คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ห นึ่ ง
1
เฮ้อ...
ความจริงแล้วการถอนหายใจเป็นอย่างแรกหลังจากตื่นนอนไม่ใช่สัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ผมก็อดไม่ถอนหายใจแบบนั้นไม่ได้
“เฮ้อ...”
ไม่ทันไรผมก็ถอนหายใจเป็นรอบที่สองของวันพลางนึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานั่งถอนหายใจตั้งแต่เช้าแบบนี้...
...สาเหตุที่ว่านั่นเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อวานทันที่ที่ผมแปรสภาพจากคนว่างงานเป็นคนมีงานทำ
.
.
.
.
“...ห๊ะ?” ผมเผลออุทานเสียงหลงออกมาทันทีที่สมองผมประมวลผลอะไรตรงหน้าได้
“นี่คุณกำลังจะบอกผมว่าตอนนี้ผมกลายเป็นสมาชิกของ…หน่วยแฟนทาสมาโกเรียนั่นน่ะหรอครับ?” ผมถามหญิงสาวตรงหน้าที่ชื่อว่า แฟลร์ อีกครั้งหนึ่งเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าผมไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไป... จะบ้าหรือไง ?! หน่วยแฟนทาสมาโกเรียน่ะมันก็เป็นแค่ตำนานเรื่องเล่าเฉยๆไม่ใช่หรอ ?!
“นายจะต้องให้ฉันย้ำอีกกี่รอบละห๊ะ ?” แฟลร์เอ่ยตอบผมด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเบื่อหน่ายและรำคาญใจมากๆ เธอจ้องผมเขม็งด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ... ดูๆไปแล้วเธอก็แอบเหมือนป้าเนฟเหมือนกันนะ(?) ไม่ๆ นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย !
“ก็หน่วยแฟนทาสมาโกเรียน่ะเป็นแค่เรื่องเล่าไม่ใช่หรอครับ?”
“นายจะมองว่ามันเป็นเรื่องเล่าหรืออะไรก็ช่าง แต่ทุกคนที่ยืนอยู่ที่นี้คือหน่วยแฟนทาสมาโกเรียตัวจริงเสียงจริง” ไม่ทันที่แฟลร์จะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบผมอย่างที่ควรจะเป็น เสียงทุ้มที่ไม่คุ้นเคยของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของแฟลร์หรือก็คือดังมาจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่นั่นแหละ ผมหันไปมองเพื่อหาต้นเสียงก็พบกับนัยน์ตาเรียวสีม่วงซึ่งตวัดมองมาทางผมอย่างเย็นชา... นะ...น่ากลัวชะมัดเลยแฮะ
“หึ พูดได้ดีนี่ฮาซาน” แฟลร์เอ่ยพลางหันไปมองเจ้าของเสียงแล้วยกยิ้มให้ ในวินาทีนั้นถ้าผมไม่ได้ตาฝาดละก็ ผมสังเกตเห็นคนที่ชื่อว่าฮาซานเปลี่ยนสีหน้าจากเย็นชาเมื่อครู่เป็นสีหน้าเริงร่าแล้วยิ้มหวานในทันทีที่แฟลร์เอ่ยชม
“แน่นอนอยู่แล้วครับแฟลร์ เพื่อรอยยิ้มของหญิงงามอย่างคุณแล้วผมคนนี้ยินดีทำทุกอย่าง แต่ไม่ทราบว่าคุณจะพอมีเวลาว่างไปเดทกับผมเป็นรางวัลมั๊ยครับ?” ฮาซานพูดด้วยน้ำเสียงหวานเลี่ยนที่สื่อถึงเจตนาของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ทีเมื่อกี้ยังเย็นชาใส่ผมอยู่เลย แบบนี้มันเหยียดเพศกันชัดๆ (?)
“ฉันบอกนายไปตอนไหนห๊ะว่าฉันจะให้รางวัลนายน่ะ” แฟลร์พูดตัดไมตรีอีกฝ่ายอย่างไร้เยื่อใยในทันทีราวกับไม่จำเป็นต้องเสียเวลาประมวลในสมอง เธอยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะผินหน้าออกจากอีกฝ่ายอย่างเชิดๆโดยไม่สนใจฮาซานที่ไหล่ตกและหงอยอยู่เลย... อา..ผมควรจะสงสารเขาดีมั๊ยนะ ?
ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆด้วยไม่รู้จะพูดอะไรอีก และในขณะที่ผมกำลังมองภาพที่ฮาซานโดนซ้ำเติมจากเพื่อนร่วมหน่วยอยู่นั้น แฟลร์ก็พูดขึ้นมาดึงความสนใจผม
“ก็อย่างที่ฮาซานพูดไปนั่นแหละ”เธอกล่าวไว้แค่นั้นก่อนจะเอ่ยต่อ “นี่น่ะเป็นหน่วยแฟนทาสมาโกเรียจริงๆ และนายก็กำลังจะมาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา”
“เอ๊ะ? แต่ว่าผมยังไม่---”
“ถ้านายคิดจะถอนตัวละก็ฉันจะฆ่านายซะ” แฟลร์เอ่ยตัดบทอย่างกับอ่านความคิดผมออกว่าผมกำลังจะท้วงเรื่องที่ผมยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะเป็นสมาชิกหน่วยแฟนทาสมาโกเรีย สายตาของเธอจ้องเขม็งมาทางผมอย่างไม่มีความลังเลใดๆ บ่งบอกว่าเธอ...พูดจริง ไม่ใช่พูดเล่นๆ
“อย่างที่นายเคยได้ยินว่าหน่วยของเราเป็นหน่วยลับ เราไม่ต้องการให้ใครรู้ข้อมูลของเรามาก ดังนั้นถ้านายที่เข้ามาถึงฐานทัพลับแล้วคิดจะถอนตัวละก็...ฉันคงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปิดปากนาย” แฟลร์อธิบาย
“แต่ว่าฉันน่ะไม่ใจร้ายขนาดจะมาเผด็จการให้นายตอบตกลงอย่างเดียวหรอกนะ เพราะฉะนั้นฉันจะให้นายเลือกระหว่างเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วม ว่าไง ? ดูแฟร์ดีมั๊ยละ?”
“…เข้าร่วมครับ” ผมตอบเสียงอ่อยอย่างไม่มีทางเลือก ถึงแฟลร์จะบอกว่าหล่อนให้โอกาสผมเลือก แต่ดูยังไงมันก็มีอยู่ช้อยส์เดียวที่ควรตอบไม่ใช่หรอครับ ?! แบบนี้จะให้มากี่ตัวเลือกมันก็ไม่ต่างกันนักหรอก...
“ดีมาก” แฟลร์กล่าวอย่างพึงพอใจก่อนจะพยักเพยิดให้ผมแนะนำตัว “เอ้า ทีนี้ก็ไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆไว้ซะละ เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน”
และหลังจากนั้นเรื่องมันก็จบลงที่ปาร์ตี้ต้อนรับผมในฐานะสมาชิกใหม่ของหน่วย ให้ตายสิ ผมละไม่เข้าใจจริงๆว่าเรื่องมันลงเอยแบบนี้ไปได้ยังไง แต่อย่างน้อยๆ มันก็คงจะดีกว่าการเป็นคนว่างงานต่อไปเรื่อยๆ...
...มั้งนะ ?
ตัดกลับมาสู่ปัจจุบัน
ผมจัดการกิจวัตรประจำวันอย่างการเก็บที่นอน อาบน้ำ และแต่งตัวจนเรียบร้อยดีแล้วก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อไปทานมื้อเช้าที่ป้าเนฟเตรียมเอาไว้ วันนี้ผมตื่นเช้ามากจนป้าเนฟที่ตามมาปลุกทีหลังยังตกใจและด่าผมไม่ออก ป้าเนฟตอนที่ขึ้นมาเห็นสภาพผมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยต่างจากปกติแล้วนั้นเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง จากนั้นป้าก็เดินเข้ามาเอามือทาบหน้าผากผมเพื่อเช็คว่าผมมีไข้มั๊ย พอเห็นว่าการที่ผมตื่นเช้าไม่เกี่ยวอะไรกับไข้ ป้าเนฟก็บอกว่า ‘จัลตื่นเองแบบนี้ก็ดีเนอะ’ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆแล้วเดินออกจากห้องไป และด้วยเหตุนี้เอง..ผมจึงไม่ต้องเดินลงมาที่ห้องด้วยความรีบร้อนเหมือนเมื่อวันก่อน
“ตื่นเต้นกับงานใหม่จนนอนไม่หลับเลยงั้นหรอจัล?” ป้าเนฟที่รอผมอยู่ที่โต๊ะทานข้าวก่อนแล้วเอ่ยล้อทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้ามาในห้องครัว ผมสังเกตเห็นว่าป้าเนฟกำลังมองผมด้วยแววตาพยายามจับพิรุธผมให้ได้ มันดูเหมือนกับว่าป้ากำลังจ้องมองอะไรบางอย่างที่ประหลาดและน่าสงสัยมากๆ
“แน่ใจนะว่าแกไม่ได้ไปติดไวรัสพันธุ์ใหม่หรืออะไรพวกนั้นมาน่ะ”
“พี่เนฟ..แค่ผมตื่นเช้าแล้วมันแปลกขนาดนั้นเลยหรอครับ?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเอือมๆ ..นี่ผมในสายตาป้ามันไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยหรอ ผมเองก็อายุยี่สิบสองแล้วนะ!
“แปลก แปลกมากด้วย ยิ่งเป็นจัลแล้วยิ่งแปลก” ป้าเนฟพูดย้ำคำว่าแปลกสามรอบ...ถ้าจะตอกย้ำผมขนาดนี้นะครับป้าเนฟ...
ผมไม่คิดจะตอบอะไรกลับ เพราะรู้ดีว่ายิ่งตอบอะไรไปมันก็ยิ่งย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง(?) ผมจึงก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไปโดยพยายามไม่ฟังป้าเนฟที่กำลังอธิบายว่าการตื่นเช้าของผมมันผิดปกติขนาดไหน ผมทานข้าวและพยายามทำหูทวนลมไปเรื่อยๆอย่างเงียบๆจนกระทั่ง...
“ป้า บ่นอะไรตั้งแต่เช้าน่ะ”
จนกระทั่งเสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นมานั่นแหละ ผมถึงวางมือจากจานข้าวของตัวเอง แล้วหันไปมองยังที่มาของเสียงด้วยความตกใจ ไม่ใช่ว่าเพราะผมไม่รู้จักเจ้าของเสียง แต่รู้จักเป็นอย่างดีจนไม่อยากเชื่อหูตัวเองต่างหากว่า...เขากลับมาแล้วจริงๆ...
“ริคคาร์โด.. แกยังอยากกินข้าวเช้ามั๊ยหา?”
“อะ..ไม่เอาน่าพี่เนฟ ล้อเล่นนิดหน่อยเอง”
“ไม่นิดย่ะ! ถ้าแกยังอยากมีที่ซุกหัวนอนและยังอยากมีข้าวกินครบสามมื้อก็อย่าบังอาจเรียกฉันว่าป้า!”
“อา..รู้แล้วๆ”
“แกก็รู้แล้วตลอด ไม่เห็นปากแกจะ ‘รู้แล้ว’ จริงอย่างที่แกว่าเลย”
“...คร้าบๆ”
บทสนทนาที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาผมเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าริคกลับมาแล้วจริงๆ เพราะไม่มีใครแถวนี้ที่ต่อล้อต่อเถียงกับป้าเนฟขนาดนั้นแน่ ถึงสุดท้ายแล้วคนอย่างริคเองก็ยอมแพ้ด้วยความปลงอย่างที่เห็นก็เถอะ
...พอเห็นริคกลับมาแบบนี้แล้วรู้สึกสบายใจชะมัด
ความจริงจะพูดว่ากลับมาก็คงไม่ถูก เพราะริคไม่ได้เพิ่งกลับมา ป้าเนฟเองก็บอกว่าริคกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ออกไปทำงานอีก แถมยังกลับมาช้ามากๆจนผมต้องขึ้นไปนอนก่อนและไม่มีโอกาสได้เห็นหน้า ฉะนั้นแล้วผมควรจะพูดว่า ‘ได้เห็นหน้าริคสักที รู้สึกสบายใจชะมัด’ มากกว่า
ริคลากเก้าอี้ที่เก็บไว้อย่างเรียบร้อยข้างๆผมออกมาจากใต้โต๊ะแล้วนั่งลงไป มันเป็นที่ประจำของเขา โต๊ะในห้องครัวของเราเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมที่สามารถนั่งได้แปดคน คือนั่งหัวโต๊ะและท้ายโต๊ะอย่างละหนึ่ง และนั่งตามแนวยาวฝั่งละสาม ป้าเนฟจะนั่งฝั่งตรงข้ามกับพวกผมสองคน ผมนั่งเก้าอี้ตัวแรกถัดจากหัวโต๊ะ และข้างๆผมคือริค เราสามคนนั่งแบบนั้นมาตลอด
ผมเคยถามว่าทำไมเขาต้องนั่งตรงนี้ตลอด เขาก็ตอบผมกลับมาด้วยคำถามว่า ‘แล้วนายอยากนั่งข้างๆคนอย่างป้าเนฟรึไง’ ผมเห็นด้วยกับเหตุผลนั้นนะ เพราะนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมเลือกนั่งตรงนี้เหมือนกัน แต่ตอนที่พวกเรายังเด็ก ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งริคเคยโวยวายที่มีคนมาแย่งที่นั่งตรงนั้นไป ทั้งๆที่เก้าอี้ตัวถัดไปที่ยังว่างอยู่ก็ยังนั่งฝั่งตรงข้ามกับป้าเนฟแท้ๆ เจ้าตัวก็ยังไม่ยอม แถมยังไม่ยอมบอกเหตุผลจนถึงกับต้องมีการติดชื่อไว้หลังเก้าอี้เลยทีเดียว คิดแล้วก็ขำดีเหมือนกัน ครั้นพอโตขึ้นมา เขากลับไม่โวยวายแต่จะส่งเสียงจิ๊ปากอย่างไม่พอใจแทน แล้วก็ยอมไปนั่งที่ที่เหลืออยู่โดยดีด้วยนะ แบบนี้คงเรียกว่าเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งจากอายุที่เพิ่มขึ้นละมั้ง
ผมก็ไม่เคยถามหมอนั่นหรอกว่าทำไมถึงยึดติดขนาดนั้น สงสัยริคจะไม่ค่อยชอบใจที่ของของตัวเองถูกเอาไปโดยไม่ขออนุญาตมากกว่า.. ผมคิดแบบนั้นนะ
ริคคนปัจจุบันที่นิสัยง้องแง้งงอแงหายไปแล้วตอนนี้หันมามองหน้าผมด้วยแววตางงๆ
อ๊ะ..จะว่าไปแล้ว ผมเผลอมองหน้าหมอนี่อยู่งั้นหรอเนี่ย?
“เป็นอะไรของนายน่ะจูเลียน? ทำไมถึงมองฉันแบบนั้น?” ริคถามผม สงสัยผมจะมองหน้าหมอนี่นานไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆนั่นละ
“อะ..เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
“จริงอะ?”
ผมพยักหน้ารับครั้งหนึ่งแล้วยิ้มให้ ริคเห็นดังนั้นแล้วก็ยิ้มกลับให้ผมเช่นกัน
“งั้นก็ดีแล้ว” ริคพูดก่อนจะตักข้าวเข้าปากไปหนึ่งคำ ผมเองก็กำลังจะตักข้าวอีกคำเข้าปากตัวเองแต่ก็โดนป้าเนฟพูดขัดเสียก่อน
“เฮ้อ... นี่สินะคือโมเม้นต์ระหว่างคุณสามีที่กลับมาบ้านหลังจากหายไปทำงานที่ไกลๆกับคุณภรรยาที่คิดถึงและเป็นห่วงสามีปานจะขาดใจจนต้องถามถึงทุกวันน่ะ”
...ผมว่าแล้วว่าต้องโดนล้อ
ผมรู้ว่าตอนนี้ผมกับริคแสดงสีหน้าเดียวกันออกมา นั่นคือสีหน้าที่บ่งบอกความเอือมระอาและเบื่อหน่ายเป็นที่สุด ป้าเนฟทำเป็นไม่เห็นมันแล้วพูดต่อพร้อมกับส่ายหน้าไปมาเพื่อให้ได้อารมณ์ ผมว่าบางทีป้าเนฟก็เหมาะไปแสดงละครเวทีที่มันต้องแสดงอาการโอเว่อร์เหมือนกันนะครับ
“คุณสามีไม่เห็นต้องถามเลย ที่คุณภรรยามองหน้าด้วยแววตาแบบนั้นก็แปลว่าเขากำลังโหยหาอย่างสุดซึ้งน่ะสิ”
“ผมคิดอะไรเพลินๆอยู่ต่างหากละครับพี่เนฟ” ผมอดเถียงขึ้นมาไม่ได้ ไม่งั้นป้าเนฟคงร่ายยาวต่อแน่ๆ แต่แทนที่ป้าเนฟจะทำหน้าหงุดหงิดที่โดนเถียง ป้ากลับเหยียดยิ้ม
“พนันกันมั๊ยละว่าสิ่งที่แกคิดเป็นเรื่องของริคคาร์โดน่ะจัล”
ผมเงียบไปเพราะจนแก่คำพูด สิ่งที่ป้าพูดออกมามันเป็นเรื่องจริงแบบนี้แล้วผมจะไปเถียงยังไงต่อได้ละ
พอเห็นผมยอมแพ้ ป้าก็หัวเราะอย่างสะใจ แหม่.. ช่างเป็นป้าที่ดีจริงๆเลยครับ
“แต่เจ้าจัลมันก็ถามถึงแกทุกวันจริงๆนะริคคาร์โด” ป้าเนฟหันไปพูดกับริคที่ยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ริคหันกลับมามองป้าเนฟด้วยแววตาหงุดหงิดอยู่พักหนึ่งเพื่อรอให้กลืนข้าวคำนั้นลงคอไปให้เรียบร้อยดีก่อนแล้วจึงตอบ
“จูเลียนก็เป็นคนนิ่มๆไม่ได้เรื่องงี้แหละ ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
คราวนี้เป็นผมที่เป็นฝ่ายตวัดสายตามองไปทางริคที่อีกฝ่ายเห็นแล้วก็ทำเพียงยกยิ้มที่มุมปาก ซึ่งผมรู้ดีว่าหมอนี่กำลังแกล้งและเยาะเย้ยผมอยู่!
ความจริงเวลาแบบนี้ผมกับริคควรจะจับมือกันเถียงป้าเนฟ แต่ผมลืมไปว่าอีกฝ่ายเป็นริค หมอนี่น่ะเป็นพวกปลงง่าย เขารู้ดีว่าเถียงไปก็ไม่ได้อะไรเลยไม่ช่วยผมเถียง แต่ไหงมันกลายเป็นหันมาแกล้งผมแทนด้วยละ หรือหมอนี่จะมาลงที่ผมแทนเพราะทำอะไรป้าเนฟไม่ได้ ? ถ้าใช่ ผมว่ามันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลยนะ
จะยังไงก็ช่าง.. เอาเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังโดนริคที่(ควรจะ)เป็นฝ่ายเดียวกันแกล้งแทน
จำไว้เลยนะ ริค!
ผมไม่พูดไม่จาอะไรกับหมอนั่นอีกแล้วหันมาตั้งหน้าตั้งตาทานข้าวในจานของตัวเองที่เหลือไม่กี่คำจนหมดตามมาด้วยคำพูดตามมารยาทว่า ‘อิ่มแล้วครับ’ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเอาจานไปแช่น้ำในอ่างล้างจานไว้
“จะไปทำงานแล้วหรอจัล?” ป้าเนฟส่งเสียงทักผมที่กำลังจะก้าวเท้าออกนอกห้องครัวให้หยุดชะงักแล้วหันมามอง ผมตอบว่า “ครับ” สั้นๆแล้วยิ้มให้ป้า จากนั้นก็เดินออกมาโดยไม่หันไปมองริค แต่ผมได้ยินเสียงของหมอนั่นกับป้าเนฟคุยกันดังแว่วมาตามทางเดิน
“จูเลียนไปทำงาน?” นั่นคงเป็นเสียงของริค ผมเดาว่าหมอนั่นคงต้องทำสีหน้าตกใจอยู่แน่ๆ
“ใช่ เพิ่งหาได้เมื่อวานสดๆร้อนๆเลย”
“แล้วทำไมไม่บอกกันตั้งแต่ตอนที่กลับมาเมื่อวานละ!”
“ก็แกไม่ถามนี่หว่า อีกอย่างทำไมฉันจะต้องรายงานเรื่องจัลให้แกรับรู้ทุกเรื่องด้วยยะ?”
“ก็เพราะ---”
ผมไม่ได้อยู่ฟังจนริคพูดจบประโยคเพราะผมสวมรองเท้าเสร็จพอดีเลยเดินออกมาจากบ้านก่อน แต่เอาเถอะ ผมไม่ได้อยากรู้อยู่แล้วว่าหมอนั่นจะพูดอะไร
ผมเดินไปตามทางอย่างไม่รีบร้อนนักเพราะวันนี้ผมตื่นเช้า ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือกว่าจะถึงเวลานัดที่แฟลร์บอกผมไว้เมื่อวาน ผมจึงก้าวเท้าอย่างสบายๆ ซึ่งความเร็วเพียงเล็กน้อยนั่นก็ทำให้คนอย่างริคตามมาทันได้ไม่ยาก
“จะรีบไปมั๊ยห๊ะ” ริคที่ตอนนี้เดินอยู่ข้างๆผมแล้วพูดห้วนๆตามนิสัย แต่ผมก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกไปจนหมอนั่นต้องชะโงกหน้ามาดูแล้วถอนหายใจยาว
“อย่าบอกนะว่านายงอนน่ะจูเลียน”
หา ?
“ไปเอาความคิดนั้นมาจากไหนเนี่ย?” ผมหลุดพูดออกไปจนได้
“..ก็ป้าเนฟน่ะสิ เค้าบอกว่านายงอน” ริคพูดโดยที่ไม่ยอมสบตากับผม สงสัยจะรู้สึกเจ็บใจที่ต้องเชื่อป้าเนฟ
“แล้วงอนจริงๆรึเปล่าละ?”
“หึ.. งอนสิ! งอนมากด้วย” ผมพูดพลางหันหน้าไปอีกทางพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก...
“…ซะเมื่อไหร่ละ”
แล้วผมก็ระบายยิ้มกว้างออกมา ริคเห็นดังนั้นแล้วก็ร้องขึ้นมาว่า “นี่นาย..หลอกฉันหรอ?!” ผมหัวเราะให้กับสีหน้าและท่าทางของหมอนั่นที่บ่งบอกว่าเจ็บใจเป็นที่สุดก่อนจะพยายามกลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด(?)
“นายคิดจริงๆหรอว่าฉันจะงอนนายจริงๆน่ะริค ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ..ฮะๆ” แต่จนแล้วจนรอด ผมก็หลุดขำออกมาเล็กๆจนได้ ครั้นมันหลุดออกมาแล้ว ผมก็ยิ่งควบคุมมันไว้ไม่อยู่เลยหัวเราะต่อไปเรื่อยๆ ใจนึงก็อยากเห็นว่าริคจะทำหน้ายังไง แต่ใจนึงก็กลัวว่าถ้าเห็นแล้วจะหยุดขำไม่ได้ สุดท้ายผมก็หันไปมองหน้าอีกฝ่าย แต่หมอนั่นก็สะบัดหน้าหนีไปเสียก่อน
“ฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า ก็นายไม่เคยงอนนี่หว่า”
ริคเป็นพวกถ้าเจอเรื่องไม่คุ้นแล้วจะเชื่อง่ายมากจนน่าตกใจ ผมเลยใช้จุดอ่อนนี้เอาคืน ก็หมอนี่อยากแกล้งผมก่อนเองนี่ ช่วยไม่ได้หรอกนะ
“งั้นตอนนี้นายก็อย่างอนละริค” ผมเอ่ยแซว
“เงียบไปเลย ฉันไม่ทำอะไรแบบนายหรอก” ริคบอกทั้งๆที่ยังไม่หันหน้ากลับมาหาผม ในน้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนมากว่าหมอนี่ยังเจ็บใจไม่หายที่โดนผมเอาคืน
“แล้วนายจะไปไหนน่ะ?” ผมเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะริคยอมหันกลับมาเผชิญหน้ากับผมแล้วตอบดีๆ
“ก็ไปดูน่ะสิว่านายได้งานอะไร”
“อ๋อ.. อย่างนี้นี่เอ---ว่าไงนะ ?!” ผมร้องเสียงหลงในตอนท้ายจนริคสะดุ้งแล้วมองผมงงๆ
“ฉันบอกว่าฉันจะไปดูว่านายได้งานอะไรไง” ริคทวนซ้ำ ผมไม่ได้ร้องเสียงหลงเพราะผมได้ยินไม่ชัดสักหน่อย เพราะผมได้ยินชัดเจนเลยร้องขึ้นมาต่างหากเล่า ก็ริคน่ะบอกว่าจะตามไปดูที่ทำงานของผม ที่-ทำ-งาน-ของ-ผมหรือก็คือหน่วยแฟนทาสมาโกเรียเลยนะ! แฟลร์ย้ำนักย้ำหนากับผมว่าห้ามบอกใครเด็ดขาด ขนาดป้าเนฟผมยังโกหกครึ่งๆกลางๆไปเลยว่าได้งานเป็นบริกร(ก็ฐานทัพลับมันอยู่ด้านในคาเฟ่นี่) แล้วจะให้ริคตามผมไปได้ยังไงละ!
ไม่ได้การละ.. เห็นทีผมคงต้องหาทางเลี่ยงตัวออกมา แต่จะทำยังไงดีละ..
อ้อ! นึกออกแล้ว...
“อ๋อๆ แล้วนายไม่ต้องไปทำงานหรอริค?” ผมตอบยิ้มๆ เพราะผมไม่รู้จะทำสีหน้ายังไงถึงจะเหมาะกับเวลาแบบนี้
“อา..นั่นสินะ” ริคยกมือขึ้นเกาหลังศีรษะไปพลาง
ใช่ๆ นายมีงานต้องทำใช่มั๊----
“แต่ไม่ต้องห่วง วันนี้เป็นวันหยุดของฉันน่ะ”
…โนคอมเม้นท์ครับ
“เอ๋? งั้นหรอ.. ดีจังเลยนะ...” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ริคคงเข้าใจว่าเพราะผมต้องไปทำงานในขณะที่ริคได้หยุด ผมเลยแสดงท่าทางแบบนั้นออกมา แต่เปล่าเลย.. ผมกำลังประชดชีวิตตัวเองอยู่ต่างหาก
..ทำไมพระเจ้าถึงชอบแกล้งผมเสมอเลยครับ ?!
“นี่มันวันทำงานวันแรกของนายนะจูเลียน อย่าเพิ่งขี้เกียจสิ แล้วก็...ความจริงฉันจะไปทำงานมันก็ได้”
ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตาของตัวเองกำลังมีประกายวิบวับอย่างมีความหวัง(?)
“แต่ไม่ละ ดีแล้วที่ได้หยุดวันนี้ ไม่งั้นฉันคงตามมาดูนายไม่ได้ โชคดีแล้วละเนอะ” ริคหันมายิ้มให้ ซึ่งผมก็ทำเพียงตอบ “อืม นั่นสินะ” แล้วยิ้มแห้งๆกลับ
...โชคดีของนาย แต่โชคร้ายของจูเลียนคนนี้น่ะสิ!
ผมกับริคเดินคุยกันไปเรื่อยๆ(หรืออาจต้องบอกว่าผมพยายามชวนคุย)โดยพยายามเลี่ยงการเดินเข้าไปใกล้ฐานทัพลับของหน่วยแฟนทาสมาโกเรีย ยังดีที่ผมตื่นเช้า เวลายังพอมี แต่ธรรมชาติของเวลาแล้ว มันไม่ใช่อะไรที่จะหยุดเดินได้ มันจึงเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดมากๆ ไม่ว่าผมจะมีเวลาเหลือเท่าไหร่ สักพักมันก็ต้องหมดลงเป็นธรรมดา..
ผมละอยากให้เวลามันเดินกลับหลังชะมัด
“เฮ้อ...” ผมเผลอถอนหายใจยาวออกมาโดยไม่รู้ตัว ริคจึงหันมามองผมด้วยแววตาที่ผมเดาไม่ออกว่าเป็นห่วงหรือกำลังตำหนิผม
“อย่าถอนหายใจยาวแบบนั้นสิเฮ้ย!”
“อา..โทษทีนะ เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” ผมปั้นยิ้มตอบไป ที่ว่าผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะเป็นเรื่องจริง แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ผมถอนหายใจแบบนั้นสักหน่อย
“นอนไม่ค่อยหลับ? เฮ้ยๆ ฉันพอเข้าใจว่าคนว่างงานมาตลอดร่วมสองปีอย่างนายตื่นเต้นกับงานใหม่ แต่ถ้านายนอนไม่พอจนงานวันแรกเละไม่เป็นท่าน่ะระวังจะกลับไปเป็นคนว่างงานใหม่นะเว่ย ถึงฉันจะไปดูนายด้วยก็เถอะ แต่ฉันช่วยนายไม่ได้หรอกนะ”
ผมหัวเราะแห้งๆกับคำพูดร่ายยาวของริคพลางคิดในใจไปด้วยว่า ‘ฉันไม่อยากให้นายมาดูเล้ย’
และแน่นอนว่าผมพูดมันออกไปไม่ได้...
ผมทำท่าจะถอนหายใจอีกรอบแต่ด้วยความที่ผมมัวแต่คิดนู่นคิดนี่มากไปจนลืมไม่ได้สนใจทางข้างหน้า พอรู้สึกตัวอีกทีผมก็ไปชนเข้ากับใครบางคนเข้าเสียแล้ว ผมจึงรีบขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่
“อะ..ขอโทษครับที่ผมไม่ได้มองให้ดีก็เลย----”
“ไม่เป็นไรๆ นายไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่มั๊ย?”
“คะ..ครับ” ผมรู้สึกตกใจที่อีกฝ่ายเป็นคนถามว่าผมบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าแทน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองดีๆแล้ว ผมก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างสูงกว่าผมและคาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่าด้วย เขามีเรือนผมสีน้ำเงินอ่อนๆและนัยน์ตาเฉดสีเดียวกัน ท่าทางเป็นคนใจดี
“งั้นก็ดีแล้วละ ระวังหน่อยแล้วกัน ตอนนี้คนยิ่งเยอะๆอยู่”
ผมลองมองไปรอบๆดูก็พบว่าเป็นอย่างที่คนตรงหน้าพูดจริงๆ รอบตัวผมเต็มไปด้วยคนจำนวนมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ก็ถือว่าผมยังโชคดีแล้วละที่ชนคนๆนี้แล้วได้สติ ถ้าไปชนคนอื่นละก็คงเป็นเรื่องใหญ่ให้ริคช่วยจัดการแล้วแน่ๆ
หืม..เดี๋ยวก่อนสิ...
จะว่าไปแล้วริคละ?
ผมที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติก็หันไปมองรอบตัวดีๆอีกครั้งก็พบว่าริคไม่ได้อยู่กับผม สงสัยผมจะถูกฝูงชนกลืนมาโดยไม่รู้ตัวแหงๆ ตอนนี้ริคคงมองหาผมแทบเป็นแทบตายอยู่ ขอโทษทีนะริค..
ไม่สิ..
แบบนี้ดีแล้ว!
“เอ่อ..เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมคงจะแสดงออกนอกหน้าไปหน่อยว่าโล่งอกมากแค่ไหน ผู้ชายผมน้ำเงินที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าผมจึงเอ่ยทักด้วยความเป็นห่วง
“อะ..อ่า..เปล่าครับๆ ผมแค่---”
“เฮ้! อัลวา!”
เสียงทุ้มลึกแบบผู้ชายดังขึ้นดึงขึ้นขัดและดึงความสนใจของผมกับคนตรงหน้า ครั้นมองตามไปก็พบผู้ชายร่างสูงกำยำยิ่งกว่าคนที่ผมชนเดินมาทางพวกเรา ผมของเขาเป็นผมซอยสั้นสีน้ำตาลแบบกาแฟแล้วก็สูบบุหรี่อยู่ในปาก
“ทำอะไรอยู่น่ะห๊ะ รีบๆไปกันได้แล้ว คนเยอะๆแบบนี้ยิ่งหลงง่าย” ผู้ชายคนนั้นเดินมาหาคนใจดีคนนี้นี่เอง เขาทำสีหน้าหงุดหงิดใจแต่อีกฝ่ายที่พูดด้วยกลับทำหน้ายิ้มร่าอย่างสบายๆ
“โทษทีนะที่ทำให้ลำบากน่ะปิแอร์”
“รู้ตัวก็ไปกันได้แล้ว คราวนี้ห้ามหลุดไปอีกนะ” คนที่ชื่อ ปิแอร์ บอกแล้วทำท่าจะเดินจากไป สงสัยเขาคงไม่เห็นว่าผมอยู่ด้วยละมั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก
ส่วนอีกคนที่ถ้าผมฟังไม่ผิดน่าจะชื่อ อัลวา ก็หันมากล่าวลากับผมด้วยรอยยิ้มก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามอีกฝ่ายไป
“งั้นแล้วเจอกันนะ”
“แล้วเจอกันใหม่ครับ!” ผมกล่าวลากับอีกฝ่ายแล้วออกตัวเดินเร็วบ้าง เป้าหมายคือฐานทัพลับของหน่วยแฟนทาสมาโกเรีย หวังว่าจะไม่ไปเจอริคกลางทางหรอกนะ ผมภาวนาแบบนั้นในใจ
ฝูงชนจำนวนมากเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางของผมพอสมควร กว่าจะเดินไปถึงจึงกินเวลาหลายนาทีมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่พอเดินผ่านฝูงชนกลุ่มนั้นมาได้สักพัก คนก็เริ่มซาลง ยิ่งใกล้ฐานทัพลับ คนยิ่งแทบไม่มี ผมจึงอดถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เจอเข้ากับริคกลางทางไม่ได้
รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน แต่ค่อยเอาไว้ไปขอโทษทีหลังละกัน
ถ้าอีกฝ่ายจะ ‘งอน’ ก็คงต้องปล่อยให้งอนแล้วตามง้อละ เพราะตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่า..
ผมคิดพลางหมุนลูกบิดประตูของคาเฟ่ธรรมดาๆแล้วเดินทางไปยังส่วนที่ทำให้คาเฟ่นี้ไม่ธรรมดา นั่นก็คือ ‘ฐานทัพลับของหน่วยแฟนทาสมาโกเรีย’ ซึ่งอยู่ด้านในสุด มันอยู่ในนั้นได้ไงไม่รู้ แต่ผมเชื่อว่ามันคงเป็นส่วนที่ลึกที่สุดนั่นละ
แอ๊ด
“สวัสดีครับ..” ผมเอ่ยทักทายคนที่อยู่ด้านในทันทีที่เปิดประตูทางเข้าฐานทัพลับอะไรนั่นออกแล้วเดินเข้าไป
ด้านในห้องยังเต็มไปด้วยผู้คนประมาณสิบกว่าคนเช่นเคย
“มาตรงเวลาดีนี่จูเลียน” แฟลร์เป็นคนแรกที่เอ่ยทักผม หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเหล่าบรรดาสมาชิกที่เหลือบางส่วน
“จูเลียนนี่! จูเลียนมาแล้วละ!” คนที่สองที่เอ่ยทักผมคือเด็กหนุ่มผู้มีรูปร่างเล็กและเรือนผมสีคาราเมล รู้สึกว่าเขาเป็นสมาชิกของหน่วยแฟนทาสมาโกเรียที่มีอายุน้อยที่สุดแล้วละ
“เลสเตอร์ก็มาเร็วเหมือนกันนะ” ผมเอ่ยปากชม เลสเตอร์ อัลเนอร์ลีย์ ที่วิ่งมากอดผม ผมลูบเรือนผมสีคาราเมลของเขาเบาๆอย่างที่ผมชอบทำเวลามีเด็กอายุน้อยกว่าวิ่งมากอด เลสเตอร์ซุกหน้าเข้ากับอกของผมอย่างออดอ้อน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ผมจึงอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
และนั่นคือส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ทักผม ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่ไม่ทักทายผมด้วยคำพูด อย่างเช่น...
“อ่า...สวัสดีนะเลอแฟงค์เล่” ผมจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน คนที่ผมเอ่ยทักเป็นเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าผมเช่นกัน เธอมีเรือนผมสีดำขลับยาวแซมม่วงกับนัยน์ตาสีอเมทิสต์แสนสวย แต่น่าเสียดายตรงที่มันมักจะฉายแววเฉยชากับผมอยู่เสมอ
แต่คนในหน่วยส่วนใหญ่ก็บอกว่าไม่ใช่แค่กับผมคนเดียวหรอก ผมเลยใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย
เธอหันมามองทางผมแล้วหันหน้ากลับไปอย่างไม่สนใจ แต่ผมก็ถือว่าเธอรับรู้คำทักทายจากผมแล้วน่ะนะ
ผมหัวเราะแห้งๆในขณะที่เลสเตอร์ดึงมือผมบอกให้ไปเล่นด้วยกัน ผมเดินตามเลสเตอร์ไปด้านในและไปอยู่ในวงของเหล่าสมาชิกหน่วยคนอื่นๆ แต่ถึงกระนั้นผมก็อดนึกถึงหน้าของริคไม่ได้
ไม่ใช่ว่าคิดถึงอะไรนั่นอย่างที่ป้าเนฟบอกหรอกนะ เพียงแต่..ไม่รู้สิ คงรู้สึกผิดมั้ง
“อ้าว? นายเองก็มาด้วยหรอ ฉันจำได้ว่าฉันอนุญาตให้นายหยุดตามที่ขอนะ” เสียงของแฟลร์ดังขึ้น ผมที่หันหลังอยู่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่คิดว่าคงเป็นคนในหน่วยสักคนนั่นแหละ
แต่เลสเตอร์คอยกระตุกเรียกผมตลอด ผมเลยไม่ได้หันไปให้ความสนใจกับคนที่มาใหม่
“ก็ไม่ได้กะจะมาหรอก แต่พอดีหลงกับเพื่อนเลยไม่มีที่ไป”
แต่เสียงมันคุ้นๆอยู่นะ.. หรือผมจะคิดไปเอง?
“นายโดนทิ้งว่างั้นสิ” ธีโอดอร์ หรือ ธีโอดอร์ โฟนิกซ์ ไซลอน เอ่ยด้วยแกล้งผู้มาใหม่คนนั้นด้วยรอยยิ้มตามนิสัย ผมได้ยินเสียงอีกฝ่ายทำเสียงจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่คนมันเยอะเลยหาตัวไม่เจอ”
แต่ยังไงๆ ผมก็ว่าเสียงมันคุ้นๆอยู่นะ... ไม่หรอกมั้ง?
“เอาเถอะ นายมาก็ดีแล้ว เมื่อวานนายยังไม่ได้เจอสมาชิกใหม่ของเราใช่มั๊ยละ” คราวนี้แฟลร์เป็นคนเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เพราะฉันเป็นคนมอบมิชชั่นเร่งด่วนให้นายไป”
“รู้แล้วยังต้องถามอีกหรอ?” คนๆนั้นตอบกลับมา
ผมว่าผมไม่น่าจะคิดไปเองนะ อีกอย่างยิ่งฟังดีๆแล้วเสียงมันเหมือนกับ...
“หลงกับเพื่อนแล้วท่าทางจะหงุดหงิดน่าดูเลยนะ ริคคาร์โด”
ใช่...เหมือนกับ ริค เลย
.
.
.
.
.
เอ๊ะ? แล้วเมื่อกี้แฟลร์พูดว่าอะไรนะ?
ยะ..อย่าบอกนะว่า...
ผมค่อยๆหันไปทางประตูทางเข้าฐานทัพลับอย่างช้าๆ หัวใจเต้นถี่รัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่รู้ว่าผมควรจะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไงดี และในทันทีที่ผมหันไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่ยังยืนอยู่หน้าประตูแบบเต็มตานั้น ผมก็เบิกตากว้างด้วยความรู้สึกประมาณว่า ‘ไม่อยากจะเชื่อ’ หรือ ‘โกหกน่า..’ แต่แย่หน่อยนะที่ผมช็อกค้างไปจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ
เพราะคนตรงหน้านั้นไม่ใช่ใครที่ไหน
เขาคือ ริคคาร์โด สเปเรนซาร์ เพื่อนรักของผมนี่เอง...
และก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผมคนเดียวที่กำลังอยู่ในสภาวะช็อก เพราะสีหน้าและแววตาของริคคาร์โดเองก็บ่งบอกว่าเจ้าตัวตกใจและสับสนไม่ต่างจากผมนัก
“..จูเลียน”
“ริค..”
ผมหลุดพูดออกมาได้แค่นี้...จริงๆนะ
Talk,,
ในที่สุดเฟอร์ก็ปั่นบทแรกมาแล้วค่ะ ! ความตื้นตันใจไม่แพ้การเขียนบทนำเสร็จเลยจริงๆ (ฮา)
ตอนนี้ตัวละครออกมาเยอะขึ้นมากแล้วนะคะ คงได้มีบทครบทุกตัวในเร็วๆนี้...
เอาจริงๆ สารภาพว่าเฟอร์วางตอนแรกให้มันยาวกว่านี้ แต่แต่งไปแต่งมาแล้วดันยาวกว่าที่คิดเพราะใส่โมเม้นต์ริคจัลมากไปเลยต้องตัดไปเป็นตอนถัดไปแทนนะคะ ตอนนี้คือเน้นริคคาร์โดกับจูเลียนอย่างเดียวเลยค่ะ รู้ตัวเลยว่าเราไม่ควรปั่นนิยายเรื่องนี้ตอนมีฟิลลิ่งอยากแต่งฟิควายจริงๆ (ฮา) แต่ก็..ไม่ทันแล้วละค่ะ 5555555555 5
ตอนนี้หวังว่าอ่านแล้วจะไม่งงกันนะคะ คืออย่างที่แฟลร์บอกไปว่าการทำงานในหน่วยแฟนทาสมาโกเรียถือเป็นความลับ ริคคาร์โดเองจึงไม่ได้บอกจูเลียนเช่นเดียวกันกับที่จูเลียนไม่ได้บอกริคคาร์โด แต่ตอนนี้ก็รู้เรียบร้อยแล้วละค่ะ มารอดูปฏิกิริยะของสองคนนี้กันในตอนหน้านะคะ !
อีกอย่างที่แอบกังวลคือ..เฟอร์ไม่ได้แต่งหลุดคาแรกเตอร์แต่ละตัวหรอกใช่มั๊ยคะ ? = w =;;
ปล. ขออภัยเรื่องคำผิดไว้ล่วงหน้าค่ะ รีบปั่นมาเพราะสัญญากับใครบางคนเอาไว้ (ฮา)
ปล2. ด้วยความที่ริคจัลกินหน้ากระดาษไปมากกว่าที่คาดไว้ องค์ราชาเราเลยยังไม่ได้ออกเลยค่ะ เสียใจอ่า กะว่าจะให้ออกตอนนี้แท้ๆ ขอโทษผู้ปกครองไว้ด้วยนะคะ ; v ;
ความคิดเห็น