ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประวัติบุคคลสําคัญของโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : นโปเลียน โบนาปาร์ต จากคนธรรมดาสู่การเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศษ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12K
      13
      26 พ.ย. 54


                    หลายคนรู้จัก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมผเด็ดการของนาซีเยอรมันกันดี ชายผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2  ทำให้มีคนตายไปหลายล้านคน เป็นต้วร้ายตลอกกาล เป็นสัญลักษณ์ของสงครามเลยก็ว่าได้ ในโลกนี่มีผู้ที่ก่อสงครามเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองอยู่มากมายครับ

                 หลายประเทศก็มีสงครามกันอยู่อย่าง ประเทศอิรัก ประเทศอิหร่าน รัสเซีย พม่า(เมียร์ม่า) หรือแม้แต่ประเทศเราเองก็มีเหตุความวุ่นวายอยู่ที่ภาคใต้ของเรา แน่นอนในสงครามมันต้องมีทั้งผู้ร้ายแล้วพระเอก มีผู้ร้ายดังๆหลายคนได้แก่ เบนิโต มุสโสลินี โจเซฟ สตาลิน  บินลาดิน หรือใหม่ล่าสุดก็ มูอัมมาร์ กัดดาฟี
               
                  ก็ต้องมีผู้ร้ายไว้ก่อนที่เล่ามาก็ดังๆกันทุกคน ถ้าเปรียบกับดาราก็ถือว่าเป็นซุปตาร์กันเลยก็ว่าได้ แต่ในวงการซุปตาร์ ก็ต้องมีดาวเด่นอยู่กลางดาวทั้งหลาย เหมือนพี่เบิร์ด แน่นอนดาวเด่นที่ว่ามีอยู่ สองดวงครับ ได้แก่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมผเด็ดการของนาซีเยอรมัน และอีกคน จะเป็นใครไม่ได้นั้นก็คือ นโปเลียน โบนาปาร์ต นั้นเอง


                                                        นโปเลียน โบนาปาร์ต




     



    ประวัตินโปเลียน โบนาปาร์ต

                    นโปเลียนเกิดที่เมืองอาฌัคซิโอหรืออายาชโช เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1769   เมื่ออายุได้ 9 ปี นโปเลียนเดินทางออกจากเกาะคอร์ซิกา มาศึกษาต่อวิชาการทหารที่ฝรั่งเศส โดยได้รับทุนเล่าเรียนหลวง ขณะที่เป็นนักศึกษาวิชาทหาร นโปเลียนเป็นชายร่างเล็ก (เขาสูงราว 5 ฟุต 2 นิ้ว) เงียบขรึม มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง สนใจการอ่านหนังสือ และมีความจำที่ดีเลิศ
                   
                      เขาจบการศึกษาเมื่ออายุเพียง 16 ปี และได้รับยศร้อยตรีในกองทหารปืนใหญ่ เมื่อเรียนสำเร็จมาใหม่ๆ เขาได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะต่อสู้เพื่อแยกเกาะคอร์ซิกาบ้านเกิดของเขา ออกเป็นอิสระจากฝรั่งเศสหลายครั้ง แต่ทำการไม่สำเร็จ
    หลังจากเกิดการ ปฏิวัติในฝรั่งเศสปี ค.ศ.1789 เขาได้นำทัพเข้าสู่สงคราม และได้แสดงผลงานเด่นๆ หลายครั้ง เขาได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาติ และได้รับการเลื่อนยศเป็นนายพลด้วยวัยเพียง 27 ปี
         
                     เขาได้รับการเชื้อเชิญให้ไปในงานสังคมชั้นสูง ในกรุงปารีส และในงานแห่งหนึ่งเขาได้มีโอกาสพบกับหญิงม่ายนามว่า โจเซฟีน เดอ โบฮาร์เนส์ ซึ่งแก่กว่าเขา 6 ปี และมีลูกติด 2 คน เขาตกหลุมรักเธอ และขอเธอแต่งงานในเวลาต่อมา
    สองวันหลังจาก การแต่งงาน เขาได้รับคำสั่งให้บัญชาการกองทัพฝรั่งเศสไปสู้รบในอิตาลี ระหว่างการเดินทัพ นโปเลียนเริ่มตระหนักว่าหนทางแห่งความยิ่งใหญ่ของเขาจะไปทางใด เขาเลิกล้มความคิดที่จะแยกเกาะคอร์ซิกาให้เป็นอิสระไปนานแล้ว ประเทศฝรั่งเศสต่างหากคือจุดมุ่งหมายของเขา ซึ่งการรบภายใต้การบัญชาของเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เขาเป็นที่รักและยกย่องของทหารเป็นอย่างมาก


     
                         

                           ต่อมานโปเลียนเริ่มรู้สึกว่าประชาชนเริ่มเสื่อมความนิยมในรัฐบาลของคณะ ปฏิวัติขึ้นทุกที เขาจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องตีตัวออกห่างด้วยวิธีการแสวงหาสนามรบแห่งใหม่ เขาจึงเคลื่อนทัพมุ่งตรงไปยังอียิปต์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และเป็นทางผ่านของเสบียงอาหารและวัตถุดิบไปอังกฤษ นโปเลียนได้รับชัยชนะโดยเสียไพร่พลไปเพียง 30 คน เขาเดินทางกลับฝรั่งเศสในขณะที่กรุงปารีสเริ่มปั่นป่วนอย่างหนัก นโปเลียนจึงประกาศล้มรัฐบาลของคณะปฏิวัติ และตั้งรัฐบาลใหม่เรียกว่า "กงสุลาต์" ขึ้นโดยอำนาจปกครองทั้งหมดตกอยู่กับเขาซึ่งดำรงตำแหน่งกงสุลที่หนึ่งเพียง ผู้เดียว ในขณะนั้นนโปเลียนมีอายุเพียง 34 ปี

                            ประชาชนชาวฝรั่งเศสในขณะนั้นต่างมอบความนิยมชมชอบ และความจงรักภักดีให้แก่นโปเลียนแต่เพียงผู้เดียว นโปเลียนเองก็ตระหนักในความสำคัญของเขา และเมื่อเขามั่นใจว่าโชคชะตาของฝรั่งเศสอยู่ในกำมือของเขาแล้ว เขาจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์   นโปเลียนที่ 1 จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1804  และสถาปนาภรรยาโจเซฟีน เป็น พระราชินีโจเซฟีน

                            ฝรั่งเศสภายใต้การปกครองของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เข้าสู่สภาพที่ระอุไปด้วยไอของสงครามตลอดเวลา ในขณะนั้นศัตรูสำคัญของฝรั่งเศสก็คืออังกฤษ ในระหว่างปี ค.ศ.1803-1804 นโปเลียนใฝ่ฝันที่จะยกพลขึ้นเกาะอังกฤษ ถึงกับเรียกประชุมทัพที่ฝั่งทะเลช่องแคบอังกฤษด้านฝรั่งเศส แต่เผอิญไปเกิดศึกกับออสเตรียและรัสเซียเสียก่อน นโปเลียนจึงระงับแผนการนี้ไว้ก่อน

            ในขณะที่นโปเลียนติดพันการรบอยู่กับออสเตรียและรัสเซียอยู่นั้น กองทัพเรือของฝรั่งเศสก็ปะทะเข้ากับกองทัพเรือของอังกฤษ ภายใต้การนำของลอร์ดเนลสัน ซึ่งเป็นนายพลเรือที่มีชื่อเสียงที่สุดของอังกฤษ ที่แหลมทราฟัลการ์ ทางใต้ของสเปน ซึ่งเป็นการรบทางเรือที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก โดยอังกฤษเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ การบุกอังกฤษของนโปเลียนจึงล้มเลิกไป

           

     

    นโปเลียนยกตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ และสวมมงกุฎให้พระนางโฌเซฟีน เป็นจักรพรรดินี




                         จักรพรรดินโปเลียนแผ่พระราชอำนาจไปทั่วทวีปยุโรป ในขณะที่กองทัพของพระองค์ก็เริ่มเสื่อมลง เนื่องจากบรรดาไพร่พลร่วมรบที่ถูกเกณฑ์มาจากหลายเชื้อชาติไม่เข้มแข็งเหมือน ก่อน เพราะล้วนถูกเกณฑ์มารบด้วยความจำใจ ประกอบกับการตัดสินใจผิดพลาดในการตัดโอกาสศัตรูเก่าคืออังกฤษไม่ให้ติดต่อ ค้าขายกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่ต้องอาศัยสินค้าของอังกฤษ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนและไม่พอใจไปทั่ว โดยเฉพาะเมื่อนโปเลียนสั่งกักขังสมเด็จพระสันตะปาปาไพอัสที่ 7 ซึ่งทรงคัดค้านระบบ "กักด่านยุโรป" ของเขา และยังส่งกองทัพเข้าไปยึดรัฐวาติกัน นับว่าสร้างความไม่พอใจให้แก่ศาสนิกชนเป็นอย่างมาก

                           ระบบการกักด่านยุโรปของนโปเลียนทำให้รัสเซียไม่พอใจหันมาเป็นศัตรูกับ ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1812 นโปเลียนจึงยกกองทัพบุกรัสเซีย แม่ทัพใหญ่ของรัสเซีย คือ นายพลคูตูซอฟ พยายามหลีกเลี่ยงไม่ปะทะกับฝรั่งเศสโดยตรง กลับใช้วิธีซุ่มโจมตีแบบกองโจร กองทัพฝรั่งเศสจึงถลำลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย และในวันที่ 7 กันยายน ปี ค.ศ. 1812 กองทัพฝรั่งเศสกับกองทัพรัสเซียจึงปะทะกันที่เมืองโบโรดิโน ไม่ไกลจากกรุงมอสโคว์นัก ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่นโปเลียนก็สามารถนำทัพเข้าล้อมกรุงมอสโคว์ได้ แต่ไม่สามารถเข้าตีเมืองได้ ล้อมอยู่ 5 สัปดาห์ นโปเลียนก็ต้องถอยทัพกลับเพราะขาดเสบียงอาหาร และพ่ายแพ้กับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บที่แสนทารุณของรัสเซีย ซ้ำต้องรับมือกับการดักซุ่มโจมตีตัดกำลังเป็นระยะจากนายพลคูตูซอฟ นโปเลียนได้สูญเสียทหารไปเกือบ 500,000 คน

                            


                           ข่าวการปราชัยของนโปเลียนได้แพร่หลายไปทั่ว ทำให้ประเทศที่ถูกนโปเลียนบังคับไว้ใต้อำนาจ ก็พากันฉวยโอกาสจับอาวุธขึ้นต่อต้านฝรั่งเศสพร้อมกัน แม้นโปเลียนจะรวบรวมกำลังทหารขึ้นมาได้ใหม่แต่ก็ไม่เกรียงไกรเหมือนเก่า

                            ในปี ค.ศ.1814 กองทัพพันธมิตรประกอบด้วย รัสเซีย ปรัสเซีย ออสเตรีย และอังกฤษ ได้เคลื่อนทัพเข้าสู่ฝรั่งเศสตรงเข้าล้อมกรุงปารีสไว้ นโปเลียนต้องยอมจำนน ทรงสละความเป็นจักรพรรดิแล้วหลบหนีไปลี้ภัยอยู่ที่เกาะเอลบาในทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน นโปเลียนอาศัยอยู่ที่เกาะเอลบาเป็นเวลา 10 เดือน ก่อนที่จะวางแผนลอบเสด็จกลับเข้ามายังฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1815 เมื่อได้ข่าวว่าประชาชนฝรั่งเศสไม่พอใจการปกครองของกษัตริย์พระองค์ใหม่ คือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 18

                             การกลับมาของนโปเลียนสร้างความพึงพอใจให้แก่ชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ แต่สร้างความไม่พอใจให้แก่ประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปซึ่งกำลังจัดการประชุมคองเกรสแห่งเวียนนา เพื่อตกลงแบ่งดินแดนที่เคยตกอยู่ใต้อำนาจนโปเลียนกันอยู่ ต่างก็ร่วมมือกันเพื่อปราบนโปเลียนให้ได้ ฝ่ายนโปเลียนก็รวบรวมกำลังทหารได้ 150,000 คน ยกทัพเข้าไปในเบลเยี่ยมเพื่อตั้งรับ

                            กองทัพฝรั่งเศสประจัญหน้ากับกองทัพปรัสเซียเป็นทัพแรก ฝรั่งเศสมีชัยในการรบ นโปเลียนจึงมอบทหารจำนวน 30,000 คน ให้แม่ทัพรองคอยคุมกองทัพปรัสเซียไว้ ส่วนพระองค์เองนำกองทัพที่เหลือไปรบกับทองทัพนานาชาติภายใต้การนำของ ดยุคแห่งเวลลิงตัน ของอังกฤษที่วอเตอร์ลู ซึ่งมีกำลังทหารถึง 90,000 คน ในขณะที่นโปเลียนมีทหารอยู่เพียง 60,000 คนเท่านั้น

                          ช่วงสุดท้ายของการรบ นโปเลียนสูญเสียทหารไปในการรบมากมาย ในขณะที่ฝ่ายอังกฤษมีกำลังทัพหนุนมาช่วยอีกถึง 30,000 คน ประกอบกับแม่ทัพรองที่นโปเลียนสั่งให้คอยคุมกองทัพปรัสเซียไว้กลับทรยศ ปล่อยให้กองทัพปรัสเซียรุกเข้ามาตีกองทัพของพระองค์ซ้ำเข้าอีก การรบที่วอเตอร์ลูจึงยุติลงด้วยความปราชัยของนโปเลียน

                         นโปเลียนเสด็จกลับมายังปารีส ทรงสละราชสมบัติเป็นครั้งที่ 2 ตัดสินใจลงเรือเพื่อจะไปอเมริกา แต่ไม่สำเร็จเพราะกองทัพเรืออังกฤษคอยจุกช่องทางไม่ให้เล็ดลอดไปได้ นโปเลียนจึงทรงส่งสาสน์ไปขอลี้ภัยในประเทศอังกฤษศัตรูเก่าของพระองค์ ในชั้นต้นรัฐบาลอังกฤษได้ยอมรับ แต่เมื่อนโปเลียนเสด็จมาถึงท่าเรือเมืองพลีมัธ กองทัพเรืออังกฤษก็ควบคุมพระองค์ไว้บนเกาะเซนต์ เฮเลนา เกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 75 ตารางกิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวทางภาคใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก ตามมติของที่ประชุมคองเกรสแห่งเวียนนา จักรพรรดินโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่จึงใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายของพระองค์บนเกาะอัน กันดารและห่างไลกผู้คนแห่งนี้

                             สุขภาพของจักรพรรดินโปเลียนทรุดโทรมลงเรื่อยๆ และสิ้นพระชนม์ลง (มีหลายคนบอกว่าโดนว่ายา) ในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ.1821 ขณะมีพระชนมายุได้ 52 พรรษา พระศพของพระองค์ถูกฝังอยู่บนเกาะแห่งนั้น จนอีก 20 ปีต่อมา รัฐบาลฝรั่งเศสจึงอัญเชิญพระบรมศพกลับมายังปารีส และฝังไว้ ณ สุสานแองวาลิด จนถึงปัจจุบัน เป็นอันจบชีวิตของ นโปเลียน โบนาปาร์ต ผู้ยิ่งใหญ่





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×