คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : First Impression ลึกๆในใจ (50%)
1
“เอี๊ยดดดด!!!”
“ว้ายยยยย!!!”
“คุณ...” ร่างสูงสมาร์ตในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอกกับกางเกงสแล็คสีดำร้องเรียก ขณะเปิดประตูลงมาจากรถบีเอ็มดับเบิลยูครอสโอเวอร์สีขาวคันใหญ่ป้ายแดง ขายาวรีบก้าวตรงมาที่ร่างของผู้หญิงที่ล้มอยู่กับพื้นหน้ารถครอสโอเวอร์ของเขา
“คุณ! เป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มเจ้าของรถถามเสียงเข้ม น้ำเสียงแฝงไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองผสมหงุดหงิดเล็กน้อย เขาเลี้ยวรถเข้ามาในบริษัท นภศุภ์ คอนสตรัคชั่น ด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก แต่ก็ไม่วายต้องเหยียบเบรกอย่างกะทันหันเพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถของเขาในระยะกระชั้นชิด “เจ็บตรงไหน หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ...ไม่ ฉันไม่เป็นไร” หญิงสาวกัดฟันพูด เธอพยายามที่จะไม่แสดงออก ทั้งๆที่รู้สึกเจ็บบริเวณข้อเท้ามาก เท้าของเธอพลิกเพราะรองเท้าที่สวมอยู่มีความสูงถึงสองนิ้ว
“อุ้ย! อุ้ย!” ร่างสมส่วนในชุดกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนเซถลา หลังจากพยายามที่จะลุกขึ้น จนชายหนุ่มร่างสูงต้องรีบเข้าช่วยประคองร่างสมส่วนนั้นไว้มิให้ล้ม
“จะข้ามถนนก็ควรจะมองซ้ายมองขวาให้ดีเสียก่อน ไม่ใช่พรวดพราดออกมาอย่างนี้” คราวนี้น้ำเสียงของชายหนุ่มบงบอกถึงความไม่สบอารมณ์ได้อย่างชัดเจน
“เอ๊ะ! คุณนี่” หญิงสาวชักเสียงสูงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้าง เธอยอมรับว่าตัวเองมีส่วนผิดที่รีบร้อนวิ่งข้ามถนนเล็กๆภายในบริษัทโดยที่ไม่ดูให้ดีเสียก่อนด้วยความรีบร้อนและไม่นึกว่าจะมีใครขับรถเข้ามาในบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่อย่างนี้
ส่วนเธอต้องรีบมาทำงานตั้งแต่เช้าเพราะว่ามีงานด่วน เจ้านายของเธอ ปิรัณ นภศุภ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท นภศุภ์ คอนสตรัคชั่น จะต้องได้เอกสารทั้งหมดไปเข้าประชุมในช่วงบ่ายของวันนี้ เธอมีเวลาถึงเที่ยงเท่านั้น ที่จะต้องทำให้เสร็จเรียบร้อย แต่นี้เธอกลับต้องเสียเวลาเข้าไปอีก ถึงแม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อยก็ตาม
มธุรส สกุลเกศ ช้อนสายตาขึ้นมองคู่กรณีเจ้าของวงแขนที่กำลังช่วยประคองเธอเป็นครั้งแรก แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องชาวาบไปทั้งร่าง ริมฝีปากอิ่มอ้างค้างแข็งไม่สามารถเปล่งเสียงสำเนียงใดๆออกมาได้ เมื่อเห็นใบหน้าคมสันสีน้ำตาลจางๆ ที่ติดจะเคร่งขรึมของเจ้าของวงแขนแข็งแรงได้อย่างถนัด
“คุณปรวิตต์” มธุรสร่ำร้องเรียกชื่อของเขาอยู่ในใจ หัวใจดวงน้อยๆของเธอกระตุกวูบเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวตะลึงงันไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ส่วนเจ้าของวงแขนแข็งแรงก็รู้สึกชาหนึบไปชั่วขณะเช่นกัน เมื่อได้ประสานสายตากับดวงตากลมงามที่มีประกายไหววูบอย่างประหลาด
“เออ...ปล่อยค่ะ ฉันยืนเองได้” มธุรสอึกอักพยายามที่จะดันตัวออกจากวงแขน เมื่อคลายจากอาการตื่นเต้น
“อุ้ย!” พอเธอหลุดจากวงแขน ร่างสมส่วนก็เซถลาอย่างไม่เป็นท่า จนชายหนุ่มต้องเข้าประคองอีกครั้ง
“เจ็บแล้ว ยังจะทำอวดดีอีก” ปรวิตต์ส่ายศีรษะอย่างนึกระอา คราวนี้เขาไม่ฟังเสียง ตรงเข้าช้อนร่างอรชรของเธอขึ้นอุ้มทั้งตัว มธุรสตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ร่างสูงสมาร์ตอุ้มเธอเดินดุ่มๆไปที่ม้านั่งยาวข้างสนามหญ้า เขาวางเธอลงบนม้านั่ง ส่วนตัวเองทรุดตัวลงนั่งยองๆบนส้นรองเท้าสีดำอยู่เบื้องหน้าเธอ
“เท้าข้างไหนที่เจ็บ” เขาถามเสียงเข้ม
“ข้างซ้ายค่ะ” มธุรสตอบไปโดยอัตโนมัติ มือเรียวที่สะอาดสะอ้านถอดรองเท้าคัตชูของเธอออกอย่างไม่นึกรังเกียจ และก่อนที่หญิงสาวจะทักท้วงหรือทำอะไรต่อ เขาก็ลงมือบีบนวดข้อเท้าข้างที่แพลงอย่างตั้งอกตั้งใจและชำนิชำนาญ “อุ้ยไม่...ไม่ต้องค่ะ” เธอพยายามที่จะชักเท้าหนีด้วยความกระดาก
“อยู่นิ่งๆเถอะน่า” เขาปรามเสียงเข้มและยึดข้อเท้าของเธอไว้แน่น และตั้งใจที่จะบีบกดข้อเท้าต่อไป
“อูยยย!”
“เจ็บเหรอ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นถาม สายตาประสานกันเข้าอย่างจัง ต่างคนต่างนิ่งมองตากันอย่างเนิ่นนาน
ปรวิตต์ยอมรับกับตัวเองว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นคนหน้าตาดี เรียกว่า “สวย” เลยก็ว่าได้ ใบหน้าเนียนใส ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างเบาบางพองาม ริมฝีปากอิ่มระเรื่อย จมูกเล็กโด่งสวยเหมาะเจาะกับวงหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตเป็นประกายล้อมด้วยแพนขนตายาวงอน เขาเผลอไผลสำรวจ
ชายหนุ่มรู้สึกตัว เขาสลัดศีรษะเล็กน้อยก่อนที่จะตั้งใจนวดข้อเท้าต่อไปอย่างนุ่มนวลขึ้น และไล่เลยมาตามปลีน่องเรียวขาว ทำให้หญิงสาวรู้สึกสบายและคลายความเคล็ดขัดยอกไปได้มาก
มธุรสเบือนหน้าหันไปมองทางอื่น เธอรู้สึกตกใจและตื่นเต้นระคนกัน ร่างทั้งร่างชาร้อนวูบวาบไปหมด เมื่อได้พบกับปรวิตต์ นภศุภ์ในเช้าวันนี้อย่างไม่คาดฝัน เธอรู้จักเขาแต่เพียงฝ่ายเดียวตั้งแต่สามปีที่แล้วเห็นจะได้ โดยผ่านทางรูปถ่ายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานของเจ้านายของเธอ ปิรัณ นภศุภ์ ผู้ซึ่งเป็นบิดาของเขา หรือ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัท นภศุภ์ คอนสตรัคชั่น ซึ่งตอนนั้นเธอเพิ่งเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ได้ใหม่ๆในตำแหน่งพนักงานเสมียน
เมื่อสามปีที่แล้วมธุรสถูกส่งตัวให้ไปช่วยพิมพ์เอกสารเร่งด่วนจำนวนมากที่ห้องทำงานของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เธอจึงได้มีโอกาสเข้าไปทำงานใกล้ชิดกับปิรัณ นภศุภ์เป็นครั้งแรก จึงทำให้ทราบว่าปิรัณเป็นเจ้านายและผู้บังคับบัญชาที่มีความสามารถ มีคุณธรรม มีความโอบอ้อมอารี เขาจึงเป็นที่รักใคร่ของลูกน้องและผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน ใครที่ได้อยู่ใกล้ชิดและทำงานให้กับเขาก็อดที่จะให้ความเคารพนับถือและนิยมชมชื่นไม่ได้ในความเก่งฉกาจทางธุรกิจและความมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเลิศ ไม่เคยถือเนื้อถือตัวเลยสักนิดกับผู้ร่วมงาน หรือพนักงานที่ต่ำระดับชั้นเช่นเธอ
จนมีอยู่วันหนึ่งปิรัณสังเกตเห็นนามสกุลของเธอ จึงเอ่ยปากถามว่าเธอเป็นอะไรกับมโนรส สกุลเกศ มธุรสจึงตอบไปว่าเป็นลูกสาว ปิรัณถามถึงบิดาของเธอด้วยอาการตื่นเต้น เพราะมโนรสเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเขา
มธุรสตอบไปว่าบิดาของเธอเสียชีวิตไปนานตั้งแต่สิบสี่ปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ปิรัณตกใจมากและบอกว่าคิดไม่ถึงว่าเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยจะอายุสั้นเช่นนี้
เนื่องจากมธุรสเป็นลูกสาวของเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และมีฐานะทางครอบครัวค่อนข้างลำบาก เธอมีภาระต้องดูแลแม่ที่ป่วยและน้องอีกสองคนที่กำลังเรียนหนังสือ ปิรัณจึงเลื่อนให้เธอได้ทำงานในตำแหน่งใหม่ โดยแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยของเขาอีกตำแหน่งหนึ่งรองจากศุพินิจ เรืองโรจนวัฒน์ คนสนิทและผู้ช่วยมือหนึ่งของเขา ซึ่งทั้งศุพินิจและมธุรสก็เข้าคู่เข้าขากันได้ดีในเรื่องการทำงาน อีกทั้งสาขาการตลาดที่มธุรสจบมาก็เป็นประโยชน์กับงานในตำแหน่งใหม่ได้ไม่น้อย
มธุรสเป็นหญิงสาวที่มีความตั้งใจและมุ่งมั่น เธอทำงานอย่างเต็มที่พยายามที่จะเรียนรู้งานจากศุพินิจให้ได้มากที่สุดด้วยความขยันหมั่นเพียร เพื่อที่จะไม่ให้ใครครหาได้หรือทำให้ปิรัณผิดหวัง แต่ก็มิวายถูกคนในบริษัทซุบซิบนินทาว่าเธออาจจะใช้อย่างอื่นที่ไม่ใช่ความสามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ช่วยของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาไม่ถึงสามปีจากตำแหน่งเสมียนธรรมดาๆ
แต่ก็หนีไม่พ้นเสียงซุบซิบโจษจันไปทั่วบริษัทสำหรับคนที่คิดอกุศลและอิจฉาตาร้อน ว่ามธุรสใช้ความสาวความสวยแลกมาซึ่งตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งมธุรสก็ไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย เธอกลับพยายามที่จะทำงาน เพื่อพิสูจน์ฝีมือของตัวเองให้เป็นที่ยอมรับมากกว่า
แต่คนที่ทำให้มธุรสวิตกกังวลและเป็นห่วงความรู้สึกเห็นจะหนีไม่พ้นชมัยพร นภศุภ์ ผู้เป็นภรรยาของปิรัณ ว่าจะเข้าใจตัวเธอไปในทางที่ผิดตามเสียงซุบซิบนินทาของผู้ไม่ประสงค์ดี เพราะชมัยพรเองก็มีท่าทีมึนตึงไม่ชอบเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน มธุรสทราบได้จากสัญชาตญาณความเป็นลูกผู้หญิง เธอเกรงว่าเรื่องนี้จะสร้างความไม่สบายใจให้กับปิรัญผู้เป็นเจ้านายและผู้มีพระคุณมากกว่า
มธุรสแอบชอบปรวิตต์ทันทีที่ได้เห็นรูปถ่ายในห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านาย เธอก็ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมถึงได้ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น ปรวิตต์เป็นลูกชายคนโตของปิรัณและชมัยพร เขาเป็นหนึ่งในสามทหารเสือเจเนอเรชั่นใหม่ของนภศุภ์ คอนสตรัคชั่นลำดับที่สอง รองจากปณพล นภศุภ์ (ลำดับที่สาม คืออสิต พรประสบ ลูกเขยของปิรัณ)
เธอเคยแอบหยิบรูปของเขาขึ้นพินิจพิจารณาว่า ชายหนุ่มในรูปตัวจริงจะเป็นคนเช่นไร ดวงตาที่เฉี่ยวคมกับรอยยิ้มนิดๆที่มุมปากภายใต้ใบหน้าที่เคร่งขรึม แต่มีเสน่ห์ดึงดูดได้อย่างประหลาด อีกทั้งปิรัณยังพูดถึงความสามารถในการทำงานและความอบอุ่นของลูกชายคนนี้ที่มีต่อครอบครัวให้เธอได้ฟังอยู่บ่อยๆโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เธอซึมซับและชื่นชมในตัวของปรวิตต์มากยิ่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
แต่ความปลาบปลื้มและความฝันของมธุรสก็ต้องอับปางลงในระยะเวลาอันสั้น เมื่อทราบว่าปรวิตต์นั้นแต่งงานแล้วกับผู้หญิงที่แสนดีและเพียบพร้อม มธุรสสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆของตัวเองให้เขาหรือใครได้ล่วงรู้ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงหรือใครมาหัวเราะเยาะได้
ปรวิตต์เป็นตัวแทนของนภศุภ์ คอนสตรัคชั่น ไปควบคุมดูแลโพรเจกต์ก่อสร้างโครงการใหญ่ที่ร่วมทุนกับชวัลกร กรุ๊ป ในประเทศตะวันออกกลางเป็นเวลานานสามปี เมื่อโครงการใหญ่ในตะวันออกกลางเสร็จสิ้นลง ปรวิตต์จึงเดินทางกลับเมืองไทย และจะเข้ารับตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมแทนปณพณ
มธุรสหลับตาพริ้มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย และรู้สึกสบายกับมือเรียวใหญ่ที่กำลังนวดเฟ้นข้อเท้าของเธออย่างคล่องแคล้ว
“ผมคิดว่า คุณน่าจะดีขึ้นแล้วนะ” เสียงเข้มๆขรึมๆ ทำให้มธุรสสะดุ้งลืมตาขึ้น ก็สบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มเข้าอย่างจัง
“เออ...ค่ะ” มธุรสรีบชักเท้ากลับซึ่งเขาก็ปล่อยแต่โดยดี เธอเงอะงะอึกอักรู้สึกขัดเขินไปหมด จึงรีบก้มลงสวมรองเท้า
“ผมคิดว่าคุณคงจะไม่เป็นอะไรมาก แค่ข้อเท้าพลิกหาน้ำมันนวดอีกสักครั้งสองครั้งก็จะดีขึ้นกว่านี้ หรือว่าคุณอยากจะไปหาหมอ” ปรวิตต์สันนิฐาน แล้วถามต่อเสียงเข้ม
“ไม่ค่ะ ไม่ต้อง แค่นวดน้ำมันอย่างทีว่าก็น่าจะดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเก็บกระเป๋าและเอกสารของคุณที่ตกอยู่มาให้” ร่างสูงลุกไปเก็บข้าวของๆเธอที่ตกอยู่หน้ารถของเขา แล้วเดินกลับมาส่งคืนให้
“คุณทำงานอยู่ที่นี่เหรอ...” แต่ก่อนที่หญิงสาวจะตอบคำถาม ก็มีเสียงแตรรถดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน สองหนุ่มสาวหันกลับไปมองก็พบว่า ตอนนี้เริ่มมีพนักงานเข้ามาทำงานทั้งที่เดินเท้าและขับรถเข้ามา ซึ่งรถครอสโอเวอร์คันใหญ่ของเขาจอดขวางทางจราจรอยู่
“คุณรอผมสักครู่” ปรวิตต์เดินกลับไป เพื่อที่จะเคลื่อนรถออกให้พ้นจากการกีดขวาง แต่มีหรือที่มธุรสจะอยู่รอ เธอรีบเดินกระโผลกกระเผลกไปหลบอยู่มุมตึกใกล้ๆ
“อ้าว! ไปไหนซะแล้ว” ปรวิตต์พูดอย่างเสียอารมณ์ เมื่อกลับมาไม่พบเธอ “เลยไม่รู้กันว่าทำงานอยู่ที่ไหน” เพราะนภศุภ์ คอนสตรัทชั่น มีสามตึกๆแรกเป็นสำนักงานของ นภศุภ์ คอนสตรัคชั่นเอง อีกสองตึกที่เหลือเป็นออฟฟิศให้เช่า ซึ่งมีบริษัททั้งเล็กและใหญ่เข้ามาเช่าพื้นที่ทำสำนักงานกันอยู่เต็ม จึงมีพนักงานออฟฟิศมากหน้าหลายตาโดยเฉพาะเวลาพักรับประทานอาหารกลางวันหรือได้เวลาเลิกงาน ชายหนุ่มจึงไม่แน่ใจว่าเธอทำงานอยู่บริษัทอะไร ตึกไหน
ปรวิตต์มองไปรอบๆ ก่อนที่จะส่ายศีรษะเดินกลับไปที่รถ ซึ่งมธุรสที่ยืนแอบดูอยู่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องหลบ แต่บางครั้งการกระทำบางอย่างก็ไม่ต้องการเหตุผลเช่นกัน
ความคิดเห็น