ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่หมั้นตัวร้ายขอหนีไปปราบปีศาจ!

    ลำดับตอนที่ #1 : องก์ที่ 1 : เเพนเจียที่เเปลว่ามหาทวีป

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ค. 66


    องก์ที่ 1

    บนโลกนี้มีทฤษฎีอยู่หลากหลายประเภท  ทั้งทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์เเล้วว่าเป็นไปได้เเละทฤษฎีที่พวกเขาพิสูจน์ไม่ได้ (หรืออาจไม่มีใครกล้าพิสูจน์)

    เพราะความสนใจในทฤษฎีฟิสิกส์เกี่ยวกับการย้อนเวลา  ฉันจึงพยายามตั้งใจเรียนและหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ตัวเองอยู่เสมอ  ถึงแม้ตามกฎแห่งฟิสิกส์จะไม่ปรากฏหนทางการย้อนเวลาเลยก็ตาม 

    แต่ฉันก็เชื่อว่ามันต้องมีทางแน่ๆ หรือบางทีมันอาจกำลังเกิดอยู่  ณ  ที่ใดที่หนึ่งในจักรวาลนี้ 

    ปึก!

    หนังสือที่ฉันกำลังอ่านถูกปิดลงด้วยฝีมือของคนที่ฉันโครตจะเบื่อขี้หน้า (เเต่ติดตรงที่ทำอะไรเธอไม่ได้)  ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนค้ำโต๊ะด้วยสีหน้าไม่พอใจ

    “โถ่ๆ  แพนเจียน้องรัก  นี่เธอยังไม่เลิกฝันเฟื่องเรื่องทฤษฎีบ้าๆนี่อีกเหรอจ้ะ ^_^”  น้ำเสียงเซ็กซี่สุดยั่วยวนของนิวเคลียร์สะท้อนไปทั่วห้องเรียนของฉันเรียกให้เพื่อนๆกลั้นขำกันถ้วนหน้า

    ทุกคนจะไม่หัวเราะเยาะเเบบนี้ถ้าวันนั้นฉันไม่สะเออะไปโชว์ความรู้หน้าชั้นเรียน -_-

    ฉันมีชื่อว่าเเพนเจียซึ่งตั้งตามมหาทวีปที่เคยอยู่ติดกันเมื่อหลายพันล้านปีก่อน  เเต่เมื่อเหตุการณ์เเห่งความน่าอายเกิดขึ้นทุกคนจึงรวมหัวกันตั้งฉายาให้ฉันว่ายัยนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง  โครตภูมิใจอ่ะบอกเลย(ประชด)

    อา...เรื่องมันเกิดตอนที่ครูวิชาแนะแนวจัดกิจกรรมบ้านั้นขึ้นมา กิจกกรรมที่มีชื่อว่าทฤษฎีที่ฉันชอบ  ตอนนั้นฉันออกไปพูดหน้าชั้นเรียนเรื่องทฤษฎีการย้อนเวลา  ซึ่งเนื้อหาส่วนมากอ้างอิงมาจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโลกเชียวนะ  แต่เชื่อมั้ยว่าครูแนะแนวนางพูดว่าอะไร -_-

    ‘เธอนี่ฝันเฟื่องเหมือนแม่เธอไม่มีผิด  ถ้าเราย้อนเวลาได้จริงแม่เธอคงไม่ตายหรอกจ๊ะ’

    พวกเพื่อนๆต่างระเบิดเสียงหัวเราะกันยกใหญ่  ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นขำอะไรกันจึงได้เเต่ยืนทำหน้าเหลอหลากระทั้งหมดคาบเรียน  อาจเป็นเพราะเสียงของคุณครูที่พยายามดัดให้เหมือนสาววัยใส  หรือไม่ก็เพราะคนพวกนั้นไม่เข้าใจคำว่าทฤษฎี  เเต่พอกลับมาบ้านและลองย้อนนึกทบทวนถึงเหตุการณ์นั้น....ฉันจึงรู้ว่าคุณครูคนนั้นหลอกด่าฉันทางอ้อม

    ด่าโดยการใช้น้ำเสียงติดตลกให้เป็นประโยชน์ -_-  เป็นครูที่ร้ายกาจใช่ย่อยเลย

    หึ!  คิดแล้วอยากเดินไปตั้นหน้าครูแนะแนวคนนั้นสักสองสามหมัดจริงๆ  ตามด้วยการถามนางว่าสอบบรรจุครูผ่านได้ยังไง  ทั้งที่ยังพูดจาหยามเกียรติคนอื่นไปทั่ว

    เป๊าะ!!!

    เสียงดีดนิ้วของนิวเคลียร์ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์  เมื่อเห็นว่าฉันตกใจจนสะดุ้งโหยงยัยพี่สาวต่างแม่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะอันแหลมสูงออกมาราวกับว่าเธอกำลังดูตลกคาเฟ่ก็ไม่ปาน

    “แพนเจีย  แพนเจีย  เธอตกใจง่ายเกินไปแล้วนะ”

    “มีอะไรก็พูดมา”  ฉันที่เริ่มหมดความอดทนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาเพื่อสื่อให้คนตรงหน้ารู้ว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว

    “อ๋อ~  ฉันแค่แวะมาบอกว่าวันนี้เธอต้องเดินกลับบ้านเองนะจ้ะน้องรัก เพราะฉันไม่อยากให้แฟนของฉันรู้ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”

    การเป็นญาติกับเด็กเรียนดีกีฬาเด่นอย่างฉันมันน่าอายมากเหรอยะ

    “เอาที่เธอสบายใจเลย”  ฉันกรอกตาไปมาก่อนจะเก็บหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะยัดใส่กระเป๋า

    “ดี!  ฉันล่ะอยากให้เป็นแบบนี้ทุกวันจัง  จะได้ไม่เสียเวลาไปส่งเธอที่คอนโด”  พูดจบนิวเคลียร์ก็กวักมือเรียกพวกเพื่อนๆของเธอที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้ให้เดินตามออกไปนอกห้อง

    เอาจริงๆฉันก็ไม่ได้อยากขึ้นรถกับเธอเท่าไหร่หรอก  คนอื่นอาจเห็นว่าเราสองคนเป็นพี่น้องที่รักกัน  แต่เชื่อเถอะว่านิวเคลียร์ไม่เคยเห็นฉันเป็นน้องเลยด้วยซ้ำ  นั้นเพราะแม่ของฉันเป็นเมียน้อยของพ่อ  ซึ่งแน่นอนว่าเมียหลวงอย่างคุณแม่ของนิวเคลียร์ไม่มีทางญาติดีกับแม่และฉันแน่ๆ

    อืดดดดด~  อืดดดดดด~

    เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะเรียกให้ฉันตื่นจากห้วงความคิดแล้วหันไปมองมันเพื่อดูเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ  ซึ่งมันก็เขียนไว้ว่าพี่พีชคนสวยหรือที่ทุกคนในโรงเรียนรู้จักเธอในชื่อท่านประธานชมรมยิงธนูสุดโหด

    “โหลค่ะพี่พีช”  ฉันรับสายพร้อมกับกล่าวทักทายปลายสายเสียงเจื้อยแจ้ว

    (ดีจ้าแพน  วันนี้งดซ้อมยิงธนูนะ)

    น้ำเสียงหวานใสปนเข้มนิดๆของพี่พีชทำให้ฉันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

    “แสดงว่าวันนี้แพนไม่ต้องไปห้องชมรมใช่มั้ยคะ”

    (ต้องมาดิ)

    อ้าว! นาทีนี้เหวอสิคะ  ให้ไปเพื่อ?

    “ให้แพนไปทำไมอะคะ?”

    (มาเอาดาบคาตานะของเธอกลับบ้านไง)

    “อ๋ออออ~ งั้นรอแปปนะคะตอนนี้แพนยังอยู่ในห้อง  อีกแปปเดียวก็น่าจะเดินถึง”

    (จ้า)

    เมื่อสนทนากันเสร็จสรรพฉันก็กดวางสายทันทีก่อนจะสะพายกระเป๋าไว้ข้างหลังแล้วรีบวิ่งลงอาคารนี้เพื่อไปที่สนามยิงธนู

    ลืมบอกไปว่าฉันนะเป็นนักกีฬายิงธนูระดับทีมชาติเลยนะ  แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ไปแข่งแล้วแหละเพราะฉันขี้เกียจ -_- ส่วนนอกเหนือจากการยิงธนูสิ่งที่ฉันสนใจรองลงมาก็คือการใช้ดาบคาตานะซึ่งเป็นดาบชื่อดังของญี่ปุ่น  แต่ถึงฉันจะสนใจในประเทศญี่ปุ่นมากแค่ไหน  ก็ไม่เท่าความชอบที่มีต่อทฤษฎีย้อนเวลาเลยสักนิด

    ฉันเเค่ต้องการให้แม่มีชีวิตอยู่ก็เท่านั้นเอง  ถ้าตอนนั้นฉันรีบดึงแขนแม่ออกมาจากริมถนน แม่ก็คงไม่ตาย

    เฮ้อ~ พอเถอะแพน เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว  พอๆๆ

    ฉันบอกตัวเองในใจก่อนจะเปิดประตูห้องชมรมแล้วเดินตรงเข้าไปที่ชั้นวางดาบเพื่อหาคาตานะสีดำของตนเอง  น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่ในห้องเลยสักคน  พวกพี่ๆคงกลับบ้านกันหมด(มั้ง)  คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบหยิบคาตานะขึ้นมาเช็คความเรียบร้อยก่อนจะเตรียมเดินออกจากห้อง

    “私の話を聞いていただけますか” (ช่วยฟังเรื่องของฉันหน่อยได้ไหม)

    ฉันชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องเพราะได้ยินเสียงหวานใสของใครคนหนึ่งพูดขึ้นเเผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของสายลม  เเถมภาษาที่เธอคนนั้นใช้ยังเป็นภาษาญี่ปุ่นซะด้วย(ดีนะที่ฉันพอจะฟังออกเเละพูดได้บางคำ  ย้ำ! ว่าบางคำ)

    私が見えますか?” (คุณเห็นฉันมั้ย?)

    เสียงนั้นยังคงลอยมาตามสายลมราวกับเป็นเสียงอีกมิติหนึ่ง  หรือไม่ฉันก็อาจจะประสาทหลอนไปเอง -_-^

    หรือมีคนมาเปิดอนิเมะทิ้งไว้วะ!

    ด้วยความสงสัยว่ามันคือเสียงทีวีหรือเสียงของมนุษย์ฉันจึงลองส่ายหัวเบาๆเพื่อเป็นคำตอบให้กับเจ้าของเสียงปริศนา

    “助けてください” (ได้โปรดช่วยฉันด้วย)

    คราวนี้เสียงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆราวกับเธอคนนั้นกำลังปรากฏตัวอยู่เบื่องหลังของฉัน

    หมับ!

    “あなただけが私を助けることができる” (คุณเท่านั้นที่สามารถช่วยฉันได้)

    สัมผัสจากมือเรียวนุ่มที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้กุมมือฉันไว้หลวมๆเเถมยังพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนจนชวนขนลุก

    “อะ  อะ  อะ  อืออออ!!!” ฉันกลัวจนเปล่งเสียงไม่ออก ยิ่งเป็นขาไม่ต้องพูดถึงเลย...เพราะมันเเข็งไปหมดเเล้ว เเง!

    เจ้ามือปริศนาดึงตัวฉันให้หันไปทางที่เธอคนนั้นยืนอยู่ ฉันรีบหลับตาปี๋ทันทีเพราะคิดว่าต้องเป็นใบหน้าเละๆของผีเเน่ที่รอฉันอยู่

    “ยะ....อย่าทำอะไรฉันเลย” หวังว่ายัยผีญี่ปุ่นจะฟังภาษาไทยรู้เรื่องนะ T^T

    “私は過去からです” (ฉันมาจากอดีต)

    ประโยคนี้ทำให้ฉันลืมตาโพล่งขึ้นเเละยืนตะลึงงั่นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ฉันคิดว่าผี เพราะใบหน้าของเธอคล้ายกับฉันมากเลยล่ะเเถมยังอายุน่าจะเท่ากับฉันด้วย ติดเเค่ว่ายัยนี่ตัดผมด้านหน้าสั้นเท่าริมฝีปากเเละปล่อยผมด้านหลังให้ยาวจนถึงข้อเท้า(เรียกง่ายๆว่าผมทรงฮิเมะของเจ้าหญิงญี่ปุ่นนั้นแหละ)

    ชุดที่เธอสวมเป็นกิโมโนเนื้อผ้าหลากสีซ้อนทบกันหลายๆชั้นจนมันเป็นชุดฟูๆเหมือนเจ้าหญิงดิสนีย์ ถ้าตามตำราที่ฉันเคยเรียนมาชุดนี้น่าจะเรียกว่าจูนิฮิโตเอะซึ่งมีแต่ผู้หญิงในวังเท่านั้นที่สวมใส่

    เธอสวยมากเลย ผิวขาวเปล่งประกาย ผมสีดำขลับเเถมยังเงางามเเละดูนุ่มนิ่ม ท่าทางก็ดูอ่อนหวานแบบกุลสตรี

    เเต่...นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ฉันสนใจซะหน่อย -_-

    “もういちど言ってくださいませんか” (ช่วยพูดอีกทีได้มั้ย)

    ฉันถามเธอแผ่วเบา เเค่อยากได้ยินอีกครั้งเพื่อให้ตัวเองเเน่ใจมากขึ้นเท่านั้น

    “จะ  เจ้าหน้าเหมือนเราเลย  เอ๊ะ!”

    พูดจบหญิงสาวตรงหน้าก็เอามือปิดปากเหมือนเธอกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง เเละถ้าฉันเดาไม่ผิดเธอก็คงตกใจกับภาษาของตัวเอง(เเบบว่าเมื่อกี้เธอพูดภาษาไทยอ่ะ)

    “โอเค เเค่นี้ก็สื่อสารกันรู้เรื่องเเล้ว” ฉันพูดพร้อมกับกวาดสายตามองรอบๆห้องเพื่อดูว่ามันเป็นแผนของพวกรุ่นพี่รึเปล่า

    แผนแกล้งฉันโดยการไปศัลยกรรมเลี่ยนแบบหน้าสวยๆของฉันเเล้วมาอำกันเล่นๆว่ามาจากอดีตเพื่อให้ฉันพูดสิ่งน่าขำออกมาเเล้วโดนคนทั้งโรงเรียนหัวเราะเยาะ

    เเต่ใครมันจะไปลงทุนขนาดนั้นวะ มีหวังหมดเป็นล้านพอดี

    “เราอยากให้เจ้าช่วย” หญิงสาวจับมือฉันเเน่นพร้อมกับทำสายตาอ้อนวอนจนดูน่าสงสาร

    “เดี๋ยวๆ ขอถามอะไรอย่างสิ....เธอมาที่นี่ได้ยังไง เเบบว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อ่ะ”  “ระ...เราไม่รู้ เราเเค่ลื่นตกน้ำเท่านั้น”

    โอเค อย่างน้อยนี่ก็คือหนึ่งในทฤษฎีที่ฉันควรจดไว้

    “ฉันจะพยายามเชื่อว่าเธอมาจากอดีต” อันที่จริงฉันก็เชื่อจริงๆนั้นล่ะ ทั้งภาษา การเเต่งตัว กิริยาท่าทางก็ดูเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์สูงเอาเรื่องเลย “แล้วเธอต้องการอะไรงั้นเหรอ?”

    “เรา.....”

    “หว่าาา~ สาวน้อยทั้งสองเจอกันซะเเล้วสิ”

    เสียงทุ้มแฝงความกวนของใครคนหนึ่งดังขึ้นในมุมมืดของห้องเรียกสายตาของเราทั้งสองให้มองไปยังเเขกผู้มาใหม่ด้วยใบหน้างุนงง


     

    “ท่าน! คนที่ทำให้เรามาโผล่ที่นี่” หญิงสาวชาวญี่ปุ่นตะโกนขึ้นเสียงดังพลางชี้หน้าชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำซึ่งกำลังยืนพิงกำเเพงด้วยท่าทางสบายๆ


     

    ฉันมองชายคนนั้นสลับกับหญิงสาวคนนี้ไปมาด้วยความงง จับใจความได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ทำให้เธอคนนี้มาโผล่ที่โลกของฉัน เอ่อ.....แต่ดูจากการเเต่งตัวเเล้ว ทำไมเขาเหมือนคนธรรมดาจังง่ะ คืองี้นะฉันนึกว่าคนที่มีอำนาจย้อนเวลาจะเเต่งตัวเหมือนคนมาจากโลกอนาคตหรือไม่ก็ใส่ชุดวาววับเเบบพระเจ้าในหนังซะอีก


     

    “สวัสดีอย่างเป็นทางการนะครับองค์หญิงมิซึกิ เเล้วก็คุณหนูเเพนเจีย กระผมมีชื่อว่าคุโระเป็นองครักษ์ฝ่ายซ้ายของพระเจ้า”


     

    ชายที่ชื่อว่าคุโระเเนะนำตัวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เเละสิ่งที่ทำให้ฉันงงยิ่งกว่าเดิมคือประโยคที่เขาพูดว่า ‘เป็นองครักษ์ฝ่ายซ้ายของพระเจ้า’ (???)


     

    “ส่วนดิฉันเป็นองครักษ์ฝ่ายขวามีชื่อว่าชิโระค่ะ”


     

    ร่างผอมเพรียวราวกับนางเเบบปรากฏขึ้นจากการรวมตัวกันของเเสงสีขาวนวลตา ทำเอาฉันผงะถอยหลังทันที ดูเหมือนจะมีเพียงเจ้าหญิงมิซึกิเท่านั้นที่ไม่ตกใจอะไรเลย


     

    “เราสองคนได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้พาท่านทั้งสองไปเล่นสนุก ^_^” คุณคุโระเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงมีความสุข


     

    “ณ ต่างเเดน” คุณชิโระเอ่ยเสริมด้วยท่าทางเป็นมิตร


     

    เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้พูดว่าต่างเเดนเหรอ?


     

    What!!!!


     

    ไม่เอา หนูจะกลับบ้านนนนนน!


     


     

    ...............................................................

     


     

     

    เขียนครั้งเเรก : 14 พฤศจิกายน 2561

     

    ลง Dek-D  :  11 กรกฎาคม 2562

     

    เเก้ไขเมื่อ : 15 ตุลาคม 2562

     


     

    ***หากมีคำผิดสามารถคอมเมนต์บอกได้เลยนะคะ  ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×