สึก

                สตรีเจ้าของเรือนผมสีพฤกษาฉวยแก้วบรรจุของเหลวสีสดมาจากถาดพลางเหลือบมองไปทางคนข้างกายที่ดูจะไม่ได้สนใจบรรยากาศอันงดงามตระการตาของสถานที่นี้เลยสักนิด...

                แต่จะว่าก็ไม่ได้...เพราะเธอเองก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน

                คิดพลางก็ลอบสำรวจผู้วิเศษแห่งเซดาลีน...

    สายตาของบุรุษเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเอาแต่เหม่อมองตามร่างของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าที่กระแทกส้นอย่างแสนขัดใจออกไปจากห้องโถงจนลับสายตา

                เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ชวนเธอคุยแน่ ๆ  เสียงใสจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา... ด้วยคำถามที่เธอแสนสงสัย

                "ก็ถ้าเจ้ามองถึงขนาดนั้น... ทำไมตอนเซเรชวนเจ้า... ถึงมาชวนข้า?" ดวงเนตรของผู้ถามจ้องลึกลงไปในดวงตาของผู้ที่จะต้องตอบ

                หากไม่ได้อะไรมากไปกว่ารอยยิ้มน้อย ๆ

    "…เจ้าชวนข้าทำไมกันแน่? อย่าบอกนะว่าสงสาร" คนถูกถามหยิบเครื่องดื่มสีสดขึ้นจิบช้า ๆ ราวกับจะเฉไฉไปเรื่องอื่น  ดวงเนตรสีมรกตทอดมองไปไกลก่อนหันมาสบตาคนถามและเอ่ยเสียงทุ้มพร้อมรอยยิ้มอย่างเคย...

    "ก็แล้วถ้าข้าบอกว่าใช่ล่ะ?" ร่างบางไหวไหล่น้อย ๆ รับคำก่อนเอ่ยต่อเรื่อยราวกับรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องตอบเช่นนี้

    "ข้าก็จะบอกว่าไม่เชื่อ" รอยวูบไหวปรากฏบนดวงตาของลาซาลัส รอยยิ้มที่เคยมีเป็นนิจจางหาย... ก่อนเสียงทุ้มจะเคร่งขึ้น

    "เจ้าฉลาด..." คำชมที่คนฟังไม่ได้ยินดีไปด้วยอย่างที่ควร แต่กระนั้นผู้พูดก็ยังกล่าวต่อไป

    "มันเป็นโชคชะตา ข้าคงบอกได้แค่นี้... ไปเต้นกันดีกว่า" ว่าพลางแก้วที่เคยอยู่บนมือของสองบุคคลก็หายไปกองอยู่บนโต๊ะด้านหลัง

    ลาซาลัสโค้งอย่างเป็นการเป็นงานให้รีเลนวาน่า... ใบหน้าคมคายประดับรอยยิ้มอย่างเก่า เรียกเสียงถอนหายใจเบา ๆ จากร่างบางก่อนส่งมือเล็กไปให้อีกฝ่ายกุมขณะก้าวเข้าฟลอร์เต้นรำ...

    แม้สาวน้อยจะไม่วายสะดุดเท้าตัวเองส่งท้าย... ด้วยนิสัยซุ่มซ่ามส่วนตัว

    "เมโรไม่ว่างส่วนลูเซียก็มีคนชวนไปงานแล้ว  เหลือแค่พวกเราสี่คนจะเอายังไง... ถ้าไปด้วยกันก็คงสะดวกใจกว่า... ใช่ไหม?" ท่านหญิงแห่งวาตาเซียว่าพลางเหลือบมองอีกสามบุคคลในห้อง...

    เซเร... ดาร์ฟ และลาร์ส

    เมื่อสามบุคคลที่เหลือเป็นจอมนิ่งที่เพียงแต่พยักหน้ารับคำด้วยกันทั้งนั้น  คนเปิดปากพูดจึงจัดแจงหันไปถามเจ้าชายแห่งฟาเซล... ที่เธอออกจะสนใจอยู่ไม่น้อย

    "ไปด้วยกันไหม... ดาร์ฟ" ถามด้วยรอยยิ้มหากคำตอบที่ได้รับทำเอาพูดไม่ออก

    "ข้าไม่ชอบพวกน่ารำคาญ" ไม่ว่าเปล่าใบหน้าคมคายยังปรากฏรอยยิ้มเหยียดก่อนจางหายยามหันไปส่งสายตาเป็นเชิงถามไปยังสตรีที่นั่งข้าง ๆ

    หากเซเรลาเนียกลับหันไปถามยังผู้วิเศษแห่งเซดาลีน

    "ว่าไงลาร์ส"

    นัยน์เนตรสีมรกตทอประกายประหลาดจับจ้องไปที่สตรีผู้ถามก่อนมองเลยไปด้านหลังแล้วแย้มรอยยิ้มพลางหันไปทางสตรีคนเดียวที่ยืนอยู่ในห้อง...

    "เรน่า... เจ้าไปกับข้าก็ได้"

     

     

     

    "เซเรลาเนีย!"

    ร่างบางที่กำลังจ้ำพรวด ๆ จำต้องชะงักฝีเท้าหันกลับไปมองผู้ที่อาจหาญมาขัดจังหวะเธอ เนตรคู่สวยเหลือบมองอีกฝ่ายตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าราวประเมิน...

    บุรุษผมสีบลอนด์นัยน์ตาสีรัตติกาลซึ่งดูระแวดระวังเสมอรับกับแว่นกรอบดำและมาดสุขุมเป็นอย่างดี

    มองปราดเดียวก็รู้... หมอนี่ไม่ธรรมดา

    คิดแล้วคิ้วบนใบหน้างามก็เลิกขึ้นเป็นเชิงถาม...

    "ได้ข่าวว่าเมื่อวานเจ้า... ป่วย..." เสียงทุ้มของร่างสูงเงียบไปแทนที่ด้วยสายตาที่มองมาราวดูถูกเพียงชั่วครู่

    ชั่วครู่... หากมิอาจรอดพ้นจากสายตาของเซเรลาเนียให้สตรีสาวได้แต่เก็บงำ หากคนถูกสงสัยกลับแย้มรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างมารยาทดีแล้วกล่าวต่อ

    "... ท่านเวอร์เนสอยากคุยกับเจ้า เลยให้ข้ามาตาม" ว่าพลางก็หมุนตัวกลับไปตามทางเดิมแล้วเริ่มเดินนำพร้อมสำทับ

    "ตามมา!"

     

    ทางเดินเงียบสงบปราศจากผู้คนจนได้ยินเสียงฝีเท้าชัด เนื่องจากห้องของท่านศาสตราจารย์ใหญ่แห่งพามาเนทนั้นอยู่บนยอดหอคอยที่ห่างไกลจากห้องโถงที่จัดงาน

    คบเพลิงตามกำแพงช่วยเพิ่มความสว่างให้ยามราตรี ขณะที่เปลวเพลิงที่พลิ้วไหวช่วยเพิ่มความสงสัยให้ท่านหญิงแห่งเรเวลล่า...

    "พี่เป็นประธานนักเรียนใช่ไหมคะ" ร่างคนถูกถามชะงักไปนิดก่อนกลับเป็นปกติ

    "ใช่.. .รู้ได้ไงล่ะ น้ำเสียงถูกกดให้ต่ำราบเรียบเหมือนพูดเรื่อย ๆ หากเซเรลาเนียที่ถูกปลูกฝังความสามารถในการจับความรู้สึกแล้ว... รับรู้ถึงความประหลาดใจปนระแวงของร่างเบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี

    "ไอเวทไงคะ"

    "ไอเวท?"

    "ไอเวทที่ออกมาจากตัวพี่จางมาก... แต่หากให้ดูความสามารถจากฝีเท้าที่แผ่วเบาอย่างระวังตัวและการที่พี่ตามความเร็วของภูติทันนั้น... แปลว่าพี่ปิดไอเวทของตัวเองไว้ หากไอเวทนั้นก็ยังจางเกินกว่าที่จะเกิดจากการร่ายบทผนึกเวทโดยตรง คิดได้อย่างเดียวคือแว่นตาที่พี่สวมใส่ถูกร่ายเวทผนึกมนตราไว้...

     ซึ่งในพามาเนทผู้ที่จักทำเช่นนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านประธานนักเรียนเจ้าของนามเรียกขาน... ลูซิเฟอร์"

    คนมีชื่อเสียงขยับรอยยิ้มประหลาด... ทั้งลึกลับและทรงเสน่ห์

    แม้ว่าดวงตาคู่นั้น... จะไม่ยิ้มไปด้วยเลยก็ตาม

    "ชื่อของพี่คือมิคาเอล... เทวดาผู้ทรงสิทธิ์  มิใช่เทพบุตรในคราบซาตานเฉกเช่น... ลูซิเฟอร์"

    "ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องขออภัย..." เสียงใสแสร้งลดตัวเองให้ด้อยลง... นัยน์เนตรสีฟ้าพราวระริกยามเมื่ออีกฝ่ายตอบคำถามได้เข้าทาง...

    "... หากทั้งลูซิเฟอร์และมิคาเอลก็ล้วนเป็นผู้เก่งกล้า... พี่... เจ้าของนามทั้งสองก็คงแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน"

    "เจ้าอยากถามอะไร"คนถูกลองภูมิเริ่มชักรู้ตัวว่าไม่น่าหลงเชื่อท่าทางใสซื่อของสตรีข้างกาย

    "ก็แค่คิดว่าทางเดินนี่ช่างเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าเท่านั้นเองค่ะ..."

    คนฟังประโยคที่เหมือนแค่บอกเล่าธรรมดาหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาสีนิลฉายแววระริกรู้เท่าทันก่อนเอ่ยตัดบทเรียบง่าย

    "นี่ก็เริ่มดึกแล้วคนในงานออกมาเที่ยวเล่นบ้างก็คงไม่แปลก... หรือเจ้าคิดว่าไม่ใช่?" ท้ายเสียงแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วสงสัยให้คนคิดว่าไม่ใช่ขยับยิ้มสุภาพรับคำ

    "แล้วใครจะกล้าเห็นต่างจากพี่ละคะ"

    ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมอีกครายามร่างสองร่างที่ก้าวเดินจมอยู่ในห้วงคำนึง บันไดหอคอยที่ถึงแม้จะเก่าไปหน่อยแต่ก็ทำจากหินชั้นดีถูกย่างก้าวขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จนเสียงฝีเท้าเงียบกริบก็เมื่อร่างทั้งสองถึงจุดหมาย...

    ประตูโค้งสีทองอร่ามบานใหญ่ตัดกับพนังสีพื้นดำปรากฏอยู่เบื้องหน้า ลายวิจิตรมากมายถูกสลักลงไปบนบานประตูเปล่งแสงเรืองรองหากแต่เมื่อเพ่งมองจะพบว่าเป็นอักขระแห่งมนตราโบราณ

    อานุภาพร้ายกาจ... รุนแรง!!

    "ผมพาเซเรลาเนียมาส่งครับ" ผู้พูดกล่าวพลางโค้งต่ำ ให้บานประตูอย่างเคารพเหลือแสน ทำเอาผู้ลอบมองต้องกลั้นยิ้ม กับมาดมากที่ทำเหมือนคนข้างในจะเห็นเสียเต็มประดา

    "เข้ามาสิ"

    สิ้นคำกล่าวรับจากเสียงเล็ก ๆ ด้านใน อักขระโบราณก็กระพริบวาบ ก่อนจางหาย อีกทั้งกลิ่นไอเวทมากมายที่เคยโชยออกมาชวนแสบจมูกก็พลันหายราวกับไม่เคยเกิดบ่งบอกได้อย่างดีว่าหากคนข้างในไม่ยินดีเปิดประตูต้อนรับแขกละก็...แม้แต่ร่างเนื้อก็คงไม่เหลือ!!  แล้วประตูที่ทั้งใหญ่และหนาเกินกว่าที่จะขยับออกได้ด้วยแรงผลักก็ถูกเปิดออกด้วยฤทธิ์แห่งผู้เรืองเวทด้านใน... หรือเอาเข้าจริงก็คือเด็กน้อยแสนธรรมดา

    ผู้ที่มีอำนาจที่สุดในพามาเนทกำลังนั่งดื่มด่ำในรสชาติของช็อกโกแลตชิ้นโตพร้อมขนมเคลือบน้ำตาลหลายหลากชนิด ยังไม่นับรวมอมยิ้มที่ถูกอมไว้ในปากและโกโก้ร้อนในแก้วลายการ์ตูนสุดฮิตข้าง ๆ ... เรียกสีหน้าพิลึกประหลาดจากผู้มาเยือนทั้งสองได้เป็นอย่างดี...

    ซาตานในคราบเทพบุตรส่งสายตาพยักพเยิดเป็นเชิงให้ท่านหญิงแห่งเรเวลล่าเดินเข้าไปด้านในก่อนตัวเองจะชิงโค้งคำนับแล้วจรลีจากไปโดยเร็ว...

    ทิ้งสาวน้อยเซเรลาเนียให้ยืนทำหน้าบอกไม่ถูกอยู่อย่างนั้น...

    "อ่าว... เซเร ทำไมไปยืนตรงนั้น มานั่งกินด้วยกันสิ"

    คนถูกชวนก็ยังคงเป็นคนมารยาทดีตอบรับคำแล้วเดินเข้าไปโดยง่าย เนตรสีธาราเหลือบมองสภาพโดยรวมของห้องนี้ก่อนจะพบว่ามันถูกตกแต่งด้วยโทนสีทองที่... ไม่เข้ากลับเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อยนิด!

    เก้าอี้ตรงข้ามกับผู้เพลิดเพลินในอาหารถูกเลื่อนออกก่อนร่างของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าจะนั่งลงไป นัยน์เนตรที่เคยมองไปรอบ ๆ ถูกใช้จับจ้องคนเบื้องหน้าให้หันมาสนใจคนที่ตัวเองเรียกมาพบเสียที!

    โกโก้ร้อนถูกละเลียดจิบอย่างแสนช้าราวกับจะแกล้งคนที่นั่งรอให้ยิ่งหงุดหงิดเล่น ก่อนท้ายที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่และภูตสาวเตรียมตัวจะกล่าวคำอำลา ร่างเล็กของเจ้าของห้องก็แสร้งหันมามองผู้มาเยือนพร้อมอาการสะดุ้งราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้!

    "อ๊า... ที่ผมเรียกมาพบเพราะเมื่อวานเซเรไม่ได้มาเข้าประชุม เรามีเอกสารเป็นกฎระเบียบต่าง ๆ ของโรงเรียนแจกให้สำหรับเด็กเข้าใหม่..."

    ว่าพลางเจ้าตัวก็ยอมละมือจากอาหารนานาชนิดลงไปรื้อค้นกองเอกสารใต้โต๊ะอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่คนฟังทำหน้าพิลึกอย่างถึงที่สุด!

    กับโดนคนตัวเท่านี้เรียกว่า... เด็ก!

    แม้จะพอรู้ว่าร่างเบื้องหน้าอาจเป็นเพียงมายาแต่ก็... รู้สึกเหมือนโดนดูหมิ่นอยู่ดีสิน่า!

    เสียงกุกกักดังขึ้นอีกสักพักก่อนร่างเล็กของเวอร์เนสจะโผล่ขึ้นมาจากใต้โต๊ะพร้อมแย้มรอยยิ้มกว้างที่รับกับใบหน้าจิ้มลิ้ม แล้วสารภาพง่าย...

    "...แต่หาไม่เจอ งั้นเดี๋ยวผมจะอธิบายคร่าว ๆ ให้ฟังนะครับ... เซเรคงรู้แล้วใช่ไหมถึงเหตุผลที่ภูตต้องเข้ามาเรียนที่พามาเนท..."

    "เพราะพวกเรายังขาดบางสิ่งที่ควรมีไปค่ะ"

    "... ใช่ การจะเป็นผู้ปกครองเจ้าต้องรู้จักผู้ใต้ปกครองก่อน โลกของพวกเจ้าช่างแคบนัก... กี่ครั้งที่เจ้าได้ออกนอกเขตวัง? สังคม คือสิ่งที่พวกเจ้าขาดไป ต้องทำยังไงถึงจะเป็นที่เคารพแต่ไม่ถึงขั้นหวาดกลัว?

    เปิดประสาทสัมผัสให้กว้างและรับรู้ในสิ่งที่เป็น  ...พามาเนทจะสอนสิ่งนี้ให้เจ้าเอง

    สำหรับเรื่องกฎระเบียบของที่นี่มีสำคัญไม่กี่ข้อ  การเข้าเรียนเราไม่ห้ามการโดดแต่สิ่งที่จะต้องจำไว้มีเพียงหากมีการสอบต้องผ่าน หากมีการส่งงานต้องส่ง... แค่นั้น  อีกข้อนึง... พามาเนทถือว่าการทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมชาติ...เพราะฉะนั้นเวทีกลางของเรามีไว้สำหรับให้นักเรียนถ้าประลองกันได้...แค่อย่าให้ถึงตาย คนอื่น ๆ จะได้เรียนรู้จากพวกเจ้าด้วย... เอาล่ะ... มีคำถามอะไรไหมครับ"

    การสนทนาเป็นไปอย่างเรียบง่ายอีกสักพักก่อนที่เซเรลาเนียจะได้รับอนุญาตให้กลับไปพักผ่อน หากร่างบางซึ่งเบื่อเต็มทนกลับต้องชะงักหยุดอยู่ที่หน้าประตูแห่งเวทราวต้องมนตรา... เมื่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งพามาเนทเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาลอย ๆ

    "เห็นเจ้าแล้วคิดถึงแม่ของเจ้านะ" ดวงหน้าของเด็กน้อยแย้มรอยยิ้มละไมอย่างเคยแม้ในแววตาสีอเมทิสต์จะฉายรอยระริกที่ยากจะคาดเดา ดวงหน้างามของผู้ฟังฉายความตะลึงไว้เต็มเปี่ยมหลุดหน้ากากที่เคยมีมาหมดสิ้นเมื่อสิ่งที่ได้ยินเป็นดั่งความหวัง... ที่แสนเลือนราง

    "ท่านรู้จักท่านแม่ของข้า?" เสียงใสที่หลุดออกไปราวกับเพ้อหากถูกตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเจ้าเล่ห์

    "เจ้าอยากรู้เหรอ?" เรียวปากบางเม้มแน่นเข้าหากันอย่างลืมตัว ก่อนสติในส่วนลึกจะสั่งให้ตัดใจ...จากความอ่อนแอ!

    "ต้องขออภัยที่รบกวนท่านศาสตราจารย์เสียดึก..." กล่าวจบร่างบางก็ก้าวผ่านบานประตูที่อีกฝ่ายเปิดให้ออกไปอย่างรวดเร็ว

    ในความเงียบงันหลังเสียงประตูปิด... เด็กชายตัวน้อยกำลังแย้มรอยยิ้มบาง...

    "นายของเจ้าก็ไม่เลวหนิ... อิซ"

     

     

                ขาเรียวสองข้างนำพาร่างระหงก้าวเดินไปช้า ๆ อย่างเหม่อลอย เสียงหัวใจของเธอยังคงเต้นแรงบ่งบอกได้อย่างดีว่ามันไม่ได้ด้านชาอย่างที่เธออยากให้เป็น...

                เธอยังคงหวัง... หากความหวังครั้งนี้จะทำให้เธออ่อนแอลงหรือเปล่า?

                ความอาดูรคลออยู่ในนัยน์เนตร...เพิ่มประกายระยับให้ยิ่งดูงดงามชวนลุ่มหลง ก่อนเปลือกตาบางจะถูกปิดลงช้า ๆ  ให้หยาดน้ำแห่งความเศร้าจางหาย...

                ไหลริน..ลึกลงไปในใจ

                และเมื่อเปลือกตาบางเปิดออกอีกครา...เนตรสีธาราก็ฉายรอยกร้าว!

                "นั่นใคร!!"

    เสียงฝีเท้าก้าวเดินแผ่วเบาสะท้อนก้องไปมาในทางเดินที่ทั้งมืดและแสนเงียบงัน อารมณ์ที่คิดจะเล่นด้วยอย่างตอนขามาของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าพลันหดหายกลายเป็นความหงุดหงิดเข้ามาแทนที่...

    "ออกมาให้หมดทั้งสี่คนนั่นแหละ!!"

    ร่างสูงร่างหนึ่งก้าวออกมาจากเงามืดตอบรับถ้อยวาจาแห่งภูตสาว ก่อนร่างนั้นจะแย้มรอยยิ้มสุภาพอย่างที่เคย...

    "ลาซาลัส... นายอีกแล้วสินะ" คนถูกทักแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้นไปอีกแล้วสาวเท้าให้เข้ามาใกล้เซเรลาเนียมากขึ้น

    "เจ้าคิดจะทดสอบลูซิเฟอร์แห่งพามาเนทเชียว... แต่น่าเสียดายที่พี่เค้ารู้ทัน" ยามผู้วิเศษแห่งเซดาลีนสาวเท้าเข้ามาใกล้เปลวไฟจากคบเพลิงที่วูบไหว  ความสว่างก็เผยรอยประหลาดที่เด่นชัดบนแก้มของผู้พูดเรียกอาการเลิกคิ้วและรอยยิ้มพรายจากคนอารมณ์เสีย...

    "โดนเรน่าเอามือวางบนแก้มมา?" คนถูกทักรีบเอามือตัวเองวางแหมะลงบนแก้มปิดบังรอยแดงห้านิ้ว

    "ไปทำอะไรให้สาวน้อยใจดีโกรธเอาล่ะ?" คนฟังชักสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาบ้างก่อนอ้อมแอ้มตอบเสียงแผ่ว... มืออีกข้างถูกยกขึ้นมาเกาแก้มแก้เขิน

    "ข้าหวังดี!... ก็ยัยซุ่มซ่ามนั่นจะล้ม... ข้าก็เลยเข้าไปช่วยประคอง..." ท้ายเสียงเงียบไปเมื่อคนพูดชักกระดากจนคนฟังต้องรีบส่งสายตาเร่ง

    "…แล้วมือมันก็เลยวางพลาดไปหน่อย" เนตรสีมรกตไล่สายตาไปยังเรือนร่างของสตรีเบื้องหน้าอย่างบ่งบอกว่า 'พลาด' ไปโดนส่วนไหน...

    บทสรุปที่ทำให้เซเรหลุดหัวเราะคิกแล้วแสร้งถามต่อ

    "ข้ารักษาให้เอาไหม?" คนฟังส่ายหน้าเอาเป็นเอาตายก่อนเอ่ยเสียงขรึม

    "อย่าแกล้งหน่อยเลย... เจ้าก็รู้แค่นี้ข้ารักษาเองได้... แต่นางดันบอกว่าถ้าพรุ่งนี้เช้านางไม่เห็นรอย... จะไม่พูดกับข้าอีก" รอยยิ้มเย็นปรากฏบนหน้าของท่านหญิงแห่งเรเวลล่าก่อนเสนอทางแก้ง่ายเสียงใส

    "พรุ่งนี้ข้าตบให้เจ้าอีกทีก็ได้นะ" แล้วคำตอบก็มีเพียงนัยน์เนตรสีมรกตที่จ้องมองกลับอย่างคาดโทษ!

     

     

    ไกลออกไปไม่ห่างนักจากระเบียงทางเดินที่ร่างสองร่างยืนคุยกัน...

    ประตูบานหนึ่งถูกปิดลงอย่างเงียบเชียบเรียบร้อย... แสงจันทร์เพียงน้อยนิดประกอบกับแสงดวงดาวสาดส่องเข้ามาภายในห้องปิดตายผ่านทางหน้าต่างที่มีฝุ่นเกาะทึบ...

    "เจ้าตามข้ามาทำไม" เสียงติดจะห้วนเย็นชาดังขึ้นจากบุรุษร่างสูง ชายเสื้อคลุมสีดำสะบัดพรึบยามร่างนั้นหันเข้ามาประจันหน้ากับอีกหนึ่งสตรีร่างเล็ก

    "ข้ามาตามหน้าที่... อายุข้าถึงเกณฑ์ที่ต้องมาพามาเนทข้าก็เลยมา" ว่าพลางคนพูดก็แสร้งยักคิ้วยียวนก่อนจะเอ่ยแก้คำพูดใหม่เมื่อสีหน้าของอีกฝ่ายเริ่มดุดัน...

    "ข้าเคยบอกท่านแล้ว... ความปรารถนาแห่งท่านคือความปรารถนาแห่งข้า" คำตอบเรียกรอยเย็นชามากกว่าเก่าบนดวงหน้าของบุรุษก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม..ช้า..ชัด!

    "ความปรารถนาแห่งข้า... ข้าก็มีวิธีของข้าที่จะจัดการ... ไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากใคร..."เงียบไปนิดเพื่อปรายตามองอีกฝ่ายอย่างดูแคลน "...โดยเฉพาะเด็กน้อยเช่นเจ้า!"

    "ข้าทำได้ดีกว่าที่ท่านคิดมากมายนัก... ถ้าไม่เชื่อจะถามดูจากน้องชายของท่านก็ได้" สิ้นเสียงใส เนตรของผู้พูดก็หันขวับไปด้านหลังพร้อมกับการที่ประตูบานเก่าถูกเปิดออกอีกครั้งก่อนร่างของบุรุษอีกคนจะเดินเข้ามากลางวงสนทนาก่อนปรายเนตรสีรัตติกาลไปทางสตรีหนึ่งเดียวในห้อง...

    "ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่" เมื่อคนฟังเพียงแต่ขยับรอยยิ้มประหลาดรับคำ บุรุษที่เข้ามาใหม่จึงหันไปคุยกับผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย...

    "นางจะทำได้ดี...หากนางมีความซื่อตรงต่อเรา" ดวงหน้างามของสตรีแย้มรอยยิ้มพรายชัดก่อนเอ่ยเสียงหวาน...

    "ชีวิตข้าเป็นของท่านพี่ของท่าน... ร่างกายข้าก็เป็นดั่งตุ๊กตาให้พวกท่านชักจูงได้ตามสบาย...เพราะจิตใจของข้านั้นภักดีต่อบุรุษเพียงหนึ่งเดียว"

    "คำสัตย์สาบานของทาสแห่งสายเลือดน่าฟังกว่าวาจาที่บิดพลิ้วได้โดยง่ายของอิสตรี " คำกล่าวจากผู้เป็นน้องชายนั้นเย็นชา เนตรสีรัตติกาลก็ปรายมองมาที่สตรีสาวอย่างหยามเหยียด เรียกให้ร่างเล็กผู้ถูกปรามาสทรุดตัวลงไปนั่งเตรียมกล่าวคำสาบานตามความต้องการของผู้เข้ามาใหม่!

    หากแต่ก่อนที่จะได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาบุรุษร่างสูงผู้เงียบไปนานก็ยกมือขึ้นมาเป็นเชิงห้าม...

    "ข้าจักเชื่อเจ้า" ความสมใจฉายชัดบนดวงหน้าของสตรีก่อนนางจะเอ่ยรับคำกล่าว

    "โปรดเชื่อข้า... ว่าข้าสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อท่าน... นั่นรวมถึงการทรยศต่อหน้าที่!"

    ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาดังกึกก้องแม้ไร้ซึ่งเมฆฝน... ราวกับจะรับรู้ถึงความตั้งมั่นอันแน่วแน่ของอิสตรี!!

     

    มนุษย์หนอมนุษย์... ยังคงต้องการ... ไม่รู้จักพอ...

     

    __________________________________________

    มีแต่คนบอกว่าอ่านไม่ทัน...
    อ่า...ควรจะอัพให้ช้าลงใช่ไหมคะ หุหุ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×