คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ป ฐ ม บ ท
ป ฐ ม บ ท
ติ๊ง...
หือ ? เสียงน้ำหยดงั้นหรอ ? เกิดอะไรขึ้นน่ะ ..
นี่...
นั่นใครพูดอะไรรึเปล่า ?
จูเลียน...
เสียงใครน่ะ ?
นี่ จูเลียน...
ใครกันน่ะที่กำลังเรียกผม ?
ใคร..
“จัลลลลลลลลลลลลล”
“เหวอ !”
ทันที่ผมได้ยินเสียงแสบดังชวนแสบแก้วหู ร่างทั้งร่างของผมก็ดิ้นขลุกขลักลงไปกองกับพื้นพร้อมทั้งผ้าห่ม โอย... นี่มันเจ็บไม่ใช่เล่นเลยนะ ผมคิดแบบนั้นแล้วยันกายมาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิแบบลวกๆพลางเกาหลังหัวตามประสาของคนเพิ่งตื่นนอนแบบไม่เต็มใจตื่นเท่าไหร่... เอ๊ะ ? เดี๋ยวนะ... เพิ่งตื่นเพราะมีคนปลุกงั้นหรอ ?
“กว่าแกจะตื่นนะจัล”
ผมที่เพิ่งระลึกตัวได้ว่าเกิดอะไรขึ้นค่อยๆแหงนหน้าขึ้นไปมองที่มาของเสียง เบื้องหน้าของผมปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนท้าวสะเอวมองผมด้วยแววตาและสีหน้าที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดถึงขีดสุด
“แกคิดว่านี่มันกี่โมงแล้วหา อย่าให้ฉันต้องขึ้นมาปลุกแกจะได้มั๊ยห๊ะอิจัล”
ถึงคำพูดแต่ละคำนั่นจะไม่ชวนน่าฟังเท่าไหร่ แต่คนตรงหน้าผมก็ถือเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆคนหนึ่งเลย เธอมีเรือนผมสีขาวซีดยาวสลวยถึงเอว นัยน์ตาสีม่วงใส และมีรูปร่างจัดอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าใครต่อใครต่างก็อิจฉา ว่าแต่...ผมจะมาบรรยายรูปร่างลักษณะของป้าตัวเองทำไมกันเนี่ย ?!
“อ่า...ขอโทษครับป้าเน.. โอ๊ย! ”
“เดี๋ยวเถอะอินี่ อยากเจ็บตัวตั้งแต่เช้าเลยรึไง ฉันบอกกี่ทีแล้วห๊ะว่าอย่าเรียกป้า!”
รู้สึกผมจะลืมบอกไปอย่าง ป้าของผมคนนี้เป็นคุณป้าหน้าสาวที่ไม่ยอมรับในอายุของตัวเองและหลงตัวเองเป็นที่สุด ทุกครั้งที่ผมเผลอเรียกป้า มะเหงกงามๆก็ถูกประเคนใส่หัวผมโดยไม่รอให้ผมพูดจบประโยคเลย ซึ่งแน่นอนว่า...มัน-เจ็บ-มาก !
...แต่ผมก็ไม่คิดจะไปต่อล้อต่อเถียงเอาชนะกับป้าเค้าหรอกนะครับ เพราะยังไงโอกาสชนะก็เป็น -100% (?)
“ครับๆ พี่เนฟคนสวย ...” ผมตอบเสียงอ่อยอย่างจนใจ แต่ป้าเนฟ(ผมขอแอบเรียกแบบนี้ละกัน)ก็ดูจะพอใจมากที่ได้ยินแบบนั้น สังเกตได้จากการที่เจ้าตัวยิ้มจนแก้มแทบจะปริ
“สมแล้วที่เป็นจัล ว่าง่ายจริงๆนะจ๊ะหลานสุดที่รักของป้า”
ได้ข่าวว่าเมื่อกี้ป้าเพิ่งจัดการผมไปไม่ใช่หรอครับ ? ผมได้แต่ประท้วงป้าเนฟในใจ... แน่นอนว่าผมไม่พูดมันออกไปหรอก ผมน่ะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อนะครับ (?)
“งั้นก็รีบๆอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปได้แล้วนะจ๊ะจัล ป้าคนสวยคนนี้ทำอาหารเช้าแสนอร่อยไว้ให้แล้ว โฮะโฮะโฮะ ” ป้าเนฟพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่าลั้ลลาแล้วเดินออกจากห้องของผมไปอย่างง่ายๆ ...ถ้าเวลาจะกลับมันจะง่ายขนาดนี้ จูเลียนละอยากร้องไห้ (?)
แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรต่อให้มันมากความ ผมรีบจัดการภารกิจส่วนตัวอย่างการอาบน้ำและแต่งตัวก่อนจะเดินลงไปข้างล่างด้วยความเร็วแสง ..ย้ำก่อนนะครับว่าผมไม่ได้วิ่ง เพราะถ้าวิ่งผมคงโดนป้าเนฟจัดชุดใหญ่ให้อีกชุดแน่ ดังนั้นผมจึงทำการฝึกสกิลการเดินเร็วมาตั้งแต่เล็กเพื่อความปลอดภัยและการเจริญเติบโตตามวัยที่เหมาะสมของผม(?)
บ้านที่ผมอาศัยอยู่เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่ได้เล็กจนเกินไป มีทั้งหมดสองชั้น ชั้นบนเป็นห้องนอน ส่วนชั้นล่างก็เป็นพวกห้องครัว ห้องน้ำและห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกอะไรก็ว่าไป เป็นบ้านขนาดที่เรียกได้ว่ากะทัดรัดกำลังพอดีสำหรับผู้อยู่อาศัยสามคนเลยละครับ
เมื่อผมลงมาถึงห้องครัว ป้าเนฟก็ทานอาหารเช้ารอผมอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปแล้วนั่งตามที่นั่งประจำ ป้าเนฟบ่นเรื่องที่ผมลงมาช้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจอาหารในจานตัวเองต่อ ผมเองก็จัดการตักอาหารใส่ช้อนเตรียมจะกินแต่ผมนึกอะไรบางอย่างได้ก่อนจึงเลือกที่จะพูดมันออกมา
“จริงสิป...”
“หืม ?”
“เอ่อ..พี่เนฟ” นั่นไง ผมเกือบหลุดไปอีกรอบแล้วมั๊ยละ ...เมื่อกี้ป้าเนฟหันมายิ้มสยดสยองให้ผมด้วยอะ
“มีอะไรจ๊ะจัล?” ป้าเนฟถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นสีหน้าที่น่ากลัวมากจริงๆ
“อ่า..ก็...ริคยังไม่กลับมาอีกหรอครับ ?”
ริค หรือ ริคคาร์โด สเปเรนซาร์ เป็นบุคคลที่สามที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ร่วมกับผมและป้าเนฟนี่แหละครับ เราสามคนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ผมกับริคยังเป็นเด็กตัวเล็กๆหรืออาจจะต้องบอกว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ผมจำความได้ ไม่ว่าจะลองนึกย้อนไปไกลแค่ไหน ทุกความทรงจำของผมก็มีริคอยู่ในนั้นด้วยตลอด...ตลอดจนผมนึกไม่ออกเลยว่าตอนไหนบ้างที่ผมกับเค้าไม่อยู่ด้วยกันบ้าง น่าจะมีตอนอาบน้ำกับตอนนอนมั้ง ? ไม่ๆ ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมก็เคยอาบน้ำแล้วไปนอนเตียงเดียวกับริคนะ ถึงสุดท้ายแล้วจะถูกหมอนั่นถีบตกเตียงลงมาก็เถอะ
“คิดถึงรึไง?”
“พี่เนฟอย่าพูดอะไรที่มันชวนคลื่นไส้ตั้งแต่ยังไม่ได้แตะข้าวเช้าสิครับ”
“ก็เห็นถามถึงบ่อยนักนี่” ป้าเนฟพูดค้างไว้แบบนั้นก่อนจะพูดต่อ “ริคคาร์โดน่ะเขามีงานทำไม่เหมือนกับเธอหรอกนะจัล ไม่ต้องไปห่วงขนาดนั้นก็ได้ เขาแค่ไปทำงานเอง”
…สุดท้ายมันก็วกกลับมาเรื่องการว่างงานของผมจนได้ ใช่แล้วครับ... ผม จูเลียน เวสลีย์ คนนี้เป็นบุคคลว่างงานที่ยังหางานทำไม่ได้แม้จะอายุยี่สิบสองแล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับอายุหรอกครับ เพราะอายุมันเป็นเพียงตัวเลข(?) แต่ที่แน่ๆคือทุกวันผมจะต้องออกไปหางานทำโดยมีป้าเนฟเป็นคนไล่ตะเพิดผมออกไป
ผมละไม่เข้าใจจริงๆนะครับว่าทำไมผมถึงหางานทำไม่ได้... แต่ก็ช่างมันก่อน (?)
“ก็ริคเค้าบอกจะกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่ครับ”
“สรุปแล้วเป็นแม่หรือภรรยาละจัล ?”
“พี่เนฟครับ…”
“โอเคๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้.. ริคคาร์โดน่ะกลับมาตั้งแต่เมื่อเที่ยงคืนแล้ว แต่ไม่ทันไรก็ออกไปอีก เห็นบอกว่ามีงานด่วนต่ออีกน่ะ” ป้าเนฟพูดแค่นี้ก็จบละครับจริงๆนะ ไม่เข้าใจเลยว่าจะยืดบทสนทนาทำไม แต่ก็นี่แหละครับป้าของผม ถึงจะเห็นแบบนี้แต่เขาก็คอยเป็นห่วงพวกผมอยู่เสมอ รวมถึงเรื่องการไล่ให้ผมไปหางานนั่นก็ด้วย เขาก็ทำไปเพื่อตัวผมเอง ผมเข้าใจดี... แต่ผมก็รับมันไม่ได้อยู่ดีครับ !
ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจก่อนจะก้มลงทานมือเช้าของผมต่อ ป้าเนฟเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เราสองคนจึงทานข้าวเช้ากันไปอย่างเงียบๆ สักพักป้าเนฟที่ทานเสร็จแล้วก็เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน
“เพราะฉะนั้นนะจ๊ะจัล...” ป้าเนฟพูดพร้อมกับรอยยิ้มหวาน แต่มันกลับทำให้อะไรบางอย่างในตัวผมกำลังร้องเตือนว่า ‘ถึงเวลาแล้วละจูเลียน’
“อะ...อะไรครับพี่เนฟ” ผมหยุดทานกระทันหันแล้วพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุดพร้อมทั้งฝืนยิ้มสู้ มันมีสุภาษิตที่บอกว่า ‘ใจดีสู้เสือ’ ใช่มั๊ยละครับ
...แต่ผมว่าสุภาษิตนั่นใช้กับป้าเนฟไม่ได้หรอก
“แหมๆ จัลละก็...ก็ออกไปหางานทำได้แล้วนะสิโว้ยยยยยยยยยยย”
ป้าเนฟว่าเสียงดังก่อนจะถีบผมออกไปนอกบ้านโดยไม่รอให้ผมได้ท้วงอะไรแล้วปิดประตูดังปังเป็นออฟชั่นเสริม... มันเป็นสัญญาณบอกผมว่า ถ้าหางานไม่ได้ เอ็งก็นอนอยู่นอกบ้านนั่นละ ถึงป้าเนฟจะไม่ปล่อยให้ผมนอนนอกบ้านจริงๆสักครั้ง (ถ้าทำจริง ห้องนอนของผมก็คงสะอาดเรียบร้อยแบบไม่มีใครเคยมาใช้แน่ๆ) แต่กว่าจะให้ผมเข้าบ้านได้ ก็ต้องรอให้ป้าเขาทานข้าวเย็นเสร็จซะก่อนนั่นแหละ
ผมถอนหายใจเล็กน้อยตามปกติ(?)ก่อนจะเริ่มต้นปฏิบัติการหางานทำของ จูเลียน เวสลีย์ ...ซึ่งก็คือผมนี่แหละครับ
แต่จะว่าไปแล้ว... เสียงที่ผมได้ยินก่อนผมจะตื่นนั่นน่ะ ไม่น่าจะใช่เสียงป้าเนฟนะ แต่ถ้าไม่ใช่เสียงป้าเนฟ แล้วมันจะเป็นใครได้อีกละ ? วิญญาณหรอ ? คงไม่ใช่มั้ง ...แล้วถ้าเป็นวิญญาณ มันจะเป็นวิญญาณใครอีกละ ?
ผมครุ่นคิดกับตัวเองไปเรื่อยจนกระทั่งขาทั้งสองพามาหยุดยืนตรงบอร์ดประกาศประจำอาณาจักร เชอร์ลินนอฟ หรือก็คืออาณาจักรที่ผมอาศัยอยู่ ผมเลิกคิดเรื่องเสียงปริศนานั่นแล้วหันมาสนใจสิ่งที่แปะอยู่บนบอร์ดประกาศนั้นแทน ผมไล่สายตาไปมาบนบอร์ดประกาศขนาดยักษ์ที่มีไว้เพื่อประกาศข่าวสารรวมไปถึงประกาศรับสมัครงาน หลังจากไล่สายตาจนครบ ผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
...จะไม่ให้ผมถอนหายใจได้ไงละ ในเมื่อประกาศที่แปะบนบอร์ดนั่นน่ะ ผมไปสมัครมาหมดแล้ว
ในขณะที่ผมรู้สึกยอมแพ้และหมดหวังกับชีวิต สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นใบประกาศขนาดกลางสีฟ้าที่แปะอยู่ด้านล่างสุดของบอร์ด มันเป็นใบประกาศที่ดูแล้วน่าจะเพิ่งแปะวันนี้ เพราะผมที่มาทุกวันไม่เห็นจะรู้สึกคุ้นตามันเลยสักนิด ผมจึงตั้งใจอ่านรายละเอียดของใบประกาศนั้น
ทันทีที่ผมอ่านจบ ผมก็เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะใบประกาศใบนั้นเป็นใบประกาศรับสมัครงานน่ะสิ !
ผมรู้สึกตัวเลยว่ากำลังยิ้ม ...ผมยิ้มที่ในที่สุดฟ้าก็เริ่มเห็นใจผม ถ้าไม่อายใครผมอาจจะร้องไห้ออกมา ณ ตรงนั้นแล้วก็ได้(?) อย่างน้อยๆฟ้าเบื้องบนก็อุตส่าห์ประทานโอกาสใหม่มาให้ผมได้ลองอีกครั้ง มันก็คงจะดีกว่าการที่ผมจะกลับไปทั้งตัวซีดๆแล้วโดนป้าสวด
ในใบประกาศแผ่นนั้นมีเนื้อหาเป็นการรับสมัครพนักงานของคาเฟ่แห่งหนึ่ง ไม่มีรายละเอียดยิบย่อยอะไร บอกลงท้ายแค่ว่า ‘เมื่อมาถึงคุณจะรู้เอง’ …มันดูตะหงิดๆยังไงอยู่นะ แต่ผมก็เลือกที่จะปัดความรู้สึกด้านลบนั้นทิ้งไป ผมจะได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตอนเข้าไปสมัคร
ผมจดแผนที่จากป้ายประกาศนั้นแล้วเดินตามแผนที่ที่ว่าไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงหน้าคาเฟ่แห่งหนึ่งอย่างที่แผนที่นั่นบอกมา คาเฟ่ที่อยู่เบื้องหน้าผมเป็นเพียงคาเฟ่ขนาดย่อม เล็กๆ น่ารัก แต่ก็ดูแล้วชวนให้อบอุ่น อาจจะเพราะผนังด้านนอกเป็นสีน้ำตาลด้วยละมั้งถึงได้รู้สึกแบบนั้น แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้มากกว่านั้น... ทำไมร้านมันถึงได้ดูเงียบแปลกๆ ? ปกติถึงร้านจะปิด แต่ถ้ามีการรับสมัครงาน ก็ต้องมีคนมาสมัครจำนวนหนึ่ง... หรือผมเข้าใจผิดไปเองหว่า ? พอผมลองบิดลูกบิดประตูก็พบว่ามันหมุนได้
ผมที่รู้สึกว่ายืนอยู่แบบนั้นคงไม่ได้อะไรจึงตัดสินใจเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในสิ่งก่อสร้างขนาดย่อมนั่น และก็เป็นอย่างที่ผมคิด... ในร้านมีอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ครบอย่างที่ร้านคาเฟ่ทั่วไปพึงจะมี ขาดอยู่อย่างเดียวก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ไม่ใช่ว่าในร้านมีสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นอยู่หรอกนะ แต่ในร้านนี้น่ะ ไม่มีใครมาทำงานเลย... ทั้งที่มันควรจะมีใครมารอรับคนมาสมัครงานอย่างผมสิ
ผมเข้าไปนั่งรออยู่ภายในร้านด้วยคิดว่าอาจจะยังไม่เปิด แต่เวลาผ่านไปได้สักพัก ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ภายในร้านยังมีผมเพียงคนเดียวนั่งอยู่ ผมจึงเริ่มเดินสำรวจภายในร้านอย่างถือวิสาสะ แต่ก็กะไว้แล้วละว่าถ้าเจ้าของร้านโผล่มาจะรีบขอโทษ
ผมไล่สายตามองไปเรื่อยๆ ก่อนผมจะสังเกตเห็นประตูบานหนึ่งแง้มเปิดอยู่ ประตูที่ว่านั้นเป็นประตูที่เหมือนกับเป็นประตูสำหรับให้พนักงานร้านเดินผ่านเท่านั้น อาจจะเป็นประตูสำหรับให้พนักงานไปพักผ่อนหลังร้านก็ได้ ผมจึงเดินไปเปิดประตูบานนั้นแล้วเดินต่อเพื่อหวังจะหาพนักงานร้านสักคน แต่สุดท้ายผมก็ไม่เจออะไร นอกจากห้องโล่งๆที่ปลายห้องมีประตูสีดำอีกบานอยู่ ซึ่งพอผมลองเดินไปเพื่อจะหมุนลูกบิดดู ก็พบว่า...แค่ผมแตะ ประตูมันก็เปิดออกเอง
ผมชะงักและถอยหลังออกมาเล็กน้อยด้วยความตกใจ และสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าผมนั้นกลับทำให้ผมประหลาดใจยิ่งกว่า
...สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาผมคือทางเดินที่ยาวไปเรื่อยๆอย่างหาที่สิ้นสุดไม่เจอ ...ยาวขนาดที่ว่าจุดที่ไกลที่สุดยังเห็นเป็นเพียงสีดำ
“นี่มันอะไรกันน่ะ ?” ผมหลุดพึมพำกับตัวเองเบาๆ ความรู้สึกของผมนั้นทั้งรู้สึกกลัวและตกใจ ผมไม่ใช่คนที่กล้าหาญบ้าบิ่นอะไรนัก จะให้ผมรู้สึกอย่างอื่นก็คงไม่ได้หรอกถูกมั๊ย ? เรื่องนี้มันควรจะจบลงที่ผมหันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องนี้ไป แต่น่าแปลกนะ... ผมกลับรู้สึกอยากเดินเข้าไปในนั้น มันเหมือนมีอะไรดึงดูดผมอยู่...อยู่ที่ส่วนที่ลึกที่สุดของทางเดินนี้
พอผมรู้สึกตัวอีกที ผมก็เดินผ่านประตูสีดำบานนั้นได้ระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้รอบตัวผมสีแต่สีดำ ทุกอย่างมืดสนิทจนผมมองไม่เห็นทางข้างหน้า แต่ครั้นจะเดินกลับ ก็ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง ผมจึงเดินต่อไปโดยเอามือแตะที่ผนังข้างเพื่อให้พอรู้ทาง
ผมเดินอยู่ในนี้นานเท่าไหร่แล้วผมก็ไม่รู้ รอบข้างมันมืดเกินไปจนผมไม่อาจรู้ได้...
แล้วจู่ๆผมก็สัมผัสได้ถึงแสงสว่างรออยู่ด้านหน้า ผมจึงรีบเดินตรงไปโดยไม่คิดอะไรอีก
...เป็นแสงสว่างจากตะเกียง
แสงสว่างของตะเกียงทำให้ผมเห็นทางข้างหน้า แต่ทว่าทางข้างหน้าที่ว่านั่นกลับแยกออกจากกันจนมีเป็นสิบทาง... ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเลือกทางที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นทางที่ผมจะเดินไปต่อ
ตลอดทางนั้นเองก็มีทางแยกย่อยออกเป็นระยะๆ แต่ผมก็ยังคงเลือกจะเดินตรงต่อไปด้วยไม่รู้จะเลือกทางใดดี ยังโชคดีที่พอผ่านทางแยกแรกมาแล้ว แสงตะเกียงจะถูกจุดไว้เป็นช่วงๆ ให้ไม่รู้สึกถูกความมืดกดดัน แต่แสงสลัวๆนั้นมันก็ยังให้ความรู้สึกอ้างว้างและน่าขนลุกอยู่ดี
ผมที่เดินต่อไปเรื่อยๆเริ่มรู้สึกว่าช่วงของการจุดตะเกียงนั้นเริ่มห่างมากขึ้นๆ จนสุดท้ายแล้วผมก็มองไม่เห็นอะไรอีกครั้ง แสงตะเกียงนั้นราวกับจะเป็นตัวบอกว่าผมมาผิดทางอย่างนั้นแหละ ...ไม่หรอกมั้ง ผมคงคิดมากไปเอง
ผมให้กำลังใจตัวเองไปตลอดทาง แต่ในขณะเดียวกัน กำลังขากลับเริ่มอ่อนแรง แต่ในเมื่อตอนนี้ผมมีทางเลือกเพียงทางเดียวคือเดินต่อ ผมก็จะเดินจนกว่าผมจะไม่ไหวจริงๆนั่นละ… ให้ตายสิ ทำไมคาเฟ่ที่มันดูเล็กๆถึงได้มีทางยาวขนาดนี้ได้นะ
แต่ผ่านไปสักพักหนึ่ง ผมก็เริ่มเห็นแสงตะเกียงอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าผมไม่ใช่ทางแยกอะไรนั่นแล้ว แต่มันคือประตูบานใหญ่บานหนึ่ง เป็นประตูบานสีดำสนิทชนิดที่ว่าถ้าไม่มีแสงตะเกียงผมคงคิดว่ามันคือทางตัน ผมเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูและพบว่ามันไม่ได้ล็อค...
....รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้จะเกิดมาแล้ว เดี๋ยวเปิดเข้าไปก็คงมีแต่ความว่างเปล่าไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตอีกนั่นละ
ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็เปิดประตูบานใหญ่นั้นอยู่ดี และในทันทีที่ประตูถูกเปิดออก...
โป๊ะ !
...เศษกระดาษรูปสี่เหลี่ยมหลากสีก็พร้อมใจกันตกลงมาใส่ตัวผม ไม่สิ นี่มัน...ของที่เอาไว้ใช้จัดงานปาร์ตี้ไม่ใช่หรอ ? แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจยังไม่หมดแค่นั้น...
“ ยินดีต้อนรับ!! ”
ภาพที่รอผมอยู่คือภาพของคนนับสิบและเสียงตะโกนอย่างร่าเริงพร้อมกับบรรยากาศภายในห้องที่เต็มไปด้วยกระดาษสายรุ้งและลูกโป่งอย่างกับจัดงานปาร์ตี้จริงๆ
เอ๊ะ ? ไม่ใช่ว่ามันควรจะเป็นห้องร้างที่มีแต่เฟอร์นิเจอร์หรอ ?
ในขณะที่สมองของผมยังไม่สามารถประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้ ก็มีหญิงสาวรูปร่างปานกลางไม่สูงไม่เตี้ยคนหนึ่งเดินตรงมาหาผม ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่โตจ้องมองมาที่ผมพร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงถึงความมั่นอกมั่นใจ
“มาช้าจังนะนายน่ะ”
“...” ผมไม่มีอะไรจะพูดตอบเธอไปจริงๆ คำที่สามารถอธิบายความรู้สึกของผมตอนนี้ได้คงมีแค่คำว่า ‘เงิบ’ ...ผมมั่นใจเลยว่าผมไม่เคยเงิบกับอะไรมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต หญิงสาวตรงหน้าผมไม่ได้ไขข้อข้องใจอะไรใดๆให้ผมเลย นอกจากนี้เธอยังพูดต่อไปด้วยสีหน้าเดิมโดยไม่สนใจว่าผมยังงงงงวยอยู่แค่ไหน
“นายผ่านการทดสอบแล้ว”
“ทดสอบ? ทอดสอบอะไรหรอครับ?” ผมตอบไปโดยที่เครื่องหมายคำถามยังลอยเคว้งคว้างเต็มไปหมด และดูท่าว่ามันคงจะมีแต่เพิ่มกับเพิ่ม ไม่มีลดลงในเร็วๆนี้แน่
“ตอนนี้นายเป็นสมาชิกของหน่วยแฟนทาสมาโกเรียเรียบร้อยแล้ว ฉัน แฟลร์ เป็นหัวหน้าหน่วย ยินดีที่ได้รู้จักและยินดีต้อนรับนายเข้าสู่ฐานทัพลับของหน่วยแฟนทาสมาโกเรียแห่งนี้ !”
อ๋อ... หน่วยแฟนทาสมาโกเรียในตำนานนั่นน่ะเอง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ห๊ะ ?
Talk,,
มันมาแล้วค่ะกับบทนำ... พูดตรงๆว่าไม่คิดว่าจะเสร็จไวขนาดนี้เลยนะคะ (ฮา) แต่สุดท้ายมันก็เสร็จจนได้ค่ะน้ำตาเฟอร์แทบไหล (?)
ความจริงไม่อยากเรียกบทนำ เพราะมันยาวเกินกว่าจะเป็นบทนำเสียอีก ขอเรียกแบบเท่ๆว่า ‘ปฐมบท’ ละกันนะคะ(?) #รู้สึกจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ ตอนนี้ตัวละครจะยังไม่ค่อยออกค่ะ สังเกตได้ว่าขนาดพ่อหนุ่มริคคาร์โดของจูเลียนก็ยังโผล่มาเพียงแค่ชื่อ 55555 5
แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ ! เชื่อว่าทุกคนจะได้ออกมากันเกือบครบในประมาณห้าตอนแรก ตอนต่อไปสมาชิกของหน่วยแฟนทาสมาโกเรียจะออกมาบ้างส่วนหนึ่ง และไอดอลของเราอย่างองค์ราชาก็จะออกมาในตอนแรกเช่นกันค่ะ รอดูองค์ราชาสุดแสนจะน่าหมั่นไส้คนนี้ดีๆนะคะ แฮ่ (?) ส่วนใครนอกเหนือจากนั้นจะออกมาอีกบ้าง... สิ่งที่ตอบคุณได้มีแค่ต้องรอและตามอ่านต่อไปเรื่อยๆเท่านั้นละค่ะ (//โดนตบ)
ทำไมทอล์กยาวจังฟะ ? สุดท้ายนี้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะขอฝากให้ติ-ชมกันหน่อยและแสดงความคิดเห็นกันหน่อย เฟอร์ไม่ได้แต่งนิยายมานานมาก อะไรๆก็ดูจะติดๆขัดๆฝืดๆเคืองๆ (?) ถ้าผิดพลาดอะไรไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย...
อนึ่ง ยังไม่จบอีกเรอะ เฟอร์ตัดสินใจใช้รูปแบบการเล่าเป็นมุมมองของพระเอกเพื่อไม่ให้จูเลียนจืดจางและตัวซีดจนเกินไปค่ะ (??) แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้านะคะทุกท่าน XD
อีกอนึ่ง (?) ทำไมเฟอร์รู้สึกว่าจูเลียนมันแอบจิกกัดป้าอยู่ลึกๆ ? มันควรจะนิ่มๆติ๋มๆไม่ใช่เรอะ ? ส่วนโมเม้นต์ริคคาร์โดจูเลียนก็ไม่มีอะไรมาก เฟอร์ไม่ตั้งใจให้มันออกมาแบบนี้จริงๆนะคะ !(?) ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง มันก็แค่...เอ่อ...สายสัมพันธ์และมิตรภาพของผองเพื่อน (??) อีกอย่างที่ลืมบอก เม้นท์มากลูกของคุณจะมีบทมากตามไปด้วยนะคะ (//โดนดักตบ) ล้อเล่นค่ะล้อเล่น แหะๆ
*Edit ' แค่แวบมาใส่ธีมเฉยๆค่ะ.. #โดนตบ
ความคิดเห็น