ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Judge Games เกมล้างแค้นกรรมการ

    ลำดับตอนที่ #30 : {บทสับคืน} โดย ท่านดะจี้

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 37
      0
      19 พ.ย. 56

     

    เล่น เลียน ล้อ

                สวัสดีมิตรสหายที่รักยิ่ง ขออย่าตื่นตระหนกตกใจไปก่อนกาล ถ้อยความที่ข้าเจ้าจักเขียนจากนี้ หาใช่ท่าเคาท์เตอร์สวนกลับคณะกรรมการที่น่ารักไม่ หากแต่เป็นทัศนะเล็กน้อยที่ผุดพรายขณะเขียนงาน จึงเกิดอาการกระเหี้ยนกระหืออยากเล่าสู่กันฟัง ตามประสาผู้รักใคร่ในงานวรรณกรรม และเห็นว่าคงดียิ่งหากได้มีการแลกเปลี่ยนความคิด แลประสบการณ์ขณะรังสรรค์ผลงาน

                อย่างที่ท่านทั้งหลายทราบว่า โครงการนี้ ประกอบด้วยเรื่องสั้นสามเรื่อง สามกติกา แตกต่างกันไปร์ ในส่วนข้าเจ้าส่ง ในห้วงทรมาน’, กาลดับสูญ และ สู่สรวงสวรรค์ออกไปให้ท่านได้ยลกัน ซึ่งคงประทับติดตรึงหัวใจ ทิ้งร่องรอยไว้ให้หวนระลึกในหลายๆ ความหมาย---โดยส่วนตัว ข้าเจ้าแบ่งทั้งสามเรื่อง ออกเป็นสามแนวคิด ได้แก่ เล่น-เลียน-ล้อ  จะขอเล่าไปทีละเรื่องทีละตอน อย่างช้าๆ วกไปวนมา ตามประสาคนกวนต้นตีลล์ ขอให้ท่านอ่านด้วยยึดความบันเทิงเป็นหลักเพื่อโลกนี้จะได้ไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก

    ในห้วงทรมาน---เล่นกับมานี

                คุณพระ นี่มันเห้อัลไล!---ข้าเจ้าอดอุทานด้วยความพรั่นพรึงมิได้ทันทีที่ท่านอี้เผยภาพออกมา ยอมรับโดยดีว่าไม่ได้เตรียมการสำหรับสถานการณ์นี้ คิดว่าอาจจะภาพแอ๊บแตรก มีแต่สีขาว หรือภาพระดับโลกที่ชื่อเสียงระบือ

    งานนี้ตีไว้สองทางแบบเด่นๆ ขรับ คือ เรื่องของมานี กับ แบบเรียนภาษาไทย

    ในส่วนเรื่องของมานี ไม่ต้องคิดมาก ก็คือเรื่องราวของมานีต่อจากในหนังสือขรับ คิดไว้ว่าจะโฟกัสที่มานี เพราะเด่นที่สุด ไม่ว่าจะใช้วิธีการเล่าผ่านตัวมานี ตัวอา หรืออีกา ก็ตาม  แต่---น่าจะมีบางท่านทราบว่าผู้สร้างมานี ได้เขียนตอนต่อของมานีแล้วใน เรื่องชื่นใจ กับ ทางช้างเผือก ของสำนักพิมพ์ a book การนำมาเขียนอีกก็ไม่ต่างจากฟิคมานี จึงเชือดรูปแบบนี้ทิ้งเผาไฟ

    หันมาเรื่องแบบเรียนภาษาไทย ทำไมจึงเป็นแบบเรียนภาษาไทย เพราะมันคือแบบเรียนภาษาไทยไงล่ะ!--- ทีนี้ความเป็นแบบเรียนภาษาไทยจะเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง พ้มมองตัวหลักคือนักเรียนกับครู  ซึ่งมองอีกทางหนึ่งคือ เด็ก กับ ผู้ใหญ่ จะใช้ใครเป็นแกนหลักดำเนินเรื่อง---ผมมองว่าเด็กน่าจะมีทางเลือกพลอตมากกว่า จะทำแนวรักในวัยเรียนก็พอได้ สยองก็ได้ ตลกอาจจะได้ ซีเรียสก็ได้ แต่พ้มเลือก ผู้ใหญ่ เพราะไม่มีสกิลเข้าทรงตัวละครเด็กขรับ โดยแท้จริงแล้วการเขียนตัวละครเด็กนั้นยากมาก หากพลาดจากที่ตั้งใจว่าจะเป็นเด็กน่ารักก็อาจกลายเป็นเด็กเปรตได้ ซึ่งร้ายแรงนัก ถ้าไม่เข้าใจเด็กก็เขียนเด็กไม่ได้ขรับ ในขณะที่การเขียนมุมมองผู้ใหญ่ จะไม่เข้าใจเรื่องเด็กก็ได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องแสนธรรมด๊าธรรมดา เพราะผู้ใหญ่มักไม่เข้าใจเด็ก แม้จะเป็นครูประถมครูอนุบาลก็ตาม

     ด้วยเหตุนี้จึงกลายมาเป็นเรื่องสั้นเกี่ยวกับครู ดังที่ท่านเห็น จะว่าเป็นการเลือกสังเวียนสู้ก็ได้ขรับ อ้ายกระผมมองว่าไม่จำเป็นต้องกระโจนไปเขียนเรื่องเด็กที่ไม่ถนัด แค่หาสนามที่พอจะสำแดงเดชได้อย่างไม่ขัดเขินนัก ภายใต้แนวทางเดิมก็พอ ซึ่งส่งไปถึงรูปแบบการเขียนที่จะกล่าวต่อไป

    เมื่อเลือกอะไรต่างๆ นานาแล้ว ได้มาอยู่ในสังเวียนที่พอจะคุ้นเคย ฟุตเวิร์คสบาย ก็พอจะผ่อนคลาย หาอะไรเล่นสนุกได้---น่าจะมีหลายท่านเห็นว่าตัวเอกซึ่งคือครูไพลิน ไม่มีบทพูดเลย นี่เป็นหนึ่งในการเล่นสนุกเล็กๆ น้อยๆ เพราะอ้ายกระพ้มรู้สึกว่าเขียนที่ มีการโต้ตอบสนทนา สลับบทบรรยายออกจะดาษดื่นเกินไป จึงลองบีบดูสักหน่อยว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือ ตัดการพูดของครูซึ่งเป็นผู้หญิงออกไป การจะเข้าทรงเป็นครูสาวจากเมืองกรุง โดยที่ตนเองไม่มีความเกี่ยวข้องกับสายวิชาชีพนี้ ออกจะยากส์ไปสักนิด แต่รู้ว่าตัวละครจะพูดไปในทำนองไหน  การตัดบทพูดออกไปจึงช่วยได้มาก การตัดตอนใส่เลขก็เป็นส่วนหนึ่งในงานทดลองด้วยขรับ เผอิญอยากลองวิธีการตัดตอนแบบตัวเลขดูปฏิกิริยานักอ่าน และตัวเรื่องก็ไม่ใช่เหตุการณ์ต่อเนื่องนักจึงทำได้ไม่ยากนัก แล้วก็เป็นการทดลองวิธีดึงผู้อ่านด้วย

    โดยส่วนตัวคิดว่าความเป็นมานี มันน่าเบื่อขรับ ตอนนี้ใช้กันเกลื่อนกลาดตามเฟซบุ๊ค เลยคิดหาวิธีดึงคนอ่านด้วยการ หั่นเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนสองสเต็ป เพื่อปูทางสร้างมานีใหม่ มีสมมติฐานว่าความสั้นน่าจะทำให้คนอ่านจะได้มีกำลังใจอ่านต่อด้วยอีกทาง แล้วตบด้วยวลีเด็ดก็จะคว้าคนอ่านอยู่

    มานีตายแล้ว---น่าจะเป็นวลีเด็ดของเรื่อง เป็นไปตามท่านปันจี้ว่าไว้ เชื่อว่าคงรู้สึกได้ว่ามันค่อนข้างราบเรียบ---ขรับ เพราะพ้มมองว่าสำหรับตัวเอก เหตุการณ์มันผ่านช่วงตกใจไปแล้ว  อาจจะเศร้าอยู่แต่คงไม่ตกใจ เพราะตัวเรื่องเป็นมุมมองที่หนึ่ง แบบเล่าเรื่องที่ประสบ ไม่ใช่เดินไปพร้อมผู้อ่าน แต่อย่างไรก็ขอขอบพระคุณท่านปันจี้สำหรับคำวิจารณ์ในส่วนนี้

    ผลการทดลองโดยสรุปออกมาเป็นอย่างไร ใครใคร่รู้ถามได้หลังไมค์---ซึ่งพ้มจะไม่ตอบเพราะขี้เกียจหลายๆ (ฮา)

                ในด้านภาษา น้อมรับผิดแต่โดยดีเรื่องคำผิดคำตกคำหล่น สะเพร่าเองล้วนๆ และในส่วนบทบรรยายต่างๆ คาดว่าน่ามีหลายท่านสังเกตเห็น---เรื่องนี้แทบไม่มีรายละเอียดอะไรเลย ทั้งโรงเรียน วัด ห้องครูไพลิน แม้แต่รายละเอียดรูปพรรณสันฐานของคนก็แทบไม่มี หากจะมีคงเป็นมานีคนเดียว ตรงนี้เป็นงานทดลองอีกเช่นกัน พ้มลองอาศัยความทรงจำกับจินตนาการของท่านมาช่วยขรับ ด้วยเชื่อว่าแต่ละท่านต้องเคยเห็นโรงเรียนในต่างจังหวัด เห็นครูชนบท มีภาพวัดวาในบ้านนอกติดตาจากสื่อต่างๆ เมื่อบอกใบ้เล็กน้อยท่านก็จะมีภาพขึ้นมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาบรรยายนัก จากคำวิจารณ์ที่ออกมาแสดงว่ามันใช้ได้ดีทีเดียว แต่นั่นไม่สำคัญเมื่อเทียบกับประเด็นที่จะกล่าวถึงต่อไป

    จะขอเล่าเรื่องสนุกสนานชวนเบิกบานด้านมืดให้ฟังสักสามเรื่อง---เรื่องแรกประสบพบเองเมื่อคราวได้ไปฝึกงานที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้ภารกิจตรวจต้นฉบับบทกวี---ในนั้นมีบทกวีบทหนึ่งพูดถึง ปลาวาฬ

    ทุกท่านคงทราบดีว่า วาฬ ไม่ใช่ ปลา ดังนั้นจะเรียก ปลาวาฬ ไม่ได้ เช่นเดียวกับกรณี ปลาหมึก ซึ่ง หมึก ไม่ใช่ ปลา หมึกคือหมึก คำถามคือ---เมื่อท่านทราบดีว่าวาฬไม่ใช่ปลา ท่านจะแก้จาก ปลาวาฬ เป็น วาฬ หรือไม่

    ในฐานะคนตรวจแก้ ข้าเจ้ายึดความจริงเป็นหลัก จึงเปลี่ยน และบอกเหตุผลให้ทางนักเขียนฟัง เวลาล่วงไปหลายวันทางนักเขียนจึงตอบกลับมา เหตุผลว่าสิ่งนี้จำเป็นต่อบทกวี เปลี่ยนไม่ได้ ผลท้ายสุดบรรณาธิการจำยอมนักเขียน และปล่อยหนังสือที่มี ปลาวาฬ ก็แหวกว่ายไปในทะเลวรรณกรรม---อยากให้ลองคิดแบบสนุกสนานว่าจะเกิดอะไรแก่ผู้อ่านบ้าง

    เรื่องที่สอง น่าสนใจไม่แพ้กัน---สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เลือกใช้คำว่า ไอศครีม แทนคำว่า ไอศกรีม ในวรรณกรรมแปลเรื่องหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่า ไอศครีม คือการออกเสียงที่ถูกต้อง ไม่มีชาวต่างชาติคนไหนออกเสียงเป็น ก.ไก่ ---ผู้ขลุกอยู่ในวงวารหนังสืออย่างเราๆ น่าจะทราบ พจนานุกรมระบุชัดว่า ไอศกรีม คือคำที่ถูกต้อง---ท่านรู้สึกอย่างไรกับกรณีนี้

    เก็บคำตอบของท่านไว้ก่อน ข้าน้อยอยากให้ท่านฟังเรื่องที่สาม รับประกันว่าเด็ดไม่แพ้กัลล์---ในงานประลองปากการะหว่างประมุขS(นามสมมติ) กับXะ(นามสมมติ) ในงานของXะคำทับศัพท์อยู่หนึ่งคือคำว่า shock  โดยเขียนทับศัพท์ว่า ช็อก หากแต่มีกรรมการท่านหนึ่งแนะนำว่า คำว่า shock ควรเขียนทับศัพท์ว่า ช็อค เพื่อให้ตรงตามเสียง---ท่านมีความคิดเห็นเช่นไรในกรณีนี้ (ช็อก มีอ้างอิงตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯ / ช็อค ไม่มี)

    เราจะทำอย่างไร ใครผิด ใครถูก---ไม่ผิดและไม่ถูกขรับ ขอเพียงมีเหตุผลรองรับที่ไม่แพ้เหตุผลอื่น อย่างกรณี ช็อก/ช็อค  นี้ ช็อค เป็นทัศนะส่วนตัว และ ช็อก เป็นทัศนะจากราชบัณฑิตฯ ซึ่งส่วนใหญ่เราจะยึดราชบัณฑิตฯ เป็นหลัก ในทัศนะและการคาดเดาของผม กรรมการท่านนั้นไม่ได้เปิดพจนานุกรมเพื่อตรวจสอบคำก่อนแย้ง แต่แย้งเพียงรู้สึกคุ้นๆ เท่านั้น ซึ่งร้ายแรงมากนะขรับถ้าศัพท์ที่เราแย้งว่ามันผิดมหันต์ คนเขียนก็จะได้ศัพท์ผิดๆ กลับไปแทน---แต่กรณีนี้ต่าออกไปเล็กน้อย ไม่ต้องเป็นห่วงนัก มาว่ากันเรื่องทัศนะด้านคำดีกว่า

    อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเรายึดพจนานุกรมเป็นหลัก ไม่ว่าจะในงานประกวดต่างๆ หรือหนังสือปกติ เพราะเป็นที่ยอมรับทั่วไป แต่ทัศนะส่วนตัวเรื่องคำนั้นใช้ได้ในกรณีที่เป็นงานเราเอง ตีพิมพ์เอง หรืองานที่เราซื้อลิขสิทธิ์มา นั่นเป็นสิทธิ์ของเรา และควรแจกแจงว่าเหตุใดถึงใช้ แต่ไม่ควรนำทัศนะส่วนตัวด้านคำไปแนะนำให้ผู้อื่นใช้ตาม

    อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือเรื่องการตีความ---

    คณะกรรมการหลายท่านพูดถึงว่าเรื่องไม่ได้พูดถึง กา กับ อา เลย จึงตัดคะแนน---อันนี้เป็นทัศนะส่วนตัวอีกเช่นกัลล์ พ้มมองว่ากติกานี้คือการตีความอิสระจากภาพ ต่างจากการกำหนดคำให้เขียนแบบเรื่องที่สาม โจทย์ในหัวข้อนี้ ไม่ใช่ภาพของ มานี อีกา หรือ อามานี นี่คือภาพของหน้าหนึ่งในแบบเรียนภาษาไทย

    จะลองเปรียบเปรยดู (อาจยกตัวอย่างไม่ดีนัก) อยากให้ลองนึกถึงภาพตะกร้าผลไม้ มีผลไม้มากมาย ทั้งองุ่น แอปเปิ้ล กล้วย และอีกหลายอย่าง นักเขียนเขียนเรื่องตะกร้าผลไม้ และกรรมการหักคะแนนเพราะนักเขียนไม่ได้เขียนถึงกล้วยในตะกร้า---นั่นออกจะไม่ยุติธรรมเสียเลย

    ไหนๆ แล้ว ฝากถึงท่านเซสักนิด พ้มมองว่าท่านเซดึงเรื่องมาใช้เยอะเกินไป ท่านเซตีความในแง่แบบเรียนภาษาไทยเหมือนกับกระพ้ม แต่นอกจาก มานี กลับมี แก้วกล้า มาด้วย ในฐานะแบบเรียนเหมือนกัน ทั้งสองอย่างจึงแข่งกันเด่น ทำให้แบบเรียนมานีถูกเบียดไปนะแครบ

    กาลดับสูญ---เลียนลีลาอัศวิน

              รู้สึกอย่างไรบ้างขรับสำหรับเรื่องนี้ อึดอัดไหม---ถ้าอึดอัดแสดงว่ารูปแบบการจัดหน้าเช่นนี้ประสบผลสำเร็จขรับ

                น่าจะมีคนกรีดร้องมากมายเมื่อได้เห็นเรื่องนี้ ไม่ว่าจะด้วยการอกหักจากแนวเรื่องและรูปแบบจัดหน้า นี่ก็เป็นงานทดลองอีกชิ้นหนึ่งขรับ ด้วยสมมติฐานว่านอกเหนือจากการใช้คำ การจัดหน้าก็ช่วยสร้างอารมณ์ความรู้สึกได้ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลดีเลิศทีเดียวในหลายๆ ด้าน

                เรื่องนี้มีต้นแบบคือ คุณแดนอรัญ แสงทอง ขรับ อย่างที่จั่วหัวไว้ว่าคือการเลียนลีลาอัศวิน ด้วยว่าคุณแดนอรัญ ได้รับอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวินจากฝรั่งเศส จากงานเรื่องเงาสีขาว และอีกหลายๆ เรื่อง หากใครเคยพบพาน เคยอ่าน ก็จะพบว่าเป็นงานที่โหดกว่าของพ้มอย่างเทียบกันไม่ได้ ด้วยความหนาหลายร้อยหน้า และก็จัดหน้าแบบนี้ทั้งสิ้นขรับ ซึ่งท่านคงเดาได้ว่างานของคุณแดนอรัญไม่เป็นที่นิยมในประเทศต้นกำเนิด แต่ถูกเชิดชูในต่างชาติ---เป็นเรื่องเศร้าในวงการอย่างหนึ่งนะขรับ

                ทะเลวรรณกรรมนั้นกว่าใหญ่เหลือเกินขรับ นอกจากการใช้คำ สำนวน ยังมีการจัดหน้าที่มีหลากหลายรูปแบบ นอกเหนือจาก เจอบทสนทนาก็เคาะลงมา ตัดฉากก็ย่อหน้า ทุกอย่างมีเหตุผลในแบบของคนเขียนขรับ เว้นแต่นักเขียนจะทำไปอย่างไม่คิด---การจัดหน้าในกาลดับสูญ เกิดจากความจงใจขรับ ต้องการให้อ่านยาก อ่านแล้วอึดอัด รู้สึกเหนื่อย เพราะไม่มีย่อหน้าให้หยุดพัก สะท้อนความบ้าคลั่งด้วยความต่อเนื่องไม่หยุด นักเขียนต้องคิดทั้งหมดขรับ ตั้งแต่ศัพท์แสง โครงเรื่อง ไปถึงการจัดหน้า ถูกหรือผิด ผลที่ออกมาไว้ว่ากันทีหลัง อย่างน้อยคนเขียนต้องรู้ก่อนว่าทำไปเพราะอะไร พ้มมองว่าทุกวันนี้ส่วนใหญ่พวกเราจัดหน้าแบบ เห็นเขาทำก็ทำตาม ไม่รู้จุดประสงค์แท้จริงว่าเพราะอะไร คิดไม่ครบ ไม่รอบด้านขรับ

                และการติติงโดยไม่ทำความเข้าใจจุดประสงค์ผู้เขียนก็เป็นเรื่องไม่ดีเช่นกัน ยกตัวอย่าง นักเขียนสร้างสรรค์งานซีเรียสต้องการสะท้อนสังคม ไม่ควรถูกว่าเรื่องงานไม่สนุก เพราะเขาไม่ได้เขียนให้สนุก ที่สำคัญไม่ควรใช้อารมณ์ความรักชอบเกลียดชิงชังมาตัดสินงาน ควรตัดสินด้วยคุณค่าของตัวงาน (ความชอบกับความดีใกล้กันแต่ห่างกันไกล) และการตัดสินใดๆ ก็ควรกลับไปพิจารณาบรรทัดฐานตนเองทุกครั้งนะแครบ ดีคืออะไร ธรรมดาคืออะไร อะไรคือธรรมดา แย่คืออะไร นิยามของแต่ละอย่างคืออะไร ระดับไหนควรได้เท่าไร เท่าที่ดูตอนนี้ เหมือนหลายอย่างยังสับสนอยู่มาก เหมือนไม่มีมาตรฐาน

                แต่มีความยินดีที่กรรมการบางท่านมองเห็นจุดเล็กๆ อย่างใช้ พวกเขา หรือพวกเราในเรื่อง---ซึ้งใจนัก

    สู่สรวงสวรรค์---การหยอกล้อ

    ท่านดะจี้ มีแผนไฝว้กรรมการมาเสนอครับ

                นั่นคือข้อความที่ถูกส่งมาในคืนหนึ่งก่อนท่านอี้จะพามานีมาเผยตัวเป็นครั้งแรก---หลังจากนี้ท่านคงเดาได้แล้วว่าผู้บงการคอยชักใยอยู่ในเงามืดคือใคร

                ว่ากันว่านี่คืออาวุธร้ายที่มีไว้สวนกลับกรรมการทีเดียว ด้วยการนำจุดเด่นจุดดังของคณะกรรมการมาเขียนใหม่เป็นเรื่องเดียว ไม่ใช่การล้อคน แต่เป็นการล้อเรื่อง (กรรมการที่ดีควรศึกษาข้อมูลก่อนลงมือสับนะแครบ) ว่าง่ายๆ ก็คล้ายลงมีดเชือดตัวเองก็มิปาน ดังนั้นความยากจึงไม่ใช่การหาที่ลงคำ แต่เป็นการนำเรื่องของกรรมการมาเขียนใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องการเปิดตัวด้วยตัวละครมหาศาล การดำเนินเรื่องแบบไม่มีที่มาที่ไป การจัดหน้า การบรรยาย ต่างๆ นานา (ขอไม่บอกว่าส่วนไหนมาจากใครก็แล้วกัลล์ ตามไปอ่านในโครงการวายกันเองนะเออ) ถือเป็นงานที่คนเขียนรู้สึกสนุกสนานทีเดียว

                จากทั้งสามเรื่อง แบ่งระดับได้สามอย่างขรับ สู่สรวงสรรค์ เป็นงานที่อ่านง่ายสุดแน่นอน ด้วยว่าเป็นงานวัยรุ่นที่เราน่าจะผ่านตากันมามากที่สุด ระดับกลางคือในห้วงทรมาน ที่เป็นแนวสยองกึ่งสืบสวนเล็กๆ สุดท้ายคือกาลดับสูญ ที่พูดไปถึงหลักปรัชญาบางอย่าง ผลตอบเป็นไปดังคาด มีทั้งท่านที่สับแหลก ท่านที่ไม่กล้าลงมีด ท่านที่กล้าๆ กลัวๆ  ใครที่มองเห็นแต่ข้อดีก็ขอให้ท่านอ่านหนังสือให้มากขึ้น ให้หลายหลาก ใครที่ไม่มั่นใจว่าตรงไหนควรสับก็ขอให้อ่านให้มากขึ้น มากไปอีก ขอขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านทั้งสามเรื่องและสับให้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในภายภาคหน้าแต่ละท่านจะเป็นนักสับที่เก่งกาจ และมีแนวทางสับของตัวเอง โดยไม่ต้องล้อหรือลอกใครมานะแจ๊ะ :p

    ในบทส่งท้ายนี้ขอให้เป็นเพียงทัศนะเล็กๆ ประหนึ่งหยดน้ำในทะเลวรรณกรรม เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยย่อมสุดแท้แต่ละคน ขอให้ไฝว้ต่อไป

     

    ด้วยรักและจอบเสียม

    xะจี้

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×