[WF Contest] Magnolia - [WF Contest] Magnolia นิยาย [WF Contest] Magnolia : Dek-D.com - Writer

    [WF Contest] Magnolia

    โดย Maos I-well

    WF Contest หัวข้อ รถไฟที่สามารถเดินทางข้ามเวลาหรือมิติได้ โดยมีเงื่อนไขว่า...

    ผู้เข้าชมรวม

    92

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    92

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ม.ค. 58 / 22:57 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    WF Contest หัวข้อ รถไฟที่สามารถเดินทางข้ามเวลาหรือมิติได้ โดยมีเงื่อนไขว่า...
    เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราวางพล็อตไว้แล้วค่ะ(พล็อตเต็มเนื้อเรื่องจะเยอะกว่านี้และต่างกันพอสมควร แต่เราตัดมาแค่บางส่วนเพื่อให้เขียนกับธีมนี้ได้)

    นี่เป็นแมกโนเลียที่เราร่างไว้ค่ะ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      สำหรับผม...อดีตเป็นสิ่งที่น่าเศร้า

      สำหรับผม...อดีตเป็นสิ่งที่โหดร้าย

      สำหรับผม...อดีตเป็นตราบาปที่ไม่อาจลบเลือน

      สำหรับผม...อดีต เป็นสิ่งที่ผมต้องการจะเปลี่ยนแปลงมันให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับสิ่งใดก็ตาม

       

      ตัวผมในวัยเด็กยืนอยู่ ณ ที่นั่น

      มันเวิ้งว่าง ว่างเปล่า และว้าเหว่สุดจะทน รอบกายห้อมล้อมไปด้วยสีขาวที่ไร้ขอบเขต ยามใดที่เอื้อมมือออกไปก็สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่านั่น ยามใดที่กวาดสายตาออกไปก็จะพบเห็นเพียงวีขาวโพลน ยามใดที่เงี่ยหูฟังก็ได้ยินแค่เสียงลมพัดหวีดหวิวมาจากที่ไกลๆ

      จนกระทั่งฝ่ามือหนึ่งเอื้อมมาจากที่ใดซักแห่ง และคว้าร่างของผมก่อนจะฉุดดึงไปยังที่ใดซักแห่ง

      ผมเชื่อว่านั่นคือความอ่อนโยนแรกที่ผมได้รับจากใครซักคน...ใครซักคนที่ดึงผมไปจากสถานที่บ้าบอแห่งนี้


                      *   *   *   *   *

      “แมกโนเลีย”

      “ครับ”

      เสียงเพรียกหนึ่งดังขึ้นเรียกให้ผมหันกลับไปมอง เจ้าของเสียงเป็นชายคนหนึ่งอายุราว 14 ปีผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลสั้นระต้นคอและดวงตาสีมรกตที่เป็นประกายแม้จะอยู่ในห้องที่มืดสลัวเช่นนี้ เขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตซึ่งดูมีราคาไม่น้อย ติดกันนั้นเป็นหน้าต่างบานใหญ่ที่แง้มอยู่ทำให้แสงจันทร์จากภายนอกเล็ดลอดเข้ามากระทบเข้ากับโต๊ะทำงานที่ขนาบข้างอยู่กับเตียง ตัวผมซึ่งยืนอยู่บริเวณโต๊ะชงชาที่อยู่ตรงปลายเตียงเหลือบสายตามองชายคนนั้นพลางตอบรับเสียงเรียกชื่อของผม

      “เป็นอะไรรึเปล่า?” เสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งของชายคนนั้นดังสะท้อนในห้องขนาดใหญ่นี้จนได้ยินกันทั่วแม้จะเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบาเพียงใด ดวงตามรกตที่จ้องมาที่ผมแฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่เจือไปด้วยความเป็นห่วง

      ผมเพียงหลุบสายตาต่ำลง “เปล่าครับ”

      ดวงตามรกตนั้นหรี่ลง “ท่าทางเจ้าแปลกๆนี่...คิดเรื่องอะไรอยู่หรอ?”

      มือของผมเอื้อมไปหยิบชุดเครื่องชาออกมาชุดหนึ่งก่อนรินน้ำชาที่ชงเสร็จแล้วลงไป ควันพร้อมกลิ่นหอมกรุ่นๆลอยอยู่เหนือแก้วนั้นทำให้ผมถอนหายใจเบาๆออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

      “คิดถึงเรื่องเมื่อก่อนนิดหน่อยน่ะครับ...” ผมว่าอย่างหน่ายๆพลางประคองถ้วยลงบนจานรองแก้วแล้วค่อยๆเดินไปมอบให้กับชายคนนั้น เขาประคองร่างขึ้นนั่งก่อนรับชาจากผมไปจิบเล็กน้อย

      “กินชาก่อนนอนแบบนี้จะดีหรอครับ พรุ่งนี้มีงานต้องทำ ถ้าเกิดนอนไม่หลับจะแย่เอานะครับ” ผมเอ่ยพลางจ้องใบหน้าของเขาที่แม้จะดูหนุ่มสมวัย แต่ก็แฝงไปด้วยการตรากตรำต่างๆนานาทำให้ใบหน้าคมคายนั้นแฝงใบด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลีย

      “ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เจ้าก็ชงมาให้ข้าตามคำขอทุกครั้งไม่ใช่หรือไง...”

      “ผมมีหน้าที่เพียงปฏิบัติตามคำสั่งท่านเท่านั้นครับ”

      “…”

      เขาไม่กล่าวอะไรต่อและก้มลงจิบชาอีกครั้ง เวลารอบกายเราสองคนก็ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ความเงียบสงัดยามราตรีทำให้ทุกสิ่งดูเหมือนถูกตรึงเอาไว้จนกว่ายามทิวาจะหวนกลับมา แต่แล้วมือของชายคนนั้นก็ลดระดับแก้วลงก่อนส่งมันคืนให้กับผม ผมรับมันมาโดยไม่พูดอะไรก่อนนำไปวางไว้บนโต๊ะชงชาตัวเก่าเพื่อเตรียมไปล้าง

      “แมกโนเลีย”

      “ครับ” เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นเป็นครั้งที่สองผมจึงตอบรับกลับไปเบาๆขณะหันหน้าเข้าหาโต๊ะชงชา และหันหลังให้กับชายคนนั้น

      “เจ้าบอกว่าเจ้ามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของข้าใช่ไหม”

      ร่างของผมชะงักไปชั่วครู่กับคำถามนั้น ความตกใจระคนสงสัยกับคำถามนั้นของเขาทำให้ผมหันกลับไปมองเจ้าของดวงตาสีมรกตนั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ความลังเลที่ไม่ทราบสาเหตุของผมก่อตัวขึ้นมาในจิตใจและค่อยๆกัดกินทีละน้อย แต่ถึงกระนั้นผมก็สลัดมันออกไปแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ก็ใช่ครับ”

      เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ผุดลุกขึ้นก่อนเดินตรงมาที่เบื้องหน้าผม

      “คุกเข่าลง”

      ผมลดกายลงนั่งกับพื้นแล้วก้มหน้าลง  แสงจันทร์อ่อนๆทอดลงมายังเบื้องหลังของเราสองคน

      “เงยหน้า”

      ผมเงยใบหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสีมรกตนั้นจนเห็นดวงตาสีแดงประดุจโลหิตของผมสะท้อนอยู่ในนั้น

      “เจ้าห้ามขัดคำสั่งข้า ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม เจ้าจะสัญญากับข้าได้หรือไม่”

      ผมมองเขา “ครับ”

       “เจ้าจะเป็นของของข้า เจ้าจะเป็นคนรับใช้คนสำคัญของข้า เจ้าจะเป็นขุนนางคนสำคัญของข้า เจ้าจะเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของข้า และเจ้า...จะเป็นเพื่อนคนสำคัญของข้า”

      ดวงตาของผมฉายความตกใจขึ้นมาอย่างชัดเจน ก่อนที่ริมฝีปากแห้งจะตอบกลับไปด้วยความยากลำบากจนน้ำเสียงนั้นสั่นเครือเล็กๆ “.....ครับ”

      เขานิ่งไปพักหนึ่ง “และถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ห้ามคิดถึงอดีตงี่เง่านั่นอีก เจ้าห้ามโทษใครก็ตามที่ให้กำเนิดเจ้ามา และห้ามโทษตัวเจ้าเองด้วย เจ้าจงอยู่กับปัจจุบัน และใช้ชีวิตต่อไปโดยห้ามขัดขืนกฎใดๆทั้งสิ้นที่ผูกมัดเอาไว้ เจ้าจงน้อมรับกฎนั้นเสีย”

      ในครานี้ผมเงียบ แล้วตัดสินใจก้มหน้าลงเพื่อจะได้ไม่ต้องมองดวงตาสีมรกตนั่นอีก...ดวงตาสีแดงของผมมันด้อยค่าเกินกว่าจะจ้องเขา เกินกว่าจะเป็นคนของเขา เกินกว่าจะรับใช้เขา เกินกว่าจะเป็นขุนนาของเขา เกินกว่าจะเป็นที่ปรึกษาของเขา...และเกินกว่าที่จะเป็นเพื่อนของเขา

      “สัญญากับข้ามา ไหนเจ้าบอกจะทำตามคำสั่งของข้า” เขาเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เงยหน้าขึ้นมาซะ แมกโนเลีย”

      “อึก...”

      ผมขบฟันเบาๆแล้วก้มลงมองปลายเท้าของตนเอง เรือนผมสีเทาของผมบดบังดวงตาสีแดงที่บัดนี้ฉายความหวั่นไหวออกมาอย่างชัดเจน เวลาชั่วครู่เดียวในขณะนี้กลับดูเนิ่นนานสำหรับผมเมื่อมันปะทะกับกลุ่มก้อนความคิดที่ตบตีกันไปมาในหัว

      แต่แล้วผมก็ตัดสินใจได้ ก่อนเอ่ยชื่อของฝ่ายตรงข้าม “ท่านฟาเลียร์”

      “มีอะไร”

      “สำหรับคำสั่งนี้...ต้องขอโทษด้วยครับ แต่ผมคงจะทำตามไม่ได้” ผมว่าพลางผุดขึ้นยืน ร่างของผมสูงกว่าท่านฟลาเลียร์เล็กน้อยทำให้ผมไม่อาจสังเกตเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนเท่าไหร่นัก

      ผมหันหลัง เดินไปยังประตู เปิดมัน ก่อนจะเดินออกไป โดยไม่ได้สนใจถ้วยน้ำชาที่ทิ้งเอาไว้ และเสียงเรียกชื่อของผมครั้งแล้วครั้งเล่า...

       

      ฟาเลียร์ พีเทียสเป็นชื่อที่รู้จักกันทั่วภายในอาณาจักรเจนเรียนแห่งนี้และอาณาจักรข้างเคียงนามของกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองเจนเรียนตั้งแต่อายุ 12 ปีซึ่งน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีความสามารถเฉพาะตัวรอบด้านทั้งด้านความรู้ ความสามารถทางกาย และสติปัญญาอันเฉียบแหลมทำให้ปกครองบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้ช่วงเวลาที่กษัตริย์ฟาเลียร์กุมอำนาจสูงสุดใน 2 ปีที่ผ่านมานี้ อาณาจักรรุ่งเรืองมาโดยตลอด ทำให้มีผู้คนมากมายนับหน้าถือตาและยกย่องเชิดชู

      ผมซึ่งถูก เก็บมาเลี้ยง โดยทางราชวงศ์มีอายุใกล้เคียงกับเขาจึงกลายเป็นคนรับใช้แก่ท่านฟาเลียร์โดยปริยาย แม้จะได้รับเสียงคัดค้านจากขุนนางบางส่วน แต่เมื่อท่านฟาเลียร์ตัดสินใจที่จะรับผมไปรับใช้ท่านก็ไม่มีใครกล้าขัดอีกต่อไป ตัวผมที่เชื่อมั่นและศรัทธาในตัวท่านฟาเลียร์จึงรับใช้อย่างสุดความสามารถจนกระทั่งเมื่อคืน

      นั่นเป็นการขัดคำสั่งครั้งแรกของผมตั้งแต่อยู่กับท่านฟาเลียร์มา

      ขณะนี้ผมหยุดยืนหน้าหอสมุดขนาดใหญ่ของราชวงศ์ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกสุดของตัวปราสาท อาคารหลังใหญ่โตโอ่อ่าตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางสวนธรรมชาติที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระบบรอบด้าน รูปทรงของตัวอาคารถูกออกแบบอย่างดีทำให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างที่มีผ้าม่านผืนบางกั้นอยู่เข้าไปในตัวอาคารช่วยสร้างแสงที่พอเหมาะสำหรับการอ่านหนังสือ

      ไม่รู้ว่าอะไรดลใจผมมายังที่นี่

      อาจจะเป็นเพราะนี่คือสถานที่แรกของผมเมื่อตอนถูกเก็บมาเลี้ยง...ผมถูกสั่งให้มาเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ชั่วคราวแทนคนก่อนที่ลาออกไปอย่างกะทันหัน และหลังจากนั้นอีกราวเดือนครึ่งก็มีคนมาสมัครใหม่ ผมจึงถูกส่งต่อไปรับใช้ท่านฟาเลียร์อีกทีหนึ่ง

      เมื่อผมก้าวเท้าผ่านธรณีประตูเข้าไปก็พบด้านในตัวอาคารที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าไหร่นัก ตรงเบื้องหน้าผมเป็นเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์สำหรับสอบถามและเช่ายืมหนังสือ และหลังเคาท์เตอร์นั้นก็มีบันไดแยกออกเป็นสองทางสำหรับขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นที่เก็บหนังสือจำนวนมหาศาล ผมก้าวขึ้นบันไดทางขวาก็พบชั้นหนังสือที่มีหนังสือจำนวนมาก และคนที่มาใช้บริการอยู่อีกประปราย เนื่องจากหอสมุดแห่งนี้ทุกคนในปราสาทสามารถมาใช้ได้ไม่ว่าจะมีตำแหน่งระดับใด ตั้งแต่คนล้างห้องน้ำจนถึงกษัตริย์ก็มาใช้หอสมุดที่นี่ร่วมกัน

      ผมเดินทอดสายตาไปอย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย ความจริงในเวลานี้ถ้าเป็นในยามปกติผมควรจะไปรอรับคำสั่งจากท่านฟาเลียร์ แต่เพราะด้วยความหวั่นเกรงเล็กๆในจิตใจของผมกับการกระทำของตนเมื่อคืนทำให้ไม่กล้าไปพบหน้าท่าน

      ซึ่งนั่นก็เป็นความรู้สึกผิดที่ผมสมควรได้รับ

      ผมเดินเลียบไปยังชั้นหนังสือบริเวณริมสุดของตัวอาคารที่ไม่มีคนอยู่ เท่าที่ผมจำได้มันเป็นชั้นหนังสือจำพวกตำนานและนิทานต่างๆ แล้วไล่สายตาตามปกหนังสือแต่ละเรื่องไปเรื่อยๆจนสะดุดกับหนังสือสองเล่มที่อยู่ติดกันพอดี

      ผมค่อยๆดึงหนังสือสองเล่มนั้นออกมา

      เล่มแรกเป็นหนังสือเล่มหนาพอสมควรที่ปกทำจากหนังสัตว์ชั้นดีมีสีแดงเลือดหมูและใช้ด้ายสีทองเป็นประกายในการเย็บเข้าเล่ม กระดาษข้างในมีสภาพค่อนข้างเก่าและเหมือนจะขาดวิ่นได้ทุกเวลาเมื่อถูกสัมผัส เมื่อผมพลิกไปหน้าหลังสุดก็พบว่ามีคนเคยเล่มนี้มาก่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น  หน้าปกของมันถูกเขียนด้วยตัวหนังสือสีทองหวัดๆว่า ตำนานเจนเรียนเบื้องต้นแต่ไม่ได้ระบุชื่อผู้แต่งเอาไว้

      ส่วนอีกเล่มเป็นหนังสือเล่มขนาดกลางๆ หน้าปกบางเป็นสีน้ำเงินเข้มและมีรูปรถไฟอยู่บนหน้าปก ตัวหนังสือบนชื่อเรื่องเลือนหายไปบางส่วนเขียนเอาไว้ว่า รถไฟสายกาลเวลา ที่ผมเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้มา หาใช่เพราะสนใจชื่อเรื่องหรือเนื้อหาของมันไม่ แต่เป็นเพราะชื่อผู้แต่งที่เขียนเอาไว้ตรงมุมเล็กๆของปกข้างว่า เฟร็น พีเทียสซึ่งหนังสือเล่มนี้มีคนยืมพอสมควร

      ผมเดินหาที่นั่งว่างๆก่อนก้มลงอ่านหนังสือเจนเรียนเบื้องต้นก่อนเป็นลำดับแรก

                  มันเป็นเรื่องเล่าเมื่อนานมาแล้ว...

                  ในปีเซนเจียที่ 34 เกิดภัยพิบัติรุนแรงในราชอาณาจักรเจนเรียน เมื่อจู่ๆชายชุดดำจำนวนมากบุกเข้ายึดอาณาจักร ประชาชนทุกคนพากันตื่นตระหนกตกใจ บางคนถูกชายชุดดำสังหาร ในขณะที่หลายๆคนพยายามหลีกภัยไปยังเมืองข้างๆ สิ่งเดียวที่ทุกคนในเหตุการณ์นั้นเห็นคือเงาสีดำที่เคลื่อนไหวไปมาในตัวเมืองกับเปลวเพลิงสีอำพันเปล่งประกายดูอบอุ่นแต่แผดเผาสิ่งรอบข้างจนไม่เหลือแม้เพียงเศษซาก เหล่าขุนนางและมหาเศรษฐีในเมืองพากันหลบลี้ภัยไปอย่างปลอดภัย แต่มีเพียงคนๆเดียวที่ไม่คิดจะขยับแม้เพียงปลายนิ้ว

                  ท่ามกลางความกลาหลรอบข้างชายวัยกลางคนคนหนึ่งเพียงนั่งเท้าคางมองเหตุการณ์นั้นด้วยแววตาไร้ความรู้สึกบนบัลลังก์วิจิตรที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี

                  เขาคือกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเจนเรียนแห่งนี้ผู้มีนามว่า เฟร็น พีเทียส

                  ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีมรกตซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเชื้อสายราชวงศ์เพียงมองไปยังรอบข้าง ก่อนรอยยิ้มเล็กๆจะเผยออกมาที่มุมปาก พริบตานั้นเองที่แสงสว่างสีขาวกลืนกินทุกสิ่งรอบข้าง ทั้งชายชุดดำ คนที่ติดข้างอยู่ในเมือง บ้านเรือน ข้าวของ ต้นไม้ และกษัตริย์แห่งเจนเรียน...

                  มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่า แสงสีขาวที่กลืนกินทุกอย่างคือมหาเวทของราชวงศ์ซึ่งมีเพียงกษัตริย์ที่ใช้ได้ และยังมีสิ่งของสิ่งหนึ่งที่หลงเหลือเอาไว้จากการลบล้างราชอาณาจักรในครั้งนั้น...

                      “อึก...เมื่อผมอ่านหน้าแรกไปได้ซักพักก็ตัดสินใจปิดหนังสือเล่มนั้นลง นี่เป็นตำนานพื้นฐานของอาณาจักรเจนเรียนที่ทุกคนในอาณาจักรต่างรู้จักดี ว่ากันว่ามันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยที่อาณาจักรถูกยึดโดยกลุ่มคนที่ไม่ทราบที่มาซึ่งถูกจ้างวานมาโดยขุนนางคนหนึ่งที่เคียดแค้นกษัตริย์เฟร็นเพื่อลอบสังหารพระองค์ โดยขุนนางคนนั้นหารู้ไม่ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นแท้จริงแล้วเป็นไส้ศึกของอาณาจักรศัตรู ทำให้อาณาจักรถูกทำลายลง ก่อนที่ในอีกยี่สิบปีต่อมาจะถูกบูรณะขึ้นใหม่โดยกษัตริย์พระนามว่า ฟราน พีเทียส...ผู้ซึ่งเป็นพ่อของ ฟาร์เลีย พีเทียสที่ผมกำลังรับใช้อยู่ในขณะนี้

                      ผมถอนหายใจเบาๆพลางเลื่อนมือไปหยิบหนังสืออีกเล่มที่ชื่อ รถไฟสายกาลเวลา ที่เขียนโดยกษัตริย์เฟร็น พีเทียสที่ถูกกล่าวถึงในตำนานแห่งเจนเรียนขึ้นมาอ่านเงียบๆ

      มีใครเคยคิดที่จะเปลี่ยนอดีตหรือไม่?

                  สายตาผมชะงักกับประโยคแรกของหนังสือในหน้ากระดาษสีขาวโล่งๆนั้น ก่อนจะรีบกระวีกระวาดเปิดไปหน้าถัดไปด้วยความรวดเร็วและกวาดสายตาอ่าน

                      ข้า ในนามของกษัตริย์เจนเรียน มีเรื่องที่ไม่ว่ายังไงก็อยากจะส่งมอบให้กับคนคนหนึ่ง

                  นานมาแล้ว...มีตำนานที่ขับขานเล่าต่อกันมารุ่นต่อรุ่นในราชวงศ์ ว่ากันว่าลึกลงไปใต้ผืนดินมีชานชะลารถไฟอยู่ รถไฟจะมาจอดเทียบทุกวันในเวลาเที่ยงคืน โดยมีจุดหมายปลายทางมุ่งสู่สิ่งเดียว

                  อดีตของผู้โดยสาร

                  ในคราแรก ข้าไม่เชื่อเรื่องราวนี้เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันหนึ่ง...ข้าลงไปยังชั้นใต้ดินที่อยู่ลึกสุดในปราสาท และได้พบกับสิ่งที่ไม่คิดว่าตนจะได้เห็นมาก่อน

                  เสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนดังกึกก้อง ตัวข้าได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังแว่วมา และเมื่อหันไปมองรอบด้านก็พบว่ารอบด้านกลายเป็นชานชะลาเก่าๆแห่งหนึ่ง และทันใดนั้นเองรถไฟคันหนึ่งก็มาจอดเทียบ มันเป็นรถไฟไอน้ำที่ดูเก่าแก่และมีอายุ

                  ตอนนั้นเพราะความตกใจข้าจึงจำรายละเอียดอะไรได้ไม่มากนัก

                  แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้คือ เท้าของข้าก้าวเดินขึ้นรถๆฟนั้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง เมื่อไปถึงภายในรถไฟไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว แต่เมื่อข้าเข้าไปแล้วประตูรถไฟก็ปิดลง ก่อนที่ขบวนจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

                  รายละเอียดอื่นข้าขอเลือกที่จะไม่บอก แต่ข้าบอกได้เพียงมันพาข้าไปสู่อดีตของข้า โดยแลกกับสิ่งๆหนึ่ง

                  ข้าบอกได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือหากใครอยากรู้ก็จงไปค้นหารถไฟสายนั้นด้วยตนเอง

                  สุดท้ายนี้ข้าหวังเป็นอย่างสูงว่าเขาคนนั้นที่ข้าได้กล่าวไปข้างต้นจะได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้...เขาคนนั้นผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า เขาคนนั้น...ผู้มีนามว่า........ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่าข้าทำพลาด แม้นจะย้อนกลับไปในอดีตแล้วแต่ข้าไม่อาจเปลี่ยนอดีตของสองเราได้ ได้โปรด...ย้อนอดีตแทนตัวข้าที่ไม่สามารถทำได้อีกครั้ง แล้วแก้ไขเรื่องราวของพวกเราให้มันดีขึ้นที

      เฟร็น พีเทียส
      กษัตริย์แห่งเจนเรียน

                  ตรงชื่อของผู้ที่กษัตริย์เฟร็นกล่าวถึงเลือนหายไปจนผมอ่านไม่ออก และเมื่อพลิกกระดาษหน้าต่อไปก็พบว่ามันเป็นเพียงกระดาษเปล่าทั้งสิ้น

                      แต่ทว่าความปรารถนาบางอย่างกลับก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจของผมแทน...คำว่า เปลี่ยนแปลงอดีตนั้นช่างกระทบจิตใจของผมเหลือเกิน...เพราะถ้าผมสามารถเปลี่ยนอดีตของผมได้...ถ้าผมสามารถแก้ไขทุกอย่างก่อนหน้านี้ได้แล้วล่ะก็...ผมคง...

                      ร่างของผมผุดลุกขึ้นยืน ก่อนเดินดิ่งตรงไปยังเคาท์เตอร์ตรชั้นล่าง

                      “ขอยืมหนังสือสองเล่มนี้หน่อยครับ”

                      “ขอชื่อด้วยค่ะ” พนักงานที่เคาท์เตอร์กล่าวเสียงเรียบ พลางจดชื่อของหนังสือทั้งสองลงไปในสมุดบันทึกการยืม-คืนหนังสือด้วยลายมือที่เป็นระเบียบเรียบร้อยแม้จะเขียนด้วยความเร็วก็ตาม

                      “แมกโนเลีย ชรีค (Magnolia Shriek) ครับ”

                      หญิงสาวคนนั้นชะงักมือไปชั่วครู่เมื่อทราบชื่อของผม แน่นอนว่าชื่อนี้ไม่ว่าใครในปราสาทก็ต้องรู้จักในนามของผู้ที่เป็นคนจรจัดที่ท่านฟาเลียร์เก็บมาเลี้ยงด้วยความดูแคลน แต่กลับได้ดิบได้ดีจนกลายเป็นมือขวาของท่าน

                      “รับทราบแล้วค่ะ ถ้ายังไงก็รบกวนนำมาคืนภายในสองอาทิตย์ และถ้าหากทำหนังสือชำรุดหรือหายกรุณามาแจ้งด้วยนะคะ เพราะทางเราจะแจ้งค่าปรับของคุณ...”

                      ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยค ร่างของผมก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว

       

                      วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ปีเซนเจียที่ 86 เวลา 23.53 นาฬิกา

                      ผมพาร่างของตนเองก้าวลงบันไดที่มุ่งไปสู่ห้องใต้ดิน ลมหายใจที่ระต้นคอนั้นมีควันลอยกรุ่นๆเพราะอุณหภูมิที่ใต้ดินนั้นหนาวเหน็บยิ่งกว่าบนพื้นดินหลายเท่า แต่ถึงกระนั้นผมก็กัดฟันแล้วก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่ลดละตามบันไดที่โค้งไปมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด มีโคมไฟที่ช่วยนำทางและให้แสงสว่างอยู่เป็นระยะในทุกๆสามเมตรทำให้การเดินทางของผมครั้งนี้ไม่ลำบากมากนัก แต่ด้วยความที่ใต้ดินเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามามากนักทำให้มีใยแมงมุมอยู่จำนวนไม่น้อยทำให้ต้องระแวงไปด้วย

                      ถ้าหากสิ่งที่กษัตริย์เฟร็นเขียนเป็นจริงแล้วล่ะก็...ผมจะต้องหารถไฟสายนั้นให้เจอให้ได้!

                      ขาของผมก้าวลงไปเรื่อยๆจนส่งเสียงสะท้อนเป็นจังหวะก้องไปมา ช่วงเวลานี้ทุกคนในปราสาทยกเว้นเวรยามข้างนอกหลับกันหมดแล้วทำให้ผมไปมาในปราสาทได้อย่างสะดวก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจิตใจของผมกลับเต้นระรัวอย่างหวั่นวิตกราวกับกำลังกังวลเรื่องอะไรบาอย่างอยู่

                      ไม่มีอะไรต้องกังวล...ไม่มีใครจับได้ทั้งนั้น...เมื่อคืนเราเพิ่งขัดคำสั่งท่านฟาเลียร์ไปด้วย คงไม่มีใครที่อยากจะออกตามหาตัวเราตอนนี้

                      แต่จิตใจบ้าๆนี่กลับไม่ฟังผมเลย

                      “โธ่เว้ย...” ผมยืนหอบเล็กน้อยเมื่อมาจนสุดทางพลางกุมอกที่สั่นระรัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองภาพเบื้องหน้าที่เป็นห้องเก็บของขนาดค่อนข้างใหญ่ที่เคยใช้ในอดีต แต่ปัจจุบันห้องเก็บของถูกย้ายไปข้างบนเพื่อความสะดวกในการใช้งานแทน ตอนนี้ที่นี่จึงเป็นโถงกว้างๆและใช้เป็นที่เก็บเสบียงฉุกเฉินจำนวนหนึ่งแทน

                      23.58 นาฬิกา

                      ผมมองเวลาจากนาฬิกาพกอันหนึ่งที่ห้อยติดเอาไว้กับผ้าพันคอ ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ท่านฟาเลียร์มอบให้ผมตอนเข้ามารับใช้ท่านด้วยคำพูดที่ว่า ผ้าพันคอนี่จะแทนความอบอุ่น...เจ้าจงรับใช้ข้าแบบใกล้ชิด ห้ามปล่อยให้ข้าอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางความหนาวเหน็บเป็นอันขาด และแน่นอนว่าข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าให้โดดเดี่ยวเช่นกัน

                      23.59 นาฬิกา

                      และนาฬิกาพกนี่...จะเป็นเครื่องหมายแทนกาลเวลา เจ้าจงอย่าใส่ใจกับอดีตที่ผ่านมา แล้วจดจ่อกับปัจจุบันเสีย ยามใดที่เจ้ากังวลก็ดูนาฬิกานี่ซะ มันจะบอกเวลาปัจจุบันให้กับเจ้าเอง

                      0 นาฬิกา

                      ครืนนน ครืนนน ครืนนน

                      สิ่งรอบกายของผมบิดเบี้ยวไปมา ก่อนจะหลอมรวมกลายเป็นภาพของชานชะลาแห่งหนึ่ง ส่วนหลังคาที่ยื่นออกมาทำจากสังกะสีเก่าๆ ส่วนตัวโครงเสาก็สร้างขึ้นจากไม้เก่าๆที่ใกล้ผุพังเต็มที่ ผมก้มลงมองที่ปลายเท้าก็พบเส้นสีเหลืองที่ถูกขีดกั้นออกไปทางซ้ายขวายาวสุดลูกหูลูกตา เบื้องล่างลงไปเป็นรางรถไฟสายยาวที่ดูเก่าโทรม

                      ฉึกฉัก ฉึกฉัก ฉึกฉัก

                      คราวนี้เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมาจากด้านขวามือของผม เมื่อหันไปก็พบพียงความมืดมิด แต่เมื่อผมหรี่ตาลงแล้วจับจ้องดีๆก็พบรถไฟไอน้ำขบวนหนึ่งกำลังมุ่งตรงมาด้วยความเร็ว ก่อนที่จะชะลอลงแล้วหยุดตรงหน้าผมพอดี มันเป็นรถไฟขนาดค่อนข้างใหญ่ โครงสร้างใหญ่นั้นถูกทาทับด้วยสีน้ำตาลอมเลือดหมูที่บางจุดได้หลุดลอกออก ควันที่พวยพุ่งจากด้านบนลอยละล่องไปมาอย่างไร้ทิศทางก่อนค่อยๆจางหายเมื่อรถจอดลง บริเวณหัวรถไฟมีตัวอักษรสีดำเขียนติดเอาไว้ว่า ‘FORMER’

                      “โอ๊ะ วันนี้มีผู้โดยสารด้วยแฮะ สวัสดีคร้าบ~!!

                      ประตูรถไฟเปิดออกพร้อมๆกับใบหน้าของชายคนหนึ่งที่ยื่นหน้าออกมา เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมบางที่เตี้ยกว่าผมพอสมควร ดวงตาสีฟ้าทะเลกับผมสีเดียวกันของเขาดูเข้ากับเครื่องแบบสีกรมท่าของเขาอย่างบอกไม่ถูก เขาเป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่ดูขัดกับบรรยากาศรอบข้างที่มืดมนหดหู่อย่างสุดโต่ง

                      เขาโหนตัวกับราวจับแล้วกระโดดลงมาข้างหน้าผมอย่างนุ่มนวล “อะแฮ่มๆ! ก่อนอื่นแนะนำตัวกันก่อนนะครับ ผมเป็นพนักงานตรวจตั๋วของรถไฟขบวนนี้ ชื่อฟราสครับ! เอ๊ะ...หรือว่าผมไม่ได้ชื่อนี้กันน้า...ฮะๆ มันนานจนจำไม่ได้แล้วล่ะครับ! แต่ก็ช่างเถอะ ท่านผู้โดยสารล่ะครับ ชื่ออะไรเอ่ย?”

                      “เอ่อ...แมกโนเลีย ชรีคครับ” เพราะบุคลิกประหลาดๆของฝ่ายตรงข้ามทำให้ผมวางตัวไม่ถูกจึงตอบกลับไปอย่างหวาดๆ

                      ฝ่ายตรงข้ามเลิกคิ้วสูง “อ้าว..ไม่ได้ชื่อแจ๊คหรอกหรอครับ?”

                      “...!!” ดวงตาของผมเบิกโพลงด้วยความตกใจ และฝ่ายตรงข้ามก็สังเกตเห็นพอดีจึงเอ่ยต่อยิ้มๆ

                      “เอาเถอะครับ...อยากจะชื่ออะไรก็ช่าง แล้วความจริงผมก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณผู้โดยสารหมดแล้วล่ะครับ ฮะฮ่า! เอาตรงๆคือถามตามมารยาทไปเท่านั้นเอง” เขาโบกมือไปมากลางอากาศด้วยรอยยิ้ม แล้วยื่นมือมาเบื้องหน้าผม “จะมาขึ้นรถไฟสินะครับ...งั้นก็ ค่าตั๋วล่ะครับ?”

                      “ค่าตั๋วหรอครับ?”

                      “แหม...ผมไม่ให้ขึ้นฟรีๆหรอกนา เดี๋ยวก็โดนหักเงินเดือนกันพอดี...อ๊ะ ว่าแต่ผมมีเงินเดือนด้วยหรอ จำไม่เห็นได้ว่าเคยมีเงินเดือนแฮะ!! เอาเถอะ ฮะๆ! ค่าตั๋วของรถไฟสายนี้ก็คือ...” ฟราสลดเสียงต่ำลงเล็กน้อย ก่อนชูนิ้วชี้ขึ้นมาโบกไปมาประกอบการพูด

                      สีหน้าของผมเครียดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

                      “...ผมลืมแฮะ ขอนึกก่อนนะครับ”

                      “...”

                      ใครก็ตามที่เป็นผู้บริหารของรถไฟสายนี้ รีบไล่หมอนี่ออกไปทีเถอะครับถ้าไม่อยากขาดทุนย่อยยับเพราะพนักงานตรวจตั๋วที่ลืมค่าตั๋วนี่...

                      “อ๊ะ นึกออกแล้วล่ะครับ” ฟราสทุบกำปั้นลงบนมืออีกข้างเบาๆ “การเดินทางบนรถไฟนี้...ผมขอแลกเพียงปัจจุบันของท่านผู้โดยสารเท่านั้นครับ!!

                      “ปัจจุบัน?” ผมทวนคำด้วยความสงสัย

                      “แม่นแล้วครับ...สำหรับตั๋วขาไปก็คือ ปัจจุบัน ซึ่งจะหมายถึงตัวตนของท่านในตอนนี้ ทั้งความทรงจำ อำนาจ เงินทอง หรืออะไรก็ตามแต่ที่คุณมีอยู่ในปัจจุบัน แล้วจะเหลือเพียงแค่ตัวตนในอดีตในช่วงที่ย้อนเวลาไปเท่านั้นครับ” ฟราสเอ่ยยิ้มๆ

                      ผมหรี่สายตาลง “นายบอกว่านี่คือตั๋วขาไป...แสดงว่ามีตั๋วขากลับด้วยงั้นหรอ?”

                      “โอ๊ะ...ช่างสังเกตจังนะครับท่านผู้โดยสาร ไม่เชิงว่ามีหรอกครับ มันเป็นทางเลือกเสียมากกว่า ในกรณีที่ท่านย้อนอดีตไปแล้วก็เกิดไม่พอใจหรืออยากกลับมายังปัจจุบันก็ขอกลับมาได้ครับ โดยค่าตั๋วก็แสนถูกนั่นคือ การริบสิทธิ์ในการขึ้นรถไฟครั้งนี้ไปอีกตลอดกาลแน่นอนว่าเรามีโปรโมชั่นไม่พอใจยินดีคืนเงินด้วย ดังนั้นถ้าท่านลูกค้ามีความประสงค์ที่จะกลับมายังปัจจุบัน เราก็จะคืนค่าตั๋วขาไปให้ด้วยครับ”

                      ผมใช้เวลาคิดตามชั่วครู่ “สรุปคือถ้าผมอยากย้อนอดีตก็จะเสียปัจจุบันไป และถ้าผมต้องการกลับผมก็จะได้ปัจจุบันคืน แต่ไม่สามารถย้อนอดีตได้อีกเลยใช่ไหม?”

                      “ใช่แล้วครับ! เอาไงครับคุณลูกค้า รถไฟกำลังจะออกแล้วนะครับ”

                      ผมไม่ตอบอะไรเขา และก้าวเท้าออกไป

       

      * * * * *

       

                      “สำหรับคำสั่งนี้...ต้องขอโทษด้วยครับ แต่ผมคงจะทำตามไม่ได้” เขากล่าวก่อนจะยืนขึ้นแล้วเดินออกจากประตูไป ทิ้งให้ข้ายืนภายในห้องอย่างโดดเดี่ยว

                      “เดี๋ยวสิ...แมกโนเลีย แมกโนเลีย! เฮ้! รอข้าก่อนสิ...แมกโนเลีย!!” ข้าพยายามตะโกนรั้งเขาเอาไว้...แต่ทว่าเขากลับไม่แม้แต่หันกลับมามอง

                      “...อ...อึก...ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย...!” ข้าสบถเบาๆก่อนทรุดตัวนั่งลงกับเตียง ภาพนี้คงไม่เหมาะนักถ้าหากใครมาเห็นเข้า คงจะลือกันให้ทั่วปราสาททำนองว่า กษัตริย์ฟาเลียร์ผู้ยิ่งใหญ่ต้องสบถไม่เป็นคำเพราะคนรับใช้ที่ตัวเองเก็บมาเลี้ยงเดินสะบัดก้นหนี แต่ทว่าในเวลานี้ข้าไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

                      “จำตอนข้าให้ผ้าพันคอไม่ได้รึไงหา...ไอ้เจ้าแมกโนเลีย อ...ไอ้...ไอ้เจ้าเพื่อนบ้า...!

                      ‘ผ้าพันคอนี่จะแทนความอบอุ่น...เจ้าจงรับใช้ข้าแบบใกล้ชิด ห้ามปล่อยให้ข้าอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางความหนาวเหน็บเป็นอันขาด และแน่นอนว่าข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าให้โดดเดี่ยวเช่นกัน

                      สภาพตอนนี้ของข้า ทำให้รู้สึกสมเพชตัวเองเหลือทน

                      แต่ก็สมควรแล้วที่ข้าจะรู้สึกผิดเช่นนี้ ข้าคิดเช่นนั้นพลางแค่นเสียงหัวเราะเบาๆท่ามกลางราตรีอันเหน็บหนาวที่แสงจันทร์ถูกก้อนเมฆบดบังจนมืดมิด

       

                      เช้าวันต่อมาข้าทำสิ่งที่ไม่คิดว่าชั่วชีวิตนี้

                      สะกดรอยตาม

                      พวกเจ้าอ่านไม่ผิดหรอก กษัตริย์เจนเรียนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีผู้คนจำนวนมากยกย่องเชิดชูกำลังทำตัวมีพิรุธในปราสาทของตนเองเพื่อสะกดรอยตามคนรับใช้คนหนึ่ง

                      ลงทุนลางานมาหนึ่งวันด้วยเหตุผลไร้สาระแบบนี้หรอเรา...

                      ข้าเหลือบสายตาผ่านช่องตึกมองแผ่นหลังของแมกโนเลียที่เดินเลียบไปยังเส้นทางที่ตรงไปยังหอสมุดของปราสาท ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอะไรพาให้เขามาทำอะไรที่นี่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอมีจังหวะให้ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้              

                      อยากจะขอโทษแมกโนเลียเรื่องเมื่อคืน

                      “เอาล่ะ ลุยโลด” ข้าพึมพำเช่นนั้นกับตัวเองเบาๆเพื่อปลุกขวัญกำลังใจแล้วก้าวตรงไปยังหอสมุดตามแมกโนเลียที่เข้าไปเมื่อครู่

       

                      พระเจ้าหมันไส้คนหล่อหรือไงนะ...!!?

                      ข้าคร่ำครวญในใจขณะใช้สายตาเหลือบมองแมกโนเลียที่ก้าวออกจากหอสมุดพร้อมหนังสือในอ้อมแขนสองเล่ม ในขณะที่ตัวข้ากำลังยืนประจันหน้ากับชายวัยกลางคนท่าทางมีภูมิฐานคนหนึ่ง เขาสวมชุดเต็มยศของขุนนางแห่งอาณาจักรเพนาสซึ่งเป็นอาณาจักรข้างเคียงของอาณาจักรเจนเรียนแห่งนี้

                      เขาคือขุนนางชั้นสูงสุดของอาณาจักรเพนาสซึ่งบังเอิญเจอข้าเข้าตอนข้าแอบเดินตามแมกโนเเลียอยู่

                      “แหม ข้ามาหอสมุดแห่งนี้ทุกวันเลยล่ะขอรับ ใหญ่โตดีจริงๆ แต่น่าเสียดายนิดหน่อยที่หนังสือยังน้อยไปหน่อย ถ้าเป็นของอาณาจักรเพนาสล่ะก็นะขอรับ หอสมุดของเรามีถึงห้าชั้นนู่นล่ะขอรับ แถมระบบการจัดการหนังสือก็ดีด้วย บรรณารักษ์ของเราคอยเฝ้าจัดชั้นหนังสือให้เป็นระเบียบกันตลอดเลยขอรับ โฮ่ๆ ข้าเสนอว่าท่านน่าจะจ้างบรรณารักษ์เพิ่มซักหน่อยนะขอรับ ที่เพนาสมีบรรณารักษ์ถึง 60 คนเชียวนะขอรับ ข้าไม่ได้จะติเตียนท่านเลยนะขอรับ...แค่แนะนำการบริหารคลังความรู้ให้แก่ท่านที่ยังมีประสบการณ์ในการบริหารค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับข้าน่ะขอรับ โฮ่ๆ”

                      ถ้ามันวิเศษเลิศเลอขนาดนั้นก็ไสหัวกลับอาณาจักรตัวเองซะไป!

                      “ขอบคุณที่ช่วยแนะนำขอรับท่านขุนนาง แต่ตอนนี้ข้ามีธุร...”

                      “อ้อ! จริงสิ เมื่อกี้ข้าเดินผ่านสวนหย่อมของปราสาทท่านด้วย ข้าว่ามันดูค่อนข้างสกปรกและดูรกๆนะขอรับ ของอาณาจักรเพนาสน่ะ เราจะหาคนมาคอยดูแลตลอด และตอนจัดแต่งก็จะคำนวณปริมาณต้นไม้ไม่ให้หนาแน่นและโล่งเกินไปด้วยขอรับ โฮ่ๆ”

                      “คือข้า...”

                      “ไม่เป็นไรขอรับ! ไม่เป็นไรๆ! ข้าทราบดีว่าท่านคงจะไม่รู้ว่าจะกล่าวขอบคุณข้าอย่างไรดี ข้าทำไปเพราะอยากสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่ไร้ประสบการณ์น่ะขอรับ โฮ่ๆ แล้วข้าก็ยังมีเรื่องอื่นๆที่จะแนะนำท่านด้วยนะขอรับ เชิญมานั่งทางนี้ดีกว่าจะได้ฟังได้อย่างเต็มที่”

                      “เอ่อ...”

                      “ไม่ต้องเกรงใจขอรับ! มานั่งทางนี้เลย!

                      แล้วก็ลงเอยที่ข้านั่งฟังหมอนั่นคุยจ้ออวดอาณาจักรของตนราวๆสามชั่วโมง...

                      ว่าแต่ไหงขุนนางเมืองข้างๆถึงมานั่งชิวอยู่ในปราสาทข้าได้ล่ะเนี่ย? เคลียร์เรื่องแมกโนเลียเสร็จเมื่อไหร่ต้องไปคุยกับหัวหน้าเวรยามเฝ้าประตูหน่อยแล้ว

       

                      หลังจากนั้นข้าก็ใช้อำนาจที่มีในการแอบถามหนังสือสองเรื่องที่แมกโนเลียยืมไป ซึ่งถึงแม้บรรณารักษ์จะดูตกใจที่เห็นข้าในตอนแรกแต่ก็ยอมเปิดบันทึกการยืมหนังสือให้ข้าดูแต่โดยดี

                      ตำนานแห่งเจนเรียนกับรถไฟสายกาลเวลา

                      ทั้งสองเล่มนี้ล้วนผ่านสายตาของข้ามาทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องแรกที่แทบไม่มีใครยืมอ่านเพราะเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครต่างก็รู้ แต่ตัวข้าตอนยังเด็กก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะอ่านหนังสือทุกเล่มในหอสมุดแห่งนี้เลยเหมายืมมาอ่านแทบทั้งชั้น

                      แต่เรื่องที่สร้างความตกใจให้แก่ข้าคือเรื่องรถไฟสายกาลเวลา ข้าจำเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้แม่น...มันเป็นหนังสือกวนประสาทที่มีเนื้อหาแค่สองหน้าแรกส่วนหน้าอื่นๆเป็นเพียงกระดาษเปล่า ทั้งยังเขียนโดยกษัตริย์เฟร็นผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของข้า ซึ่งเนื้อหาข้างในไม่ว่าข้าจะอ่านยังไงก็มองว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

       

                      ข้าเชื่อแบบนั้น...จนกระทั่งถึงตอนนี้

                      ในตอนห้าทุ่มเกือบๆเที่ยงคืนข้าแอบสะกดรอยตามแมกโนเลียที่มุ่งหน้าตรงไปยังชั้นใต้ดิน...นั่นทำให้ข้าหวั่นเกรงขึ้นมา...ข้าเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าสาเหตุที่เขาลงไปยังชั้นใต้ดินต้องเป็นเพราะต้องการพบรถไฟ...เพื่อย้อนอดีต

                      สาเหตุคงเป็นเพราะข้าพูดเรื่องงี่เง่าออกไปเมื่อคืน ซึ่งดันทำให้ได้ผลตรงกันข้าม

                      ถึงจะแบบนั้นข้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่ารถไฟนั่นมีจริง

                      แต่มันดันมีจริงนี่สิ!!

                      ข้าที่หลบหลังกองถุงข้าวสารถึงกับตื่นตะลึงเมื่อสิ่งรอบข้างแปรเปลี่ยนไปเป็นชานชะลา จนแทบกุลีกุจอไปหลบหลังเสาต้นหนึ่งของชานชะลาที่ปรากฏขึ้นนั้นไม่ทัน ก่อนที่จะดักฟังบทสนทนาของพนักงานเก็บตั๋วปริศนากับแมกโนเลียโดยไม่กล้าเดินออกไปปรากฏตัว

                      อายุขนาดนี้แล้วยังจะมาเล่นเป็นเด็กๆอยู่อีกแฮะเรา...เอ๊ะ แต่เราก็ยังเป็นเด็กอยู่นี่หว่า

                      ทั้งสองคนคุยกันเรื่องค่าตั๋วขาไปและกลับ จนกระทั่ง...

       

      *  *  *  *  *

       

                      “...เอาไงครับคุณลูกค้า รถไฟกำลังจะออกแล้วนะครับ”

                      แมกโนเลียไม่ได้กล่าวอะไรเพียงก้าวเท้าออกไป ในขณะที่ฟาเลียร์ที่หลบอยู่หลังเสาไม่อาจทำได้แม้เพียงเรียกชื่อ

      พลั่ก!!!

                      สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลำดับต่อมานั้นทำให้ฟาเลียร์และฟราสตื่นตะลึงสุดขีด

                      แมกโนเลียเงื้อหมัดขึ้น ก่อนเสยไปที่คางของฟราสเต็มแรงจนชายหนุ่มถึงกับหน้าหันแล้วร่างกระแทกกับด้านข้างของตัวรถไฟ โดยที่สีหน้าของแมกโนเลียไม่แปรเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย

                      “อย่ามาทำเป็นตลกนะครับคุณฟราส คิดว่าผมงี่เง่าถึงขนาดที่จะขึ้นรถไฟบ้านี่งั้นหรอ? เชิญคุณกลับไปเลยครับ แล้วก็...ออกมาได้แล้วมั้งครับ ท่านฟาเลียร์”

                      แมกโนเลียหันหน้ามายังเสาต้นที่ฟาเลียร์กำลังหลบอยู่ ทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง

                      “เอ๋!? รู้ด้วยหรอว่าข้าตามมา...!!?

                      “ตั้งแต่ที่หอสมุดแล้วล่ะครับ...งานการมีไม่ทำหรอครับ มาสะกดรอยตามกันแบบนี้” แมกโนเลียกล่าวพลางอมยิ้มเล็กๆที่มุมปากแล้วเดินตรงมายังเบื้องหน้าของฟาเลียร์ที่แสดงสีหน้าตื่นตะลึงขัดกับตำแหน่งอันทรงอำนาจของตน

                      แต่ไม่นานนัก ฟาเลียร์ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ก่อนริมฝีปากจะเปล่งคำถามออกไป “ทำไมเจ้าถึงไม่ขึ้นรถไฟไปเล่า? อุตส่าห์มาจนถึงแล้วไม่ใช่หรือไง”

                      “เพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ตอนถูกสะกดรอยตามน่ะครับ”

                      กษัตริย์องค์ปัจจุบันของเจนเรียนผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีมรกตยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะสบสายตากับดวงตาสีแดงของแมกโนเลียที่สูงกว่าตนเล็กน้อย ในขณะที่ฟราสซึ่งถูกแมกโนเลียต่อยเมื่อครู่นั่งกุมใบหน้าของตนอยู่เบื้องหลังเดินขึ้นรถไฟ ก่อนที่รถไฟจะเริ่มขยับ และวิ่งหายไปจนลับสายตาจนเหลือเพียงความเงียบสงัดของชานชะลาที่ยังไม่หายไป

                      ผู้ที่ทำลายความเงียบนี้ขึ้นมาก่อนคือฟาเลียร์

                      “แมกโนเลีย”

                      “ครับ”

                      ชายหนุ่มหลับตาลงก่อนสูดหายใจเข้าครั้งหนึ่งราวกับกำลังเรียบเรียงความคิดข้างในหัวสมองที่สับสนวุ่นวายและพันกันไปมาให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนผ่อนมันออกมาเบาๆ เมื่อตั้งสติได้แล้วก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

                      “เจ้าบอกว่าเจ้ามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของข้าใช่ไหม”

                      แมกโนเลียคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา “ครับ”

                      “คุกเข่าลง”

                      แมกโนเลียลดกายลงนั่งกับพื้นแล้วก้มหน้าลง

                      “เงยหน้า”

                      แมกโนเลียเงยใบหน้าขึ้น

                      “เจ้าห้ามขัดคำสั่งข้า ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม เจ้าจะสัญญากับข้าได้หรือไม่”

                      แมกโนเลียมองเขา “ครับ”

                      “เจ้าจะเป็นของของข้า เจ้าจะเป็นคนรับใช้คนสำคัญของข้า เจ้าจะเป็นขุนนางคนสำคัญของข้า เจ้าจะเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของข้า และเจ้า...จะเป็นเพื่อนคนสำคัญของข้า”

                  ผ้าพันคอนี่จะแทนความอบอุ่น...เจ้าจงรับใช้ข้าแบบใกล้ชิด ห้ามปล่อยให้ข้าอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางความหนาวเหน็บเป็นอันขาด และแน่นอนว่าข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าให้โดดเดี่ยวเช่นกัน

                      คราวนี้ไม่มีความสั่นเครือปนอยู่ในน้ำเสียงของแมกโนเลียอีกต่อไป “ครับ”

                       “ข้าจะไม่ห้ามเจ้าให้คิดถึงอดีตของเจ้าอีกแล้ว แต่ก็ยังจะขอสั่งให้เจ้าห้ามโทษใครก็ตามที่ให้กำเนิดเจ้ามา และห้ามโทษตัวเจ้าเองด้วย เจ้าจงอยู่กับปัจจุบัน และใช้ชีวิตต่อไปโดยห้ามขัดขืนกฎใดๆทั้งสิ้นที่ผูกมัดเอาไว้ เจ้าจงน้อมรับกฎนั้นเสีย”

                      และนาฬิกาพกนี่...จะเป็นเครื่องหมายแทนกาลเวลา เจ้าจงอย่าใส่ใจกับอดีตที่ผ่านมา แล้วจดจ่อกับปัจจุบันเสีย ยามใดที่เจ้ากังวลก็ดูนาฬิกานี่ซะ มันจะบอกเวลาปัจจุบันให้กับเจ้าเอง

                      “ครับ ตามแต่ประสงค์ของท่าน”

                      “ยืนขึ้น”

                      แมกโนเลียยันกายของตนขึ้นมา

                      “เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่”

                      “เพิ่งจะเริ่มวันที่ 8 กุมภาพันธ์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วครับ” แมกโนเลียตอบขณะเปิดนาฬิกาพกออกมาดู ซึ่งตำแหน่งของเข็มสั้นชี้ที่เลข 12 และเข็มยาวชี้อยู่บริเวณเลข 1

                      ฟาเลียร์ยิ้มออกมา พลางเอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงของตน เมื่อดึงออกมาพบว่ามันคือกล่องสีกรมท่าเล็กๆกล่องหนึ่งที่มีขนาดประมาณฝ่ามือ ชายหนุ่มหยิบมันออกมาก่อนจะยื่นออกไปยังเบื้องหน้าของแมกโนเลียที่ทำหน้าสงสัย

                      “สุขสันต์วันเกิดครบ 15 ปีนะ แมกโนเลีย...เพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของข้า”

                      แมกโนเลียเบิกดวงตาด้วยสีหน้าตื่นตะลึงก่อนรับกล่องนั้นมา เมื่อเปิดออกก็พบว่ามันเป็นต่างหูที่มีอยู่เพียงข้างเดียว ต่างหูนั้นมีสีแดงทับทิมเปล่งประกายอย่างงดงาม และมีลักษณะเหมือนแท่งทรงกระบอกยาวๆ

                      “ข้าทำมาเป็นคู่น่ะ นี่ไง” ฟาเลียร์ชี้ไปที่หูข้างขวาของตนซึ่งห้อยต่างหูแบบเดียวกันกับในกล่องเอาไว้แล้วคลี่ยิ้ม “รู้อะไรไหมว่าข้าซ่อนกลไกเอาไว้ด้วย ดูนี่นะ”

                      ฟาเลียร์ถอดต่างหูของตนออกมา ก่อนจะใช้นิ้วเปิดตรงส่วนกล่างของต่างหูออก เผยให้เห็นเข็มเล่มเล็กๆซ่อนอยู่ข้างใน ก่อนที่เขาจะปิดมันลงแล้วติดที่หูของตนอีกครั้ง “มันใช้เป็นอาวุธได้น่ะ เข็มที่เห็นข้างในนั้นข้าให้คนทำอาบยาพิษอย่างแรงเอาไว้...”

                      “ทำไมต้องทำแบบนั้น...” แมกโนเลียพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกฟาเลียร์ขัดขึ้น

                      “เจ้ารู้ดีว่าต้องใช้มันทำอะไรนะ แมกโนเลีย...ไม่สิ แจ๊ค

                      “อึก...!! ข้าไม่ทำแมกโนเลียส่ายหน้าก่อนหลุบสายตาต่ำลง

                      “มองข้าซะ ห้ามหลบสายตา ข้าขอสั่ง”

                      แมกโนเลียหันดวงตาสีแดงของตนที่ฉายแววหวั่นไหวออกมาปะทะกับดวงตาสีมรกตที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ราวกับได้ติดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว

                      “ข้าขอออกคำสั่งแก่เจ้าสองอย่าง...เป็นคำสั่งสุดท้าย”

                      “คำสั่งแรก จงฆ่าข้าซะ”

                      “และคำสั่งที่สอง จงยิ้ม และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปซะ”

                      “ครับ ตามประสงค์”

                      แล้วราตรีอันเงียบสงัดก็จบสิ้นลง ณ ตรงนั้น

       

      *  *  *  *  *

       

                      ตามตำนานแห่งเจนเรียน แม้ขุนนางจะทำลายเมืองและสังหารกษัตริย์ได้สำเร็จแล้ว แต่ความแค้นของเขายังไม่จบอยู่เพียงเท่านั้น เพราะความแค้นที่ถูกกษัตริย์เฟร็นหักหลังเรื่องอะไรบางอย่างนั้นยังไม่เลือนหายไป ขุนนางเกิดความคับแค้นใจเป็นอย่างมาก และสาบานไว้ว่าจะโค่นล้มตระกูลราชวงศ์จนหมดสิ้น

      หนึ่งในคำสั่งของตระกูลของขุนนางนี้ที่ทุกคนในตระกูลต้องปฏิบัติตามคือ หากใครฆ่าเชื้อสายของราชวงศ์ไม่ได้ภายในอายุ 15 ปี ตัวเองคนที่รักจะต้องตายอย่างทรมานทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น สัญลักษณ์ของผู้มีเชื้อสายของราชวงศ์เจนเรียนที่เด่นชัดคือดวงตาสีมรกตอันเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ดวงตาของคนในตระกูลขุนนางนี้จะมีดวงตาสีแดงฉานดุจโลหิต และอีกหนึ่งคำสั่งที่จะลืมไม่ได้เด็ดขาด...เด็กผู้หญิงที่เกิดในตระกูลนี้จะมีชื่อเล่นว่า “อลิซ

      ส่วนเด็กผู้ชายจะต้องมีชื่อเล่นว่า “แจ๊ค

       

      แมกโนเลียคือเชื้อสายของตระกูลนี้ และถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ตั้งยังเด็กพร้อมชื่อ แจ๊ค ที่เปรียบเสมือนตราบาปสำหรับเขา แต่แล้วจู่ๆก็มีคนของราชวงศ์รับเขาไปเลี้ยง และถูกส่งตัวไปรับใช้ฟาเลียร์

      นายชื่ออะไรงั้นหรอ? ฟาเลียร์ในวัยเด็กถามตัวเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้

      อ...เอ่อ...ชรีค?(shriek=กรีดร้อง)

      เอ๋!? ชรีค แค่นั้นหรอ? สั้นจัง

      ค...คือ...

      ดีล่ะ งั้นฉันจะตั้งชื่อเพิ่มให้นายเอง!’

      เอ๋?

      ต่อจากนี้นายจะชื่อแมกโนเลีย(ภาษาดอกไม้=ความอ่อนโยน) ชรีค และจงมาเป็นคนรับใช้ของฉันซะ...

       

      นั่นเป็นเหมือนความอ่อนโยนแรกที่แจ๊คหรือแมกโนเลีย ชรีคได้รับหลังจากอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า และความเจ็บปวดที่ต้องเกิดมาในตระกูลนี้

      ถ้าไม่ฆ่าเขา เราและคนที่เรารักก็ตาย

      แต่ถ้าเรารักเขาเล่า?

      ไม่ว่าจะอย่างไรคำตอบก็มีเพียงเขาต้องตายงั้นหรือ?

       

                      ที่ผ่านมาแมกโนเลียจึงรับใช้ฟาร์เลียอย่างสุดความสามารถมาโดยตลอด

                      พยายามเพื่อเขามากที่สุดในช่วงอายุที่แสนสั้นนี้

                      พยายามเพื่อเขามากที่สุดในช่วงชีวิตที่เขาเหลืออยู่

                      พยายามเพื่อเขามากที่สุด...ก่อนที่จะถึงวันเกิดของตน

                      ซึ่งฟาเลียร์เองเพิ่งมาทราบเรื่องนี้เมื่อตอนเขาอายุ 12 ปี แต่ถึงกระนั้นเขากลับยิ้มออกมาแล้วกล่าวด้วยท่าทีสบายๆว่า ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ ข้าก็แค่ตายไปเพื่อให้เจ้าได้ใช้ชีวิตต่อ มันไม่ยุติธรรมตรงไหนงั้นหรอ?

       

                      จนกระทั่งวันเกิดครบ 15 ปีของแมกโนเลียมาถึงในที่สุด

                     

      *  *  *  *  *

       

      สำหรับผม...อดีตเป็นสิ่งที่น่าเศร้า

      สำหรับผม...อดีตเป็นสิ่งที่โหดร้าย

      สำหรับผม...อดีตเป็นตราบาปที่ไม่อาจลบเลือน

      สำหรับผม...อดีต เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และไม่จำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนมัน

       

      ตัวผมในปัจจุบันยืนเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามเบื้องบนที่เปล่งประกายสดใสด้วยพระอาทิตย์เบื้องหลังก้อนเมฆที่ขยับเคลื่อนไหวไปมาตามสายลม ต้นหญ้าบนพื้นโน้มเอนเบาๆทำให้บรรยากาศรอบกายสดชื่นแจ่มใส

      ผมคลี่ยิ้มบางๆ

                      และต่อจากนี้...ผมก็จะยังคงยิ้มต่อไปเรื่อยๆ

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×