Today
“เปลี่ยนเวร คุราปิก้า” เสียงห้าวๆฟังดูแข็งแกร่งดังมาจากเบื้องหลังของเด็กหนุ่มผู้มีผมสีทองบางเบาดุจเส้นไหม ใบหน้าขาวจัดเนียนใสดูอ่อนวัย ขนตางอนระยับคล้ายสตรีเพศ หากเขามีดวงตาสีชาที่คอยเปล่งประกายความลึกลับและเย็นเยียบ สร้างความน่าพรั่นพรึงใจยามเข้าใกล้
“นายนี่แปลกคน อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ แทนที่จะไปหาความสำราญใส่ตัว กลับมาทำงานที่โคตรจะน่าเบื่ออย่างดูแลยัยเด็กแก่แดดนี่ได้” ชายร่างใหญ่ ท่าทางมุทะลุที่มีนามว่า บาโช พยายามชวนคุย
ไม่มีถ้อยสำเนียงใดหลุดออกมาจากริมฝีปากเรียวบางของคุราปิก้า เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบสายตากับบาโชแว่บหนึ่ง แล้วเดินจากไป
ทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มร่างบึกบึนซึ่งกำลังเกาศีรษะแกรกๆ
“เฮ้อ…หมอนี่เข้าใจยากชะมัด”
คุราปิก้าเดินเอื่อยๆเข้ามาในห้องพักที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายของเขา เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาสีดำเป็นมันขลับอย่างเหนื่อยอ่อน วันนี้เขาต้องดูแลเนออนเกือบทั้งวัน ไม่อยากเชื่อว่าบอสของเขา…หรือเด็กสาวคนนี้จะสร้างความหนักใจให้แก่เขาได้อย่างเหลือเชื่อ ความจริง…ถ้าไม่นับความสามารถในการเดินช้อปปิ้งทั้งวันโดยไม่มีการหยุดพักแล้ว คุราปิก้าคงไม่ต้องมานอนแอ้งแม้งหมดแรงแบบนี้หรอก
โซฟานุ่มๆชวนให้ผ่อนคลายอารมณ์ เด็กหนุ่มเปิดปากหาวน้อยๆก่อนจะปลดปล่อยสติให้จมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา
“ปิก้า คุราปิก้า คุราปิก้า” เสียงหวานๆฟังดูไพเราะราวเสียงของนกไนติงเกลปลุกให้คุราปิก้ารู้สึกตัว ก่อนจะค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ทำให้เขาพบกับหญิงสาวผมสีทองยาวสลวย ใบหน้าแย้มละไม อายุอานามคงใกล้เคียงกับเขา รวมทั้ง…แววตาสีชาที่เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าคูลท์อีกด้วย
“ที่นี่ที่ไหน” คุราปิก้าเอ่ยก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงง แต่เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็รู้คำตอบของ
คำถามในทันที
มีผืนดินที่เงียบเหงาว่างเปล่าอยู่ตรงหน้า ความแตกระแหง กลิ่นอายของคาวเลือด ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างที่เมื่อก่อนคงพอจะเรียกได้ว่ากระท่อม จิ้งหรีดเรไรประสานเสียงทำนองโศกสลดดังแว่วมาแต่ไกล มันไม่ได้ทำให้ผืนแผ่นดินที่เคยต้องลุกโชนโดยไฟแห่งกิเลสตัณหาของกลุ่มผู้คนที่เอาแต่ได้นั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้นเลย
ที่นี่คือ เผ่าคูลท์…บ้านเกิดของเขา
คุราปิก้ายังคงจำวันคืนอันมืดมิดนั้นได้ดี อันที่จริงภาพเหล่านั้นตามติดหัวใจของเขาราวเงาดำที่ค่อยๆกัดกลืนกินและยึดครองพื้นที่ในหัวใจที่เต็มไปด้วยความโศรกเศร้าทีละน้อย ภาพบุคคลที่เขารักล้มลงต่อหน้าต่อตา เลือดข้นๆสีแดงฉานหลั่งรินรายล้อมรอบตัวเขา ศพที่มีแววตากลวงโบ๋กลาดเกลื่อน ราวกับจะตอกย้ำจิตใจที่แหลกเหลวของเด็กหนุ่มอยู่แล้วให้แหลกละเอียดลงไปอีก
ดวงตาของคุราปิก้าเริ่มปรากฎสีแดงสดขึ้น นัยน์ตาสีแดงเพลิงช่างดูสดสวยและน่าดึงดูดใจสมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบรรดาสีที่มีความงามที่สุดในโลก แต่หากมองผ่านแว่นขยายที่ปราศจากอารมณ์ต่างๆที่รังแต่จะทำให้สิ่งที่ต้องการจะมองเห็นถูกปิดบังด้วยเมฆหมอกที่ผู้มองได้สร้างขึ้นมาเองแล้ว ก็จะเห็นเพียงความแค้นใจ หดหู่ กังวล และหม่นเศร้า ความไม่เข้าใจที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาสีแดงอย่างน่าสงสาร
เด็กหนุ่มจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา ปากบางเม้มสนิท ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความโกรธแค้น แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยสบถหรือแสดงท่าทางใดๆ ร่างบางมีท่าทางตกใจ หันขวับไปทางหญิงสาวที่เขาพบเป็นคนแรก
“เธอเป็นใคร พาฉันมาที่นี่ทำไม” คุราปิก้าถามเสียงแข็ง ติดออกแนวข่มขู่
หญิงสาวยิ้มพราย แม้แต่รอยยิ้มนั้นก็ยังดูคล้ายคุราปิก้า รอยยิ้มของคนที่ถูกพันธนาการไว้กับความโศกเศร้า
“เธอเลือกที่จะมาที่นี่เองต่างหาก ไม่น่าเชื่อนะคุราปิก้า ผ่านไปหกปีแล้ว แต่เธอยังสลัดมันออกไปจากหัวใจของเธอไม่ได้”
เด็กหนุ่มจ้องหน้าเธอคนนั้น
“เธอเป็นใคร รู้ชื่อของฉันได้ยังไง”
“ฉันอยู่กับเธอมาตั้งแต่เกิดแล้ว เพราะฉันคือเทวดาประจำตัวที่คอยดูแลเธอยังไงล่ะ”
คุราปิก้ายิ้มเหยียด
“ไม่จริงหรอก ฉันรู้มาว่าเทวดาประจำตัวมนุษย์จะมีเพศเดียวกับมนุษย์คนนั้น แล้วทำไมแองเจิลของฉันถึงเป็นผู้หญิงล่ะ”
หญิงสาวถอนใจยาว รอยยิ้มบางๆเกลี่ยอยู่ทั่วมุมปาก
“เธอนี่รอบรู้จริงๆนะคุราปิก้า แต่ที่เธอรู้มาถูกเพียงครึ่งเดียว อันที่จริงเทวดาประจำตัวมนุษย์จะมีทั้งเพศชายและเพศหญิง แต่เทวดาที่มีบทบาทมักจะเป็นเพศเดียวกับพวกที่ถูกคุ้มครอง”
คุราปิก้าพยายามจะหัวเราะ ความจริงเขาไม่เชื่อเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาหัวเราะไม่ออก ภาพวาระสุดท้ายของเผ่าคูลท์
เด็กหนุ่มมองแผ่นดินสีเลือดอย่างเศร้าสร้อย เขาเดินช้าๆไปยังซากกระท่อมที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนก้มหน้ายืนทอดอาลัยอย่างสิ้นหวัง
หญิงสาวผู้อ้างว่าเป็นเทวดาประจำตัวคุราปิก้าตามมายืนอยู่ข้างๆอย่างสงบ หน้าเศร้า
“บ้านหลังนี้…ของเธอ…” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว
“เธอรู้ได้งัยว่านี่เคยเป็นบ้านของฉัน” คุราปิก้าถามเสียงสั่น
“บอกแล้วว่าฉันอยู่กับเธอมาตั้งแต่เกิด” หญิงสาวเสียงสั่นระริกไม่แพ้กัน
ร่างบางไม่เอ่ยเถียง เขามองเศษซากปรักหักพังตรงหน้า เมื่อก่อนที่ตรงนี้เคยเป็นที่พักพิงอันอบอุ่น…ของเขา บ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกลับเหลือเพียงซากเถ้าถ่านสีดำบางส่วนของตัวกระท่อมกับความทรงจำอันปวดร้าวและแสนระทมทุกข์ของคุราปิก้า
“ไม่ต้องห่วงฮะ พ่อ…แม่…” เด็กหนุ่มพึมพำอย่างลืมตัว “ตอนนี้ผมสบายดี”
ภาพร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดสีแดงฉาน เปลือกตาเปิดค้างเผยให้เห็นความว่างเปล่าที่ซุกซ่อนอยู่ภายในลอยวูบวาบอยู่ในความคิดของคุราปิก้า
คุราปิก้าตัวสั่นราวลูกแมวที่ถูกทอดทิ้ง เปลือกตาคู่งามกระพริบถี่ราวกับจะสะกดกลั้นอารมณ์ที่ล้นปรี่อยู่ภายใน เขาขบริมฝีปากของตัวเองจนเจ็บช้ำ ก่อนจะเอ่ยคำที่เต็มไปด้วยความมาดหมาย
“ผมจะแก้แค้นพวกแมงมุม”
หญิงสาวสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นที่แฝงมาในคำพูดของคุราปิก้า
“คุรา…”
“ถึงจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก ผมก็จะต้องทำให้สำเร็จ” เด็กหนุ่มยังคงเอ่ยต่อไปอย่างมุ่งมั่น ความชิงชังได้เข้าครอบงำความรู้สึกที่เคยสุขุมเยือกเย็น ใบหน้าของร่างบางในยามนี้ช่างไม่ต่างอะไรกับใบหน้าของซาตานที่โดนเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นเข้าควบคุมจิตใจ เปลวไฟอันร้อนแรงที่พร้อมจะเผาผลาญดวงวิญญาณของเด็กหนุ่มให้มอดไหม้
“อย่านะ คุราปิก้า เธอจะทำแบบนั้นไม่ได้ เธอจะเอาชีวิตไปแลกเพียงเพื่อดวงวิญญาณของคนที่ตายแล้วไม่ได้”
“หึ” คุราปิก้าเอ่ยเสียงแปลกแปร่ง “การแก้แค้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันยังมีกำลังใจยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ เธอกำลังจะบอกให้ฉันล้มเลิกมันหรือ”
“ใช่”
“ไม่มีทาง”
หญิงสาวมองเด็กหนุ่มผมทองที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยความเศร้าใจ ทั้งๆที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ แต่กลับต้องมาแบกรับภาระอันหนักหนาสาหัส ทำไม…เด็กที่น่าจะได้ออกไปโลดแล่นบนโลกภายนอกอย่างสนุกสนาน ถึงต้องมาจมปลักอยู่กับความหลังครั้งเก่าที่มีแต่จะคอยบั่นทอนจิตใจที่บริสุทธิ์ของตนเองด้วยนะ
“ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกเจ็บแค้นแทนเพื่อนพ้องของเธอ” หญิงสาวเอ่ย
“แต่เธอรู้ไหม กว่าที่เธอจะฆ่าพวกแมงมุมได้แต่ละคน เธอต้องเสียสละชีวิตของคนบริสุทธิ์ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อมิเท่าไหร่”
เกิดประกายความเสียใจวาบขึ้นในดวงตาสวยของเด็กหนุ่ม
“เธอคิดว่าทุกคนจะพอใจกับเรื่องน่าเศร้าแบบนี้หรือ”
“การแก้แค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลยนะคุราปิก้า เธอได้แต่จะทำให้คนรอบข้างเจ็บช้ำ และสร้างแผลใจให้คนที่ต้องสูญเสียคนที่เขารักไป”
“เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของคนพวกนั้นหรืออย่างไรกัน”
ร่างบางตัวสั่นระริก ก่อนที่จะเผยอริมฝีปากเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงอันไม่สดใส
“ฉัน…ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ก็ฉันเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเผ่านี่นา”
น้ำเสียงของคุราปิก้าในยามนี้ ช่างฟังดูเหมือนน้ำเสียงของเด็กหลงทางตัวน้อยที่กำลังเหน็ดเหนื่อยและสับสน ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
“เธอจึงคิดที่จะทำอะไรเพื่อเผ่าบ้างสินะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเศร้า “ฉันรู้ เธอไม่ได้แก้แค้นเพราะเธออยากทำ แต่เธอทำเพราะ…”
“ฉันต้องทำ” เด็กหนุ่มกล่าวต่ออย่างอ่อนล้า
“ไม่ใช่…เธอทำเพราะเธอคิดว่าเธอต้องทำต่างหาก”
“ทำไมนะ คุราปิก้า ตัวเธอที่ฉันเคยรู้จักเป็นคนที่น่ารักมากมิใช่หรือ ฉันจำได้นะ เธอเคยปกป้องสัตว์ป่าทุกตัวที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ แล้วทำไมคุราปิก้าที่ใจดีอ่อนโยนถึงได้กลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อการล้างแค้นล่ะ”
“ก็…พ่อสอนให้ฉันปกป้องเผ่าคูลท์”
ภาพเด็กชายตัวน้อยที่กำลังหนีการฝึกวิชาผุดขึ้นมาในหัวใจของคุราปิก้า เขาก็เป็นเพียงเด็กทั่วๆไปที่ปรารถนาจะเล่นซนไปวันๆมากกว่าการที่ต้องมารำควงดาบไม้อันเป็นหนึ่งในวิชาประจำเผ่าที่น่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง แต่พ่อของคุราปิก้าก็ยังคงตามตัวเขากลับมาได้เสมอพร้อมกับคำสั่งสอนที่เปี่ยมด้วยความเอื้ออาทร
“คุรา… ถ้าลูกไม่มีความสามารถอะไรเลย หากสักวันมีคนบุกมาทำร้ายเผ่าของเรา แล้วลูกจะทำยังไงล่ะ ลูกจะยอมสูญเสียใครสักคนไปหรือ ทุกคนต่างพยายามช่วยกันดำรงเผ่าของเราให้สามารถดำเนินชีวิตได้ต่อไปอย่างมีความสุขนะลูก”
แต่ไม่มีใครคิดฝันว่า ชีวิตของเผ่าคูลท์จะต้องสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว จริงอยู่ที่ทุกคนรู้ถึงความละโมบอันน่ารังเกียจของโลกภายนอกดี ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเลยที่จะมีนัยน์ตาสีงามซึ้งในยามโกรธขึ้ง ด้วยเหตุนี้ชนเผ่าคูลท์จึงตกเป็นเหยื่อของความโหดร้ายทารุณของบุคคลผู้มีจิตใจแข็งกระด้างซึ่งหวังเพียงจะได้ครอบครองดวงตาสีสดสวย
กลุ่มโจรเงามายาก็เป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนมากมายเหล่านั้น วันที่พวกแมงมุมได้เปิดฉากสังหารเผ่าคูลท์โดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัวนั้น เป็นวันที่หัวใจของเด็กหนุ่มเจ็บปวดที่สุดในชีวิต การต่อสู้ที่ดุเดือดกลับจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของกลุ่มชนเล็กๆที่อยากมีชีวิตอย่างสงบสุข หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกโอบล้อมด้วยเปลวไฟสีแดงฉาน และร่างไร้วิญญาณที่นอนเกลื่อนกลาด แม้แต่พระจันทร์ก็ดูเหมือนถูกย้อมด้วยสีเลือดราวกับเพื่อไว้อาลัยการจากไปของชนเผ่าคูลท์
หยาดน้ำใสๆอาบอยู่ทั่วดวงตาเศร้าสร้อยของคุราปิก้า ความทรงจำที่โหดร้ายครั้งนั้นยังตามหลอกหลอนตัวเขาอยู่เสมอไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น บางครั้ง…เด็กหนุ่มรู้สึกอ่อนล้าจนเผลอคิดว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในชนเผ่าคูลท์ที่สิ้นชีวีไปด้วยฝีมือของพวกแมงมุม
เขารู้ตัวดีว่า สิ่งที่กำลังกระทำอยู่นั้นมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่คนอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีจะสามารถจัดการได้ เด็กหนุ่มได้แต่ดำเนินชีวิตด้วยความสับสน ทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หดหู่และสิ้นหวัง ไม่มีทางเลยที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำจะทำให้ความปรารถนาสูงสุดเป็นจริงได้…อยากให้เพื่อนพ้องของเขากลับมาอีกครั้ง อยากพบหน้าคนที่เขารักสุดหัวใจอีกสักครั้ง
“ในเมื่อฉันไม่มีอะไรเหลือแล้ว ชีวิตของฉันก็ไม่มีค่าอีกต่อไป” คุราปิก้าเอ่ยเสียงแหบแห้ง
“ถึงฉันจะต้องตาย ก็ขอทำอะไรเพื่อเผ่าคูลท์บ้างเถอะ”
“เธอคิดว่าชีวิตของเธอเป็นสิ่งไร้ค่าขนาดนี้เชียวหรือ” หญิงสาวพูดเสียงสูง
“เธอจะยอมทิ้งความสุขของตนเองเชียวหรือ”
“คนที่มีชีวิตอยู่ในขณะที่คนมากมายต้องตายไป ไม่สมควรที่จะมีความสุขหรอก”
“เธอมันคิดตื้นๆ”
“เธอเคยคิดไหม ว่าจะมีคนเศร้าเสียใจถ้าเธอต้องจากไป”
“ฉันไม่มีใคร”
“คิดให้ดีคุราปิก้า คนที่เธอรู้สึกผูกพันด้วย คนที่เธอให้ความสำคัญต่อเค้า และเค้าก็ให้ความสำคัญต่อเธอ”
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอื้อนเอ่ยน้ำเสียงที่เหมือนกับจะเพ้อ
“ก กอร์น…”
“คิรัวร์ กับเลโอลีโอ” เทวดาสาวต่อให้ “เธอลืมพวกเขาไปได้อย่างไรกันนะ ทั้งๆที่พวกเธอเคยร่วมหัวจมท้ายด้วยกันตั้งหลายเดือน”
“พวกนั้นจะมาสนใจฉันทำไม” คุราปิก้ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงมาก
“ฮึ สนใจทำไม… ใครกันที่ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อหาทางให้เธอได้กำจัดพวกแมงมุม ใครกันที่ยอมเผชิญหน้ากับพวกมันทั้งๆที่กลัวใจจะขาด ใครกันที่ยอมแม้กระทั่งให้เธอใช้โซ่เน็นกับตัวเองเพื่อปกป้องเธอ ใครกันที่…”
“พอแล้ว หยุดพูดเสียที” คุราปิก้าทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ยกมือเรียวสวยคู่นั้นปิดใบหูทั้งสองข้าง หลับตาแน่นราวกับไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น
“เธอน่ะมันอ่อนแอ” หญิงสาวพูดเสียงแข็งกระด้าง “เธอปิดตัวเองไว้กับความทรงจำเก่าๆทั้งๆที่มันไม่น่าจดจำเลยแม้แต่นิดเดียว เธอไม่ยอมให้โอกาสตัวเองที่จะจะมีคนอื่นเข้ามาในชีวิตนอกจากเพื่อนพ้องร่วมเผ่า…ไร้ชีวิตของเธอ”
คุราปิก้าตัวชาดิก คำพูดของเทพที่คุ้มครองตัวเขาแทงใจเด็กหนุ่มเข้าเต็มเปา เขาไม่ยอมเปิดใจรับคนอื่นเข้ามาเป็นเพื่อน เด็กหนุ่มกลัวจะต้อง…
“เธอกลัวที่จะต้องสูญเสียเขาไปอีก” หญิงสาวกล่าวเหมือนรู้ใจคุราปิก้า
“นั่นสิ เหตุผลง่ายๆ เธอกลัวการสูญเสีย ในที่สุดเธอก็มัวแต่คิดถึงความรู้สึกของคนเองมากกว่าคนรอบข้าง…”
“ฉันไม่อยากให้พวกเขาเป็นอะไรไปเพราะฉัน”
“งั้นหรอ…” เธอลากเสียงยาว หญิงสาวกำลังทำให้จิตใจที่เคยมั่นคงของเด็กหนุ่มไหวเอน ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่มีผลกระทบต่อจิตใจของคุราปิก้ามากที่สุดคือ…คำว่าเพื่อน
“การกระทำของเธอไม่ได้แสดงว่าเธอเป็นห่วงพวกเขาเลยนะ มีแต่หาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องบ้างล่ะ ไม่ต้องการพวกเขาบ้างล่ะ แต่สุดท้าย ทั้งสามคนก็ยังคงยืนอยู่ข้างๆและคอยยื่นมือให้เธอทุกที”
คุราปิก้าก้มหน้านิ่ง เธอคนนี้พูดถูกทุกอย่าง เขาพยายามทำตัวให้เข้มแข็งและปรารถนาที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องหันไปหาเพื่อนที่รักทั้งสามเพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือทุกครั้งไป
ก็มีแต่กอร์น คิรัวร์ กับเลโอลีโอนี่แหละที่ไม่เคยประนามความทะเยอทะยานอันไร้เหตุผลของเขาที่พยายามจะล้างแค้นแทนผู้คนที่ตายไปแล้ว ทั้งๆที่รู้ว่าเพื่อนพ้องของเขาจะไม่มีวันตื่นขึ้นมารับรู้ในสิ่งที่เขากระทำ
ทั้งสามคนยังคงมีรอยยิ้มเกลี่ยอยู่ทั่วใบหน้าทุกครั้งเมื่อเวลาที่พบเจอเขา รอยยิ้มที่ซื่อบริสุทธิ์ที่กอปรไปด้วยความไว้วางใจ แต่กี่ครั้งแล้วนะที่เขาผลักไสไล่ส่งความหวังดีของพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ
“มันคงสายไปแล้วล่ะ ที่จะแก้ไขอะไรๆให้ดีขึ้นมา” คุราปิก้ากล่าวด้วยดวงตาแดงช้ำ…ไม่ได้แดงเรื่อด้วยความโกรธแค้น หากแต่เป็นสีแดงเศร้าแห่งความรู้สึกผิด นึกเคืองตัวเองที่เคยตัดสายสัมพันธ์กับพวกนั้นอย่างไร้เยื่อใย คนอย่างเขา…ไม่สมควรที่จะมีเพื่อนดีๆแบบนี้หรอก
“ไม่สายหรอก คุราปิก้า” หญิงสาวเอ่ย
“ความจริงฉันมาเตือนเพื่อให้เธอเริ่มต้น ฉันเชื่อว่าทุกคนคงให้โอกาสเธอ จำไว้นะ อดีตไม่ได้มีไว้ให้เราหมกมุ่นอยู่กับมัน แม้ว่ามันจะเริ่ดหรูหรือโหดร้ายสักเพียงไหน แต่เราต้องใช้อดีตเป็นเสมือนสิ่งเตือนใจให้เราก้าวไปข้างหน้าอย่างถูกต้องต่างหาก”
คุราปิก้ารับคำอย่างว่าง่าย
“แล้วเธอก็ควรจะหัดมองคนรอบๆข้างบ้างว่า มีใครที่เธอควรหวงแหนและปกป้องบ้างไหม เพื่อนน่ะมีอยู่ทุกที่ถ้าเธอจะยอมเปิดประตูใจไปพบมัน ฉันหวังว่ากอร์น คิรัวร์ และเลโอลีโอจะไม่ต้องกลุ้มใจเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องของเธออีกนะ”
คุราปิก้ารับคำทั้งน้ำตา
“เธอน่าจะกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงซะที” หญิงสาวยิ้ม “เพื่อนทั้งสามคนคงกำลังรอเธออยู่…”
“อีกอย่างนะ คุราปิก้า” หญิงสาวเอ่ยก่อนที่เปลือกตาของคุราปิก้าจะปิดลง
“Happy Birthday แด่เจ้านายจอมดื้อตัวน้อยของฉัน”
“อือ… อ๊ะ!” คุราปิก้าพลิกตัวก่อนที่จะหล่นตุ้บจากโซฟาไปนอนแผ่หราอยู่บนพื้นห้อง เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงง เมื่อกี้เขายังอยู่ที่เผ่าคูลท์อยู่เลยนี่ แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ มันเป็นห้องพักของเขาชัดๆ ห้องเล็กๆสะอาดตาดูเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบนี้ ชั้นวางของที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือแบบนี้ ผนังสีขาวโล่งเรียบไร้ซึ่งสิ่งตกแต่งใดๆแบบนี้…
“ฝันไปหรือนี่” คุราปิก้ารำพึงกับตัวเองเบาๆด้วยความงงงวยขณะหันรีหันขวางมองหานาฬิกา พลันสายตาก็บังเอิญไปสะดุดกับสิ่งแปลกปลอมสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในห้องนี้
คุราปิก้าเคลื่อนกายไปใกล้โต๊ะตัวเล็กสีน้ำตาลอบอุ่น ซึ่งบัดนี้มีบางสิ่งบางอย่างวางอยู่บนมันอย่างสวยสง่าและเด่นชัด
เมื่อเขามองเห็นสิ่งนั้นแล้ว เด็กหนุ่มถึงกับยิ้มออกทั้งน้ำตาคลอ
มันเป็นกรอบรูปสีน้ำตาลเข้มดูล้ำค่ายิ่งนัก รอบๆกรอบรูปมีถ้อยคำสลักเป็นคำพูดที่ซึ้งกินใจของคุราปิก้า เขาลูบไล้ตัวอักษรสลักด้วยปลายนิ้วอันสั่นระริก สะอื้นเบาทั้งๆที่มั่นใจว่าตนเองไม่ได้อ่อนแอสักนิด
“Friends are always there, honest, hopeful, lasting, sharing always for you. Friends are forever. Friends like space and know the meaning of a smile, crying, a tear, all from a friend.
Treasures are like friends, they only have a value for you.”
คุราปิก้าอ่านข้อความเหล่านั้นด้วยความตื้นตันใจ แย้มยิ้มอย่างมีความสุข โลกที่แบกไว้จนไหล่ลู่ล้ามาตลอดดูเหมือนจะหายวับไปในทันที
พวกแมงมุมรึ… เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถอะ
ร่างบางยังมองรูปที่ถูกบรรจุมาอย่างปราณีตในกรอบสีสวยอย่างแปลกใจ รูปของพวกเขาสี่คน แต่ยิ่งกว่านั้น…ภาพเขากำลังยิ้ม กอดคอกับเพื่อนๆที่รักทั้งสามคนอย่างมีความสุข เขาเคยทำหน้าตาแบบนั้นด้วยหรือ เรื่องราวมากมายที่รุมเร้ารอบตัวเขาทำให้คุราปิก้าลืมการยิ้มสดใสแบบนั้นไปซะสนิท น่าแปลก…ที่กอร์น คิรัวร์ และเลโอลีโอยังคงจดจำรอยยิ้มของเขาได้
คุราปิก้ามองภาพในกรอบรูปสักพักก่อนจะสังเกตเห็นการ์ดลายทุ่งหญ้าสีตองอ่อนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทั้งๆที่เป็นภาพทุ่งหญ้าว่างเปล่า แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ซุกซ่อนมากับใบหญ้าที่โบกพลิ้ว สายลมที่พัดแผ่ว และความห่วงใยจากหัวใจของผู้ที่ส่งมา คุราปิก้าสัมผัสการ์ดอย่างเบามือก่อนจะเปิดเพื่อรับรู้สิ่งที่อยู่ภายใน
มีลายมือยุ่งเหยิงของคนสามคนพันกันไปมา เห็นได้ชัดว่า พวกเขากระตือรือร้นที่จะส่งข้อความถึงเด็กหนุ่มมากมายทีเดียว
“ถึง คุราปิก้า ĶűŕåΡĩķâ
สุขสันต์วันเกิดนะ! แก่ขึ้นอีกปีแล้วอย่าทำตัวน่าเป็นห่วงอีกล่ะ ทีนี้…อธิฐานซะ พวกเราขออวยพรให้คำอธิฐานของนายเป็นความจริง
เพื่อนของนาย
ก~ คิรัวร์ กอ เล กอร์น เลโอลีโอ
ปล. มือถือของพวกเรายังเปิดรับการติดต่อของนายอยู่นะ”
เด็กหนุ่มยิ้มขำๆกับข้อความอวยพรมันเกิดที่แม้แต่การลงชื่อยังต้องแย่งกันเขียนและความขี้ลืมของตนเองที่ลืมได้แม้กระทั่งวันที่สำคัญที่สุดในชีวิต…เช่นวันเกิดที่มีเพียงปีละหนเท่านั้น
ตัวอักษรที่จารึกคำพูดของกอร์น คิรัวร์ และเลโอลีโอไม่ได้มีความลึกซึ้งหรือความอ่อนหวานละมุนละไมเลย แต่คุราปิก้าก็ยังซาบซึ้งกับถ้อยคำง่ายๆแต่เต็มเปี่ยมด้วยมิตรภาพและความจริงใจ ความเอาใจใส่ในตัวเขา…ผู้ไม่เคยสนในสิ่งใดนอกจากการมัวเมาและหมกมุ่นอยู่กับการล้างแค้น
น่าละอายใจที่ปล่อยให้วันคืนผ่านเลยมาจนถึงบัดนี้ อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูด การแก้แค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทั้งยังทำให้เขาพลาดความสวยงามที่รายล้อมอยู่รอบกายอีกต่างหาก จริงอยู่…เขาไม่อาจลบล้างความพยาบาทที่มีต่อพวกแมงมุมได้ เขาไม่อาจหยุดความคิดที่ต้องกำจัดกลุ่มโจรเงามายาให้สูญสิ้นไปได้ แต่อย่างน้อย…การแก้แค้นไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน ความเกลียดชังไม่จำเป็นต้องมีให้ผู้อื่นทุกเมื่อ วันนี้…เวลานี้…วินาทีนี้…เขาพร้อมที่จะเป็นผู้รับความสุขและมอบความสุขให้แก่คนที่คอยดูแลและให้โอกาสเขาอยู่ห่างๆตลอดมา
คุราปิก้าคว้าโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กกะทัดรัดของเขา กดหารายชื่อ กอร์น อมยิ้มน้อยๆก่อนจะกดปุ่มโทร
“คำอธิษฐานของฉันกำลังจะเป็นจริงแล้วล่ะ”
- อยากพบหน้าคนที่ฉันรักสุดหัวใจอีกสักครั้ง –
THE END
Written by yumeko
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
4ความคิดเห็น