ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อแฮร์รี่คนนี้ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนรู้จัก

    ลำดับตอนที่ #3 : คำเตือน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 157
      0
      16 พ.ค. 47

                    เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นคละเคล้าไปกับเสียงผู้คนที่อยู่ในชุดแปลกตาซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยหมู่ควันสีขาว รถไฟหัวรถจักรสีแดงถูกตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น ที่ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่...



        แฮร์รี่ได้ยินเสียงผู้คนที่พูดคุยกันอยู่รอบบริเวณได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเค้าจะสามารถเห็นได้เพียงลางเลือน นั่นเป็นเพราะไอน้ำมากมายกำลังจับตัวกันอยู่ที่แว่นตาของเค้าจนเค้ารู้สึกรำคาญ ถ้าไม่เห็นแก่ว่าท่าทางของเค้าจะดูผิดหากเค้าจะถือแว่นแล้วเดินเข็นสำภาระไปเฉยๆแล้วล่ะก็ เค้าคงไม่ปฏิเสธที่จะจัดการเควี้ยงเจ้าแว่นบ้านี่ออกไปจากสายตาในทันที!!



        “บ้าจริง!!” แฮร์รี่บ่นขึ้นมาในขณะที่เค้ากำลังจัดการขนสัมภาระไปเก็บที่ตู้กึ่งกลางขบวนด้วยท่าทางทุลักทุเลราวกับคนตาบอด ยิ่งเมื่อแขนข้างหนึ่งของเค้าถูกชนเข้ากับกองสัมภาระอันอื่นแล้วล่ะก็ เค้าแทบอยากจะกระทืบเจ้าแว่นนี้ในทันทีทันใด หากแต่เค้าต้องสะกดอารมณ์



        แฮร์รี่สบถเสียงเบาขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่เค้าจัดการทอดเจ้าแว่นเจ้าปัญหามาเช็ดเป็นครั้งที่สิบเอ็ดของวันนี้ ก่อนจะถือกรงเจ้าเฮ็ดวิกเข้าไปที่ตู้รถไฟด้วยท่าทางหงุดหงิด



        ห้องผู้โดยสารห้องนั้นยังคงว่างเปล่า ปราศจากเงาของเพื่อนคู่หูทั้งสอง ใช่แล้วที่ทั้งเฮอร์ไมโอนี่และรอนต่างต้องแยกไปนั่งอยู่ที่ตู้รถไฟอื่น นั่นเป็นเพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นพรีเฟ็ค!!



        เค้าไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมบุคคลที่มีความสามารถอย่างเหนือชั้นอย่างเค้าถึงไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพรีเฟ็คเช่นเดียวกับคนอื่น แม้กระทั่งมัลฟอย เจ้าศัตรูหัวขี้เลื่อยบ้าอำนาจนั่นก็ยังได้เป็น แต่ทำไมเค้า! ผู้ซึ่งพยายามยับยั้งเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นจากเจ้าโวลเดอมอร์ผู้คิดเป็นแต่เรื่องครองโลกนั่นถึงไม่ได้เป็นอย่างคนอื่น!! เพราะอะไรกัน!!!!



         ปึ้ง!!! แฮร์รี่อัดหมัดเข้าใส่ประตูเต็มแรง ทำเอาเฮ็ดวิกสะดุ้งด้วยความตกใจ มันส่งเสียงร้องเป็นเชิงโกรธ แต่แฮร์รี่ไม่ได้สนใจ เค้าค้างอยู่ในท่านั้นซักพักก่อนจะล้มตัวนั่งลง



        ถึงแม้ว่าดัมเบิลดอร์จะเคยบอกแก่เค้าเมื่อปีที่แล้วว่าการที่ไม่ให้เค้าเป็นพรีเฟ็คนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เค้าเป็นอันตรายจากโวลเดอมอร์ก็ตาม แต่ในใจของเค้ากลับคิดว่าในดวงตาสีฟ้าสดใสใต้กรอบแว่นตารูปพระจันทร์เสี้ยวนั้นมีอะไรมากกว่านั้น ดวงตาที่ราวกับว่าจะล่วงรู้แผนการทั้งหมดของเค้า...



        เสียง นกหวีดดังขึ้นดึงให้แฮร์รี่กลับมาสู่โลกแห่งความจริง เค้ามองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับเฝ้าดูการเคลื่อนตัวออกไปจากชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่



        เสียงเดินดังขึ้นด้านนอกก่อนจะตามมาด้วยเสียงเคาะประตู ที่เรียกให้เค้าหันกลับมามอง



        “แฮร์รี่ ชั้นเองเฮอร์ไมโอนี่กับรอน” เสียงใสๆดังขึ้นจากด้านหน้าประตู



        “เข้ามาสิ” เค้าบอก



        ร่างสองร่างเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสองต่างโตขึ้นมากกว่าเมื่อปีที่แล้วซะอีก รอนตัวสูงขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งหน้ายังดูเป็นหนุ่มขึ้น ผมสีแดงยุ่งๆของเค้าตอนนี้ก็ถูกหวีให้ได้ทรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับเฮอร์ไมโอนี่ เธอดูเป็นสาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมที่เคยฟูฟ่องของเธอตอนนี้กลับเป็นลอนสลวย ไม่ต้องสงสัยว่าเธอคงจะไปหาซื้อหนังสือชื่อประมาณว่า ‘ผมสวยด้วยมนต์บทง่ายๆ’ หรืออะไรเทือกๆนี้ ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จออกมาอย่างดีเยี่ยม



        “ไงแฮร์รี่” รอนทัก



        “ก็เหมือนเดิม” แฮร์รี่พูดเรียบๆ พยายามแฝงรอยยิ้มเอาไว้อย่างยากลำบาก ก็จะไม่ให้เค้ารู้สึกมีความสุขได้ยังไงในเมื่อเค้าได้ใช้ชีวิตกับซีเรียสตลอดช่วงปิดเทอมมานี้



                    “แล้วนายล่ะ” เค้าถามเรียบๆ



        “ก็งั้นๆ” รอนยักไหล่ก่อนจะล้มตัวลงนั่งข้างๆเค้า



        “เฟร็ดกับจอร์จล่ะเป็นไงบ้าง” แฮร์รี่พูดขึ้น



                    “นายก็รู้ พวกเด็กฮอกวอตส์ทุกคนแห่กันไปซื้อของเล่นที่นั่น มีแต่รวยกับรวย!! ยิ่งกว่าเอาเดือนพ่อสิบปีมารวมกันเสียอีก!!! แล้วดูสิ แค่ชั้นขอหนองน้ำกระเป้าหิ้วแค่อันเดียวยังไม่ยอมให้เลย” รอนพูดอย่างโกรธๆ



                    เป็นอันรู้กันว่าเมื่อปีที่แล้วการกระทำอันเป็นตำนานของทั้งสองนั้นลือกระฉ่อนไปทั่วฮอกวอตส์มากแค่ไหน เค้ายังคงจำได้ดีทีเดียว ภาพของฝาแฝดตัวป่วนตระกูลวีสลีย์ที่ขี่ไม้กวาดขว้างกระสุนกระดาษเหม็นท้าทายอัมบริดจ์ ก่อนหนีออกไปจากโรงเรียนพร้อมกับเปิดกิจการร้านของเล่นที่ชื่อว่า ‘ร้านเกมกลวิเศษวีสลีย์’ ที่ตรอกไดแอกอน และเมื่อไม่นานมานี้เองทั้งสองก็ได้ส่งชุดของเล่นที่มีชื่อว่า ‘สาปมัน!!ด้วยวูดูฉบับวีสลีย์’ ให้เป็นของขวัญวันเกิดปีที่สิบหกของเค้า



                    “ชั้นล่ะสะใจจริงเลย นายจำหน้ายัยอัมบริดจ์ตอนนั้นได้มั้ย กรี้ดลั่นอย่างกับหมูถูกเชือด” รอนพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะหัวเราะร่วน ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง



                     “นายรู้มั้ย ชั้นได้ยินพ่อพูดว่ายัยอัมบริดจ์นั่นต้องได้รับการบำบัดทางจิตที่เซนต์มังโกทุกอาทิตย์ด้วยล่ะ ชั้นว่ายัยนั่นคงจะอกสั่นขวัญผวาเรื่องนั้นอยู่แน่เลย เห็นพ่อชั้นบอกว่าแค่เห็นตุ๊กตาม้าตัวเล็กๆยังไม่ได้ เจ้าตัวนี่หวีดเสียงลั่น ปากเอาแต่พร่ำว่า ออกไป!! ออกไปนะเจ้าอมนุษย์ !! อย่า!!!!” รอนแกล้งบีบเสียงสูงก่อนจะกรีดร้องครวญคราว พร้อมกับทำหน้าตาราวกับเห็นผี สาธิตด้วยท่าทางประกอบอย่างเมามัน



                     “นายก็ว่าไปนั่นน่ะรอน ความจริงเค้าก็น่า...” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นบ้าง แต่ก็ถูกรอนขัดขึ้นทันควัน



                     “เธอคงไม่ได้จะบอกว่ายัยนั้นน่าสงสารหรอกนะ”



                     “เปล้า! ชั้นแค่จะบอกว่าเค้าน่าจะเป็นบ้าไปเลยยิ่งดีตะหากล่ะ” ว่าแล้วทั้งสามก็หัวเราะกันยกใหญ่ โดยเฉพาะแฮร์รี่นั้นหัวเราะจนน้ำตาไหล ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่างานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งตอนปิดเทอมของเค้าคือการใช้คำสาปที่ค้นได้จากห้องสมุดลับของบรรพบุรุษมากลั่นแกล้งยัยอัมบริดจ์นั่นทั้งวันทั้งคืน แต่รู้สึกว่าคำสาปฝันร้ายนั้นจะสนุกที่สุด เพราะเค้าจินตนาการภาพอัมบริดจ์ไม่ออกเลยว่าจะหวีดร้องลั่นบ้านแค่ไหนเมื่อตัวเองฝันว่าถูกฝูงเซ็นทอร์ทั้งฝูงบุกเข้ามาลากตัวเธอถึงที่บ้าน



                      “โอย... เธอเพิ่งจะพูดถูกใจชั้นก็คราวนี้ล่ะเฮอร์ไมโอนี่” รอนพูดขึ้นขณะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ



                      “ชั้นล่ะนึกภาพยัยอัมบริดจ์ไม่ออกเลยจริงๆว่าจะมีสภาพยังไง” ว่าแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็หัวเราะจนตัวโก่งลงไปกับพื้น โดยไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้มีเงารางๆสามร่างปรากฏขึ้นที่ประตูด้านข้างเธอแล้ว



                      “เป็นบ้ากันไปแล้วรึไงยัยเลือดสีโคลน ชั้นจะได้ช่วยอนุเคราะห็ส่งเธอไปที่เซนต์มังโกตามยัยนั่นไปอีกคน” มัลฟอยเดินเข้ามาพร้อมกับองครักษ์ร่างยักษ์ทั้งสอง แครบ และกอยล์นั่นเอง



                       “นายเข้ามาทำไมมัลฟอย” รอนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความหงุดหงิด เรียกให้ชายหนุ่มผมทองที่ผมถูกหวีจนเรียบแปล้นั้นหันมามองทันทีด้วยดวงตาอาฆาต ก่อนจะมองอย่างเยาะๆ



                       “นายนี่มันโง่จริงๆเลยวีสลีย์ ชั้นเข้ามาก็เพราะชั้นอยากเข้านะสิถามได้ เนี่ยล่ะน้า พ่อชั้นถึงพูดบ่อยๆว่าให้ชั้นย้ายไปเรียนที่เดิร์มสแตรงก์ นักเรียนที่นั่นน่ะเริ่มเรียนศาสตร์มืดกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถ้าชั้นไปอยู่ที่นั่นชั้นก็คงจะจัดการพวกนายไปนานแล้ว ถ้าไม่เห็นแก่แม่ชั้นว่าท่านจะห่วงน่ะนะ ดัมเบิลดอร์น่ะชอบรับแต่พวกโง่ๆกับพวกเลือดสีโคลนเข้ามานักเชียว”



                       “นายอย่ามาว่าศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์อย่างนั้นนะ! ชั้นขอเตือนนาย” เมื่อแฮร์รี่หันมามอง เฮอร์ไมโอนี่ก็ชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่หน้ามัลฟอยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “ออกไปจากทีนี่ซะ!!” เธอพูดด้วยเสียงอันดัง



                       “เตือนตัวเองเถอะยายเกรนเจอร์” มัลฟอยพูดเสียงเย็น ก่อนจะหันมามองแฮร์รี่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น “นายก็ด้วยพอตเตอร์! ชั้นยังจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วนายทำอะไรกับพ่อชั้นเอาไว้!! นายอย่าคิดว่าชั้นไม่รู้นะว่านายมีความลับอะไร!!!”



                       แทนที่แฮร์รี่จะด่าตอกกลับไป เค้ากลับมีใบหน้าเรียบเฉย หากแต่สายตานั้นจ้องตอบกลับไปอย่างท้าทาย



                       “ออกไปซะ!!!” เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนเสียงดัง ทำเอามัลฟอยหันมาจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะตบเท้าเดินออกไป



                      “มันคิดว่ามันเป็นใครกัน!!” รอนพูดขึ้นอย่างหงุดหงุด



                      “อย่าไปสนใจเค้าเลยรอน เออจริงสิ แล้วเจ้าพิกมันหายไปไหนล่ะ ชั้นยังไม่เห็นมันเลยวันนี้” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆตัวรอนที่มักจะมีเจ้านกฮูกตัวเล็กบินไปบินมาอยู่ข้างตัวเสมอ



                       “เออใช่ ชั้นฝากมันไว้กับจินนี่น่ะ ว่าจะไปเอาอยู่พอดีเลย” รอนพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ก่อนจะลุกขึ้น “งั้นชั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวกลับมาใหม่” รอนพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้เฮอร์ไมโอนี่กับแฮร์รี่อยู่กันเพียงลำพัง



                       ความเงียบนั้นเกิดขึ้นชั่วครู่ในขณะที่ทั้งสองยังคงนั่งเงียบไม่พูดอะไร แต่จู่ๆเฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้น



                       “นายไม่มีอะไรปิดบังเราอยู่ใช่มั้ยแฮร์รี่”



                       แฮร์รี่เกือบจะสะดุ้งตกใจด้วยความฉลาดเป็นกรดของเฮอร์ไมโอนี่ หากแต่เค้าเตรียมตัวมาก่อนแล้ว เค้าจึงยังคงนิ่งเฉยได้ แถมยังแสดงละครตบตาได้แนบเนียบไร้ที่ติเหมือนเช่นเคย



                       แฮร์รี่หัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะหันไปมองเฮอร์ไมโอนี่อย่างงงๆ



                       “นี่เธอคงจะไม่หลงคารมของเจ้ามัลฟอยหรอกใช่มั้นเฮอร์ไมโอนี่ เธอก็รู้ว่ามันอยากให้เราแตกคอกันเอง”



                       เฮอร์ไมโอนี่ยักไหล่ “ชั้นก็แค่ถามให้มั่นใจก็แค่นั้นเอง เธอคงไม่คิดหรอกนะว่าชั้นจะเชื่อคำมัลฟอยร้อยเปอร์เซ็นโด.....”



                       “อ้าก!!!!!!!!!!!!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากด้านนอกทำเอาทั้งเฮอร์ไมโอนี่และแฮร์รี่ต่างลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ



                       “รอน!!” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะรีบวิ่งออกไปดู



                       รอนนอนกุมมือของเค้าอยู่บนพื้น ท่ามกลางเหล่านักเรียนมากมายที่ออกจากห้องผู้โดยสารเพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งแฮร์รี่ทั้งเฮอร์ไมโอนี่ต่างรีบถลาเข้าไปหารอนที่นอนส่งเสียงร้องคราญครางด้วยความตกใจ



                        “นายเป็นอะไรรอน!!” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้น ใบหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นมือของรอน มันทั้งบวมทั้งแดงจัดราวกับว่าถูกน้ำเดือดราดลงมายังไงยังงั้น ฟันของรอนขบริมฝีปากแน่นจนเลือดออกด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าแดงจัด



                        “ใครทำนายอย่างนี้!!” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง



                        โดยไม่ต้องคิด แฮร์รี่รู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนทำ เค้าเดินตรงไปเรื่อยๆจนเกือบสุดขบวนรถ ก่อนจะได้ยินเสียงพูดคุยที่แสนจะคุ้นเคยดังออกมาจากห้องผู้โดยสารห้องหนึ่ง



                         เสียงหัวเราะที่ดังลั่นนั้นดังออกมาจากห้องนั้น พร้อมกับเงาของร่างสามร่างที่ปรากฏขึ้นเป็นเงารางๆ แฮร์รี่เปิดผัวะเข้าไปใน

    ห้องนั้นทันทีโดยไม่สนใจ ทั้งมัลฟอย แครบ และกอยล์ต่างหันมาจ้องเค้าเป็นตาเดียว



                         “นายมาทำอะไรที่นี่พอตเตอร์!!” มัลฟอยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงขู่ แต่แฮร์รี่ยังคงไม่สนใจ เค้าเลื่อนประตูให้ปิดลง ก่อนจะล้มตัวลงนั่งที่ข้างๆมัลฟอยที่จ้องมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ เค้าถอดแว่นของเค้าออกมาเช็ดอย่างสบายอารมณ์ พร้อมกับเสยผมที่ปิดลงมาบนหน้า โดยยังคงไม่สนใจใคร



                          “ชั้นถามว่านายมาทำอะไรที่นี่พอตเตอร์!!!” มัลฟอยคำรามลั่น เรียกให้แฮร์รี่หันมาจ้องด้วยดวงตาที่เย็นยะเยือก



                          “ชั้นก็แค่อยากจะมาพูดเรื่องเพื่อนชั้นเท่านั้น” แฮร์รี่ตอบเรียบๆ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสนุกสนาน



                          “ถ้านายหมายถึงเจ้าวีสลีย์นั่นล่ะก็ ชั้นว่านายไปอยู่เฝ้าเจ้าเพื่อนหัวแดงของนายไม่ดีกว่าเหรอ มือมันคงจะปวดแสบปวดร้อนพิลึกแหละ”



                          “อ้อ ถ้าหมายถึงเรื่องนั้นชั้นฝากเฮอร์ไมโอนี่ดูให้แล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง” แฮร์รี่หันมายิ้มให้น้อยๆให้กับมัลฟอยที่จู่ๆก็หน้าแดงขึ้นมาทันใด



                          “ชั้นเห็นนายพูดว่าอยากจะไปเรียนที่เดิร์มสแตรงก์นี่ใช่มั้ย เรื่องศาสตร์มืดอะไรนั่น” แฮร์รี่เอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นคว้าไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาชี้หน้าเค้า



                           “มันไม่ใช่เรื่องของแกพอตเตอร์!!!” มัลฟอยพูดด้วยเสียงรอดไรฟัน แครบ และกอยล์ลุกขึ้นมายืนล้อมเค้าในทันที ในมือถือไม้กายสิทธิ์อย่างจะเอาเรื่อง แต่แฮร์รี่ยังคงนั่งเฉย



                           “ถ้านายยังคงหาเรื่องเพื่อนชั้นล่ะก็....มัลฟอย” แฮร์รี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “บางทีนายอาจจะได้เรียนเรื่องศาสตร์มืดเร็วกว่าที่คิด”



                           เพียงแค่นั้นกระจกในห้องนั้นก็เกิดรอยร้าวขึ้นจากทั่วทุกด้าน ก่อนจะแตกเปรี๊ยะขึ้นในทันใด! ทำเอาทั้งสามตาเบิกกว้างอย่างลนลาน เพราะแทนที่กระจกเหล่านั้นจะร่วงลงกับพื้น มันกลับลอยนิ่งอยู่อย่างนั้น! พร้อมกับหันด้านคมของมันไปที่เด็กหนุ่มทั้งสาม!!! ไม่มีแม้แต่การร่ายมนต์!! ไม่มีแม้กระทั่งไม้กายสิทธิ์!!!!!!



                           “นายควรจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ซะมัลฟอย หากนายคิดจะยุ่งกับชั้น” สิ้นคำพูดนั้นกระจกทั้งหมดต่างก็พุ่งเข้าหาทั้งสามด้วยความเร็ว!! หมายจะพุ่งเข้าใส่ร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้น!!! ถ้าไม่เพียงแต่ว่ามันจะถูกหยุดเอาไว้ซะก่อน



                           “การจะฆ่านายมันก็ง่ายแค่นิดเดียวเท่านั้นล่ะมัลฟอย จำคำเตือนของชั้นไว้ให้ดี” ว่าแล้วแฮร์รี่ก็สวมแว่นตาที่ถืออยู่นั้นให้เข้าที่ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้มัลฟอยและลูกสมุนทั้งสองค้างนิ่งอยู่ตรงนั้น กระจกที่ควรจะแตกกลับไม่มีแม้แต่รอยร้าว!!



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×