ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทะเลในโลกสีฟ้า [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #2 : Behind Blue Eyes

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.17K
      73
      26 เม.ย. 56

    - 2 -
    Behind Blue Eyes




    เมื่อโลกที่มืดมิดของผม ได้เจอกับแสงสว่าง

    ผมไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ ต้องยกมือบดบังเอาไว้
    มันเจิดจ้า...บาดตาเกินไป

    ทำให้ผมเพิ่งรู้ว่า 'แสงสว่าง' ก็สามารถทำร้ายเราได้เช่นเดียวกัน

    ................

    ผมได้มาอยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม น่าแปลกที่ภาพครอบครัวที่อบอุ่นก็สามารถทำร้ายจิตใจคนได้

    แรกทีเดียวผมยังไม่รู้สึกอะไร ยังคงหมกมุ่นหม่นหมองอยู่เป็นนานหลายสัปดาห์จนอารมณ์ตกตะกอน ผมอาจเป็นโรคซึมเศร้าอย่างที่ได้ยินน้าเพลงบอกกับน้าวิทย์ สายตาของทั้งคู่บอกความความกังวลชัดแจ้งเสมอๆเมื่อเห็นผมเลือกที่จะอยู่เงียบๆที่มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน

    ความจริงก็คือ...ผมรู้สึกแปลกแยก
    แม้น้าวิทย์และน้าเพลงจะเต็มใจให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่ก็ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินอยู่ดี

    ทุกครั้งขณะที่ผมนั่งอยู่ในมุมเงียบๆนั่น เมื่อผมตื่นจากภวังค์ความคิดของตัวเอง ภาพที่ผมเห็นอย่างชินตาคือรอยยิ้ม
    มันเป็นรอยยิ้มบางๆ...

    พวกเขายิ้ม...เพียงแค่ทะเลวิ่งเอารูปภาพที่ระบายสีเสร็จไปอวด ยิ้มอย่างไม่มีความหมายเมื่อนั่งกินข้าวด้วยกัน ยิ้มอย่างเอ็นดู ยิ้มอย่างเห็นขำ จะยิ้มด้วยอะไรก็แล้วแต่มันล้วนเป็นธรรมชาติ

    สิ่งเรียบๆสิ่งนี้ผมเห็นแล้วเหมือนตกอยู่ในห้วงอะไรสักอย่าง
    ทั้งอึดอัด ทั้งอิจฉา ทั้งโหยหา มันไม่ดีเลย ไม่มีอะไรดีสำหรับผม

    ผ่านไปเป็นเดือน จากที่เจ๊หนิงบอกว่าให้ผมอยู่กับน้าวิทย์ไปก่อนช่วงหนึ่งก็กลายเป็นการอาศัยอยู่ต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีใครเอ่ยถึงอนาคต

    ทุกวันในตอนเช้าทั้งสามจะออกจากบ้านพร้อมๆกัน น้าวิทย์จะไปส่งน้าเพลงและทะเลที่โรงเรียน น้าเพลงเป็นครูมัธยมสอนอยู่ที่โรงเรียนในตัวเมือง ส่วนทะเลเรียนอยู่โรงเรียนใกล้ๆบ้าน หลังจากส่งน้าเพลงและทะเลแล้ว น้าวิทย์ก็กลับมาทำงานที่อู่ และออกไปรับที่ทะเลอีกครั้งเมื่อโรงเรียนเลิก ส่วนน้าเพลงจะกลับมาในตอนเย็นทำกับข้าวและกินมื้อเย็นด้วยกัน

    ส่วนใหญ่แล้วผมจะอยู่ที่สำนักงาน มันเป็นห้องกระจกเล็กๆที่กั้นผมกับผู้คนโดยที่ยังอยู่ในสายตาของน้าวิทย์ ผมก็ไม่เชิงว่านั่งว่างๆ น้าวิทย์พยายามหาอะไรให้ผมทำเพราะกลัวผมเบื่อ เอาเกมส์ของทะเลมาให้เล่น ให้ดูทีวี และคอยถามผมเสมอว่าอยากทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า อยากได้อะไรเพิ่มเติมไหม ผมได้แต่ส่ายหัว อย่างเดียวที่ขอคือขอออกไปเดินเล่นที่หาดบ่อยๆซึ่งน้าวิทย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าผมไปได้ทุกเมื่อที่อยากไป

    ผมสามารถอยู่ที่หาดได้เป็นวันๆ ที่นี่...มันเป็นสถานที่ๆให้ความรู้สึกเป็นบ้าน ผมสามารถก่อกองทรายเป็นรูปใหญ่โตโดยไม่เสียดายว่ามันจะคงอยู่ได้ไม่นาน ผมจะลืมทุกสิ่งเมื่อตั้งใจปั้นมันให้เป็นรูปเป็นร่าง มีแค่ผมและทรายหยาบๆในมือเป็นโลกส่วนตัว แม้ว่าจะมีคนมาเที่ยวมากมายที่นี่ แต่ผมกลับรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่มีใครสนใจใคร มันเป็นความคึกคักที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้คนผ่านมาและผ่านไป ไร้เรื่องราว ไร้ตัวตนสำหรับผม
    ................

    ช่วงเข้าเดือนที่สามของการมาอยู่ที่นี่ น้าเพลงถามผมว่าอยากเรียนหนังสือไหม น้าเพลงจะสอนให้ ผมไม่เคยเรียนหนังสือเลยจนถึงตอนนี้และผมก็อยากเรียนมาตลอด การไม่รู้หนังสือมันให้ความรู้สึกด้อยค่า ผมบอกน้าเพลงว่าผมอยากเรียน น้าเพลงจึงจัดสรรเวลาและบอกผมว่าจะสอนผมทุกๆวันในตอนค่ำ

    หลังจากนั้นในทุกๆวันผมเฝ้ารอที่จะได้เรียนกับน้าเพลง แม้ตอนเริ่มต้นผมจะคิดว่ามันยาก แต่การที่ผมมีเวลาว่างทุกวันทำให้ผมพัฒนาเร็วขึ้น ผมจะรู้สึกดีที่ได้รับคำชมและรอยยิ้มจากน้าเพลง มันเหมือนกับรอยยิ้มที่ยิ้มให้ทะเล เมื่อผมได้รับมันบ้างจึงให้ความรู้สึกเป็นสุข

    แต่ตอนนั้นผมคงเด็กเกินไป เมื่อผมได้รับความสุขที่ไม่เคยได้ ผมโลภ ผมอยากได้มากขึ้น และมากขึ้นไปอีก มันไม่พอ ทั้งกระหายและหวงแหน ผมพยายามให้น้าเพลงสนใจผม ตั้งใจทำการบ้าน ตั้งใจทำแบบฝึกหัด ตั้งใจเรียน แต่แล้วบางทีในช่วงเวลาของผม ช่วงเวลาที่น้าเพลงกำลังสอนผม ทะเลมักจะเข้ามาเรียกร้องให้น้าเพลงดูรูปที่วาด เข้ามานั่งตักและพูดเจื้อยแจ้ว ผมพยายามไม่สนใจ แต่ยังไงผมก็รู้สึกไม่พอใจทุกที มันทำให้ผมเริ่มไม่ชอบทะเล ไม่อยากคุยด้วย ความรู้สึกแง่ลบต่างๆมันเข้ามาในความคิดอย่างที่ผมไม่สามารถควบคุมมันได้เลย

    ตอนเย็นๆหลังจากทะเลกลับมาจากโรงเรียนเป็นช่วงเวลาที่ผมได้อยู่ตามลำพังกับทะเล ทั้งผมและทะเลจะมาอยู่ในสำนักงานของน้าวิทย์ ทะเลจะทำการบ้านส่วนผมจะนั่งทำแบบฝึกหัดและอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะตรงมุมห้อง ทะเลชอบที่จะชวนผมคุย ชอบถามนู่นถามนี่อย่างเด็กๆในวัยอยากรู้ ผมไม่ตอบอะไร มันไม่อยากพูด ซึ่งบางอย่างจริงๆผมก็ตอบไม่ได้ มันเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ทะเลจะถามอะไรที่มันไม่สลักสำคัญ ถามอย่างอยากรู้อยากเห็นในเรื่องที่ผู้ใหญ่คงจะขำและเอ็นดูในความไร้เดียงสา แม้ทุกครั้งทะเลจะไม่ได้คำตอบ แต่ก็ยังคงชวนผมคุยและถามคำถามผมอยู่ทุกวัน

    วันนี้...ทะเลถามผมว่า ทำไมพี่บลูถึงตาสีฟ้า มันเป็นคำถามพื้นๆ ไม่ได้ซับซ้อน ถามตามที่ตาเห็น ทุกครั้งเมื่อทะเลถาม ผมก็แอบตอบคำถามอยู่ในใจ ครั้งนี้คำตอบที่ผมแอบตอบมันเหมือนกวนตะกอนขึ้นมาอีกครั้ง

    ถามว่ารู้ไหมว่าทำไมถึงตาสีฟ้า
    แน่นอนว่าผมรู้

    เพราะว่ารู้...ถึงเกลียดตาสีนี้ เกลียดที่เหมือนฝรั่งพวกนั้น
    และยังรู้อีกว่าเพราะตาสีนี้ถึงได้ชื่อว่า...บลู...

    ผมใช้ตาสีฟ้าคู่นี้จ้องทะเลอยู่นาน

    คำถามนั้นมันเหมือนตอกย้ำความรู้สึกที่ผมมีต่อทะเลมากยิ่งขึ้น
    และมันคงสื่อชัดเจนจนเด็กอย่างทะเลเข้าใจ

    หลังจากวันนั้นทุกเย็นที่อยู่ด้วยกันทะเลไม่ได้ถามอะไรผมอีกเลย แค่นั่งดูการ์ตูนหรือทำการบ้านเงียบๆ เหมือนกับรับรู้ความรู้สึกของผม แต่ถึงอย่างนั้น ในบางทีที่ทะเลเห็นผมมองอยู่ ทะเลก็ยังคงยิ้มให้ ยิ้มจนตาหยีเห็นลักยิ้มสองข้าง หากแต่ผมไม่ได้สนใจ

    ผมคิดมาตลอดว่าผมกับเด็กคนนี้...แตกต่างกันเกินไป

    ผมชอบนึกเปรียบเทียบตัวเองกับทะเล ตอนผมอายุ 6 ขวบ สิ่งที่จำได้ชัดคือภาพของแม่กับผู้ชายผมทองในแสงไฟสีส้มที่หลังบาร์ ทั้งการเคลื่อนไหวอันเร่งเร้ารุนแรงและเสียงกรีดร้องที่ผมคิดว่าคือความเจ็บปวด มันติดตา จนกลายเป็นชินตาในเวลาต่อมาตั้งแต่นั้น กลับกันกับทะเล ผมเห็นแต่ความสดใสในสายตา นั่นหมายความว่าทะเลคงได้เห็นแต่สิ่งที่สวยงามและเหมาะควร ผมอิจฉาในความไร้เดียงสาที่ทะเลมี เพราะความไร้เดียงสาของผมถูกพรากไปโดยที่ผมไม่สามารถยื้อไว้กับตัวได้ มันเป็นสิ่งที่หากสูญเสียไปแล้วไม่มีวันได้กลับคืน ยิ่งผมคิดเปรียบเทียบเท่าไหร่ ผมก็อยากได้ในสิ่งที่เด็กคนนี้มีเท่านั้น

    และความรู้สึกทั้งหมด...
    ผมอาจแสดงออกอย่างชัดเจนเกินไปจนน้าวิทย์รู้สึกได้

    ผมเห็นสายตาเคลือบแคลงที่มองผม มองอย่างพินิจพิเคราะห์ ในบางทีที่ผมกับทะเลอยู่ด้วยกันสองคนจะไม่มีเสียงใดๆให้ได้ยินเลยในระยะหลังๆ เมื่อน้าวิทย์สังเกตเห็นก็จับจ้องทุกๆการกระทำของผมมากขึ้น คงเห็นแม้กระทั่งตอนที่ผมมองทะเลเมื่ออยู่กับน้าเพลง ผมไม่รู้ว่าผมแสดงออกไปอย่างไรแต่ดูจากสีหน้าของน้าวิทย์มันคงทำให้น้าวิทย์ไม่สบายใจ

    “บลูอยากอยู่กับน้าไปตลอดไหม"
    นี่คือคำถามเกริ่นนำของน้าวิทย์

    ในสำนักงานที่ผมอยู่ น้าวิทย์เข้ามา นั่งลงตรงโซฟา ถามผมที่นั่งคัดลายมือในตอนบ่ายของวันๆหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมอง ขมวดคิ้วกับคำถาม ในใจผม...แน่นอนว่าอยากอยู่ที่นี่ ผมไม่มีที่ไปอยู่แล้ว แต่ผมยังกลัว...กลัวว่าน้าวิทย์จะไล่ผมไป กลัวว่าเขาจะส่งผมไปที่อื่น

    “ถ้าบลูอยาก...น้าก็อยากให้บลูอยู่ด้วยกัน" น้าวิทย์พูดต่อ ผมดีใจจนต้องยิ้มออกมา ถ้าพวกเขาให้ผมอยู่ไปตลอด...นั่นหมายความว่า...ที่นี่...ก็จะเป็นบ้านของผม...ผมไม่ต้องไปไหนหรือกลัวว่าจะต้องไปอยู่กับใครอีกแล้ว

    “ผม...ก็อยากอยู่ที่นี่" เมื่อผมตอบน้าวิทย์ก็ยิ้มบางๆ
    “น้าบอกเรื่องนี้กับเจ๊หนิงแล้วว่าจะเลี้ยงบลูเอง...”
    “ที่นี่เป็นบ้านของบลูแล้ว เป็นทั้งบ้านและครอบครัว...น้าอยากให้บลูรู้ว่าบลูก็เหมือนลูกอีกคนของน้ากับน้าเพลง..."

    น้าวิทย์เว้นช่วงไปพักนึง มองตาผม จากนั้นค่อยพูดต่อ

    “...และน้าก็อยากให้บลูคิดว่า...ทะเล...เป็นน้องคนหนึ่งของบลู"

    ผมยิ้ม

    เข้าใจและปวดใจ

    น้าวิทย์กำลังพยายามเปลี่ยนความคิดผม ต้องการให้ผมรักทะเลเช่นเดียวกับพวกเขา น้าวิทย์คงทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจผม

    เข้าใจตรงที่ว่า...ผมไม่ชอบทะเล...อิจฉาและอยากได้สิ่งที่ทะเลมี
    ไม่เข้าใจผมตรงที่ว่า...ทำไมผมถึงจะเปลี่ยนความคิดง่ายดายปานนั้น แค่เพียงบอกว่า...เราเป็นครอบครัวเดียวกัน

    เพราะสิ่งที่ชัดแจ้งแก่ใจของผมคือ...ผมไม่ใช่ลูกพวกเขา...ผมไม่สามารถเชื่ออย่างสนิทใจได้ว่าพวกเขาจะรักผมเหมือนกับทะเล

    ในใจคิดอย่างไรผมก็ได้แต่ยิ้มให้น้าวิทย์ ให้น้าวิทย์ไม่ต้องกังวลเพื่อที่ว่าผมจะได้อยู่ที่นี่ เพราะมันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมตอนนี้ หากมันจะทำให้น้าวิทย์สบายใจ ผมก็จะไม่แสดงออกต่อทะเลอย่างที่เคย...ผมอาจจะต้อง 'แสร้ง' พูดคุยหรือเล่นกับทะเล เพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงไว้

    ให้พวกเขาเห็นว่าผมสามารถเข้ากับทะเลได้ดี
    ให้พวกเขาคิดว่าผมรัก 'น้อง' ของผม

    ...................

    ทะเลเป็นเด็กที่ใครๆเห็นก็ชอบ พูดเก่ง ยิ้มเก่ง อ้อนเก่ง เวลายิ้มหรือหัวเราะจะเห็นลักยิ้มเล็กๆสองข้างแก้ม

    เป็นเด็กที่ดูน่ารักและเป็นจุดศูนย์กลางของทุกคน...ผมให้คำจำกัดความแบบนั้น

    แม้ว่าผมจะแสดงท่าทีไม่สนใจทะเลอยู่ตลอดเวลา แต่เด็กคนนี้ก็ยังคงป้วนเปี้ยนและลอบมองผมอยู่เสมอ ผมโตกว่าทะเล 5 ปี ช่วงห่างนี้ดูเหมือนจะไม่มาก เพราะถ้าเทียบกับคนอื่นๆในอู่รวมถึงน้าเพลงและน้าวิทย์ ผมดูน่าจะเป็นเพื่อนเล่นกับทะเลได้มากที่สุด ผมรู้ว่าทะเลอยากหาเพื่อนเล่น แต่ผมไม่ต้องการเพื่อนเล่น เพราะการที่ไม่เคยมีเพื่อนในวันเดียวกันทำให้ผมเคยชินที่จะมีโลกส่วนตัวไปเสียแล้ว

    หลังจากที่คุยกับน้าวิทย์ ผมต้องค่อยๆปรับตัวกับทะเล การที่คนเราเป็นพี่น้องกันต้องแสดงออกแบบไหนบ้างผมก็ไม่รู้ แต่แน่นอนว่าคงไม่เฉยชาอย่างที่ผมเคยทำ

    เมื่อทะเลยิ้มให้ ผมก็ฝืนยิ้มตอบ
    เมื่อทะเลเห็นผมยิ้มตอบก็กล้าเข้าหาและพูดคุย
    เมื่อผมเริ่มพูดคุย ทะเลก็กล้าที่จะชวนผมเล่น

    ความรู้สึกของผมมันก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่มีคนรักมาก มันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมยังคงรู้สึกอิจฉา แต่ครั้งนี้ผมปกปิดความรู้สึกเอาไว้ เมื่อผมทำตัวดีกับทะเล น้าวิทย์ก็ดูคลายกังวลขึ้นมาก
    ผมก็ได้แต่ 'แสร้ง' ต่อไป

    ทะเลที่เห็นผมเล่นด้วย คุยด้วย ก็ติดหนึบผมไปไหนๆทุกที่ ผมทำการบ้านหรือคัดลายมือก็จะมานั่งคัดด้วย ชวนเล่นเกมส์ผมก็เล่น วันเสาร์อาทิตย์ที่ทะเลไม่ไปโรงเรียนเวลาที่ผมไปเดินเล่นที่หาดทะเลก็จะตามไปด้วย

    หลายๆครั้ง ผมรู้สึกว่าโลกส่วนตัวผมเหมือนหายไป

    แต่นานเข้า เมื่อได้อยู่กับทะเลสองคนที่หาด ผมก็คิดได้ว่าผมก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ เพราะไม่มีน้าวิทย์หรือใครคอยดู มีแค่ผมกับทะเลเท่านั้น

    .......................

    วันนี้
    ผมนั่งเงียบๆ...มองทะเลก่อกองทราย

    ในใจมีความคิดอยากแกล้ง

    มือน้อยๆก่อทรายขึ้นเป็นรูปคล้ายตัวอะไรสักตัว ทะเลปั้นจนเสร็จก็เรียกให้ผมดู
    ผมยิ้ม
    ทะเลก็ยิ้ม

    แล้วผมก็ยกเท้าขึ้นขยี้ทรายกองนั้นจนแหลกสลายไม่เหลือเค้าเดิม
    ผมคิดไว้ว่าทะเลคงโกรธผม หรือไม่ก็โวยวาย

    แต่ผมก็คิดผิด

    ทะเลได้แต่มองทรายไม่เป็นรูปอย่างเสียดาย
    จากนั้นก็มองผมด้วยสายตาเศร้าสร้อย

    ผมยิ้มให้อีกครั้ง แต่เป็นยิ้มเยาะ
    ทะเลก็ยิ้มตอบแม้จะฝืนเต็มที

    จากกนั้นก็ค่อยๆก่อทรายขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าอะไรผมสักคำ
    ทำไมล่ะ?
    หากเป็นผมคงอารมณ์เสีย โกรธ ไม่มีกะใจจะมานั่งทำใหม่อย่างนี้
    ผมอยากเห็นทะเลโกรธ อยากเห็นทะเลร้องไห้ แต่กลับเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายไม่พอใจ

    ทะเลปั้นใหม่จนเสร็จ...ผมก็ทำแบบเดิมอีกครั้ง
    ครั้งนี้ทะเลขมวดคิ้วเล็กๆนั่น มองผมอย่างไม่เข้าใจ
    “พี่บลูไม่ชอบรูปที่ทะเลปั้นเหรอ" ทะเลถาม ไม่ใช่ว่าไม่ชอบรูปที่ปั้น แต่ไม่ชอบคนปั้น ผมไม่ได้ตอบออกไป มองเมิน ก่อนจะลุกขึ้น ทะเลก็ลุกตามมา ผมเดินเลียบชายหาดไปเรื่อยๆโดยมีทะเลเดินตามต้อยๆ ผมเริ่มเดินเร็วขึ้น อยากสลัดทะเลออกไป ขาเล็กๆของทะเลก็พยายามเร่งความเร็วตาม ผมเลยถอดรองเท้ามาถือไว้ แล้วออกวิ่ง

    ผมวิ่งเร็วจนสุดแรง เพื่อที่ทะเลจะได้ตามไม่ทัน แต่ไม่นานก็ต้องหยุดลงด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่าเท้าจนต้องทรุดนั่งลง

    มีเศษแก้วฝังอยู่ในนั้น...บาดลงไปจนลึก
    ทะเลวิ่งตามผมมาจนทัน เมื่อเห็นเลือดก็ทรุดนั่งลงข้างๆผม

    “พี่บลูเจ็บไหม...ฮึก...เลือด...”

    ผมตกใจ ละสายตาจากแผลตัวเองขึ้นมอง

    ทะเลร้องไห้?

    นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นทะเลที่อารมณ์ดีตลอดเวลา ยิ้มตลอดเวลา...กำลังร้องไห้...
    น้ำตาที่ผมอยากจะเห็นมันกำลังไหล...ให้กับผม?

    ความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมจุกในอก

    แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งจากความคิดตัวเองเพราะรู้สึกเจ็บแผลอีกครั้ง...ทะเลเอื้อมมือมาดึงเศษแก้วออกให้ทั้งที่ยังสะอื้น

    ผมเห็นว่ามือทะเลก็โดนบาด...แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจ กลับจับๆลูบๆอยู่ที่เท้าของผม

    “พี่บลูกลับบ้านกันนะ ไปหาพ่อกัน"ผมค่อยๆลุกขึ้นตามแรงฉุดของทะเล และค่อยๆเดินกลับบ้านด้วยกัน

    ทันทีที่ไปถึง น้าวิทย์กับน้าเพลงรีบเข้ามาหาผมกับทะเล เมื่อเห็นทะเลร้องไห้
    “พ่อ! พี่บลูโดนแก้วบาดเท้า" ทะเลที่ตายังคงแดงก่ำบอก
    น้าวิทย์ให้ผมนั่ง ยกขาผมขึ้นดูและพาไปทำแผลที่คลีนิคใกล้ๆ น้าเพลงกับทะเลก็ตามมาด้วย ผมบอกน้าวิทย์ว่าทะเลโดนบาดที่มือเหมือนกันเพราะน้าวิทย์ยังไม่รู้ คิดว่าเลือดที่เปื้อนมือทะเลเป็นเลือดผม พวกเราทำแผลเสร็จก็กลับจากคลีนิค น้าวิทย์และน้าเพลงไม่ได้ว่าอะไรที่ทั้งผมและทะเลกลับมาพร้อมแผล มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้แต่ก็บอกให้ระวังตัวกันมากกว่านี้


    หลังจากเหตุการณ์วันนั้นภาพของทะเลที่กำลังร้องไห้มันติดตา
    ผมไม่เข้าใจว่าทำไม

    ทำไมทะเลถึงไม่ร้องไห้เมื่อโดนผมแกล้ง ไม่โกรธที่ผมไม่พูดด้วยและมองเมิน
    แต่ทะเลกลับร้องไห้...เพียงเพราะผมโดนแก้วบาด

    ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องของทะเลเลยด้วยซ้ำ

    สัมผัสของมือเล็กๆนั่นยังคงอยู่...สัมผัสที่ลูบเท้าผมอย่างห่วงใย

    มันไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผม...
    คนที่ห่วงใยผม...ห่วงจนถึงกับหลั่งน้ำตา

    ไม่เคยมี...

    เมื่อมันเกิดขึ้นกับเด็กที่ผมนึกเกลียดมันก็สร้างความสับสน

    ผมมองนิ้วเล็กๆที่ติดพลาสเตอร์เอาไว้ และมองทะเลอย่างเต็มๆตาอีกครั้ง ไม่ว่าทะเลจะแสดงออกมาเพราะอะไร จะห่วง กลัว หรืออะไรก็แล้วแต่ มันได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในใจผมแล้ว

    ครั้งนี้...เมื่อทะเลยิ้มให้ ผมก็ยิ้มตอบ ยิ้มโดยไม่ได้ฝืนใจ ยิ้มอย่างเปิดใจ
    และทันทีที่ผมเปิดใจ ผมก็พบว่ารอยยิ้มที่มีลักยิ้มสองข้างแก้มของทะเลไม่ได้ขัดตาอีกต่อไป

    เพียงแค่เศษแก้วชิ้นเล็กๆ ทำให้ผมได้เห็นว่าแค่ความห่วงใยจากใครสักคนก็เพียงพอแล้วสำหรับผม
    มันเป็นความบริสุทธิ์ใจ...ความไร้เดียงสา ที่มีให้กับผม
    คราวนี้ผมจะรักษามันไว้ ทั้งความสดใส ความบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสาที่ผมไม่มี

    ผมจะดูแล...รักษามันไว้
    ให้นานที่สุด...
    .
    .
    .
    .
    .
    ท้องฟ้าเป็นสีส้มอีกครั้ง
    มันไม่ได้ให้ความรู้สึกหดหู่อย่างที่เคย

    ทั้งผมและทะเลอยู่ที่ชายหาด ช่วยกันก่อกองทราย เมื่อออกมาเป็นที่พอใจเราสองคนก็ยืนดูอยู่นาน พยายามจดจำภาพของมันเอาไว้ ทะเลชอบมันมาก ผมจึงยืนอยู่เป็นเพื่อนท่ามกลางแสงสีส้มของตอนเย็นๆ

    สีของท้องฟ้าที่เคยสร้างความหดหู่ให้กับผมกำลังบันทึกภาพความทรงจำใหม่
    ทะเลเอื้อมมือมาจับมือผม ผมจับตอบ และจูงน้องของผมกลับบ้าน

    ความอบอุ่นเล็กๆเกิดขึ้นกับผม...

    เหมือนกับแสงที่ส่องเข้ามาในความหนาวเย็นของความมืด
    ผมค่อยๆชินกับแสงสว่างนี้แล้ว มันไม่ได้เจิดจ้าบาดตาอีกต่อไป
    และผมก็เห็นความสวยงามของมัน

    มันเป็นความสุข
    ผมคิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมคิดว่าแค่...ทะเล...ก็พอแล้วสำหรับผม
    ผมไม่รู้ตัว...


    ไม่รู้ใจตัวเองเลยจริงๆ



    Song Titles :  Behind Blue Eyes
    Artist : Limp Bizkit




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×