คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ศูนย์ : จุดเริ่มต้น(ที่สอง)ของเรา
หากถามคำถามขึ้นมาว่า ‘คุณเชื่อว่าเทวดามีอยู่จริงมั๊ย?’
แน่นอนว่าคงมีคนหลายคนตอบว่า ‘ไม่เชื่อ’
แต่สำหรับโอโนดะ ซากามิจิแล้ว เขาไม่ได้เชื่อ เพียงแต่..สิ่งที่ได้เกิดขึ้นตรงหน้าเขาในเวลานั้นดูจะใกล้เคียงและไม่สามารถหาคำอื่นมาบรรยายได้ดีเกินไปกว่าคำว่า ‘เทวดาบินลงมาจากฟากฟ้า’ อีกแล้ว
...เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นในเวลาช่วงเลิกเรียนของวันธรรมดาๆวันหนึ่งของโอโนดะ
มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ และเรื่องที่เกิดขึ้นก็คือความบังเอิญล้วนๆ
ในตอนนั้น โอโนดะรับหน้าที่จากพวกเพื่อนๆให้เป็นเวรเทขยะ เขาจึงเดินไปหลังอาคารเรียนเพื่อทำภารกิจที่ว่านั้นให้เสร็จแล้วจะได้กลับบ้านเสียที เด็กหนุ่มไม่ได้คาดคิดเลยสักนิดว่าจะมีสิ่งใดรอเขาอยู่เบื้องหน้า ก็นี่มันเป็นเพียงเวรประจำวันที่นักเรียนคนไหนก็มีโอกาสได้ทำกันทั้งนั้น
คนทั้งโรงเรียนมีเป็นพันคน แต่ละคนต่างก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องผ่านบริเวณหลังอาคารเช่นเดียวกับโอโนดะ นอกจากนี้วันที่มาโรงเรียนยังมีตั้งห้าวันในหนึ่งสัปดาห์ นับเป็นประมาณยี่สิบวันในหนึ่งเดือน นับเป็นประมาณสองร้อยสี่สิบวันในหนึ่งปี คราวนี้มันก็บังเอิญเฉยๆที่คนทำหน้าที่เวรในวันนี้เวลานี้คือโอโนดะ
ทุกอย่างคือเรื่องบังเอิญ... อย่างน้อยโอโนดะก็คิดแบบนั้น
เพียงแต่เด็กหนุ่มร่างบางผู้นี้หลงลืมไปว่าเรื่องบังเอิญพวกนี้นี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของพรหมลิขิต...
ใช่..
มันคือเรื่องบังเอิญที่ฟ้าลิขิตยังไงละ
เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังที่เทขยะโดยไม่มีการเถลไถลไปที่อื่นก่อนแต่อย่างใด และครั้นทำภารกิจเสร็จเจ้าตัวก็ตั้งท่าจะเดินกลับห้อง ทว่าต้นซากุระที่กำลังออกดอกสีชมพูอ่อนแสนสวยบานสะพรั่งที่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักและอยู่ในเส้นทางขากลับไปยังห้องเรียนนี้ก็งดงามมากจนโอโนดะต้องหยุดฝีเท้าลงและเหม่อมองภาพเบื้องหน้าไปอีกสักพัก
คุณคงไม่คิดว่าการหยุดมองภาพต้นซากุระสวยๆแบบนี้ผิดปกติหรอกใช่มั๊ย?
และมันก็คงไม่แปลกอะไรหากจะมีสายลมเย็นๆพัดผ่านตัวเด็กหนุ่มและต้นซากุระต้นนี้จนกลีบดอกของมันมีบางส่วนที่ร่วงหล่นลงมายังพื้นดิน ในขณะที่บางส่วนที่ยังติดอยู่กับต้นจะพลิ้วไหวไปตามแรงลมอย่างน่าเอ็นดู ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับความเงียบสงบในช่วงเลิกเรียนที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่หมกตัวทำกิจกรรมชมรมไม่ก็กลับบ้านไปแล้วก็ยิ่งก่อเกิดเป็นภาพอันวิจิตรไม่ต่างไปจากผลงานศิลปะชั้นเยี่ยม แต่ในสายตาโอตาคุอย่างโอโนดะนั้นกลับมองว่ามันไม่ได้ผิดแผกไปจากฉากหวานแหววแสนประทับใจในโชโจมังงะเลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่ว่าจะเป็นผลงานศิลปะก็ดี หรือฉากในโชโจมังงะก็ดี...
ทุกอย่างก็ช่างลงตัวและธรรมดามากเกินไป... มากเกินไปจนเด็กหนุ่มไม่นึกเอะใจ
รู้ตัวอีกที...
เรื่องก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว
หือ?
โอโนดะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคนครางบิดขี้เกียจลอยแว่วมากับสายลมแล้วกระทบเข้าหู แต่ครั้นหันไปมองรอบกายก็ไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นสักคน เด็กหนุ่มเริ่มสงสัยว่ามันอาจเป็นเพียงตนที่หูแว่วไปเองและเมื่อเบนสายตากลับมาเพื่อหวังจะบอกลา(?)กับต้นซากุระที่ตัวเองจ้องมองมาได้ครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตสีน้ำเงินภายใต้กรอบแว่นกลมอันเป็นเอกลักษณ์ก็จำต้องเบิกกว้างขึ้นโดยอิทธิพลของภาพเบื้องหน้า หัวใจดวงน้อยๆที่เต้นอยู่ภายในอกข้างซ้ายอย่างปกติมาตลอดจนถึงเมื่อครู่เองก็เกือบหยุดเต้นหรือที่เราพูดกันในทางการแพทย์ก็คงเรียกว่าเกือบหัวใจวายหรือเกือบหัวใจล้มเหลวนั่นแหละ
แต่การเรียกชื่อสภาวะนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรเลย(อ้าว?)
ประเด็นสำคัญที่แท้จริงมันอยู่ที่ว่า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้โอโนดะหัวใจแทบวาย
จะไม่ให้หัวใจแทบวายได้ไงละ ในเมื่อ.. อยู่ๆก็มีคนไม่คุ้นหน้ากระโดดลงมาจากต้นซากุระต่อหน้าต่อตาเขาเลยเนี่ย !! ใครหน้าไหนมันจะไม่ช็อกบ้างละ ?!
และดูท่าว่าฝ่ายเด็กหนุ่มที่กระโดดลงมาเองก็ไม่ได้สังเกตฐานลงจอด(?)ของตัวเองให้ดีเสียก่อนว่ามีใครอยู่แถวนั้นหรือไม่ เจ้าตัวจึงแสดงสีหน้าตื่นตกใจด้วยความไม่คาดคิดมาก่อนไม่แพ้กับโอโนดะ
และ ณ ตอนนั้นเอง... เวลาก็ราวกับเดินช้าลง กลายเป็นภาพสโลโมชั่นของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่ค่อยๆร่อนลงสู่พื้นโดยมีต้นซากุระสีชมพูที่กำลังพลิ้วไหวไปตามแรงลมนั้นเป็นฉากหลัง โอโนดะจ้องภาพตรงหน้าไม่วางตา และอีกฝ่ายก็เช่นกัน
...อาจเพราะฉากหลังนั้นแสนจะเป็นใจ โอโนดะจึงรู้สึกว่าคนตรงหน้าที่บัดนี้เท้าแตะพื้นแล้วนั้นเมื่อสักครู่ดูใกล้เคียงกับคำว่า ‘เทวดา’ มากที่สุด แม้ร่างบางจะไม่เคยเห็นเทวดาจริงๆ แต่สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในมโนคิดก็คือคำว่า ‘เทวดา’
ครู่หนึ่งที่โอโนดะรู้สึกนึกเชื่อแบบนั้นเลยพยายามมองหาสิ่งที่เรียกว่า ‘ปีก’ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า...
มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงเล่า?!
ครั้นเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนว่าสติสัมปชัญญะจะกลับเข้ามาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว แต่ก่อนที่โอโนดะจะคิดอะไรได้มากไปกว่านั้น เด็กหนุ่มผมน้ำเงินตรงหน้าก็เอ่ยอะไรบางอย่างออกมาดึงความสนใจของเขาไป
“…ซากามิจิคุง?”
เอ๊ะ?
และแล้วเรื่องน่าช็อคเรื่องที่สองก็โผล่หน้ามาทักทายโอโนดะ(?) คราวนี้เป็นอะไรที่ช็อคยิ่งกว่าครั้งแรก นั่นก็เพราะคนตรงหน้านั้นเรียกเขาด้วยชื่อแทนที่จะเป็นนามสกุลอย่างที่คนส่วนใหญ่เรียกกัน แต่เขากลับไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าเคยเจออีกฝ่ายที่ไหนมาก่อนหน้านี้ด้วย ทำไมคนๆนี้ถึงรู้ชื่อของเขาได้กัน?
พอตั้งใจจะอ้าปากถามกลับไป ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังทำเขาสับสนกลับคว้าตัวเขาไว้พร้อมกับเอามือปิดปากโอโนดะแล้วกระโจนเข้าไปด้านหลังต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากต้นซากุระแต่อยู่ในมุมอับมากกว่ากันเยอะ
หรืออีกนัยหนึ่งคงต้องบอกว่า..เขากำลังซ่อนตัวอยู่นั่นเอง
แต่คนนี้ซ่อนตัวเพื่ออะไรนั้น เขาจะไปรู้ได้ไงละ?!
ตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งคำถามที่ว่าอีกฝ่ายรู้ชื่อเขาได้ยังไง พวกเขาเคยเจอกันมาก่อนหรอ ถ้าเคยเจอแล้วเคยเจอที่ไหนตอนไหน และคำถามที่ว่าทำไมอีกฝ่ายต้องซ่อนตัว ทำไมอีกฝ่ายต้องลากเขามาด้วย ตอนนี้คำถามพวกนี้กำลังตีกันให้วุ่นในหัวโอโนดะจนไม่อาจเรียบเรียงให้เป็นระเบียบได้เลย ซ้ำร้ายยังดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มอีกคนกำลังปิดปากเขา ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้แก้ความสงสัยพวกนี้สักทีน่ะสิ
โอโนดะที่กำลังสับสนเผลอเหลือบไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะรู้สึกตัวได้ว่า..เขายังไม่ทันได้พิจารณาอีกฝ่ายดีๆเลย บางทีถ้ามองดีๆแล้วอาจทำให้เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้
คิดดังนั้นแล้วก็หลงลืมคำถามสารพัดที่ยังค้างคาอยู่ไปจนหมดสิ้น ดวงตากลมโตของร่างบางเริ่มถือโอกาสที่อีกคนกำลังหันไปทางอื่นเพื่อดูลาดเลานี้พินิจมองดูอีกฝ่ายให้เต็มตา โครงหน้าของคนๆนี้เป็นโครงหน้ารูปไข่ ผิวสีขาวแต่ไม่ได้ขาวจัด ดูก็พอรู้ว่าคงออกแดดบ่อยพอสมควร เขามีเรือนผมสีน้ำเงิน และมีดวงตาสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน แต่สีน้ำเงินที่ว่านี้เป็นคนละเฉดกับสีน้ำเงินของตาโอโนดะ นอกจากนี้อีกฝ่ายยังมีเรือนร่างเรียกได้ว่าสูงโปร่ง มัดกล้ามมีอย่างพอประมาณจนอดนึกสงสัยว่าเขาเป็นนักกีฬาหรืออย่างไร ยิ่งอีกฝ่ายดึงตัวโอโนดะไว้แนบชิดแบบนี้ก็ยิ่งมองเห็นความแตกต่างทางกายภาพระหว่างพวกเขาสองคนอย่างชัดเจน และพอย้อนกลับมามองในส่วนภาพรวม โอโนดะก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า..อีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากจริงๆ
เอ๊ะ? เดี๋ยวสิ.. นี่เราคิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?!
ตอนแรกว่าจะดูให้ดีเผื่อจะนึกอะไรออก แต่ไปๆมาๆกลับกลายเป็นว่าหลงมองอย่างเผลอไผลเสียแทน คิดแล้วก็นึกอายจนอยากมุดดินหนี แต่ก็ทำไม่ได้
แต่จะว่าไปแล้ว.. ถ้าเคยมีเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีขนาดนี้มาเรียกเราด้วยชื่อ ทำไมเราจะจำไม่ได้?
โอโนดะนึกสงสัย แต่ความสงสัยนั่นก็ถูกแทนที่ด้วยความตกใจที่อยู่ๆอีกฝ่ายก็รวบร่างของตนไปกอดให้แน่นกว่าเดิมเสียอีก เด็กหนุ่มผมน้ำเงินกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาข้างใบหูว่า “อยู่นิ่งๆเงียบๆอีกแปบเดียวนะ” คนตัวเล็กกว่าจึงพยายามเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเขาก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มองเขาอยู่ แต่ยังออกไปด้านนอกอย่างเก่า คราวนี้โอโนดะจึงลองมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป และสิ่งที่เขาเห็นก็คือภาพของเด็กผู้หญิงที่น่าจะตัวเล็กกว่าเขานิดหน่อยคนหนึ่ง เธอมีผมยาวสีน้ำตาลที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วนแล้วมัดเอาไว้ให้ปลายปรกมาทางด้านหน้า และเธอคนที่ว่านี้ก็ใส่แว่น แต่โอโนดะก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก เพราะเขารู้จักเธอคนนี้ดี
เธอคือมิยาฮาระ เป็นหัวหน้าห้องของโอโนดะนี่เอง
ตอนนี้โอโนดะเลยได้คำถามใหม่มาอย่าง ทำไมหัวหน้ายังไม่กลับ กับ ทำไมคนนี้ถึงต้องหลบหัวหน้าห้อง
และแน่นอนว่าเขาคงจะไม่มีโอกาสได้ถาม ถ้าใครบางคนยังไม่ยอมเอามือออกจากปากเขาสักทีน่ะนะ(?)
“ให้ตายสิ.. หายไปไหนของเขากันนะ” มิยาฮาระเอ่ยออกมาในเชิงรำพึงเบาๆ แต่พวกโอโนดะก็ยังพอที่จะได้ยินมันชัดเจนพอสมควร เด็กสาวหันไปมองรอบๆตัวซ้ำยังตะโกนเสียงดังว่า “ฉันรู้นะว่านายอยู่แถวนี้น่ะ! ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ซังกาคุ!” เล่นเอาแม้แต่โอโนดะที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยนึกอกสั่นขวั่นแขวนและสะดุ้งแทนเจ้าของเรื่อง
เอ๊ะ... งั้น ซังกาคุ ก็คงเป็นชื่อของคนๆนี้งั้นสินะ
...และสุดท้ายมิยาฮาระก็เดินจากไป เด็กหนุ่มสองคนที่ซ่อนตัวอยู่จึงค่อยหายใจได้ทั่วท้อง ปากของโอโนดะเองก็ได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ(?) พวกเขาทั้งสองถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย และครั้นรู้สึกตัว คนทั้งคู่ก็หันมาหัวเราะให้กันกับปฏิกิริยาเหล่านั้น
จากนั้นโอโนดะจึงถือโอกาสนี้ถามในสิ่งที่ค้างคาใจตัวเองอยู่
“นายคือ…ซังกาคุคุงสินะ?”
“นายจำฉันได้ด้วยหรอซากามิจิคุง?!” คนตัวสูงกว่าได้ยินแล้วร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่บ่งบอกถึงความยินดีอย่างปิดไม่มิด นัยน์ตาสีน้ำเงินทอประกายระยิบระยับอย่างมีความสุข
“อ๊ะ.. ปะ..เปล่าๆ” โอโนดะตอบปฏิเสธ “ก็เมื่อกี้มิยาฮาระซังเรียกนายไม่ใช่หรอ?”
“อ๋อ… นั่นสินะ..” แววตาพลอยหม่นแสงลงทันตาในทันทีจนโอโนดะกระอักกระอ่วนใจนึกคำพูดต่อไปไม่ออก เด็กหนุ่มตรงหน้ายังคงระบายยิ้มทว่ากลับดูเศร้าเสียเหลือเกิน โอโนดะสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แต่จากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาระบายยิ้มสดใสอย่างตัดใจ
“สงสัยนายจะจำฉันไม่ได้จริงๆสินะ”
โอโนดะไม่เอ่ยสิ่งใดตอบ คนตัวเล็กกว่าทำเพียงพยักหน้ารับน้อยๆเท่านั้น
“งั้นมาเริ่มต้นกันใหม่เลยแล้วกัน”
“เอ๋?” โอโนดะเงยขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความตกใจระคนสงสัย หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ใส่ใจ เจ้าตัวยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆพลางจ้องลึกเข้าไปในแววตาของโอโนดะ
“ฉันชื่อ มานามิ ซังกาคุ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อะ.. ฉันชื่อ โอโนดะ ซากามิจิ.. เอ่อ..ยะ..ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ” โอโนดะตอบกลับอย่างลุกลี้ลุกลนจนมานามิอดหัวเราะน้อยๆให้กับความน่ารักนั้นไม่ได้
“อืม! ฉันเรียกนายว่า..ซากามิจิคุงได้ใช่มั๊ย?” คนตัวสูงกว่าเอ่ยอย่างเว้าวอน ซึ่งโอโนดะก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอีกฝ่ายไปทำไม แล้วก็อีกอย่าง เขาเป็นคนทำให้อีกฝ่ายใจเสียนิดหน่อยด้วย ดังนั้นร่างบางจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายพร้อมกับส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย
“ได้สิ งั้นฉันเรียกนายว่ามานามิคุงนะ”
มานามิได้ยินแล้วทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานเกินหนึ่งวิ(?)เด็กหนุ่มก็กลับมายิ้มแบบเดิม
“แบบนั้นก็ได้” มานามิกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะพูดประโยคถัดไปด้วยระดับเสียงที่แผ่วกว่าเดิม “ถึงตอนเด็กๆนายจะเรียกฉันว่าซังกาคุคุงก็เถอะ”
ซึ่งโอโนดะได้ยินมันชัดเจน เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะถามต่อ
“มานามิคุงรู้จักฉันตอนเด็กๆอย่างนั้นหรอ?”
“ใช่” มานามิตอบสั้นๆพลางระบายยิ้มเศร้า “สิบปีก่อนได้มั้ง?”
สะ..สิบปีก่อนเลยหรอ?
“นายอาจจะจำผิดคนก็ได้นะมานามิคุง” ถึงจะไม่ค่อยมีคนชื่อซากามิจิก็เถอะ โอโนดะเสริมต่อภายในใจ
“นายคิดว่างั้นหรอ.. อืม.. ก็อาจเป็นไปได้นะ” คนตัวสูงกว่าตอบพลางทำท่าคิด หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินสวยกลับจับจ้องโอโนดะราวกับจะมองทะลุไปได้ เวลาผ่านไปสักพักมานามิก็เอ่ยต่ออย่างหนักแน่น
“แต่ฉันว่าไม่หรอก.. ถึงฉันจะจำนามสกุลอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ฉันมั่นใจว่าเขาใส่แว่นกลมแบบนายนะ ตาของเขาเป็นสีน้ำเงินแต่คนละเฉดกับฉัน ผมก็เป็นทรงแบบเดียวกับนายเหมือนกัน”
โอโนดะได้ฟังแล้วผงะไปเล็กน้อย เวลาผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว อีกฝ่ายยังจำได้แม่นขนาดนั้นเลยหรือ? ถึงโอโนดะจะจำอะไรไม่ได้ แต่เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะโกหก และถ้าเป็นจริงละก็… ตัวเขาก็ต้องรู้จักคนตรงหน้าจริงๆน่ะสิ คิดแล้วก็นึกอายตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงนึกอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง
อย่างน้อยๆโอโนดะก็มั่นใจว่าตัวเองไม่เคยทำผมทรงอื่นนอกจากทรงปัจจุบัน
“ถ้างั้นมันก็คงเป็นฉันจริงๆละมั้ง แต่---”
“แต่นายไม่เห็นจำอะไรได้เลยสินะ” มานามิเอ่ยแทรกอย่างรู้ว่าโอโนดะจะพูดอะไร
“อืม” คนตัวเล็กกว่าพยักหน้ารับพร้อมกับรู้สึกผิด ทั้งที่อีกฝ่ายจำได้แท้ๆ ทำไมเขาจำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยละ…
“ไม่เป็นไรหรอกซากามิจิคุง” มานามิยิ้มกว้าง “นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้วมันก็คงช่วยไม่ได้ ที่สำคัญกว่าคือตอนนี้พวกเราได้กลับมาพบกันอีกต่างหาก มาเริ่มต้นกันใหม่ก็ได้นี่ ช่างเรื่องเก่าๆมันเถอะ แค่ย้ายโรงเรียนมาแล้วได้เจอนายแบบนี้ ฉันก็ดีใจจนน้ำตาแทบไหลแล้ว”
“เว่อร์ไปแล้วน่า” โอโนดะเอ่ยขำๆ พอได้เห็นมานามิยิ้มแบบนี้แล้วเขาเองก็ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“ไม่ได้เว่อร์ไปหรอก ฉันดีใจมากจริงๆนะ” คนตัวสูงกว่าค่อยๆสาวเท้าเข้ามาใกล้ร่างของอีกคนพลางระบายยิ้มอ่อนโยนจนโอโนดะถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะ ดวงหน้าหวานแดงซ่านขึ้นมาด้วยความเขินอายที่ก่อตัวขึ้นในอก หากแต่มานามิก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาเปลี่ยนมาเป็นยิ้มอย่างร่าเริงอีกหนพร้อมกับกางแขนดึงตัวโอโนดะเข้ามากอดไว้แน่น
“เหมือนเป็นพรหมลิขิตเลย”
“..พรหมลิขิต?”
“ใช่ พรหมลิขิตไง” เด็กหนุ่มคลายอ้อมกอดออกพลางเอ่ยรัวเร็ว “ไม่งั้นฉันคงไม่ได้เจอนายแบบนี้หรอก อ๊ะ..แต่ฉันคงต้องไปแล้วละ มีเอกสารย้ายโรงเรียนที่ต้องเคลียร์อีกนิดหน่อย นี่ก็แอบหนีมางีบ ถ้าไม่รีบกลับไปต้องโดนมิยาฮาระฆ่าตายแน่ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอดเจอซากามิจิคุงเอา”
“รู้จักมิยาฮาระซังด้วยหรอ?”
“อืม เป็นญาติห่างๆกันน่ะ” มานามิตอบ ถึงแม้ปากจะบอกรีบ แต่เจ้าตัวก็ยังจับมือโอโนดะข้างหนึ่งไว้แน่น
“งั้นที่ต้องซ่อนเมื่อกี้ก็เพราะแอบหนีมาสินะ”
“ก็ฉันไม่คิดว่าซากามิจิคุงอยู่โรงเรียนนี้ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยมาทำก็ได้น่ะ ถ้ารู้แต่แรกฉันคงรีบทำไปให้เสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้จะได้มาเจอนายโดยไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ” เด็กหนุ่มหัวน้ำเงินกล่าวพลางยิ้มแหยๆอย่างไม่มีข้อแก้ตัวอื่น
“งั้น.. แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะซากามิจิคุง”
“อืม แล้วเจอกันนะมานามิคุง”
เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มให้กันก่อนคนตัวสูงกว่าจะจำใจปล่อยมือบางให้เป็นอิสระอย่างเสียไม่ได้แล้วโบกมือลาพร้อมออกตัววิ่งจากไปจากบริเวณนั้น
โอโนดะยืนมองพลางโบกมือให้อีกฝ่ายจนแผ่นหลังกว้างลับตาไป สายลมฤดูใบไม้ผลิยังคงพัดมาอ่อนๆให้ความรู้สึกเย็นสบาย ทว่าดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำเรื่อยๆตามเวลาที่พ้นผ่านไป โอโนดะเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วพลันนึกได้ว่าตนก็ควรจะกลับบ้านได้แล้วเหมือนกัน
…ป่านนี้แล้วหรอเนี่ย ไม่รู้ตัวเลยแฮะ
เด็กหนุ่มร่างบางจึงสาวเท้าเดินจากไปจากต้นซากุระแสนสวยต้นนั้นเช่นกัน เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและร่องรอยการพบเจอกันอีกครั้งแห่งโชคชะตาระหว่างตัวเขาและ(คนที่บอกว่าเป็น)เพื่อนสมัยเด็กของเขา
กิ่งก้านของต้นซากุระพลิ้วไหวไปตามแรงลมราวกับเป็นพยานรับรู้…
เอาบทนำมาลงให้ตามระเบียบค่ะ (ฮา)
อย่างที่บอกไปแต่แรกว่ามันเป็นฟิคเอยู ตัวละครในฟิคนี้จึงค่อนข้างมีส่วนที่ต่างจากเนื้อหาออริจินัล อย่าเพิ่งตกใจหรือโวยวายเลยนะคะ =w=;;
ถ้ายังสงสัยหรืองงๆ ไรท์แนะนำให้ไปดูตอนแนะนำตัวละครแล้วจะเข้าใจมากขึ้น เพราะไรท์อธิบายไว้ในนั้นหมดแล้ว
ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากเพราะเป็นแค่การชิมลาง(?)ให้รู้ว่าเรื่องนี้จะเน้นซังซากะเป็นหลัก ส่วนคู่อื่นๆก็จะมีมาแซมบ้างตามอารมณ์ไรท์ 55555
มันอาจเป็นเรื่องยาวแบบสั้นๆแค่ห้าตอนจบหรือจะยาวกว่านั้นอีกไรท์ก็ไม่ค่อยมั่นใจ รอดูกระแสตอบรับดีกว่า(?)
แต่ไรท์ขอแอบสปอยล์(?) มานามิฟิคนี้... น่ารักมากค่ะ -//////////- (?)
ที่พูดเนี่ยไม่ใช่เพราะไรท์เป็นแม่ยกมานามิเลยเห็นมานามิน่ารักไปหมดหรอกนะคะ แต่ยอมรับเลยว่าตัวเองแต่งมานามิในฟิคนี้ได้น่ารักจริงๆ(?)
ไม่เชื่อหรอคะ ? ...รอดูได้เลยค่ะ ! 555555555555
สุดท้ายนี้... ถ้าเม้นท์กัน ความขยันของไรท์จะพุ่งปรี๊ดเลยค่ะ 55555
ไม่ได้โม้นะคะ นี่คือเรื่องจริง !(?)
ความคิดเห็น