ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Xxxxplet(s)'s M A S Q U E `

    ลำดับตอนที่ #8 : ส อ ง

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 57




    2

     

     

    อ้าว? พวกนายสองคนรู้จักกันแล้วหรอเนี่ย.. แบบนี้ค่อยง่ายขึ้นหน่อยแฟลร์เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่เริ่มเข้ามาปกคลุมระหว่างผมกับบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูหรือก็คือ ริค เพื่อนคนสำคัญของผม ผมหันไปมองเธอและเธอที่สังเกตเห็นว่าผมมองมาก็ส่งยิ้มมาให้ ผมจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆกลับไป

     

    โอ้.. ไม่ยักกะรู้เลยนะว่านายมีคนรู้จักธรรมดาๆกับเขาด้วยธีโอดอร์ยังแกล้งแหย่ริคไม่เลิก แต่คราวนี้ริคกลับไม่ตอบโต้อะไรอีกฝ่ายเลยจนผมรู้สึกใจไม่ดีแปลกๆ แม้ว่าตอนปกติริคจะไม่ใช่คนพูดมาก แต่ตอนนี้ริคดูเงียบมาก.. เงียบมากเกินไป

     

    จริงๆแล้วผมรู้สึกดีใจมากนะที่ได้เห็นหน้าริค

     

    ทำไมจะไม่ดีใจละ? ผมได้ทำงานที่เดียวกันกับริคเลยนะ แล้วแบบนี้ก็ไม่ต้องโกหกหรือปิดบังอะไรกันด้วย ดีจะตาย!

     

    แต่สีหน้าที่ริคแสดงออกมา...มันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าดีใจเลยสักนิด

     

    อ่า..ริค..

     

    “…” ริคยังคงไม่พูดอะไร กลับกัน เขาเดินตรงมาทางผมแล้วออกแรงกระชากข้อมือผมให้เดินตามเขาออกไปท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น

     

    เฮ้! ริค! เดี๋ยวสิ!” ผมประท้วงแต่ริคกลับไม่สนใจ ผมรู้สึกว่าเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ ดูได้จากการที่เขาเดินดุ่มๆออกมาซ้ำยังสาวเท้าอย่างเร็วโดยไม่สนใจว่าผมจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่จากการปรับความเร็วไม่ทันของเขาอยู่แล้ว บรรยากาศรอบข้างมืดสนิท ผมเลยไม่รู้ว่าเขาตั้งใจพาผมไปไหน แต่มันก็แค่แปบเดียว เพราะหลังจากออกมาจากห้องได้ไม่นาน ตาผมก็พบแสงสว่างจ้าจากภายนอกจนต้องหรี่ตาเพื่อปรับโฟกัส

     

    และตอนนั้นเองที่ริคหยุดเดินเอาดื้อๆทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือออกจากข้อมือของผม เขาออกแรงบีบจนผมรู้สึกเจ็บแต่ก็พยายามจะไม่ส่งเสียงร้องออกมา ภาพเบื้องหน้าของผมคือพื้นหญ้าสีเขียวที่หากมองบริเวณถัดไปจะต่ำลงไปเป็นแม่น้ำ สายลมพัดเอื่อยๆให้ความรู้สึกเย็นสบาย ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจริงๆว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ข้างฐานทัพลับอะไรนั่นด้วยจริงๆน่ะหรอ แต่พอย้อนกลับมานึกดีๆแล้ว ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ก็มีทางแยกหลายทาง ผมจึงอนุมานไปเองว่าทางแต่ละทางนั่นคงไปสิ้นสุดอยู่ที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง และสถานที่ที่อยู่หน้าผมตอนนี้ก็คงเป็นหนึ่งในนั้น

     

    ...น่าเสียดายที่ผมไม่มีเวลามากพอจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สวยงามนี้ เพราะใครอีกคนหนึ่งไม่อยู่ในอารมณ์พร้อมจะดูกับผม

     

    ริคเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายอีกครั้ง คราวนี้เขาดันตัวผมที่เผลอมองทัศนียภาพโดยไม่รู้ตัวเข้ากับต้นไม้ใหญ่สักต้นที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่ผมยืนอยู่เดิม จากนั้นละมือออกจากข้อมือของผมแล้วยกแขนทั้งสองขึ้นกันผมไว้ราวกับไม่ต้องการให้หนี

     

    ริค! นายเป็นอะไรไปน่ะ?” ผมเอ่ยท้วง หวังว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายยอมเอ่ยปากพูดกับผมดีๆ

     

    “…ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ริคกดเสียงต่ำถามผมกลับ เสียงของเขาไม่ได้เจือด้วยเพลิงโทสะแต่มันราบเรียบเสียจนรู้สึกกดดัน นอกจากนี้ดวงตาสีเหลืองอำพันที่ผมคุ้นเคยดีมาตั้งแต่เด็กตอนนี้กลับจ้องตรงมาทางผมในระยะประชิดราวกับต้องการจะเค้นความจริง เป็นแววตาที่แสดงความดุดันและความไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนผิดกับน้ำเสียง เท่าที่จำได้..ผมไม่เคยเจอริคเป็นแบบนี้มาก่อนนะ ผมจึงตอบหมอนั่นกลับไปด้วยเสียงตะกุกตะกัก

     

    หะ..หา? กะ..ก็เพราะฉันทำงานที่นี่ไง

     

    ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วย?!” คราวนี้ริคขึ้นเสียงดังจนผมสะดุ้ง ริคคงสังเกตเห็นว่าเมื่อกี้ผมสะดุ้งเลยเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขาจึงค่อยๆลดแขนสองข้างที่กั้นผมไม่ให้หนีลงแล้วเอ่ยทั้งที่ยังเบนหน้าไปทางอื่นว่า โทษที..แต่ก็ยังไม่ยอมถอยห่างออกไปจากตัวผม

     

    ผมพยักหน้าเบาๆแทนว่ารับรู้แล้วเสหน้าไปคนละทางกับหมอนั่น

     

    จากนั้นความเงียบก็เริ่มปกคลุมระหว่างเราสองคน...

     

    ทำไมละ? ทำไมริคถึงต้องแสดงอาการไม่พอใจออกมามากขนาดนั้น?

     

    เขาไม่อยากทำงานที่เดียวกับผมงั้นหรอ?

     

    ริค..คือ...ผมกลั้นใจพูดออกไปไม่ได้จบประโยค รู้สึกความเงียบนี้มันหนักอึ้งเกินกว่าที่ผมจะปริปากพูดอะไรออกมาได้ ผมเหลือบสำรวจสีหน้าตอนนี้ของริค เขากำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่หากมองดีๆแล้วผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นสีหน้าที่เจือไปด้วยความเศร้าและเจ็บปวด แววตาของเขาเองก็สั่นระริกแต่ไม่ได้มีวี่แววจะมีน้ำตาไหลออกตามมาในเร็วๆนี้ ดังนั้นแล้วผมน่าจะพูดว่าแววตาเขากำลังสั่นไหวด้วยแรงอารมณ์บางอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในอกจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ และสองมือที่ลดลงไปอยู่ข้างลำตัวเองก็กำลังกำแน่น

     

    ทำไมกันนะ? ทำไมถึงแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา?

     

    ผมไม่เคยเห็นริคเป็นแบบนี้... ผมไม่เข้าใจเลย ยิ่งมองก็ยิ่งสับสน

     

    ผมอยากรู้..อยากรู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่ลึกๆแล้วอีกใจหนึ่งก็กลัวที่จะรับรู้

     

    ..จะยังไงก็ช่าง นายห้ามมาที่นี่อีก เข้าใจมั๊ย?” ริคเป็นคนเปิดปากทำลายความเงียบนี้ก่อน

     

    หมายความว่าไงน่ะริค?” ผมถามออกไปในทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ตอนที่ริคพูดน่ะเขายังไม่ยอมสบตาผมด้วยซ้ำ แบบนี้น่ะมันต้องมีอะไรแน่ๆ

     

    นายทำงานที่นี่ไม่ได้หรอกนะจูเลียนริคตอบกลับมา แต่คำตอบนั้นมันก็ยังไม่ได้เฉลยในสิ่งที่ผมกำลังสงสัยอยู่ดี มันเหมือนกับว่า...ริคอยากจะเลี่ยงคำถาม?

     

    แล้วทำไมนายทำงานที่นี่ได้ละ?” ผมย้อนถามกลับ ก็แน่ละ..ริคทำได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้! ถึงจะทำได้ช้ากว่า แย่กว่าก็เถอะ แต่ถ้าพยายามมันก็น่าจะได้สิ หรือผมจะเข้าใจอะไรผิดไป?

     

    คราวนี้ผมเป็นฝ่ายยื่นหน้าจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของเขา ริคไม่ได้ถอยห่างออกไปและยอมกลับมาสบสายตาผมดีๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     

    เพราะฉันกับนายมันไม่เหมือนกันไง

     

    หา? ไม่เหมือนกันตรงไหนละ?”

     

    อย่าสงสัยอะไรให้มันมากจะได้มั๊ยเล่า ไม่เหมือนก็คือไม่เหมือนสิ!”

     

    “…”

     

    ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ายัยแฟลร์ใช้อะไรคิดถึงรับนายเข้ามา แต่ฟังนะจูเลียน งานที่นี่น่ะมันอันตราย และนายก็ไม่เหมาะที่จะทำมัน เพราะฉะนั้น----

     

    ฉันไม่ลาออกหรอกนะผมพูดแทรกขึ้นมาเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ริคจะพูดต่อไปคืออะไร

     

    จูเลียน..!”

     

    ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันคงอันตราย และถ้ามันอันตรายขนาดนั้นนายก็ไม่ควรจะมาทำเหมือนกันนั่นแหละ แล้วอีกอย่าง...ผมเว้นช่วงสูดลมหายใจเข้าปอด ถ้าฉันลาออก...ฉันก็ต้องตายไม่ใช่รึไง

     

    และดูเหมือนนั่นจะไปสะกิดใจริคได้บ้าง เขาเบิกตากว้างมองตรงมาทางผมอยู่พักหนึ่ง ซึ่งผมเองก็จ้องเขาไม่วางตาเช่นกัน

     

    ใช่... ถ้าลาออกได้ ผมลาออกไปนานแล้ว

     

    แต่พอลาออกไม่ได้ ผมก็กลับบ้านไปนั่งเตรียมใจเผชิญหน้ากับสิ่งที่มันกำลังจะเกิดจนใจเกิดความกล้าขึ้นมาบ้าง แล้วแบบนี้เขายังจะบอกให้ผมลาออกหรือกลับบ้านไปดื้อๆแบบนี้น่ะหรอ

     

    ถึงจะเป็นริค.. แต่คราวนี้ผมไม่ฟังหรอกนะ ถ้าผมกลับ ริคก็ต้องกลับด้วย!

     

    ริคยังคงเงียบไม่พูดไม่จา  ผมไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาตอนนี้หมายความว่าเขาตกใจ คาดไม่ถึง หรืออะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่าตอนนี้แววตาของผมแน่วแน่พอสมควร เพราะอย่างที่บอกว่าผมเตรียมใจมาไว้แล้ว ริคคงสัมผัสถึงมันได้ สุดท้ายดวงตาที่เบิกกว้างของเขาจึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม ริคหลับตาอยู่อีกครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิดก่อนจะลืมตาอีกครั้ง แต่อย่างไรเสีย สีหน้าของเขาก็ยังฉายแววกังวล

     

    นายดื้อขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย..

     

    หะ..หา? ดื้ออะไรละ! ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย..ผมชะงักค้างไปแวบหนึ่งด้วยไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา ก็มันเกี่ยวข้องกับเรื่องตอนนี้ตรงไหนละ?! ผมเริ่มโวยวาย แต่ริคที่อยู่ตรงหน้าผมกลับยังนิ่งเฉย มันไม่ได้ให้ความรู้สึกกดดันอย่างในตอนแรก ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังมองด้วยสีหน้าเอือมๆรวมกับสีหน้าลำบากใจมากกว่า แล้วจากนั้นอีกฝ่ายก็ถอนหายใจยาวออกมา

     

    ผมไม่รู้ว่าเขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหรือความหนักใจ แต่ผมว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ถึงอย่างนั้นผมก็นับมันเป็นสัญญาณที่ดีว่า ริคยอมผมแล้ว

     

    ผมอมยิ้มอยู่ในใจไม่ให้หมอนั่นเห็น

     

    ริคเดินห่างออกไปจากตัวผมมากขึ้น เขาเดินห่างออกมาแล้วเดินไปนั่งตรงพื้นหญ้าแล้วมองแม่น้ำใสสะอาดที่อยู่เบื้องล่าง แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาเหม่อมองออกไปไกลๆยังไงไม่รู้

     

    ผมเห็นดังนั้นแล้วเดินตามไปนั่งอยู่ข้างๆเป็นเพื่อน จะว่าไปแล้ว..ผมไม่ได้มานั่งเล่นสบายๆแบบนี้กับริคนานแล้วเหมือนกันนะ คงตั้งแต่ริคได้งานทำนั่นแหละ เวลาว่างของเขาก็น้อยลงๆจนพวกเราอย่างมากก็ทำได้แค่เดินไปซื้อของให้ป้าเนฟด้วยกันตอนเขาเลิกงานเร็ว ตอนเช้าก็มีเวลาได้คุยกันเฉพาะช่วงกินข้าวประมาณสิบห้านาทีแล้วเขาก็ออกไปทำงาน

     

    แต่ถ้าได้ทำงานที่เดียวกันแบบนี้... ก็จะได้เจอหน้ากันมากขึ้นอีกเท่าตัวเลยน่ะสิ คิดแล้วมันก็อดดีใจให้กับความโชคดีบนความโชคร้ายของตัวเองไม่ได้จริงๆ

     

    ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรน่ะห๊ะ?” ริคเอ่ยขึ้นมาทั้งๆที่ยังมองตรงไปด้านหน้าจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีตาข้างรึไงกันนะ น้ำเสียงที่เขาพูดออกมาฟังๆดูแล้วก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ถูกขัดใจเลยแฮะ นานๆทีเห็นริคแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ

     

    เปล่า..ว่าไปนั่น.. ผมไม่หุบยิ้มแถมยังยิ้มกว้างกว่าเดิมเลยด้วยซ้ำ ริคไม่ตอบอะไรกลับมา ผมจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

     

    ว่าแต่..งอนรึเปล่า?”

     

    งอนบ้างอนบออะไรอีกเล่าคราวนี้ริคสะบัดหน้าหนีผมที่พยายามชะเง้อมองหน้าเขา ผมจึงยิ้มให้เขาแม้จะรู้ว่าเขาคงไม่เห็นมัน

     

    ความเงียบค่อยๆก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง สายลมริมน้ำพัดผ่านผิวอย่างแผ่วเบาให้ความรู้สึกผ่อนคลายราวกับว่ามันหอบเอาความรู้สึกหนักอึ้งระหว่างพวกผมสองคนไปด้วย ผมสูดอากาศที่มีกลิ่นไอดินและกลิ่นหญ้าโชยมานั้นเข้าปอดแล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีฟ้าสดใส เมฆสีขาวลอยเป็นหย่อมๆกำลังดี เห็นแล้วก็รู้สึกอยากงีบขึ้นมาดื้อๆ แต่ทว่า...

     

    “…สัญญากับฉันสักอย่างสิจูเลียน

     

    หือ? สัญญาอะไรละ?”

     

    สัญญากับฉันว่านายจะไม่ทำอะไรแผลงๆ

     

    นายเห็นฉันเป็นคนแบบนั้นรึไงผมเอ่ยกลั้วหัวเราะ แต่แววตาของริคฉายแววจริงจัง ผมจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบาให้กับความขี้กังวลของคนตรงหน้า ริคเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

     

    ครั้งนี้ฉันยอมนายเพราะไม่มีทางเลือก แต่นายต้องสัญญากับฉันว่านายจะเชื่อฟังฉัน

     

    บางทีนายก็เหมือนป้าเนฟนะริคผมยังเล่นไม่เลิก ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นห่วงขนาดไหน แต่แค่อยากแกล้งริคบ้างมันก็เท่านั้น แต่ริคคงยังไม่มีอารมณ์จะเล่นกับผมจริงๆนั่นแหละ

     

    จูเลียน...ริคกดเสียงต่ำจนผมเองยังขนลุก

     

    อ่า...คร้าบๆ สัญญาครับ

     

    เอาให้มันจริงจังแล้วก็หนักแน่นมากกว่านี้สิ

     

    ก็ไม่อยากจะย้อนกลับไปหรอกนะว่า นายนั่นแหละที่จริงจังมากไปแล้ว

     

    ...ฉันสัญญานายผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างที่อีกฝ่ายขอ ซึ่งริคก็ทำเพียงพยักหน้าเบาๆกลับมาให้ผม

     

    ...พูดถึง สัญญามันก็ต้องทำ ไอ้นั่น ใช่มั๊ยละ !

     

    คิดอะไรดีๆได้แล้วผมก็กำมือแล้วยื่นมันไปตรงหน้าของริคในทันที การกระทำที่กะทันหันนั้นทำให้ริคสะดุ้งหน่อยๆแล้วหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้างุนงง คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นอย่างต้องการจะถามว่า อะไร?’ ไม่ต้องรอให้เสียเวลาอะไรมากมายผมก็คลายนิ้วก้อยแทนคำตอบข้อสงสัยนั้น

     

    ยังทำหน้าสงสัยอยู่อีกหรอ? ก็เกี่ยวก้อยสัญญาไงผมว่าพลางยิ้มกว้าง ไม่ได้ทำนานแล้วใช่มั๊ยละ?”

     

    ริคจ้องหน้าผมด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็หัวเราะในลำคอเบาๆก่อนยกยิ้มขึ้นที่มุมปากแล้วพูด เด็กชะมัดเลยนะ อายุกี่ขวบแล้วหา?” แต่เขาก็ยอมยื่นนิ้วก้อยของเขามาเกี่ยวกับนิ้วของผมแต่โดยดี

     

    ซึ่งผิดคาดมาก..

     

    ผมนึกว่าเขาจะโวยวายว่า จะบ้าหรอ?! นายคิดอะไรของนายเนี่ย?!” หรืออะไรทำนองนี้ซะอีก

     

    เฮ้อ.. ผิดหวังชะมัด(?)

     

    เอาเถอะ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ไว้หาทางแกล้งใหม่ก็ยังไม่สาย เพราะยังไง..

     

    ...ผมก็ทำงานที่เดียวกันกับริคตั้งแต่วันนี้ไปอยู่แล้ว

     

     

    ตุ้บ

     

    โอ๊ย!”

     

    หือ?

     

    เมื่อกี้น่ะเป็นเสียงคนร้องใช่ไหมนะ? แต่ผมกับริคไม่ได้ร้องอะไรเลยนี่นา?

     

    ผมกับริคหันไปมองทางด้านหลังซึ่งเป็นทิศที่คาดว่าเป็นที่มาของเสียงคนร้องเมื่อครู่ และภาพที่ผมเห็นก็คือ...

     

    ภาพของสมาชิกในหน่วยแฟนทาสมาโกเรียจำนวนหนึ่งกำลังกองทับกันเป็นภูเขา(?)

     

    นี่พวกนาย...ริคเป็นคนเอ่ยปากก่อน คิ้วของเขาขมวดเป็นปมจนแทบดูคล้ายโบว์ แอบฟังอยู่ใช่มั๊ย?”

     

    อะ..เอ๋? เปล่านะ คือพวกเรา..หนึ่งในกองภูเขามนุษย์(?)พูด

     

    ยังจะโกหกว่าอะไรอีกละ?” ริคกดเสียงต่ำ อา.. ริคเป็นแบบนี้ผมช่วยอะไรไม่ได้แล้วนะ

     

    อึ๋ย.. เพราะนายแท้ๆเลย เจโล!” เลสเตอร์หันไปโวยวายทางเด็กผู้ชายผมสีขาวคนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างเขา

     

    แล้วไหงมาว่าฉันงั้นละเลสต์!”

     

    ก็นายน่ะเป็นคนทำให้ทุกคนล้มลงมาไม่ใช่รึไง? ถ้านายไม่สะดุดยอดหญ้า(?) พวกเราก็คงไม่โดนริคหมายหัวแบบนี้หรอก!”

     

    แล้วกัน..เจโลทำหน้าหงอยไปเล็กน้อย ผมเห็นแล้วก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆอยู่ห่างๆ เจโล หรือ แองเจลิโต้ โรลานซ์ เป็นเด็กผู้ชายอายุเท่าผมที่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นผู้ชายที่มีคำว่า ซวย แปะหน้าผากมาตั้งแต่เกิดเรียกได้ว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ซวยไปเสียหมด และครั้งก็คงไม่ต่างกัน...

     

    นี่เป็นความคิดนายใช่มั๊ยธีโอดอร์..ริคหันไปมองธีโอดอร์ที่อยู่เป็นฐานพีระมิด(?)ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผมเห็นธีโอดอร์สะดุ้งเฮือกขึ้นมาก่อนจะโบกไม้โบกมือแล้วยิ้มแหยๆ

     

    แหมๆ อย่าพูดอะไรเหมือนฉันเป็นหัวโจกผู้ชั่วร้ายแบบนั้นสิ คราวนี้ฉันก็แค่ทำตัวเป็นลูกน้องที่ดีตามหัวหน้าอย่างแฟลร์มาเฉยๆเอง

     

    แฟลร์งั้นหรอ? ชิ...ยัยนั่นอีกแล้ว

     

    ฉันทำไมงั้นรึริคคาร์โดคราวนี้เสียงดังมาจากด้านซ้ายมือของพวกเรา และพอหันไปมองตามทิศนั้นก็ได้พบกับแฟลร์ยืนพิงต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ แต่เมื่อกี้บริเวณตรงนั้นมันไม่มีใครอยู่นะ เธอเป็นวิญญาณรึไง?!

     

    ในขณะที่ผมกำลังทำหน้าอึ้งๆ ริคกลับทำสีหน้าเอือมระอาออกมาแทน

     

    ไม่ต้องมองฉันด้วยสีหน้าแบบนั้นเลยนะยะ! ฉันแค่เดินออกมาตามตัวพวกนายเฉยๆย่ะ!” เธอว่าแล้วสะบัดหน้าแบบเชิดๆ ก่อนจะกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบเดิม

     

    แต่ก็อย่างที่จูเลียนว่าละนะริคคาร์โด

     

    ...

     

    ฉันบอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ได้รับคนเข้าหน่วยแบบมั่วซั่ว ฉันมีเกณฑ์มาตรฐานของฉันเอง และจูเลียนก็เป็นคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะผ่านเกณฑ์ที่ว่านั้นเหมือนกับตอนที่ฉันรับนายเข้าทำงาน

     

    ...แฟลร์จ้องเขม็งมาทางริคและริคเองก็จ้องตอบอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน

     

    พูดง่ายๆก็คือ จูเลียนผ่านการทดสอบเดียวกันกับทุกคนที่อยู่ที่นี่

     

    การทดสอบ? จะว่าไปแล้ว.. การทดสอบที่แฟลร์พูดถึงมันหมายความว่าไงกันแน่ เธอก็ยังไม่ได้บอกผมเลยนี่นา

     

    เหมือนแฟลร์จะเหลือบมาเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของผม เธอจึงเบือนหน้ามาทางผมและเริ่มต้นอธิบาย

     

    จูเลียน.. นายจำทางเดินมืดๆก่อนจะถึงฐานทัพลับได้ใช่มั๊ย?”

     

    อะ..ครับ

     

    การทดสอบที่ฉันพูดถึงก็คือการเดินผ่านทางนั้นมายังฐานทัพลับนั่นแหละ นายอาจมองว่าความจริงมันก็ไม่มีอะไร แต่การอยู่ในที่มืดนานๆโดยไม่รู้ชะตาของตัวเองน่ะมันกดดันมากพอสมควรเลยนะ ถ้านายไม่มีความกล้าและจิตใจที่เข้มแข็งแน่วแน่มากพอ นายก็จะไม่มีทางก้าวเท้าก้าวต่อไปแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ทางแยกที่มีเรื่อยๆนั่นน่ะ มันเป็นเหมือนการสะท้อนภายในจิตใจของนายออกมา แต่นายก็ยังเลือกเดินตรงไปข้างหน้าจนเจอที่หมาย

     

    หมายความว่า?”

     

    ก็หมายความว่าคนที่ผ่านการทดสอบนั่นมาได้ หนึ่งคือเป็นคนโชคดีพอสมควร แต่อาจยกเว้นแองเจลิโต้ไว้คนนึงพอแฟลร์พูดจบ ผมแอบได้ยินเจโลพึมพำเบาๆอยู่ห่างๆว่าใจร้าย..ไม่รู้ว่าแฟลร์ได้ยินแล้วทำเมินหรือว่าไม่ได้ยินจริงๆก็ไม่รู้ เพราะเธอพูดต่อโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญนั่น

     

    สองคือเป็นคนที่จิตใจแน่วแน่และเข้มแข็ง มีความมุ่งมั่นที่จะเดินไปตามทางของตัวเองโดยไม่มีความลังเลหรืออาจมีน้อยมากทีนี้เข้าใจรึยังละ?”

     

    ขะ..เข้าใจครับ

     

    ดีมากเธอพยักหน้าอย่างพึงพอใจให้กับปฏิกิริยาตอบรับจากผมแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับริค แล้วนายละ?”

     

    ...เรื่องนั้นฉันเข้าใจถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ริคยังทำสีหน้าเหมือนไม่อยากยอมรับนัก แฟลร์เห็นดังนั้นแล้วก็ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ

     

    อย่าว่าแต่จูเลียนเลย นายก็หัวรั้นเหมือนกันนั่นแหละ

     

    ...แปลว่าเธอแอบฟังพวกผมสองคนมาตั้งแต่ต้นจริงๆด้วยสินะ

     

    ถ้านายห่วงจูเลียนขนาดนั้นละก็... เวลาจูเลียนได้รับมิชชั่นมาแล้วนายยังว่างงานอยู่ ฉันอนุญาตให้นายไปทำภารกิจพร้อมกับจูเลียนก็ได้ถ้านายต้องการ แต่ย้ำก่อนนะว่าถ้านายยังว่างงานอยู่เท่านั้นนะ

     

    ...จะทำอะไรก็ทำริคพูดแล้วถอนหายใจอีกรอบ ผมจึงเอื้อมมือไปตบบ่าของเขาเบาๆแล้วยิ้มให้เป็นการให้กำลังใจ ครั้นเห็นว่าริคยอมแล้ว ทางด้านแฟลร์เองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน

     

    แต่จะว่าไปแล้ว...ฉันไม่เคยเห็นริคเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะเนี่ยคุณรามิลตัน หรือ รามิลตัน เบรสลิน พูดขึ้นมาเรียกความสนใจจากทุกคน

     

    นั่นสินะ ฉันก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกนี่ละ ถึงเขาจะเถียงกับซาซายะบ่อยๆก็เถอะ แต่เขาไม่เคยเดือดขนาดนี้มาก่อน แถมยังมีเรื่องทำภารกิจคู่อีกธีโอดอร์เอ่ยเสริมทั้งรอยยิ้ม

     

    แบบนี้ก็แปลว่าจูเลียนน่ะสำคัญกับริคคาร์โดมากเลยงั้นสิ?” คุณเซลีน หรือ อเซลีน เดอ ออเรียล กล่าวพลางเหลือบมองไปทางริคอย่างต้องการจะแกล้ง แหมๆ อยากรู้จังเลยว่าสำคัญขนาดไหนกันน้า ?” เธอยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

     

    เห..คราวนี้ทุกคนพร้อมใจกันพูดแล้วหันมาทางริคแล้วหัวเราะคิกคัก

     

    หะ..หุบปากน่า!” ริคว่าแล้วสะบัดหน้าหนี ซึ่งทิศที่เขาหันมาใหม่นี้ดันเป็นทิศที่ผมยืนอยู่พอดี พอเขาเห็นผม เขาก็รีบสะบัดไปอีกทางดูแล้วน่าขำ ผมไม่อยากจะพูดเลยว่าแก้มเขาแดงขึ้นมาหน่อยๆด้วยละ และในขณะที่ทุกคนกำลังรุมริคอยู่นั้นเอง แฟลร์ก็ขัดขึ้นมา

     

    เอ้าๆ เดี๋ยวค่อยซักไซ้เจ้าริคคาร์โดต่อในฐานทัพลับละกัน แต่ตอนนี้ฉันคงต้องเอาตัวจูเลียนไปก่อน...แต่พอเธอเหลือบไปมองริคแล้วก็ระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดต่อ อา.. แต่เราควรจะขออนุญาตใครบางคนก่อนสินะ.. ฉันพูดถูกรึเปล่าริคคาร์โด?”

     

    อะ..อะไรของเธอ เธอจะเอาคนไม่ได้เรื่องอย่างหมอนี่ไปไหนก็เรื่องของเธอกับมันสิ!”

     

    เดี๋ยวเถอะริค!

     

    ผมนึกบ่นคนที่ยืนอยู่ข้างๆผมในใจ แต่ผมขี้เกียจแกล้งงอนหมอนี่ละ ช่างมันก็ได้

     

    งั้นหรอๆ แล้วใครหน้าไหนมันบอกให้จูเลียนสัญญาว่าจะเชื่อฟังน่ะ?”

     

    ผมรู้สึกเลยว่าริคกำลังกัดฟันกรอดๆอย่างอาฆาตแค้น แต่แฟลร์กลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เธอแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์แกล้งริคอยู่พักนึงพอหอมปากหอมคอ(?)แล้วกลับเข้ามาสู่โหมดจริงจังใหม่

     

    ไว้แกล้งนายต่อทีหลังละกัน.. เอ้า จูเลียน ไปกันได้แล้วเธอว่าทิ้งไว้เท่านั้นก่อนจะหมุนตัวและทำท่าจะเดินจากไป ผมจึงต้องรีบวิ่งตาม

     

    ว่าแต่จะไปไหนน่ะ?” ริคตะโกนถาม ทำให้แฟลร์ชะงักฝีเท้าแล้วพูดตอบโดยที่ไม่หันหน้ากลับไป

     

    “…ไม่น่าถามนะ ก็ไปหาองค์ราชาน่ะสิ

     

     

     

     

    บอกผมทีสิครับว่านี่คือเรื่องโกหก..

     

    ตอนนี้ผมกับแฟลร์กำลังยืนอยู่หน้าสถานที่ที่ผมเรียกไม่ถูกว่ามันคือ ปราสาท หรือ พระราชวัง รู้แค่ว่ามันเป็นสถานที่ทำงานของขุนนาง และเป็นที่ประทับของผู้ปกครองสูงสุดของอาณาจักรแห่งนี้

     

    ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าผมเรียกมันไม่ถูก แต่มันอยู่ที่ว่า...

     

    นี่ผมจะต้องเข้าไปพบองค์ราชาจริงๆเหรอครับ?”

     

    นายถามฉันมาเป็นสิบรอบแล้วนะจูเลียนแฟลร์เอ่ยตอบผมอย่างหงุดหงิด ฉันจะบอกนายอีกเป็นครั้งสุดท้ายนะว่า พวกเรามาพบองค์ราชาตามคำสั่งของพระองค์ ชัดเจนแล้วนะ?”

     

    อ่า..ครับๆ

     

    ผมเชื่อว่าแฟลร์คงมาบ่อยจนชินด้วยหน้าที่บังคับ แต่ผมที่เป็นคนธรรมดาจนถึงเมื่อวานเนี่ยสิ..จะไปชินได้ไงละครับ ?!

     

    ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่คำว่า องค์ราชามันฟังแล้วชวนให้ความกล้าที่มีหดหายไปหมด ผมว่ามันไม่ผิดปกติหรอกนะที่ผมจะรู้สึกประหม่าน่ะ

     

    แล้วต้องทำไงบ้างละครับ?”

     

    อืม.. ก็แค่พูดคุยกับพระองค์เล็กๆน้อยๆนั่นแหละ พวกเรามาที่นี่เพียงเพราะแนะนำตัวนายนี่นะแฟลร์พูดแล้วเดินตรงไปอย่างสบายๆ ในขณะที่ผมเดินแล้วหันซ้ายทีขวาทีด้วยความตื่นเต้น..อา.. ไม่สิๆ ผมไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่ายังไงดีเหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกค่อนข้างสับสน และหัวใจเองก็เต้นแรงด้วยความรู้สึกประหม่า แต่ลึกๆแล้วผมก็รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งของแปลกตาที่อยู่รอบข้าง

     

    ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจูเลียน ฉันไม่จับนายพรากจากริคคาร์โดนานนักหรอก

     

    ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นซักหน่อย!”

     

    หายประหม่าบ้างยังละ?”

     

    หา?” จะว่าไปแล้ว...ผมก็รู้สึกดีขึ้นจริงๆนะหลังจากได้โวยวายออกไปเมื่อกี้นี้ ก็..ดีขึ้นแล้วครับ

     

    ดีแล้ว..แฟลร์หันมายิ้มบางๆให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนจะหันหน้ากลับไปทิศเดิม

     

    เธอเองก็ใส่ใจคนอื่นเหมือนกันนะ ถึงบางครั้งจะเผด็จการไปหน่อยก็เถอะ...

     

    ความรู้สึกที่ว่าเธอเป็นห่วงผมทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง ผมจึงเดินตามเธอไปด้วยท่าทีที่สบายๆมากขึ้น เธอคงสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะผมแอบได้ยินเธอหัวเราะเบาๆด้วย

     

     

     

    อะ..ถึงแล้วแฟลร์พูดพร้อมกับหยุดฝีเท้าลง

     

    ถะ..ถึงแล้วสินะครับถึงผมจะบอกว่าผมใจชื้นขึ้นมาบ้างก็เถอะ แต่มันก็..ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะมาเลย องค์ราชาที่ว่าจะเป็นคนยังไงก็ไม่รู้ ผมจะไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้ารึเปล่านะ แล้วถ้าเกิดเขาไม่พอใจขึ้นมาละ ผมจะเป็นยังไงต่อ ...

     

    ...ทำไงดีละ ?!

     

    วางใจเถอะจูเลียน องค์ราชามันก็เป็นแค่ตำแหน่งเท่านั้นละแฟลร์เอ่ยเรียกสติของผม ฉันแนะนำให้นายลบภาพลักษณ์ราชาทุกภาพที่นายกำลังร่างในหัวออกไปให้หมดซะ

     

    เอ๋? หมายความว่ายังไงครับ?” ผมถามกลับ แต่แฟลร์ไม่ตอบ เธอพยักเพยิดหน้าไปด้านในราวกับจะบอกผมว่า เดี๋ยวเข้าไปนายก็รู้เองนั่นแหละซึ่งมันไม่ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ...แฟลร์ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่นะ

     

    และในขณะที่ผมกับเธอกำลังยืนอยู่นั้นเอง เสียงทุ้มแบบผู้ชายแต่ค่อนไปทางหวานหน่อยๆก็ดังขึ้นอย่างสดใสเสียจนพวกผมต้องหันไปมอง

     

    ท่านแฟลร์! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับ!”

     

    เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ชายรูปร่างประหนึ่งนายแบบ เขามีเรือนผมสีเหลืองทองและดวงตาเฉดสีเดียวกันที่กำลังส่องประกายอย่างมีชีวิตชีวา ดูแล้วเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นและมีพลังงานเหลือเฟืออยู่เสมอ

     

    ดูเหมือนเขาจะรู้จักแฟลร์สินะ...

     

    ความจริงก็เพิ่งเจอกันไปเมื่อวานนะแฟลร์เอ่ยขัดคอ แสดงว่าแฟลร์เองก็คงรู้จักเขาดี

     

    อา..นั่นสินะขอรับ ฮะๆ เด็กหนุ่มแปลกหน้า(สำหรับผม)ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อพลางหัวเราะแห้งๆ ...งั้นเราไปกันเลยไหมขอรับ?”

     

    ก็พวกเรารอนายนำอยู่นี่แหละแฟลร์ตอบ

     

    เอ๋?! จริงหรอขอรับ?! กระผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงเลยขอรับที่ทำให้เกิดความล่าช้าแบบนี้ขึ้น!” เขาพูดแล้วโค้งคำนับขอโทษขอโพยแฟลร์เสียยกใหญ่จนขนาดเธอเองก็เป็นฝ่ายผงะ

     

    จนแล้วจนรอดเราก็เลยเสียเวลาไปพอสมควรในการทำให้เด็กผู้ชายคนนี้หยุดการกระทำนั้นแล้วกลับมาเป็นปกติ

     

     

     

    ...อ๋อ อย่างนั้นท่านก็คือสมาชิกใหม่ของหน่วยแฟนทาสมาโกเรียสินะขอรับตอนนี้พวกเรากำลังเดินเข้าไปในห้องโถงห้องหนึ่งเพื่อไปพบพระราชาที่อยู่ด้านในลึกเข้าไป ระหว่างที่เดินไปแฟลร์ก็แนะนำผมให้เด็กผู้ชายผมเหลืองที่กำลังนำทางเราอยู่ฟัง และผมก็ได้พบว่าเขาชื่อ แมธทิว วิลเลียม เขาเป็นขุนนางคนสนิทของพระราชา

     

    ใช่แล้วครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณแมธทิว ผมเอ่ยพลางยิ้มให้ ซึ่งคุณแมธทิวก็ยิ้มกลับให้ผมเช่นกัน แต่จะว่าไปแล้วดูเหมือนเขาจะยิ้มมาตลอดตั้งแต่เราเจอกันแล้วนี่นา เป็นคนมีอัธยาศัยดีจังนะ

     

    เช่นกันขอรับท่านจูเลียน.. อ๊ะ ถึงแล้ว เชิญทางนี้เลยนะขอรับคุณแมธทิวบอกพลางเปิดประตูให้พวกเรา ซึ่งแฟลร์เป็นคนเดินนำเข้าไปก่อนแล้วตามด้วยผม จากนั้นก็เป็นแมธทิวที่ช่วยปิดประตูให้ก่อนตามเข้ามา นี่คือท้องพระโรงขอรับ

     

    ท้องพระโรง..?

     

    ผมหันหน้ามองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นเต้นจนแฟลร์ต้องสะกิดผมให้หยุด

     

    องค์ราชาขอรับ! ท่านแฟลร์มาถึงแล้วขอรับ!” แมธทิวพูดเสียงดังแล้วเดินนำหน้าพวกไปหยุดอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าสูงกว่าพื้นห้องที่ผมยืนอยู่ด้วยบันไดขั้นเตี้ยๆประมาณห้าขั้น ผมไม่กล้ามองบนนั้นว่ามีใครนั่งอยู่รึเปล่าเพราะความกล้าที่มียังไม่พอ ผมเลยคุกเข่าทำความเคารพตามแฟลร์โดยยังก้มหน้าอยู่ แม้ว่าจะยืนขึ้นแล้วก็ตาม

     

    จูเลียน.. เงยหน้าได้แล้วแฟลร์กระซิบบอก

     

    อะ..ครับผมกระซิบตอบกลับพลางนึกในใจไปว่า องค์ราชานี่เงียบจริงๆนะ สงสัยจะเป็นพวกสงบเสงี่ยมหรืออะไรเทือกๆนั้น

     

    ...แต่สิ่งที่ผมวาดไว้คร่าวๆในหัวก็ดันพังทลาย

     

    เพราะสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าน่ะคือภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมไหล่สีแดงสดและมีขนสีขาวเป็นริ้วๆเย็บติดชายผ้ารวมไปถึงยังสวมมงกุฎอย่างที่ทุกคนคาดหวังไว้กับภาพลักษณ์ความเป็นราชา เขานั่งโดยยกแขนขึ้นเท้าคางบนที่วางแขนอย่างสง่างาม และ...

     

    ...กำลังนอนหลับอยู่ แถมยังมีคราบน้ำลายติดด้วยนะ

     

    อา.. สงสัยว่าผมจะละเมอไม่ก็ตาฝาดอยู่แหงๆ

     

    คิดแล้วผมก็ขยี้ตาไปทีนึง หยิกแก้มตัวเองอีกข้างละที

     

    ...แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม

     

    ครั้นเหลือบไปมองหน้าแฟลร์ เธอกลับไม่มีปฏิกิริยาตกใจใดๆทั้งสิ้น สิ่งที่สีหน้าของเธอบอกออกมาคือความเอือมระอาสุดขั้วหัวใจ... ส่วนคุณแมธทิวเห็นดังนั้นแล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปเขย่าตัวคนที่นั่ง..เอ่อ..นอนอยู่บนบัลลังก์จนอีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้ แต่ก็ยังไม่วายบิดขี้เกียจและหาวหวอดๆต่อหน้าต่อตาพวกผม

     

    อ่า.. ผมเลยเข้าใจแล้วสิว่าทำไมแฟลร์ถึงบอกให้ผมลบภาพที่กำลังคาดหวังอยู่ในหัวออกไปให้หมด

     

    หืม.. อ้าว? มาตั้งแต่เมื่อไหร่ละแฟลร์องค์ราชาหันมาแย้มยิ้มอย่างสบายๆให้กับพวกเราราวกับว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น แฟลร์ไม่ตอบอะไรกลับไป หล่อนทำเพียงแค่ถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยหน่ายเท่านั้น

     

    โอ้.. ว่าแต่นายที่ยืนตรงนั้นน่ะ...คราวนี้องค์ราชาหันมาทางผมที่ยืนอยู่ข้างๆแฟลร์แทน ผมเลยสะดุ้งสุดตัว เพราะยังไงเสีย พระองค์ก็เป็นราชานี่นะ องค์ราชามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจอะไรบางอย่างซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

     

    ครับ!?”

     

    นาย...

     

    ครับ?”

     

    นายน่ะ..

     

    ครับ..?”

     

    นายน่ะ...

     

    “…ครับ มีอะไรครับ?”

     

    นาย...

     

    อะ..อะไรละครับ?”

     

    นายน่ะ...องค์ราชามองมาทางผมด้วยแววตาจริงจังผิดปกติจนผมรู้สึกเสียวแปลกๆ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!

     

    “…ผมสีน่าสนใจดีนะ

     

    ห๊ะ…?

     

    ผมกะพริบตาปริบๆด้วยความค้าง แต่องค์ราชากลับแย้มยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆกับผมทั้งสิ้น น้ำเสียงของพระองค์ที่พูดประโยคสุดท้ายออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยความขี้เล่นแตกต่างจากน้ำเสียงก่อนหน้านี้ของเขาลิบลับ

     

    ซามาเอลแฟลร์ที่ยืนอยู่ข้างๆผมขึ้นเสียงดุ

     

    อา..ไม่เอาน่าแฟลร์ หยอกกันเล่นนิดๆหน่อยๆเอง

     

    สิ่งที่พระองค์พูดฟังแล้วคล้ายๆธีโอดอร์ แต่ในกรณีแบบนี้ธีโอดอร์จะยิ้มแห้งๆ แต่ผู้ชายคนนี้กลับยิ้มร่าราวกับจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ช่างเป็นราชาที่...

     

    ...โนคอมเม้นท์ดีกว่าครับ(?)

     

    นายน่ะชื่อจูเลียนสินะองค์ราชาวนเป้าหมายกลับมาที่ผมอีกครั้ง พระองค์ทำท่าเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับชะงักไว้กลางคันไม่พูดมันออกมา แล้วจากนั้นเรียวปากก็ยกขึ้นน้อยๆอย่างเดิม

     

    อื้ม! ท่าทางใช้ได้เลยนี่...

     

    ขอบคุณมากครับ..ผมยกมือเกาท้ายศีรษะเบาๆแก้เก้อ พอได้รับคำชมจากองค์ราชาแล้วมันรู้สึกหัวใจพองโตชะมัดเลยแฮะ นี่คงจะเป็นอิทธิพลของคำว่า ราชาสินะ

     

    ...

     

    “?”

     

    “…”

     

    “??”

     

    ผมว่าแพทเทิร์นแบบนี้มันคุ้นๆอยู่นะ

     

    “…”

     

    “???”

     

    “…….พูดอะไรต่อดีอะแมธ?” สุดท้ายพระองค์ก็หันไปหาคุณแมธทิว ผมละอยากจะเอาหัวโขกพื้นซะเดี๋ยวนี้จริงๆเลยครับ แต่ถ้าทำมันก็คงไม่ดีเท่าไหร่นัก ดีไม่ดีผมอาจจะโดนริคสวดยับตอนกลับไปก็ได้ คิดแล้วผมเลยทำเพียงถอนหายใจออกมายาวๆ

     

    ส่วนแฟลร์ เธอเห็นสภาพผมกับองค์ราชาแล้วก็ยกมือขึ้นกุมหน้าด้วยความปลงพลางส่ายหน้าน้อยๆราวกับจะบอกว่า ไร้ทางเยียวยา

     

    โธ่..องค์ราชาละก็ ถ้าไม่มีอะไรคุยแล้ว เดี๋ยวกระผมพาพวกท่านแฟลร์กลับก็ได้นะขอรับคุณแมธทิวพูด พระองค์จะได้กลับไปทำงา----

     

    จริงสิจูเลียนฉันนึกเรื่องคุยออกแล้ว

     

    อะ..ครับ?” ผมอาจจะรู้สึกไปเอง แต่เหมือนกับว่าเมื่อกี้พระองค์จงใจพูดแทรกคุณแมธทิวขึ้นมาเลยแฮะ.. ไม่ๆ ผมคงคิดไปเอง(?)

     

    จากนั้นองค์ราชาก็ชวนผมคุย.. ผมไม่ได้โม้นะครับ พระองค์เป็นคนชวนผมคุยจริงๆ ไม่สิ ผมอาจจะต้องเรียกว่าพระองค์พยายามจะยืดบทสนทนาให้มากที่สุดมากกว่า แต่นั่นก็ทำให้ผมได้ความรู้ใหม่มาอย่างหนึ่งนั่นคือ แฟลร์กับองค์ราชาซามาเอลรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กมิน่าละ.. ถึงได้พูดกันอย่างคุ้นเคยนัก

     

    พอแค่นั้นแหละวันนี้น่ะแฟลร์เอ่ยขึ้นขัด ซามาเอลจะได้ไปทำงานสักทีด้วย

     

    อา..รู้สึกเปลือกตามันหนักๆยังไงก็ไม่รู้สิ ฝากที่เหลือด้วยนะแมธว่าแล้วองค์ราชาก็หลับตาลงทันใดราวกับเป็นรีเฟลกซ์(?) และถึงแม้ว่าคุณแมธทิวจะโวยวายอยู่ข้างๆ พระองค์ก็ไม่มีทีท่าจะยอมลืมตาเลย ไม่รู้ว่าหลับไปแล้วจริงๆหรือมีสกิลการทำหูทวนลมที่สุดยอดมากกันแน่

     

    องค์ราชาขอรับ! อย่างน้อยตื่นขึ้นมาส่งท่านแฟลร์กับท่านจูเลียนตามมารยาทก่อนก็ยังดีนะครับ!”

     

    ปล่อยเค้าไปเถอะแมธทิว ลงอีหรอบนั้นแล้วต่อให้เอาปืนจ่อหัวก็ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาหรอกแฟลร์ถอนหายใจอีกรอบ ผมว่าวันนี้ผมเห็นเธอถอนหายใจมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วละ

     

    กระผมต้องขออภัยแทนองค์ราชาจริงๆนะขอรับ..

     

    แล้วนายจะเอายังไงกับกองเอกสารนั่น?” แฟลร์เอ่ยพลางพยักเพยิดหน้าไปทางกองเอกสารกองหนึ่งที่สูงจนเกือบจะติดเพดานด้านบน

     

    ผมว่าผนังห้องนี้มันสูงมากอยู่นะ...

     

    กระผมก็คงต้องเป็นคนสะสางแทนอีกแล้วน่ะสิขอรับ อะ..แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ! ถึงเห็นแบบนี้แต่ผมน่ะมีพลังงานเหลือเฟือเลยนะ!”

     

    ผมยิ้มแห้งๆอยู่ห่างๆจากทั้งสองคนแล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆตกอยู่ที่พื้น ผมจึงโน้มตัวลงไปหยิบมันขึ้นมาดู บนแผ่นกระดาษนั้นมีการเขียนด้วยลายมือหวัดๆแต่ก็อ่านออกได้ไม่ยากเขียนเอาไว้ว่า แมธ.. นี่เป็นภารกิจที่มีแต่นายเท่านั้นที่ทำได้ ฉันเชื่อมั่นในตัวนายและขอให้นายพึงระลึกไว้ว่ามันเป็นการฝึกฝนตนอย่างหนึ่ง หวังว่านายคงจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง ปล.ถ้านายทำเสร็จ ฉันมีรางวัลล้ำค่าที่คู่ควรกับความมานะของนายเตรียมไว้ให้ลงท้ายด้วยตราประทับขององค์ราชาแห่งอาณาจักรเชอร์ลินนอฟ...

     

    ...เรื่องแค่นี้ถึงขั้นต้องใช้ตราประทับด้วยหรอ? มันจะใช้ฟุ่มเฟือยเกินไปมั๊ย?

     

    เตรียมไว้พร้อมยังกับรู้ล่วงหน้าเลยนะครับองค์ราชาที่เคารพผมพูดพึมพำหวังจะให้มีเพียงผมเท่านั้นที่ได้ยิน แต่ผิดคาด.. เพราะคุณแมธทิวกลับดูเหมือนจะได้ยินมันเช่นกัน ซ้ำยังทำตาเป็นประกายแวววับแล้วจ้องมาทางผม

     

    เมื่อกี้ท่านจูเลียนพูดว่า องค์ราชาที่เคารพ ใช่มั๊ยขอรับ?!”

     

    อะ..ได้ยินด้วยหรอครับผมผงะถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ

     

    ท่านจูเลียน! ท่านช่างมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก!”

     

    เอ๋?

     

    ใช่แล้วขอรับ! องค์ราชาน่ะถึงจะเห็นทำตัวไม่ได้เรื่องแบบนี้ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นแผนการปิดบังความสามารถที่แท้จริงให้ศัตรูตามใจยังไงละขอรับ! เป็นความอัจฉริยะที่ยากเกินจะพรรณนาเป็นคำพูด! ท่านเพิ่งเคยเจอองค์ราชาครั้งแรกแท้ๆแต่กลับสัมผัสได้ถึงขนาดนี้แล้ว..ช่างน่าปลาบปลื้มใจยิ่งนัก!” คุณแมธทิวพูดไปพลางซับน้ำตาไป(?)ด้วยความซาบซึ้งสุดขั้วหัวใจ ไม่ใช่แค่นั้นนะขอรับ องค์ราชาน่ะยัง....

     

    ผมควรจะบอกเขาไปดีมั๊ยครับเนี่ยว่าเมื่อกี้ผมพูดประชดน่ะ?

     

    เอ่อคือคุณแมธทิวครับ ดูเหมือนองค์ราชาจะฝากข้อความถึงคุณน่ะครับผมตัดสินใจพูดแทรกคุณแมธทิวที่ยังสาธยายความสุดยอดประหนึ่งยอดมนุษย์ขององค์ราชาคนนั้นด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเคารพเทิดทูนสุดชีวิตแล้วยื่นแผ่นกระดาษที่ผมพบให้อีกฝ่าย

     

    ตอนนั้นผมแค่รู้สึกว่าพระองค์...เอ่อ..มองการณ์ไกลดีนะครับที่เตรียมโน้ตแบบนี้ไว้ก่อนจะหลับน่ะครับ

     

    แน่นอนครับว่าผมไม่ได้ชมองค์ราชาที่ว่านั่นเลย

     

    แต่ดูเหมือนคุณแมธทิวจะเข้าใจว่าผมชมพระองค์ เขาเลยพยักหน้าแรงๆสองสามทีอย่างเห็นด้วยสุดๆก่อนจะรับแผ่นกระดาษไปจากมือผมและตั้งใจอ่านทุกตัวอักษรปานจะเข้าไปอยู่ด้านในแผ่นกระดาษด้วยให้ได้(?)

     

    แฟลร์เองก็คงนึกสงสัยจึงชะโงกหน้ามาอ่านบ้าง และพออ่านเสร็จ เธอก็ทำสีหน้าเอือมระอาออกมาอย่างปิดไม่มิด ซึ่งผมก็ไม่คิดว่ามันแปลกอะไรหรอกนะ ฮะๆ(?)

     

    ใช้ตราประทับได้ฟุ่มเฟือยตามเคยเลยแฮะ สงสัยเพราะปกติเอาแต่อู้เลยไม่มีโอกาสได้ใช้ตรามากนักแฟลร์ออกความเห็น แต่แมธทิวหาได้มีความเห็นตรงกับพวกเราไม่..

     

    องค์ราชา...ผมคงไม่ได้คิดไปเองหรอกนะว่าเสียงเขาสั่นๆ แต่จะว่าไปแล้วไหล่ของเขาเองก็สั่นน้อยๆอยู่เหมือนกัน คงไม่ใช่ว่าเขาโกรธหรือโมโหอะไรหรอกใช่มั๊ย?

     

    อ่า..ใจเย็นๆก่อนนะคุณแมธทิว

     

    ฮึก..

     

    เอ๊ะ?... ‘ฮึกงั้นหรอ?

     

    นี่คือสาส์นที่องค์ราชาอุตส่าห์เขียนเองกับมือเพื่อกรผมหรือนี่.. แถมยังเมตตาถึงขนาดที่ว่ามอบงานส่วนพระองค์ที่สำคัญมากมาให้คนอย่างกระผมได้ใช้เป็นโอกาสในการฝึกตน..”

     

    “…” ผมกับแฟลร์ถึงขั้นพูดไม่ออกไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

     

    พระองค์ช่างเป็นบุคคลที่ประเสริฐอะไรขนาดนี้! แถมยังบอกเอาไว้อีกว่าพระองค์เชื่อมั่นในตัวกระผม แล้วไหนจะรางวัลล้ำค่าอีก.. แมธทิวคนนี้ดีใจยิ่งนักที่ได้มารับใช้พระองค์ว่าจบคุณแมธทิวก็ปาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาตั้งแต่เมื่อสักครู่ออกจากใบหน้า ผมจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ผมพกติดตัวมาด้วยให้อีกฝ่ายไปเพื่อซับน้ำตาที่ยังติดอยู่ ส่วนแฟลร์ก็ทำเพียงตบบ่าให้กำลังใจ

     

    อย่าถามว่าทำไมผมกับแฟลร์ไม่พูดอะไรบ้าง...

     

    ...ผมเชื่อว่าแฟลร์คงรู้สึกไม่ต่างจากผมนักหรอก เพราะผมตอนนี้กำลัง ช็อกค้าง อยู่

     

    คนบนโลกนี้มีเป็นล้าน แต่ละคนต่างก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง..อย่างนั้นสินะ ผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลยละครับ

     

     ดีละ! งั้นกระผมก็ต้องทุ่มสุดฝีมือเพื่อแสดงให้องค์ราชาได้เห็นเสียแล้ว! คอยดูผลงานของผมได้เลยนะขอรับ!” คุณแมธทิวประกาศก้อง

     

    ตอนนี้ผมเองก็เริ่มนับถือในความสามารถขององค์ราชาซามาเอลขึ้นมาบ้างแล้ว

     

    พระองค์ช่างเป็นราชาที่...มีความสามารถในการใช้คนและเป็นบุรุษที่มองการณ์ไกลมากจริงๆ(?)

     

    และอีกคนที่ผมนับถือมากๆก็คือคุณแมธทิวนี่แหละ...

     

    โชคดีนะครับคุณแมธทิว ผมจะเอาใจช่วยคุณอยู่ห่างๆ(?)

     

    อย่าทำหน้าเหมือนแมธทิวกำลังจะตายแบบนั้นสิจูเลียนแฟลร์กระซิบบอกผมเบาๆ

     

    เอ๊ะ? ผมทำสีหน้าแบบนั้นออกมาหรอครับ?”

     

    ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงละเธอบอกพลางถอนหายใจ แต่ผมไม่รู้ว่าสาเหตุของการถอนหายใจครั้งนี้ของเธอคือผมหรือคุณแมธทิวกันแน่ มันคงจะไม่ใช่ผมหรอกมั้ง? ฉันว่าถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหน่อย ฉันจะต้องแวะไปโรงพยาบาลก่อนกลับฐานทัพแน่ๆ

     

    งั้นเราก็กลับกันดีกว่านะครับ คุณแมธทิวจะได้มีเวลาสะสางงานพวกนี้ด้วยผมเสนอความเห็นกับแฟลร์ก่อนจะหันไปบอกลาคุณแมธทิวที่เหมือนจะเพิ่งได้สติแต่ก็ดูสดชื่นและมีออร่าวิ้งๆวับๆมากกว่าเก่า เจ้าตัวพยายามจะเดินไปส่งพวกผม แต่ผมก็บอกเขาว่าไม่เป็นไรและเดินออกมาจากท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว

     

    แล้วเจอกันใหม่นะครับคุณแมธทิวผมว่าทิ้งไว้เท่านั้นก่อนจะปิดประตู

     

    ...จบสักทีสินะ

     

    ผมหวังว่ามันจะจบแค่นี้นะ การต้องมาเผชิญหน้ากับองค์ราชาน่ะ

     

     

     

    Talk,,

    ไม่หรอกค่ะจูเลียน นายได้เจอซามาเอลอีกแน่ๆ เฟอร์ตอบให้(??)

    แต่ตอนนี้เฟอร์อยากพูดคำนี้ค่ะ ...เสร็จแล้วโว้ยยยยยยยยยยย (?)

    คือตอนนี้มันยาวมากค่ะ! ยาวมากแบบกินหน้ากระดาษเวิร์ดไปสาบสิบสามหน้า orz..

    ความจริงมันยังไม่จบนะคะ(?) แต่เฟอร์ก็ต้องตัดจบก่อน แหะๆ สาเหตุก็เพราะโมเม้นต์ริคจัลอะไรนั่นทำพิษอีกแล้วค่ะ = w = ;; คือเขียนขึ้นมาด้วยความฟินล้วนๆเลยละค่ะ 555555 5 ส่วนไอเดียแขนกั้นอะไรนั่นก็ได้มาจากอนิเมะว่ายน้ำบางเรื่องค่ะ(?) เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก

    ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอาตอนพิเศษที่เป็นมุมมองของริคลงก่อนจะเอาตอนนี้ลง แต่ไปๆมาๆตอนนี้มันดันเสร็จก่อนซะนี่ ตอนพิเศษก็เลยต้องยาวขึ้นอีกหน่อยเพื่อให้ครอบคลุมถึงตอนนี้นี้ไปตามระเบียบ #เฟอร์หาเรื่องทำร้ายตัวเองตลอดเล้ยยยยย

    พักริคจัลไว้ก่อน เพราะตอนหน้ายังเล่นได้ต่อ.. มาพูดถึงซามาเอลกันบ้าง

    ตอนนี้พี่ท่านยังไม่ทำอะไรค่ะ ยังนิ่มๆอยู่(?) แต่อีกไม่นานก็คงแผลงฤทธิ์หนักกว่านี้ เชื่อว่าเพื่อให้จูเลียนของเราตายใจซะก่อนน่ะค่ะ(??) แต่เอาจริงๆ ซามาเอลในความคิดเฟอร์เป็นคนที่ไม่พูดมากอยู่แล้ว แต่จะอาศัยการคอยฉวยโอกาสสร้างความแสบแทน(?) เพราะงั้นก็ต้องรอดูกันไปก่อนนะคะ XD

    ส่วนแมธทิว... ปล่อยนางไปค่ะ 5555555 5

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×