ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *:: KRISHAN WINTER PROJECT ::*

    ลำดับตอนที่ #7 : Erased (by SumayaKB)

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 58


     







    Erased

    27 ธันวาคม 2014

    ปัง!

    สิ้นเสียงดังสนั่น ร่างทั้งร่างก็สะดุ้งสุดตัว  เปลือกตาสีนวลที่เคยปิดสนิทพลันเบิกกว้าง ก้อนเนื้อแห่งชีวิตกำลังเต้นระรัวจนรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งอก  ทั้งที่อากาศภายในห้องโดยสารของรถยุโรปคันหรูนั้นอุ่นสบาย แต่กายของเขากลับเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกราวกับว่าอากาศที่อยู่รอบตัวนั้นเบาบางลงจนต้องอ้าปากเพื่อกอบโกยเอาออกซิเจนเข้าปอด ลำคอและช่องปากแห้งผากไม่ต่างจากการเดินซมซานในทะเลทรายเป็นเวลานาน

    มือบางยกขึ้นมาลูบหน้าลูบตาตัวเอง

    ฝัน

    เขาฝันแบบเดิมอีกแล้ว

    ฝันแปลกประหลาดที่เขาเองก็ไม่รู้จะบรรยายมันออกมายังไง นอกจากม่านหมอกมัวๆ แล้ว เขาก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นในความฝัน

    สิ่งที่เขาพอจะจำได้นั้นมีอยู่ไม่กี่อย่าง จำได้แต่เพียงว่าในฝันนั้น เขาร้องไห้  ในหูได้ยินเสียงสายลมหวีดหวิว รู้สึกทรมาน โกรธเกรี้ยว ผิดหวัง และเสียใจ หัวใจของเขามันเจ็บร้าวเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบเค้น ปวดแสบปวดร้อนราวถูกน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผา


    เจ็บแสบเสมือนจริงมากจนต้องยกฝ่ามือขึ้นทาบตรงตำแหน่งของหัวใจเอาไว้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่เขาก็ยังคงรับรู้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ซ่านอยู่ในอกได้อย่างชัดเจน

    ในฝันนั้น นอกจากเสียงสะอื้นของตัวเองและสายลม ก็มีแค่มีเสียดังปังนี่แหล่ะเขาได้ยินด้วยทุกครั้ง

    ฝันแปลกประหลาด

    ฝันที่เขาไม่เข้าใจ และจนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาถึงฝันประหลาดซ้ำซากแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น 


    “คุณ” เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนทำให้ลู่หานสำนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ดวงตาหวานโศกค่อยเคลื่อนไปสบกับดวงตาอีกคู่ผ่านกระจกส่องหลังของรถยนต์

    “คุณโอเคหรือเปล่า?” คนผู้นั้นถามขึ้น  คนถูกถามที่มัวแต่จดจ่ออยู่กับการบังคับจังหวะการหายใจให้เป็นปกติไม่ได้ใส่ใจหรือสังเกตสักนิดว่าน้ำเสียงของคนที่ถามเขามีแววกังวลแทรกอยู่ในนั้น

    คิ้วเรียวได้รูปมุ่นเข้าชนกันเหมือนทุกคราวที่ฝ่ายนั้นเรียกขานเขา ลูกน้องทุกคนเรียกเขาว่านายหรือไม่ก็ท่านประธาน จะมีก็แต่คนขับรถคนใหม่ที่อี้ชิงหามาให้แทนหยางชวนคนเก่าที่ขอพักงานไปเพราะปัญหาสุขภาพนี่แหล่ะ สามเดือนผ่านมาแล้วแต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังเรียกเขาสั้นๆ ว่า คุณ’ ไม่มีคำว่านาย ไม่มีท่านประธาน ไม่มีหางเสียงบ่งบอกถึงความเคารพที่ควรมีให้อยู่เลย

    อี้ชิงกับเขาบอกเอาไว้ว่า คริส’ เป็นคนที่ไว้ใจได้ ขับรถเก่ง และที่สำคัญคือยิงปืนแม่นราวกับจับวาง เลขาคนสนิทของเขาจึงยกหน้าที่คนขับรถจำเป็นบวกผู้ติดตามส่วนตัวกลายๆ ให้แก่เพื่อนของตัวเองเป็นการชั่วคราว อี้ชิงยกเขาให้อยู่ใน ‘ความดูแล’ ของคริสจนกว่าเจ้าตัวจะเห็นแววของลูกน้องรายอื่นในสังกัด จากนั้นจึงค่อยผลักดันให้คนๆ นั้นขึ้นมารับผิดชอบหน้าที่นี้แทน

    “ผมโอเค” เขาตอบกลับไป คงเป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นไม่เคยทำตัวให้รู้สึกว่าเป็นเจ้านายกับลูกน้อง แถมยังเป็นเพื่อนกับอี้ชิงที่เขารักเสมือนพี่ชาย เขาจึงแทนตัวเองว่า 'ผม' และเรียกอีกฝ่ายว่า 'คุณ' เช่นกัน

    “คุณ”

    “อะไร”

    “ปวดหัวเหรอ?” คริสถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังกำลังใช้นิ้วคลึงและกดวนลงไปที่ขมับของตัวเอง ลู่หานส่งเสียงอือตอบรับในลำคอ เมื่อมือคว้าหาขวดน้ำดื่มเจอก็เปิดฝาออกแล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ ดวงตาหวานเสหันไปมองวิวด้านนอกกระจกรถ

    หลังมือบางยกขึ้นทาบไปกับกระจกเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจ้าตัวอยากรู้ถึงอุณหภูมิที่อยู่ด้านนอก สิ่งที่ได้กลับมาคือสัมผัสที่เย็นเฉียบจนตัวเองยังสะดุ้งน้อยๆ คิดในใจว่าไม่แปลกหรอกที่มันจะเป็นเช่นนี้เพราะเกล็ดหิมะสีขาวกำลังโปรยปรายอยู่ข้างนอกหน้าต่าง

    วิวทิวทัศน์ที่ปรากฏแก่สายตานั้นแย่งความสนใจจากอาการเจ็บร้าวทั้งในอกและในหัวที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาตื่นจากฝันประหลาดนั่นได้โดยไม่รู้ตัว เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางมายังที่แห่งนี้ในฤดูหนาว คริสกำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านพักตากอากาศหลังขนาดพอเหมาะที่พ่อแม่ของเขาสร้างไว้และพาเขามาตั้งแต่จำความได้

    ตามปกติแล้วลู่หานและพ่อแม่จะมาพักผ่อนที่นี่ปีละสองครั้ง ครั้งแรกคือราวเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหล่าต้นไม้ใบหญ้าเริ่มจะกลับฟื้นคืนมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และครั้งที่สองคือช่วงกลางเดือนตุลาคม ช่วงเวลาที่ลมหนาวพัดมา นำพาให้ใบไม้เปลี่ยนสีและเริ่มร่วงโรย


    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลู่หานเห็นหิมะขาวสว่างตาปกคลุมไปทั่วบริเวณแทนพื้นหญ้า แทนที่ใบอ่อนสีเขียวมะนาวที่มองแล้วเพลินตา แทนที่สีแดง สีเหลืองและ สีส้มที่ย้อมป่าและภูเขาทั้งลูกให้สวยงามราวภาพวาด

    “อีกนานไหมกว่าจะถึง?” ถึงแม้จะจำต้นไม้ทุกต้นและก้อนหินทุกก้อนของทุกโค้งบนถนนคดเคี้ยวสายนี้ได้ขึ้นใจ แต่ด้วยเพราะทัศนียภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่เคยเห็นมา ทำให้ลู่หานไม่แน่ในว่าอยู่ตรงจุดใดของภูเขาลูกนี้กันแน่

    “อีกประมาณครึ่งชั่วโมง ทนไหวไหม?” คริสตอบแล้วต่อด้วยคำถาม

    “ผมไม่ใช่คนป่วย นี่คุณโดนอี้ชิงกำชับอะไรมาหรือไง?” ลู่หานไม่ตอบหากแต่ถามกลับไปบ้าง ก่อนจะเสไปมองยังต้นไม้สูงใหญ่รายทางที่ไม่หลงเหลือใบ เหลือไว้เพียงกิ่งก้านที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวเท่านั้น

    ความเงียบงันเคลื่อนเข้ามาปกคลุมบรรยากาศภายในรถเมื่อคริสไม่ได้พูดอะไรตอบ และลู่หานก็ไม่ได้จริงจังกับการให้อีกคนตอบคำถามของเขาขนาดนั้น ทั้งคู่นั่งเงียบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงฮีทเตอร์ที่กำลังทำงานที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ใส่ใจเริ่มสร้างความอึดอัดให้ ลู่หานจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงไม่ดังนัก

    “เปิดวิทยุได้ไหม?”

    ดวงตาคมตวัดมามองยังกระจกส่องหลังอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุให้ตามที่อีกคนบอก คริสจูนคลื่นวิทยุอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเมื่อจูนได้ถึงสถานีที่ต้องการ ชายหนุ่มก็หยุดและเปลี่ยนไปเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นแทน

    ลู่หานยกยิ้มที่มุมปากขึ้นด้วยความพึงพอใจ ช่วงเวลาสามเดือนที่มีคริสติดสอยห้อยตามไปทุกที่ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนของอี้ชิงที่จับพลัดจับผลูได้มาดูแลเขานั้น ไม่ได้กระเตื้องขึ้นจากวันแรกที่ได้ทำความรู้จักกันแม้แต่น้อย จริงอยู่ที่คริสนั้นพูดคุยและต่อบทสนทนากับเขาหลายประโยคมากขึ้น แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเจ้าตัวกำลังปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

    แต่กระนั้นลู่หานก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคริสรู้ใจเขาอยู่ไม่น้อย แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาขอให้คริสจูนคลื่นวิทยุให้ตามที่บอก เขาเพียงแค่พูดไปคร่าวๆ ว่าเขาชอบเพลงประเภทไหนและโปรดปรานศิลปินคนใดบ้าง บอกไปเพียงแค่หนเดียวแต่คริสก็โปรแกรมมันเอาไว้ในหน่วยความจำด้วยความรวดเร็ว เพราะเหตุนั้นเอง เพลงที่เขาได้ยินอยู่นี้จึงเป็นเพลงคลาสสิคแจ๊สที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ช่างเข้ากับบรรยากาศของฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี

    ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องรสนิยมทางด้านดนตรีของเขาที่คริสทำหน้าที่ได้ดีและจำได้ขึ้นใจ เรื่องอื่นๆ อาทิเช่น อาหารการกิน สิ่งที่สามารถทำให้เขาผ่อนคลายได้ในวันที่เคร่งเครียดกับงาน สิ่งที่จะช่วยทำให้เขาสงบลงง่ายๆ เวลาที่อารมณ์เสีย กิริยาท่าทางที่เขาแสดงออก หรือแม้แต่ในเวลาที่เขานั่งเงียบไม่พูดไม่จา คริสก็อ่านเขาออกแทบจะทุกสิ่งทุกอย่างราวกับรู้จักสนิทสนมกันมาแรมปี คริสรู้ว่าเขาต้องการอะไร และรู้ว่าสิ่งใดมีผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของเขา

    คราแรกเขาก็ฉงนระคนแปลกใจ แต่สุดท้ายก็คิดเอาได้ว่ามันคงเป็นเพราะคริสเป็นเพื่อนกับอี้ชิงผู้ซึ่งรู้จักมักคุ้นกับเขามาเป็นเวลาหลายปี ก็เป็นไปได้ว่าอี้ชิงอาจได้ทำการป้อนข้อมูลของเขาให้กับคริสได้รับรู้ และคงจะเล่าเรื่องต่างๆ ในชีวิตของเขาให้อีกฝ่ายได้ฟังบ้าง อย่างเช่นเรื่องที่เขาประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คริสถึงได้คอยถามเขาเสมอเมื่อเขาแสดงออกเวลามีอาการปวดที่ศีรษะ

    มือบางยกขึ้นไปลูบยังรอยแผลเป็นรอยยาวที่พาดเหนือขมับขวา อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เขาเสียสมาชิกคนสำคัญในครอบครัวอย่างอาเขยไป อาผู้หญิงของเขาผู้ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของพ่อนั้นช็อคและทำใจไม่ได้กับการจากไปอย่างกระทันหันของสามี เธอจึงได้หอบเอาลูกพี่ลูกน้องวัยมัธยมคนเดียวที่เขามีไปอยู่ต่างประเทศ

    เขาไม่โทษอาผู้หญิงที่หลบและย้ายครอบครัวออกจากประเทศนี้ไป ใครเล่าจะอยากอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำแสนสวยงามที่ถูกฉาบทับด้วยโศกนาฏกรรมอันเลวร้ายที่เกิดในชีวิตถึงสองครั้งสองครา

    ครั้งแรกคือเมื่อครั้งที่พ่อและแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุรถคว่ำขณะกำลังขับรถกลับบ้านจากงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทเมื่อราวห้าปีก่อน

    และอีกครั้งเมื่อต้นปีกับอุบัติเหตุที่มีเขาอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เขารอดตายมาได้ด้วยปาฏิหาริย์ แต่อาเขยของเขานั้นกลับจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

    เขาอยู่ในอาการโคม่าอยู่ร่วมอาทิตย์ ด้วยความที่ยังเป็นคนหนุ่มอายุน้อย ใช้เวลาไม่นาน รอยฟกช้ำก็พลันจาง กระดูกซี่ที่หักเชื่อมต่อกัน บาดแผลทั้งภายในและภายนอกก็สมานดี

    หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่จนป่านนี้เขาก็ยังไม่ได้กลับคืนมา นั่นคือ ความทรงจำ


    ความทรงจำในช่วงสองปีหลังของเขาหายไปจนหมดสิ้น ความทรงจำล่าสุดที่ลู่หานจำได้เมื่อครั้งตื่นจากการสลบสไลขึ้นมาคือ ชีวิตของเขากำลังจะย่างเข้าสู่เทอมที่สามของการเรียนปริญญาโท และเขายังคงอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศ

    ผ่านมาสิบเดือนแล้วแต่ลู่หานก็ยังจำอะไรไม่ได้ เขาเข้ารับการบำบัดเพื่อรักษาและฟื้นความทรงจำอยู่หนึ่งเดือนเต็มด้วยกัน กี่หมอกี่วิธีบำบัดที่ใครต่อใครแนะนำมาว่าดีหนักหนา อี้ชิงก็จะพาเขาไปทุกที่

    แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่อาการปวดหัวของเขาก็มีแต่แย่และแย่ รวมไปถึงอาการของโรคซึมเศร้าที่แทรกซ้อนเข้ามา เมื่อเห็นว่าฝืนไปก็เท่านั้น ทั้งเขาและอี้ชิง รวมทั้งนายแพทย์เจ้าของไข้ก็ตัดสินใจยุติการบำบัด แล้วปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องเยียวยา ปล่อยมันให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า เผื่อว่าทิ้งเอาไว้และเมื่อมีอะไรมาสะกิดใจ เขาอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้เอง

    และในวันนั้นเอง หลังจากเก็บงำความลับเอาไว้ตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมาจากโคม่า อี้ชิงก็ตัดสินใจบอกความจริงว่าอาเขยของเขานั้นไม่ได้ย้ายไปศึกษางานกับบริษัทพันธมิตรยังต่างประเทศ หากแต่ได้ลาจากโลกนี้ไปสมทบกับพ่อแม่ของเขาบนสวรรค์ คนที่อยู่ต่างประเทศคืออาผู้หญิงและญาติผู้น้องของเขาต่างหาก ทั้งคู่หลบไปรักษาแผลใจและไม่มีกำหนดการณ์ที่จะกลับมาในอนาคตอันใกล้นี้


    และความจริงในข้อนี้ก็ทำให้เขากลายเป็นคนที่เรียกได้ว่า แทบจะไม่เหลือใคร

    ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีอาผู้หญิงและอาเขยผู้ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สอง ไม่มีลูกพี่ลูกน้องที่เขารักและสนิทสนมเหมือนเป็นน้องชายที่คลานตามกันมา

    ไม่มีครอบครัว

    ความทรงจำบางส่วนก็ดันมาหายไป

    คนคนเดียวที่เขาเหลือตอนนี้คืออี้ชิง เด็กชายที่พ่อและแม่ของเขาอุปการะเลี้ยงดู ส่งเสียให้เรียนหนังสือด้วยหวังจะให้มาช่วยเหลือและเป็นที่ปรึกษาให้กับเขาเมื่อยามที่ต้องเข้ามาสานต่อกิจการของครอบครัว ลูกน้องที่เขารักและเคารพเหมือนพี่ชาย

    ส่วนหยางชวน คนขับรถและผู้ติดตามที่เขาพอจะสนิทสนมด้วยบ้างก็ถูกเขาลืมเสียสนิท พอเริ่มจะคุยกันได้อย่างสนิทใจอีกครั้ง ฝ่ายนั้นก็กลับต้องมาห่างจากเขาไปเสียอีกคน

    แล้วก็คงจะเป็นคริส
     

    ด้วยความที่ต้องอยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลา คริสจึงถือได้ว่าเป็นอีกคนที่เขามี

    คริสคือคนที่อยู่ใกล้ เห็นหน้าค่าตาและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่กลับรู้สึกได้ถึงความห่างไกลอย่างชัดเจน


    คริสมักจะเว้นช่องว่างระหว่างกันอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกว่าได้ขยับเข้าใกล้กันไปอีกนิด คนขับรถตัวสูงจะรีบถอยออกมาจนช่องว่างระหว่าเรานั้นกลับมาอยู่ในระยะห่างเท่าเดิม

    ลู่หานอยากให้ตัวเองและคริสสนิทกันมากกว่านี้ อาจจะไม่เท่าที่เขาสนิทกับอี้ชิง เพราะกับอี้ชิงที่มีอายุมากกว่ากันถึงสี่ปีนั้น มีโอกาสได้รู้จักกันตั้งแต่เมื่อเขายังเด็ก แต่อย่างน้อยๆ ให้ใกล้เคียงกับหยางชวนคนเก่าของเขาแม้เพียงสักนิดก็ยังดี

     

    เขาพยายามแล้วพยายามเล่า จนกระทั่งในที่สุดความพยายามของเขาก็หมดไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากเปิดใจให้กันมากกว่าที่เป็นอยู่ง่ายๆ

    ไม่เป็นไร อยู่กันไปแบบนี้เรื่อยๆ ก็ดีเหมือนกัน เรื่องนี้เขาบ่นไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา คริสไม่เคยขาดตกบกพร่องในหน้าที่แม้แต่ครั้งเดียว

    “อากาศหนาวแบบนี้ คุณคิดว่าคนแถวนี้เขาทำกิจกรรมอะไรกันบ้างในช่วงหน้าหนาว?” ลู่หานชวนคุยเมื่อคริสขับรถมาถึงในส่วนที่เป็นใจกลางของเมือง ร้านรวงต่างๆ ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟพร่างพราวที่ประดับประดามาตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาส หอนาฬิกาเก่าแก่ดูสวยงามแปลกตายามถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน

    เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ลู่หานคิดอยู่เสมอว่าตึกทรงสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางเมืองนี้คือหอคอยกลางป่าเหมือนอย่างที่เขาอ่านเจอในหนังสือนิทานปรำปรา ถึงขนาดบอกกับแม่ว่าโตขึ้นเมื่อไหร่ เขาจะปีนขึ้นไปเพื่อช่วยเอาเจ้าหญิงแสนสวยลงมาจากหอคอยให้จงได้

    แม่ที่มีใบหน้าเหมือนเขาราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกันมาไม่พูดอะไร แม่ได้แต่ยิ้มหวานมาให้และพยักหน้ารับ จวบกระทั่งโตขึ้นมาเขาถึงได้รู้ว่าที่เห็นอยู่นี้ไม่ใช่หอคอย แต่มันคือหอนาฬิกาประจำเมือง และมันก็ไม่ได้สูงเสียดฟ้าเหมือนอย่างที่เขาเคยรู้สึก


    ได้นึกถึงแม่ขึ้นมา ใบหน้าหวานก็เหงาหงอยลง จริงอยู่ที่ว่าเขานั้นโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวที่อายุกำลังจะเข้าเบญจเพสในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า แต่กระนั้นลู่หานก็อดคิดอยู่บ่อยครั้งไม่ได้ว่า ถ้าพ่อและแม่ยังอยู่นั้นมันย่อมดี คนเราไม่ว่าจะมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ถึงแม้จะดูแลตัวเองได้แล้ว แต่การมีพ่อแม่อยู่ค่อยให้คำแนะนำ คอยให้คำปรึกษา คอยมอบอ้อมกอดที่อบอุ่นในยามที่เหนื่อยล้า คอยเป็นกำลังใจให้ มันย่อมดีกว่าการอยู่แบบตัวคนเดียวอย่างเช่นที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้
     

    ไม่ผิดใช่ไหมที่ถึงแม้เขาจะเติบใหญ่จนสามารถดูแลธุรกิจของตระกูลได้ และพ่อแม่ก็ไปรอเขาอยู่บนสวรรค์มาเนิ่นนานหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังโหยหาทั้งพ่อและแม่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    ยิ่งมาได้อยู่ที่เมืองนี้ซึงเป็นสถานที่แห่งความทรงจำ เป็นสถานที่ที่มีภาพแห่งความสุขของเขาและครอบครัวกระจัดกระจายเต็มไปหมด มันยิ่งทำให้ลู่หานคิดถึงพ่อแม่มากขึ้นเป็นเท่าตัว


    “ก็ทำกิจกรรมหน้าหนาว เล่นสกี สโนวบอร์ด ไอซ์สเก็ต ไอซ์ฟิชชิ่ง ก่อกองไฟปิ้งมาร์ชเมลโล่ว อะไรพวกนั้น”

    ลู่หานหันเหสายตาจากวิวข้างทางไปยังร่างสูง แปลกใจเล็กน้อยที่คนขับรถที่มักพูดน้อยและปากหนักราวกลับว่าพูดแล้วเพชรพลอยจะร่วงหล่นออกมาจากปากกลับตอบคำถามของเขาขึ้นมาด้วยประโยคที่ค่อนข้างยาวกว่าปกติ

     คิดเอาเองว่าคริสอาจจะอยู่ในอารมณ์เหงาปากเนื่องจากนั่งขับรถอยู่เงีบๆคนเดียวมาเป็นเวลานาน ลู่หานจึงชวนคุยต่อ
     

    “กิจกรรมกลางแจ้งทั้งนั้น แล้วกิจกรรมในร่มล่ะ?”

    ลู่หานนั่งนิ่งเพื่อนรอฟังคำตอบจากอีกคนอย่างใจจดใจจ่อ ที่เขาชวนคุยนั้นเป็นเพียงเรื่องทั่วๆ ไป หวังอยู่ว่าคริสจะต่อบทสนทนากลับมา

     

     “ก็คง...ทำอาหาร”

    “อบขนม”

    “ปักผ้า”

    “ถักไหมพรม”

    “ต่อจิ๊กซอว์”

    “นั่นมันกิจกรรมของผู้หญิง แล้วกิจกรรมแบบแมนๆ ที่ผู้ชายเขาทำกันในร่มน่ะ พอจะมีบ้างไหม?” คนเป็นนายถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้นกว่าเดิมมาก ดีใจที่ตัวเองและลูกน้องที่ได้เห็นหน้ากันทุกวันแต่ไม่เคยได้คุยกันเกินวันละสิบประโยคกำลังพูดจาโต้ตอบกัน

    ร่างสูงหยุดคิดอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย

    “เล่นเกมเพลย์สเตชั่น”

    “ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”

    “มีเซ็กส์”

    คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นทำเอาลู่หานถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ พูดอีกก็ถูกอีก  

    เจ้านายหนุ่มหัวเราะออกมาน้อยๆ ด้วยความชอบใจ ตาหวานเหลือบหันไปมองคนที่ยังคงนั่งอยู่หลังพวงมาลัยด้วยท่าทางเคร่งขรึมเช่นเคย เพิ่งรู้เอาวันนี้เองว่าคนขับรถมาดเย็นชาพ่วงด้วยตำแหน่งผู้ติดตามส่วนตัวก็มีอารมณ์ขันอยู่ไม่เบาเหมือนกัน

    บางที ช่วงเวลาสี่ถึงห้าวันที่ต้องอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาควรจะลองพยายามเขยิบเข้าไปใกล้คริสอีกสักครั้งดีไหม?

    ดวงตาหวานหันกลับไปจับจ้องสิ่งที่อยู่ด้านนอกอีกครั้ง วิวทิวทัศน์ข้างทางยังคงสวยจับใจเขาอยู่เช่นเคย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความหนาวเหน็บที่เกาะกุมอยู่ทั่วทุกอณูของร่างกาย หากแต่ตอนนี้ เพียงแค่บทสนทนาสั้นๆ ที่ไม่ได้มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้นระหว่างเขากับหนึ่งในลูกน้องของตัวเอง กลับทำให้เขารับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังไหลเวียนจนอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ


    บทเพลงแจ๊สหวานซึ้ง ความนุ่มนวลลอยฟุ้งอยู่ในบรรยากาศ เสียงหัวเราะคลอแผ่วเบา รอยยิ้มที่แตะแต้มอยู่บนริมฝีปาก จังหวะของหัวใจที่เต้นไปตามความเบิกบานในอารมณ์


    ราวกับเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดกับเขามาก่อน


    ลู่หานมั่นใจว่ามันต้องเคยเกิดขึ้นกับเขาแน่ๆ


     

    ถึงแม้ความทรงจำจะยังคงว่างเปล่า แต่หัวใจของเขากลับจำได้เป็นอย่างดี

    ริมฝีปากบางสวยขยับตามเนื้อร้องของบทเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ ลู่หานเอื้อนเอ่ยเสียงหวานร้องคลอตามท่อนสุดท้ายของหนึ่งในเพลงที่เขาโปรดปราน หลับตาลงช้าๆ แล้วดื่มด่ำไปกับบรรยากาศสบายๆ ที่แผ่เข้ามาแทนที่

    If you’re wondering what I’m asking in return, dear

    You’ll be glad to know that my demands are small

    Say it’s me that you’ll adore


    For now and ever more

    That’s all

    That’s all

     

     หากคุณกำลังสงสัยว่าฉันต้องการอะไรเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนจากคุณ ที่รัก

    คุณจะต้องยินดีมากเมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการนั้นมันช่างเล็กน้อย

    แค่เอ่ยออกมาว่าฉันคือคนที่คุณจะรักและเอ็นดู


    ทั้งในตอนนี้และตลอดไป


    แค่เพียงเท่านี้

    แค่เพียงเท่านี้ก็พอ

    That’s All by Frank Sinatra

    .

    .

    .

    28 ธันวาคม 2014

    “คุณรู้จักกับอี้ชิงได้ยังไง?” ลู่หานถามขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้ละสายตาจากแครอทสีส้มที่ตัวเองกำลังปอกอยู่

    หลังจากที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โยกหน้าเตาผิงจนเบื่อแล้วเบื่ออีกมาทั้งบ่าย เมื่อคริสกลับมาจากการไปหาซื้อฟืนมาเพิ่ม ลู่หานก็ชวนอีกคนให้ออกไปข้านอกด้วยกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการขับรถไปซื้อของสดที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วมาช่วยกันทำอาหารเย็นแก้เบื่อกัน


    ลู่หานคิดอยู่เสมอว่ารสชาติอาหารฝีมือของตัวเองนั้นไม่ได้แย่ การใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศคนเดียวหลายปีสั่งสอนให้ลู่หานเป็นคนที่รู้จักช่วยเหลือตัวเองและดูแลตัวเองเป็น เรื่องทำอาหารกินประทังชีวิตถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย

    แน่นอนว่าเขากินอาหารฝีมือตัวเองได้ แต่คริสนี่สิ ไม่รู้จะกินได้หรือเปล่า

    แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยการทำอาหารมันก็แก้เบื่อได้มากโข ถ้ากินไม่ได้ขึ้นมาก็ต้มบะหมี่กินกันไป

     

    “เรียนโรงเรียนเดียวกันตอนม.ต้น อยู่ห้องเดียวกัน” คริสที่กำลังหั่นมันฝรั่งให้เป็นชิ้นสี่ส่วนตอบ

    “งั้นก็โรงเรียนเดียวกับผมน่ะสิ” ลู่หานพูดขึ้นพร้อมทำตาโต เซอร์ไพรส์เป็นอย่างมากเมื่อได้รู้ว่าคริสและเขานั้นเป็นศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน

    “เป็นอย่างนี้นี่เอง ก็ว่าอยู่ว่าผมรู้สึกคุ้นๆ ตอนที่เจอคุณครั้งแรก ที่แท้ก็เคยเห็นหน้ากันมาก่อน”

    พูดจบร่างเล็กก็หันไปสนใจกับการปอกแครอทต่อ ปอกไปก็ร้องเพลงหงุงหงิงไปเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ ลืมนึกถึงข้อเท็จจริงข้อหนึ่งไปเสียสนิท

    ลู่หานลืมไปว่าอี้ชิงนั้นแก่กว่ากันสี่ปี ตอนที่อี้ชิงอยู่มัธยมต้นปีที่สาม ลู่หานยังเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมอยู่เลย โรงเรียนประถมของลู่หานไม่มีชั้นมัธยม และโรงเรียนมัธยมของอี้ชิงก็ไม่มีชั้นประถมเช่นกัน แล้วแบบนี้ เจ้าตัวจะมีโอกาสได้เจอคริสที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกับอี้ชิงได้อย่างไร ไม่ใช่ที่โรงเรียนแน่ๆ


    แต่คริสก็ไม่ได้แก้ให้

    ถ้าลู่หานอยากจะคิดว่าการที่เจ้าตัวรู้สึกคุ้นเคยกับเขานั้นเป็นเพราะทั้งสองเคยเจอกันสมัยที่เป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน เขาก็จะปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น

    “แล้วก่อนจะมาทำงานกับผม คุณทำอะไร?” หันมาถามอีกคนที่ตอนนี้เปลี่ยนจากหั่นมันฝรั่งมาเป็นหั่นหัวหอมแล้ว โรงเรียนมัธยมต้นที่เขาและอี้ชิงจบมานั้นเป็นหนึ่งในโรงเรียนเอกชนที่ดีที่สุดของประเทศ ถ้าคริสนั้นจบมาจากสถาบันเดียวกับเขา ย่อมหมายความว่าคริสมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ถ้าคริสไม่ได้เรียนเก่งมากจนได้ทุนก็ต้องมาจากครอบครัวที่มีอันจะกินอย่างเช่นเขาโดยไม่มีข้อสงสัย
     

    แล้วเหตุใดคนที่มีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ถึงได้มาทำงานเป็นคนขับรถและผู้ติดตามที่ไม่ได้มีหน้ามีตาอะไรในสังคมให้เขาได้

    คริสตวัดสายตาไปมองร่างเล็กที่ยืนยิ้มน้อยๆ รอคำตอบจากเขาอย่างอดทน อาจเป็นเพราะเป็นช่วงหยุดยาวที่เจ้าตัวไม่ต้องเครียดกับงานที่บริษัทซึ่งตัวเองนั้นดำรงตำแหน่งสูงสุด พักนี้ลู่หานจึงยิ้มบ่อย ผมสีดำสนิทที่ปรกลงมาปิดหน้าผากเป็นผมม้าทำให้ท่านประธานหนุ่มดูอ่อนเยาว์ราวกับเป็นเด็กมัธยมปลาย

    “ปอกแครอทเสร็จหรือยัง?” ถามออกไปเพราะเห็นว่าลู่หานนั้นปอกแครอทสำเร็จไปได้เพียงครึ่งเดียว ฝ่ายลู่หานเองก็สำนึกได้ว่าถ้ายังมัวแต่โอ้เอ้แบบนี้ กว่าจะได้ตั้งโต๊ะอาหารเย็นได้ก็คงจะดึกกันพอดู เจ้าตัวจึงรวบรวมเอาหัวแครอทที่ปอกเสร็จแล้วส่งให้คริสหั่น จากนั้นก็เร่งมือปอกส่วนที่เหลือต่อไป

    ทั้งครัวตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้งเมื่อไม่มีใครพูดจาอะไรออกมา มีแค่เพียงเสียงที่เกิดขึ้นจากการปอกและหั่นแครอทดังขึ้นมาเป็นระยะ

     “ผมเป็นครูสอนยิงปืน” อยู่ดีๆ คริสก็ตอบคำถามที่ลู่หานถามค้างไว้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น

    ลู่หานอ้าปากร้องอ้อโดยไม่มีเสียงออกมา มิน่าหล่ะ ที่อี้ชิงบอกว่าคริสยิงปืนแม่นมันเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง

    “แล้วทำไมถึงเลิกเสียล่ะ?” ถามอีกครั้งเพราะยังไม่หมดข้อสงสัย

    “ไม่สะดวกที่จะเปิดเผย” ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่เป็นเครื่องหมายการค้าประจำตัวเช่นเคย

    ตอบได้ดาราเหลือเกิน...พ่อคนลึกลับ...เล่นเอาคนถามสะอึกไปเลยทีเดียว

     “อ่า ขอโทษก็แล้วกัน ผมก็แค่อยากรู้จักคุณให้ดีกว่านี้ ไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร” พูดจบก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาปอกแครอทต่อเพราะไม่อยากจะโดนสวนให้ได้สะอึกเหมือนเมื่อครู่

    ถึงแม้จะโดนอีกฝ่ายปล่อยหมัดเสียจนมีเซไปบ้างเล็กน้อย แต่ลู่หานก็ดีใจท่าทีของคริสที่มีต่อเขานั้นกำลังมีทิศทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่บทสนทนาบนรถที่มีขึ้นเมื่อวาน ท่าทางของคริสผ่อนคลายลงมาก มันน่าภูมิใจกับความก้าวหน้าน้อยเสียเมื่อไหร่


    ลู่หานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดีอยู่คนเดียว เมื่อปอกแครอทอีกหัวหนึ่งเสร็จก็ยื่นมันไปให้อีกคนที่ยืนรออยู่ แต่เมื่อยื่นไปแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเอื้อมมารับเสียที ลู่หานจึงเงยหน้าไปหา และนั่นก็ทำให้สายตาของตัวเองประสานเข้ากับสายตาอีกคู่เข้าอย่างจัง


    จริงอยู่ที่ว่ามีอยู่บ่อยครั้งที่คริสจะเอาแต่จ้องเขาเขม็งโดยไม่ให้คลาดสายตา ลู่หานเข้าใจว่ากิริยาเหล่านั้นเป็นเพราะคริสต้องการให้แน่ใจว่าเขาอยู่ในความปลอดภัย แต่ตอนนี้นี่สิ ลู่หานไม่แน่ใจว่าอยู่ดีๆ คริสจะหยุดหั่นแครอทแล้วเริ่มจับจ้องมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่ออะไร 


    มองทำไม? มีอะไรหรือเปล่า?” ลู่หานเอียงคอถาม ทั้งที่ไม่เคยคิดที่จะถามแต่เขาก็ถามออกไปด้วยเพราะคราวนี้อยากรู้จริงๆ

    คริสกลัวว่าอุปกรณ์ปอกแครอทจะมาแฉลบบาดมือเขาเหรอหรือว่าหน้าของเขามีสีส้มเปื้อนอยู่? หรือกำลังไม่พอใจที่เขาปอกแครอทช้าไม่ทันใจ?

    คริสยังคงจ้องหน้าลู่หานอยู่อย่างนั้น ซึ่งลู่หานก็จ้องตอบอย่างไม่มีลดละเช่นกัน  คริสที่ถูกถามยังไม่ได้ให้คำตอบ และลู่หานก็ยังไม่ได้ถามอะไรใหม่ สายตาทั้งคู่ประสานกันอยู่พักใหญ่


    แต่แล้วสิ่งๆ หนึ่งก็ทำให้ดวงตาหวานใสราวกับตากวางนั้นสั่นระริกขึ้น


    ลู่หานไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นั้นเป็นของจริงหรือเป็นเพียงเขาที่อาจคิดไปเอง โดนจ้องมาก็หลายครั้งหลายหน ถูกจ้องบ่อยจนจากที่อึดอัดก็กลายเป็นเริ่มคุ้นชิน แต่ครั้งนี้ สายตาของคริสที่มักคมกริบและเอาจริงเอาจังกลับค่อยๆ อ่อนเชื่อมลงอย่างน่าประหลาด

    มันดูอ่อนโยนเสียราวกับเป็นดวงตาของใครอีกคนที่ไม่ใช่คริส

    ใครบางคนที่เขาเคยเจอมาก่อน ใครบางคนที่เขาจำไม่ได้ว่าไปรู้จักด้วยตอนไหน ใครก็ไม่รู้ที่ลู่หานพยายามจะนึกให้ออก 

    แต่จนแล้วจนรอด เขาก็นึกไม่ออก

    เขาจำคนๆ นั้นไม่ได้

    “เรารู้จักกันดีพอ” น้ำเสียงที่คริสใช้นั้นนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน ดวงตาคมยังคงจับจ้องมา มันฉายแววอ่อนโยนและอบอุ่นเสียจนส่งผลให้โหนกแก้มของลู่หานนั้นร้อนวาบ

    “เชื่อผมเถอะนะว่าเรา”

    “...รู้จักกันดีพอ”

    .

    .

    .

     

    29 ธันวาคม 2014

    12:42 PM

    “บ่ายนี้เราไปตกปลากันเถอะ” ลู่หานเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังจัดการอาหารกลางวันอย่างง่ายที่เขาและคริสช่วยกันทำ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารกำลังเลิกคิ้วหนามาให้ เขาก็รีบอธิบาย

    “เมื่อตอนสายผมออกไปที่ห้องเก็บของข้างนอกแล้วเจออุปกรณ์ตกปลา ข้างหลังบ้านเรามีบึงธรรมชาติอยู่ มีปลาอยู่เยอะแยะ ผมเคยไปตกกับพ่อบ่อยๆ”

    “ลืมอะไรไปแล้วหรือเปล่า” คริสพูดขึ้นมาโดยที่สายตายังไม่ละไปจากจานอาหารตรงหน้า

    กว่าจะได้สปาเก็ตตี้สองจานนี้มา มื้อกลางวันก็เกือบจะได้ย้ายไปอยู่ในช่วงบ่ายเพราะลู่หานนั้นเสียเวลาไปกับการต้มเส้นสปาเก็ตตี้ไปพักใหญ่ คราแรกก็ต้มไม่สุกและแข็งเกินไป พอเอาลงหม้อไปใหม่ก็กลายเป็นเละ เททิ้งทำใหม่แบบนี้ได้สองถึงสามรอบกว่าจะได้เส้นสปาเก็ตตี้ในแบบที่ลู่หานพอใจ ทั้งที่เขานั้นทำซอสเสร็จรอล่วงหน้าเป็นนานสองนานแล้ว

    “ลืมอะไร?”

    “บึงหลังบ้านมันกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว จะไปตกปลาได้ยังไง” คริสชี้แจงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองอีกคน แต่แทนที่จะได้เห็นใบหน้าหงอยเหงาที่อีกฝ่ายมักจะแสดงออกมาให้เขาเห็นบ่อยครั้งเวลาที่ไม่ได้ดั่งใจ คริสกลับได้เห็นรอยยิ้มขี้เล่นน่ารักจากอีกคนส่งมาแทน

    “ผมเจอสว่านมือสำหรับเจาะน้ำแข็งด้วย” ลู่หานยืดอกตอบ ตอนที่ไปเจอเจ้าสิ่งนั้นเข้าในห้องเก็บของของพ่อที่ถูกสร้างไว้แยกจากตัวบ้าน เขาแทบจะกระโดดตัวลอย ยินดีมากที่ในที่สุดที่วันนี้มีกิจกรรมแก้เบื่อให้ได้ทำกันอีกกิจกรรม เมื่อเห็นว่าอีกคนยังจ้องมองกันนิ่ง ลู่หานก็พูดต่อ

    “ไอซ์ฟิชชิ่ง กิจกรรมกลางแจ้งที่คุณบอกไว้วันนั้นไง”

    “ว่าไง โอเคไหม?”

    ลู่หานรอฟังคำตอบจากปากของอีกคน จงใจปล่อยให้อีกฝ่ายได้นั่งใช้ความคิดและตัดสินใจ แต่รอแล้วรอเล่า เขี่ยอาหารในจานเล่นจนชักเริ่มจะเบื่อหน่าย แต่คริสยังคงนั่งนิ่งและไม่พูดไม่จา

    ลู่หานถอนหายใจออกมาเมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่พูดอะไร ที่คริสทำมีเพียงกลับไปก้มหน้าก้มหน้ากินอาหารของตัวเองเหมือนว่าเมื่อครู่นี้มันไม่ได้มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น

    ถ้าเจ้าตัวไม่อยากไปก็ควรที่จะบอกออกมาให้เขาได้รับรู้หน่อย เขาไม่ว่าอะไรอยู่แล้วถ้าคริสไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะไปเล่นสนุกข้างนอกท่ามกลางอากาศหนาวจัดกับเขา

    แค่บอกว่าไม่อยาก จากนั้นก็หาเรื่องใหม่มานั่งคุยกันเพื่อไม่ให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมันอึดอัดเกินไป เรื่องงายๆแค่นี้ทำไมคริสถึงทำให้เขาไม่ได้?

    “ถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร ผมไปตกคนเดียวก็ได้” พูดบ่นอุบอิบออกมาด้วยน้ำเสียงบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังน้อยใจ

    “เห็นติดแหง่กอยู่กับผม กลัวว่าคุณจะเบื่อตายเสียก่อน ก็เลยชวนไปหาอะไรทำ”

    “ขอโทษก็แล้วกันนะที่ลากคุณมาด้วย วันหยุดทั้งที แทนที่คุณจะได้อยู่กับครอบครัว แต่ดันต้องได้ตามผมมาในที่ที่น่าเบื่อแบบนี้”  

    ลู่หานพูดพร่ำไปเรื่อย เขาเป็นคนช่างพูดแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่พักหลังมานี้ ลู่หานจำเป็นต้องปรับบุคลิกตัวเองเสียใหม่เพื่อให้เข้ากับหน้าที่การงาน

    อันที่จริงเขาก็ปรับตัวได้มาเป็นปีแล้ว แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุคราวนั้นที่พรากเอาอาเขยที่รักและความทรงจำบางส่วนจากเขาไป ทำให้ลู่หานต้องเหมือนเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

     

    แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในเวลางานเสียหน่อย และที่นี่ก็ไม่ใช่ที่บริษัท ถึงแม้ว่าคนที่เขากำลังพูดอยู่ด้วยนี้จะเป็นหนึ่งในลูกน้องก็เถอะ คงไม่จำเป็นที่จะต้องวางมาดท่านประธานผู้เงียบขรึมหรอกใช่ไหม?

    “ผมเคยพูดเหรอว่าที่นี่น่าเบื่อ?” คริสเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจะอ้าปากพูดต่อ ลู่หานเม้มริมฝีปากแน่นแล้วใช้ดวงตาหวานจ้องมองไปยังอีกคนที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน

    “ไม่ คุณไม่เคยพูดว่าที่นี่น่าเบื่อ”

    “อันที่จริง คุณไม่เคยพูดอะไรออกมาเลยต่างหาก”

    ทั้งที่คิดว่าตัวเองนั้นชินเสียแล้วกับการชวนคุยไปห้าประโยคแต่ได้รับการตอบกลับมาเพียงข้องความสั้นๆ ที่มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งจากคริส แต่ลู่หานก็ยังอดที่จะเหนื่อยใจไม่ได้อยู่ดี

    ไม่ใช่แค่เรื่องบุคลิกและการวางตัวให้เหมาะสมที่เขาต้องเริ่มต้นใหม่ ต่อหน้าลูกน้อง ลูกค้า หรือผู้ร่วมธุรกิจรายอื่นๆ ต่อหน้าผู้คนเหล่านั้น ลู่หานต้องเสแสร้งไว้ว่ามีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ได้การกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ ส่วนสมองของเขานั้นก็ยังคงทำงานได้เป็นปกติดี

    ลู่หานเข้าใจจุดประสงค์ของอี้ชิงว่าเจ้าตัวต้องการให้เขาซ่อนอาการป่วยของตัวเองไว้เพราะอะไร เลขาคนสนิทพ่วงตำแหน่งพี่ชายที่เคารพรักเพียรบอกเสมอว่าที่ผ่านมา เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม

    ช่วงชีวิตสองปีที่เขาลืมมันไปเสียจนหมดสิ้น อี้ชิงยืนยันว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดี เขาเรียนจบปริญญาโทได้ทันตามกำหนดที่ตั้งใจไว้ เขาทำให้อาผู้หญิงและอาเขยภูมิใจ เป็นท่านประธานที่เอางานเอาการ เป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่มีคนนับหน้าถือตาในแวดวงธุรกิจ

     

    อี้ชิงมั่นใจว่าใช้เวลาเพียงไม่นาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นเลยที่จะต้องแพร่งพรายให้ใครต่อใครได้รู้ว่าเขาป่วย

    ดีไม่ดี ความจริงที่ว่านั้นอาจจะส่งผลเสียต่อทางบริษัทก็เป็นได้ เพราะแค่การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของอาเขยผู้เป็นหัวเรือใหญ่อีกคน แค่นี้ก็สั่นคลอนความมั่นคงของบริษัทได้มากพอแล้ว


    และเป็นเพราะอาการป่วยของเขา เพราะความทรงจำที่มันหายไป เพราะการที่เขาต้องเสแสร้งอยู่แทบจะตลอดเวลาว่าตัวเองยังปกติดี สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นความเครียดสะสม ลู่หานไม่อยากเจอใครทั้งสิ้นนอกเวลางาน เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านและค่อยปลีกตัวออกจากผู้คนที่เขาเริ่มจะคบหาเมื่อตอนที่กลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ ทีละคนสองคน

    จนในที่สุด เขาก็ไม่เหลือเพื่อนที่นี่แม้แต่คนเดียว

    เขาไม่มีใครเลยนอกจากอี้ชิง ซึ่งอี้ชิงเองก็มีครอบครัวของตัวเองที่ต้องดูแลและใช้เวลาด้วย ตอนแรกเลขาคนสนิทก็ชวนเขาให้ไปอยู่ด้วยกันในช่วงวันหยุด ภรรยาสาวของอี้ชิงไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้วเพราะเธอเองก็เอ็นดูเขาไม่น้อยไปกว่าที่อี้ชิงเป็น แต่เขาเองก็ปฎิเสธไปเพราะไม่อยากไปรบกวนเวลาพักผ่อนของพี่ชาย

    จะไปหาอาผู้หญิงและน้องชายที่เมืองนอก ลู่หานก็ไม่กล้า ก็ในเมื่อทั้งคู่หลบไปอยู่ที่โน่นเพื่อหนีจากความทรงจำเลวร้ายไม่ใช่หรือ? การเห็นหน้าเขาคงจะไม่ต่างจากการกวนแผลเก่าที่ยังไม่หายสนิทดีให้กลับมากลัดหนองอีกครั้ง ลู่หานจึงตัดสินใจอยู่ห่างจากสมาชิกในครอบครัวสองคนสุดท้ายที่เขามี และรอคอยให้ฝ่ายนั้นกลับมาหาเขาเองเมื่อทำใจได้แล้ว

    เขาเคยมีหยางชวน คนขับรถและผู้ติดตามคนเก่าที่เขาพอจะสนิทสนมและพูดจาเล่นหัวได้ด้วยบ้าง แต่เจ้าตัวก็ดันไม่สามารถมาอยู่กับเขาได้เพราะจำเป็นต้องพักงานไปตั้งแต่เมื่อสามเดือนที่แล้ว

    เขาไม่มีใครเลยจริงๆ

    ในช่วงเวลานี้ของปี ช่วงเวลาที่ใครๆ ต่างมีความสุขเพราะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัว เขากลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียว


    เขามีแค่คริส คนที่มีก็เหมือนไม่มี


    คนที่พอจะได้เข้าใกล้กันไปอีกนิดได้สนิทกันขึ้นมาอีกหน่อย ก็ถอยห่างจากกันไปเพื่อที่ระยะห่างที่เคยทำไว้จะได้คงอยู่เท่าเดิม



    ก็ในเมื่อชีวิตเขามันแย่ขนาดนี้ ไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะคิดน้อยใจ ไม่ผิดใช่ไหมที่เขาอยากจะงอแงขึ้นมาบ้าง?


    นึกได้ดังนั้นลู่หานก็รวบช้อนส้อมไว้ที่กลางจานแล้วทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะอาหารไป อยากจะไปสงบสติอารมณ์เพื่อที่จะไม่เผลอทำตัวงี่เง่าออกไป เพราะอย่างน้อยๆ คนตรงหน้านี่ก็เป็นลูกน้องในปกครอง

    “กินให้หมดก่อน” เสียงของคริสดังขึ้นมาอย่างราบเรียบ มันราบเรียบเสียจนลู่หานนึกฉุน กำลังจะอ้าปากพูดออกไปว่าเขาโตแล้วและอยู่ในตำแหน่งของเจ้านาย คริสไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้ทำนู่นทำนี่ราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆเช่นนี้ แต่เสียงเรียบๆ ของอีกฝ่ายก็ดังตัดหน้าเขาขึ้นอีกครั้ง

    “แล้วก็ไปหาเสื้อผ้าหนาๆ ใส่ หมวก ถุงมือ ที่ครอบหู ใส่ไปให้ครบ”


    “อากาศข้างนอกมันหนาว เดี๋ยวคุณจะไม่สบาย”


    “แล้วจะหมดสนุกกันพอดี”


    “ตงลงบ่ายนี้เราไปตกปลากันใช่ไหม?” ลู่หานถามออกไปเสียงหลง ดวงตากลมโตเบิกกว้างเนื่องจากยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก


    แบบนี้จะสามารถเรียกคริสว่าเป็นคนกวนประสาทได้หรือเปล่า? เพราะทุกครั้งเวลาที่เขาถามหรือชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ออกไป น้อยครั้งที่เจ้าตัวให้คำตอบเขาตรงๆ ส่วนใหญ่ก็จะทำเป็นไม่สนใจ มีเบี่ยงเบนประเด็น หรือไม่ก็ดับกลางอากาศ ไม่พูดไม่จาอะไรออกมาเสียดื้อๆ อย่างนั้น

    “คุณนั่งลงแล้วกินมื้อกลางวันของคุณให้เสร็จก่อน”

    “ผมจะไปดูน้ำแข็งในบึงว่ามันหนาพอที่จะไปนั่งตกปลาบนนั้นได้ไหม”

    พูดจบ คนที่จัดการอาหารของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยก็รวบช้อนแล้วรีบลุกออกไป ขายาวก้าวไวๆ ออกไปจากห้องครัวด้วยความรวดเร็ว


    เร็วมากเสียจนไม่มีโอกาสได้เห็นอีกคน ที่ขณะนี้กำลังหน้าบาน ฉีกยิ้มแฉ่งแข่งกับตะวัน


    ลู่หานกลับมานั่งลงเพื่อกินสปาเก็ตตี้ที่ยังเหลือกว่าครึ่งตามที่คริสบอก มีความสุขมากเสียจนอดไม่ได้ที่จะเคาะเท้าเป็นจังหวะตามเสียงเพลงที่ตัวเองกำลังบรรเลงอยู่ในใจ

    ถึงจะชอบทำตัวเงียบขรึมจนเลยเถิดกลายเป็นกวนประสาทมากมายแค่ไหน ลู่หานก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคริสนั้นเป็นคนที่ใจดีมากอยู่พอตัว

    ก็เพราะเป็นเสียแบบนี้ไง เขาถึงไม่เคยโกรธหรือเบื่ออีกคนได้นาน

    โดนผลักไสทางอ้อมจนแทบจะหมดกำลังใจอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ พอเขาทำดีด้วยนิดๆ หน่อยๆ ก็วิ่งรี่กลับมาเขาเช่นเดิม

     

    1:28 PM

    “ฮื่อ...” เสียงครางสั่นปนเสียงฟันกระทบกันกึกกักทั้งรัวและแรงทำให้คริสยิ่งเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าร่างเล็กที่จับมาแบกไว้บนบ่านั้นแข็งเกร็งมากขึ้นเท่าใด ชายหนุ่มก็ยิ่งกลัว กลัวว่าฟันของลู่หานจะกระทบกันจนแตกไปเสียก่อน กลัวว่าลู่หานจะทนความหนาวเหน็บนี้ไม่ไหว

    ทั้งที่กำชับไว้ดิบดีว่าให้ระวังตัว อย่าไปเดินใกล้ตลิ่งมากนักเพราะบริเวณนั้นมันทั้งเปียกและลื่น แต่ลู่หานก็ยังพลาดลื่นล้มและตัวไถลไปบนแผ่นน้ำแข็งที่แผ่คลุมทั้งบึงอยู่จนได้

    เขาโล่งใจเล็กน้อยที่ลู่หานส่งเสียงกลั้วหัวเราะบอกมาว่าไม่เป็นไร แค่ก้นจ้ำเบ้าเพียงนิดหน่อยเท่านั้น กระดูกทุกชิ้นยังอยู่ดี ไม่มีอะไรที่บุบสลาย

    ร่างเล็กดูจะสนุกอยู่ไม่น้อยที่ได้ไถลไปมาอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง เสียงหัวเราะใสราวกับเด็กเล็กๆ ดังออกมาให้เขาได้ยินเป็นระยะ ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นลู่หานพยายามจะพยุงตัวให้ลุกขึ้นหลายครั้งแต่ก็มีอันได้ล้มลงเพราะผืนน้ำแข็งมันลื่นเกินกว่าที่จะเปลี่ยนจากนั่งเป็นยืนได้ในทันที

    รอยยิ้มสนุกสนานที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าหวานซึ้งนี่ต่างหากที่เหมาะสมกับลู่หาน ไม่ใช่ใบหน้าเรียบเฉย เคร่งขรึม และจริงจังที่เจ้าตัวตั้งใจปั้นใส่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนทุกเมื่อเชื่อวัน

    ขณะกำลังยืนมองดูอีกคนที่ลงไปนอนแผ่หราไปเป็นที่เรียบร้อยพลางคิดอะไรเล่นอยู่เพลินๆ คริสก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างค่อยๆ ปริแตกออกจากกัน และเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว คริสสาบานได้เขาไม่ทันจะได้กระพริบตาด้วยซ้ำ ร่างทั้งร่างของลู่หานก็ทะลุแผ่นน้ำแข็งที่แตกแล้วร่วงหล่นลงไปข้างล่าง จมดิ่งทั้งตัวลงไปในน้ำในเย็นเฉียบในบึงที่สามารถทำร้ายกันได้ราวกับเป็นของมีคม
     

    คริสตกใจแทบสิ้นสติ เขาพาตัวเองทั้งทรงตัวบนน้ำแข็งและว่ายฝ่าน้ำเย็นจัดเพื่อเข้าไปหาลู่หานที่ลอยคออยู่ ชายหนุ่มพยายามทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โชคดีที่จุดที่ลู่หานตกลงไปนั้นอยู่ห่างจากตลิ่งเพียงราวห้าเมตร เพียงครู่เดียวเขาก็คว้าข้อมือเล็กได้สำเร็จ

    ร่างเล็กรีบตะกายเข้ามาซุกตัวกับอกเขา เชื่อหรือไม่ว่าลู่หานยังคงยังคงยิ้มและหัวเราะน้อยๆ ในลำคออยู่ พร่ำบอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าหนาวขณะเกาะเกี่ยวเขาไว้แน่น คริสรีบลากลู่หานขึ้นฝั่ง อุ้มเอาร่างเล็กขึ้นพาดบ่าจากนั้นก็เริ่มออกเดินให้เร็วที่สุดเพื่อพาลู่หานและตัวเองเข้าบ้านที่ทั้งแห้งและอุ่นทันที


    “ฮื่อ...หนะ...หนาว”

    “อดทนอีกนิดนะคนดี จะถึงบ้านแล้ว อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ”  คริสเอ่ยออกมาโดยไม่ทันได้คิด

    และความหนาวจัดบาดผิวให้เจ็บไปทั้งตัวกระหน่ำเข้าใส่จนลู่หานไม่ทันได้เฉลียวใจว่าอีกคนนั้นพูดจาด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำที่เจ้าตัวไม่เคยใช้มาก่อนกับตัวเอง


    “ยืนไหวไหม?” คริสถามขึ้นขณะปล่อยลู่หานให้ลงไปยืนหลังจากที่เขาพาร่างเล็กเข้าบ้านมาได้สำเร็จ เมื่อเห็นว่าลู่หานยังยืนทรงตัวอยู่ได้ก็ถอยออกมา

    คริสบอกให้ลู่หานที่ยืนตัวแข็งทื่อถอดเสื้อผ้าเปียกให้หมด หงุดหงิดจนแทบคลั่งที่ในขณะที่ตัวเขานั้นปลดเปลื้องในส่วนของตัวเองออกจนเหลือแค่เพียงกางเกงชั้นในขาสั้นตัวเดียว วิ่งแน่บไปเอาผ้าห่มผืนหนาและผ้าเช็ดตัวจากข้างในห้องนอนแล้วจัดการเอาไปวางกองอยู่บนพื้นพรมหน้าเตาผิงเป็นที่เรียบร้อย แต่พอเดินกลับมาดู ลู่หานกลับยังคงยืนตัวสั่นและพยายามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเนื้อหนาที่ตัวเองสวมใส่อยู่อย่างงุ่มง่ามอยู่เช่นเดิม

    ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างหัวเสียให้กับภาพที่เห็นก่อนจะตรงเข้าไปกระชากสาบเสื้อของอีกฝ่ายอย่างแรงรวดเดียวจนกระดุมเสื้อทุกเม็ดกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง เสื้อยืดสีขาวเนื้อดีตัวในถูกฉีกทิ้งออกจนกลายเป็นเศษผ้า กางเกงยีนส์เปียกโชกและชั้นในแบรนด์ดังถูกปลดออกให้พ้นหูพ้นตาไปเช่นกัน


    กว่าจะทันได้รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง ร่างทั้งร่างของลู่หานก็เปลือยเปล่า ผิวขาวโพลนแซมด้วยรอยสีแดงจางๆ ด้วยถูกน้ำเย็นจัดแตะต้องที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าทำให้คริสรู้สึกว่าตัวเองกำลังตาพร่า


    “หนาว...” เรียวปากบางที่กลับกลายเป็นม่วงคล้ำขยับเอื้อนเอ่ยคำนี้ออกมาอีกครั้ง ร้องเรียกให้คริสต้องเลิกต่อสู้กับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองแล้วรีบช้อนร่างเล็กเข้าสู่วงแขนทันที

    จากที่คิดเอาไว้ว่าจะแค่ห่อตัวลู่หานด้วยผ้าห่มผืนหนาและทิ้งให้นอนอุ่นอยู่หน้าเตาผิงจนเริ่มรู้สึกดีขึ้น แผนของเขาก็พังไม่เป็นท่าเมื่อลู่หานกลับโอบกอดเขาแน่นและซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกเปลือยโดยไม่ยอมละออกมา

    สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องยอมแพ้ จัดการให้ตัวเองเปลือยเปล่า แทรกกายเข้าไปนอนแนบชิดในผ้าห่มผืนเดียวกัน และยอมให้ลู่หานกอดก่ายไขว่คว้าหาไออุ่นจากร่างกายเขาด้วยจำนน มือหนาลูบไล้และถูไถไปตามเรือนร่างของอีกฝ่ายเพื่อให้ความอบอุ่นนั้นกลับเข้ามาสู่กายเร็วยิ่งขึ้น

    นอนตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่นานลู่หานก็นิ่งไป เมื่อก้มหน้าลงไปมองดูก็พบว่าคนที่ยังคงซบหน้าอยู่กับอกเขาได้ผลอยหลับไปแล้วเรียบร้อย ครั้นพอจะขยับตัวออกห่าง ลู่หานก็เหมือนจะสะดุ้งตื่นขึ้น ส่งเสียงงื้อง้าออกมาในลำคออย่างขัดใจแล้วกระชับวงแขนให้แน่เข้าไปอีก

    ชายหนุ่มจึงได้แต่ทอดถอนลมหายใจ มือใหญ่ยังคงลูบไล้ลงไปบนแผ่นหลังเนียนพร้อมทั้งกำลังนับเลขในใจเพื่อกดเก็บความรู้สึกที่เดินทางมาหยุดอยู่ตรงจุดอันตราย พยายามไม่สนใจกับกลิ่นหอมอ่อนๆ แสนคุ้นเคยที่ยังคงตราตรึงอยู่ในมโนสำนึก

    ได้แต่พร่ำบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ากว่าสามเดือนที่เขาทนมา ที่พยายามสร้างระยะห่างจากอีกคนมาโดยตลอด

    มันจะมาพังเอาวันนี้ไม่ได้

     

    8:11 PM

    “คุณ...” เสียงหวานเรียกขึ้นก่อนที่คริสจะทันได้ออกจากห้องนอนไป

    มันไม่แฟร์เลยสักนิด ทั้งที่ดวงซวยถึงขนาดได้ลงไปว่ายน้ำที่อุณหภูมิติดลบด้วยกันทั้งคู่ คริสยังคงปกติดีเหมือนเดิมทุกอย่าง แตกต่างจากเขาที่ไข้จับเสียจนไม่มีแม้แต่แรงที่จะยกมือขึ้นมาทำอะไร ลำบากอีกคนต้องถ่อเข้าเมืองไปซื้อหยูกยา แถมยังต้องมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำให้

    “อะไร?” คริสถาม

    “คือ...” พูดได้แค่คำเดียวลู่หานก็มีอันได้ก้มหน้าต่ำลงเมื่อเห็นสายตาของคริสที่มองมา หัวใจของเขาจะไม่เต้นแรงแบบนี้เลยถ้าไม่ใช่เพราะได้รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่คริสคงไม่ได้เฉลียวใจว่าเขาจะรู้

    “มีอะไรหรือเปล่า?” ชายหนุ่มสาวเท้ากลับเข้ามาใกล้เตียงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกคนยังไม่พูดอะไร เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาเหมือนเด็กที่ไม่มีความกล้า

    “คุณว่าไงนะ? พูดดังๆหน่อยสิ” เขาบอกเพราะได้ยินลู่หานงึมงำแผ่วในลำคอ แผ่วมากเสียจนได้ยินไม่ถนัด

    ดวงตาหวานช้อนขึ้นมามองกันเล็กน้อยก่อนจะก้มต่ำลงไปใหม่ ไม่แน่ใจว่าใบหน้าที่กำลังร้อนวูบวาบอยู่นี้มันเป็นผลมาจากสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ หรือเป็นเพราะพิษไข้ที่กำลังรุมเร้าหนักกันแน่

    “ลู่หาน” คริสเรียกซ้ำอีกครั้งพร้อมหย่อนกายลงนั่งบนเตียง แรงกดยวบลงบนที่นอนทำให้ร่างบางสะท้านขึ้นมาด้วยรับรู้ว่าร่างสูงนั้นได้เข้ามาชิดใกล้

    มือเล็กทั้งสองข้างกุมกันแน่นด้วยความประหม่า สิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไปนี้มันช่างเป็นสิ่งที่หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรดลใจให้เขาใจกล้าถึงขนาดพูดสิ่งนี้ออกมา

    “ผมบอกว่า..."


    "...คืนนี้มานอนด้วยกันได้ไหม?” ลู่หานอ้อมแอ้มออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้ดังไปกว่าตอนที่พูดครั้งแรกเท่าไหร่นัก หากแต่คริสก็ได้ยินเต็มสองหูเพราะได้ขยับเข้าไปใกล้เสียจนตัวห่างกันแค่ราวหนึ่งไม่บรรทัด 


    และมันก็ทำให้เขาถึงกับนิ่งอึ้งไป

    “ว่าไงนะ...” เอ่ยออกมาเหมือนครางด้วยไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

    ลู่หานชวนให้เขามานอนด้วยกันคืนนี้?


    นี่มัน...อะไร...?


    ไหนจะใบหน้าหวานที่มันแดงเสียจนเขาอยากจะยัดยาแก้ไข้ใส่ปากเจ้าตัวไปอีกสักสองเม็ดนั่นอีก?


    “ก็มันหนาว...”


    พูดจบลู่หานก็นึกถามตัวเองในใจ เหตุผลนี้มันจะฟังดูเข้าท่าดีไหม?


    ความเงียบสงัดที่คุ้นเคยแวะกลับเข้ามาเยี่ยมเยียนคนทั้งคู่อีกครั้ง ลู่หานนั่งนิ่งเงียบเพื่อรอให้พูดคริสพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ผ่านไปหลายนาทีคริสก็ยังไม่ตอบอะไรกลับมา

    ลู่หานที่เห็นว่าคงจะไม่ได้รับอะไรกลับมาจากการรอคอยครั้งนี้ ร่างเล็กจึงค่อยล้มตัวลงเป็นนอน แล้วพูดตัดบทออกไป

    “ช่างมันเถอะ...คิดเสียว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์” พูดจบก็กระชับผ้าห่มขึ้นมาถึงคอแล้วพลิกตะแคงหันหลังให้อีกฝ่ายทันที


    เขาได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากอีกคน รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของที่นอนเมื่อร่างสูงลุกออกไป


    ได้ยินฝีเท้าหนักๆ ค่อยห่างออกไปเรื่อยๆ


    และท้ายที่สุด ลู่หานได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่จู่ๆ ก็มีฤทธิ์หลอมหัวใจดวงน้อยของเขาให้ละลายไม่ต่างจากก้อนน้ำแข็งที่ถูกวางทิ้งไว้ใต้แสงอาทิตย์

    “ราตรีสวัสดิ์”


    คริสพูดไว้แค่นั้น ซึ่งนั่นก็สามารถใช้เป็นคำตอบของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี



    เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงเบาๆ กำปั้นน้อยก็ทุบรัวลงบนที่นอนด้วยความว้าวุ่นใจ


    ลู่หานไม่เข้าใจคริสเลยแม้แต่น้อย


    ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ คนที่คอยสร้างระยะห่างระหว่างกันกับเขาตลอดเวลา อยู่ดีๆ ก็มาแอบลักจูบเสียจนเขามึนไปหมดได้อย่างไร


    หน้าผาก จมูก เปลือกตา แก้ม คาง ลำคอ ไหปลาร้า ทุกจุดที่ว่าล้วนถูกผู้ชายที่เอาแต่เย็นชาใส่เขาประทับตราไว้แล้วทั้งสิ้น


    โดนจัดหนักที่สุดเห็นจะเป็นที่ริมฝีปาก เพราะผ่านมาแล้วหลายชั่วโมงแต่ลู่หานก็ยังรู้สึกว่าปากของตัวเองยังบวมเจ่ออยู่ 


    กลีบปากของเขาโดนอีกฝ่ายทั้งบดขยี้ ทั้งดึงและดูดเสียจนมันชา


    เริ่มต้นอย่างนุ่มนวลละเมียดละไมอยู่ได้เพียงครู่ คริสก็ตะโบมหนักและกลืนกินกลีบปากของเขาอย่างไม่ปราณีปราศรัย


    จูบหนักหน่วงโดยไม่มีการกลัวว่ามันอาจจะทำให้เขารู้สึกตัวและลุกขึ้นมาโวยวายได้


    จูบไปก็ใช้มือซุกซนลูบไล้เนื้อตัวเปลือยเปล่าของเขาไป


    จนกระทั่งเจ้าตัวคงจะทนกับการมีเขาอยู่ในอ้อมแขนไม่ไหว คริสจึงผละออกมาแล้วลุกไปจากตรงนั้น


    หายไปพักใหญ่ร่างสูงก็กลับมาในสภาพที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย กลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่โชยออกมาทำให้ลู่หานเดาได้ว่าคริสคงไปใช้สายน้ำช่วยดับความร้อนแรงของอารมณ์


    ลู่หานนึกทึ่งอยู่ไม่น้อยที่สามารถควบคุมตัวเองให้แกล้งเป็นหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวได้อย่างแนบเนียน  ตั้งแต่ที่ถูกลักจูบ ถูกจับต้องไปแทบจะทุกตารางนิ้วของร่างกาย เลยไปจนถึงถูกอุ้มไปนอนดีๆ บนเตียงนุ่มในห้องของตัวเอง


    เมื่อใส่เสื้อผ้าให้เขาเสร็จเป็นที่เรียบร้อย คริสก็ไม่กล้าเฉียดเข้ามาใกล้เขาอีกเลยจนกระทั่งเมื่อราวยี่สิบนาทีที่ผ่านมา


    หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้คริสคอยแต่จะอยู่ห่างๆ และไม่ยอมสนิทสนมกับเขาจนเกินไป?


    แล้วที่มากอดจูบลูบคลำกันแบบนี้ คริส...คิดอะไรกับเขาหรือเปล่า?


    หรือทั้งหมดนั้นจะเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นจากความใกล้ชิดหน้าเตาผิง?



    มีคำถามต่างๆ นานาผุดขึ้นในหัวของลู่หานเต็มไปหมด แต่ละคำถามล้วนแล้วแต่ยากยิ่งที่จะหาคำตอบที่เหมาะสมมาตอบได้


    แต่เหนื่อสิ่งใด มีอยู่คำถามหนึ่งที่ทำให้ลู่หานต้องมีอันได้เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีกเมื่อได้นึกถึง คำถามที่คนที่ให้คำตอบที่ดีที่สุดนั้นเป็นตัวเขาเอง หาใช่อีกฝ่ายไม่ 


    ซึ่งคำถามที่ว่านั้นก็คือ


    เพราะเหตุใด ลู่หานถึงได้ชอบรสสัมผัสที่ได้รับจากคริสมากมาย?


    ชอบมากถึงขนาดใจกล้าไปเอ่ยขอให้อีกคนมานอนร่วมเตียงเดียวกัน


    ด้วยเผื่อว่าเหตุการณ์ถูกปล้นจูบอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน มันจะเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง


    .

    .

    .
     

    30 ธันวาคม 2014

    มีอะไรจะพูดไหม?

    ...ผมรักคุณ

    ...

    ...

    จัดการให้ฉันด้วย


    ครับนาย

     
     

    ปัง!

     

    เฮือก!


    ลู่หานสะดุ้งสุดตัวและลืมตาโพลงขึ้นมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นค่อยปรือหรี่ลงเมื่อสำนึกได้ว่ารอบตัวยังถูกปกคลุมด้วยความมืด


    ภาพที่เห็นและเสียงและได้ยินเมื่อครู่นี้เป็นเพียงความฝัน หากแต่ก็ยังตกใจและตื่นตระหนกไม่หายเพราะในฝันของเขาคราวนี้ เขาเห็นตัวเองกำลังใช้ปากกระบอกปืนจ่อไปที่หน้าผากของคริส นิ้วชี้ถูกวางไว้ตรงตำแหน่งพร้อมเหนี่ยวไก เมื่อเขาถามออกไปว่ามีอะไรจะพูดไหมก่อนที่จะถูกเขาฆ่าตาย คริสที่อยู่ในสภาพนั่งคุกเข่า มือทั้งสองข้างถูกมัดไพล่หลัง มุมปากมีรอยปริแตกและโหนกแก้มมีรอยช้ำสีม่วงเข้มพาดอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ และบอกรักเขา....


    เขาเห็นตัวเองส่งปืนให้อี้ชิงแล้วสั่งให้รีบจัดการคริสแทนเขาให้จบๆ ไป และพอสิ้นเสียงปืน เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา



    ฝันบ้าบออะไร...


    มันคงจะเป็นเพราะพิษไข้


    ใช่...มันต้องเป็นเพราะพิษไข้แน่ๆ


    “คุณ...” แผ่นอกบางสะท้อนขึ้นลงเมื่อได้รับรู้ถึงปลายจมูกของใครบางคนที่กำลังถูไถอยู่ตรงกกหู อาการคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ มันทำให้ลู่หานอดคิดถึงสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ไม่ได้

    เมื่อคืนก่อน หลังจากที่อีกฝ่ายทิ้งให้เขาผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาด้วยความว้าวุ่นใจเมื่อช่วงหัวค่ำ หลับไปได้ไม่นาน บางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติก็บังคับให้ลู่หานสะลึมสะลือปรือตาขึ้น เสียงสวบสาบและแรงกดบนที่นอนทำให้สำนึกได้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังบนเตียง



     Cut (ตามหาได้ที่ Bio @Pan_Noona)


     

    และในที่สุด ลู่หานก็ผ่านมันมาได้ เป็นครั้งแรกก็จริงแต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้จนน่าตกใจ เขาตอบสนองทุกสัมผัสจากคริสได้เป็นอย่างดี รู้สึกดีมากที่ในบางคราวเขาก็ทำให้อีกคนร้องครางออกมาได้บ้าง หนำซ้ำยังรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจเมื่อคริสกระซิบเสียงทุ้มข้างหูของเขาว่า เสี่ยวลู่

    ลู่หานไม่รู้ว่าคริสไปเอาจำชื่อนี้มาจากไหน เพราะคนที่เรียกเขาด้วยชื่อนี้มีเพียงแค่สมาชิกในครอบครัว ซึ่งคือ พ่อ แม่ อาผู้หญิง อาเขย และญาติผู้น้องของเขา ส่วนอี้ชิงและภรรยาก็จะเรียกเขาแบบนี้ในเวลาส่วนตัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น

     

    “ฝันร้ายเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มชวนละลายกระซิบถามอย่างแผ่วเบาทำให้ลู่หานรู้สึกตัวอีกครั้ง เล่นเอาหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอยู่แล้วเพราะความฝันยิ่งตีรัวหนักกว่าเดิมจนต้องยกมือไปกุมอกข้างซ้ายไว้

    “ไม่หรอก แค่ฝันแปลกๆ น่ะ นอนต่อเถอะ” ลู่หานกระซิบตอบกลับไปบ้าง อาการเกร็งที่ตรงขมับค่อยผ่อนคลายลงเมื่อวงแขนแกร่งกระชับเอาตัวเขาให้เข้าไปแนบชิดมากขึ้น

    หากแต่แทนที่จะกลับไปนอนต่ออย่างที่เขาบอก อีกฝ่ายกลับตวัดร่างขึ้นมาคร่อม ใช้มือตรึงข้อมือทั้งสองข้างของเขาไว้กับที่นอนเสียอย่างนั้น

    ด้วยไม่คิดที่จะขัดขืนอยู่แล้ว ลู่หานจึงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแรงปรารถนาและความต้องการของอีกคนที่ค่อยแนบกายลงมา

    “คุณมันคนเอาแต่ใจ” บ่นใส่อย่างไม่จริงจังนักก่อนที่ริมฝีปากจะถูกปิดสนิทด้วยจูบที่ร้อนแรง

    .

    .

    .

    31 ธันวาคม 2014

    ขณะนี้เป็นเวลาเช้า

    “คริส”

    “หืม?”

    “ถามอะไรหน่อยสิ”

    ชายหนุ่มก้มลงมองคนที่กำลังนอนคว่ำและเอาศีรษะกลมหนุนแผ่นอกเขา นิ้วเรียวเล็กลากไล้ไปมาตรงจุดที่ตากลมแป๋วกำลังจับจ้องอยู่

    “รอยสักรูปกวางตรงหน้าอกนี่ คืออะไร?”

    อา...ลืมไปเสียสนิท

    สายตาคมหันไปมองตรงอกของตัวเองบ้าง


    ใช่ เขามีรอยสักกรูปกวาง และยังมีรอยอื่นระบายอยู่ตามแผ่นหลังและหัวไหล่ รอยสักทุกรอยของเขามีเรื่องราวและที่มา รอยสักรูปกวางที่ว่า เขาได้มันมาเมื่อปีที่แล้ว

    “สักตรงหน้าอกข้างซ้ายด้วย”

    “คนรักเหรอ?”

    ลู่หานช้อนสายตาขึ้นมาถาม

    “คุณมีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่า?”

    ถึงแม้จะรู้สึกดีมากที่มือใหญ่ที่ฟอนเฟ้นร่างกายเขามาเกือบทั้งคืนนั้นกำลังปัดผมม้าที่ปรกหน้าผากอย่างอ่อนโยนให้ แต่การนิ่งเงียบของอีกฝ่ายมันก็ทำให้ลู่หานคิดไปไกล

    “เงียบแบบนี้...มีแฟนอยู่แล้วแน่ๆใช่ไหม?”

    “ถามทำไม?” คริสไม่ตอบ หากแต่ถามคำถามกลับมาแทน ก่อนจะกระชับอีกคนเข้าสู่วงแขนเพราะเมื่อครู่เขาจับได้ถึงความสั่นในน้ำเสียงของลู่หานตอนที่พูดประโยคนั้น

    “ก็อยากรู้นี่” ลู่หานเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว เพิ่งสำนึกเอาได้ตอนนี้เองว่าเขาแทบจะไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวใดๆ ของลูกน้องคนนี้เลย ลืมคิดไปเสียสนิทว่าคริสเองก็อาจจะมีใครอยู่แล้วก็ได้ ถ้าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของอี้ชิง คริสก็คงจะอายุราวยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า


    ดีไม่ดี ผู้ชายคนนี้ที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ร้อนแรงด้วยกันมา อาจจะแต่งงานมีลูกไปแล้ว



    คิดได้ดังนั้นลู่หานก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่น่าเลยจริงๆ เขาไม่น่าปล่อยตัวปล่อยใจ ตัวนั้นยกให้คริสไปแล้วโดยไม่มีอิดออด ส่วนหัวใจนั้นก็ดูท่าว่าจะไปไม่รอดเช่นกัน


    ลู่หานไม่คาดคิดมาก่อน ไม่คาดฝันว่าตัวเองจะชอบคริสได้มากมายถึงขนาดนี้

    “คนของคุณแซ่ลู่เหมือนผมหรือเปล่า?” ถามออกไปเพราะนามสกุลของตัวเองนั้นแปลว่ากวาง อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าคริสอาจจะแอบชอบเขาแบบลับๆ แล้วดอดไปสักเอาไว้ แต่นั่นแหล่ะ ลู่หานรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

    “หรือว่าชื่อน้องแบมบี้ (Bambi) หืม?”

    “ปากเล็กนิดเดียวแต่ทำไมพูดเก่งจัง” คริสออกมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอ อดที่จะก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากน่ารักจิ้มลิ้มที่ยื่นอยู่ไม่ได้

    “หาว่าผมพูดมากเหรอ?” คิดว่าจูบแล้วจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นหรือไง ฟังดูก็รู้ว่าหลอกด่ากันชัดๆ


    แต่ถึงจะหน้ายู่ปากยื่นใส่อีกคนอีกอยู่ ลู่หานก็รู้สึกอยากจะยิ้มออกมาเสียให้แก้มแตกเลยทีเดียว สาเหตุก็เพียงแค่เพราะอีกฝ่ายที่ปกติแล้วเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลกนั้นกำลังพูดจาเล่นหัวกับเขา

    “แล้วมันจริงไหมล่ะ” ชายหนุ่มกระเซ้าใส่ไปอีกหน หัวเราะออกมาน้อยๆ ที่คราวนี้ลู่หานแกล้งทำเป็นหรี่ตา เม้มริมฝีปากแล้วพลิกเป็นนอนหันหลังให้

    คริสรู้ดีว่าลู่หานนั้นแกล้งงอนไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้โกรธเคืองจริงจังอะไร และที่เม้มปากอยู่ เขาก็รู้ดีว่าเป็นเพราะเจ้าตัวเล็กนี่กำลังพยายามกลั้นยิ้ม

    ลู่หานน่ารักมาก เพราะเป็นเสียแบบนี้นี่ไง ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน เขาก็หักห้ามใจตัวเองไม่ได้


    วงแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบเอาร่างอุ่นเพราะยังรุมพิษไข้อยู่มาชิดอก สูดดมความหอมหวานตรงท้ายทอยที่โปรดปราน ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงลู่หานครางอืออาออกมาเบาๆ รับรู้ได้ว่าขนอ่อนของอีกคนกำลังลุกชันไปทั้งกาย


    จุดอ่อนของลู่หานอยู่ตรงนี้ ทำไมเขาจะจำไม่ได้


    “นี่” กระซิบแผ่วตรงที่กกหูก่อนจะใช้ปลายจมูกโด่งของตัวเองถูไถลงไป เมื่อได้ยินเสียงหวานตอบรับในลำคอ คริสก็พูดต่อ

    “รู้ไว้แค่อย่างเดียวก็พอ ว่าตอนนี้ กวางตัวเดียวที่ผมให้ความสนใจคือคุณ


     “และอีกอย่าง”


    “ถ้าไม่นับคุณแล้ว


    “ผมก็ยังไม่มีใคร”


    “จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ”


    พูดจบคนขับรถตัวดีก็อาจหาญเอามือไปจับคางสวยของเจ้านายไว้แล้วออกแรงบิดน้อยๆให้หันกลับมา ซึ่งคนเป็นนายก็ไม่ขัดขืน ฝ่ามือบางยกขึ้นมาเหนี่ยวคออีกคนที่โน้มหน้าลงมาหา รอยยิ้มน่ารักระบายไปทั่วไปหน้า และยินดีโอนอ่อนผ่อนตามความต้องการของลูกน้องโรคจิตที่เอาแต่ลวนลามร่างกายปล้นจูบปล้นหัวใจของเขาอีกครั้ง

    .

    .

    .

     

    ราวห้าทุ่มกว่าๆ

    “ขอโทษนะที่ผมไม่ยอมหายป่วยซักที แทนที่จะได้ไปเดินเที่ยวกันที่งานปีใหม่ คุณเลยต้องมาเคาท์ดาวน์อยู่ที่บ้านเสียอย่างนั้น” เสียงหวานที่ติดแหบพร่าเล็กน้อยเนื่องจากไม่สบายเอื้อนเอ่ยขึ้นก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา ทั้งที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้อย่างดิบดีว่าคืนนี้จะไปงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่โรงเรียนมัธยมประจำเมือง แต่แล้วก็ต้องมานั่งแกร่วอยู่ที่หน้าเตาผิงเพราะป่วยเกินไป

    แต่กระนั้นลู่หานก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ เพราะที่หน้าเตาผิงที่แสนอบอุ่นนี้มีผลไม้สดจำพวกเชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ องุ่น ชีสแบบง่ายๆ ที่เขาชอบ

    มีไวน์


    มีเพลงแจ๊สเปิดคลอเบาๆ ช่วยสร้างบรรยากาศให้รู้สึกสบาย


    และที่สำคัญ ข้างกายของเขา มีคริส

    “ไม่เป็นไรหรอก ผมก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน ต่อให้ไม่เป็นไข้คุณก็คงเดินไม่ไหวอยู่ดี” คำพูดเรียบๆ แต่ความหมายไม่เรียบเลยสักนิดของอีกฝ่ายทำให้โหนกแก้มของลู่หานร้อนวาบขึ้นมา


    ใช่สิ กี่รอบแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อคืน ไม่รู้ไปตายอดตายอยากมาจากไหน


    ยังดีที่คริสนั้นเกิดสำนึกได้ว่าขืนปล่อยให้อารมณ์กระเจิดกระเจิงต่อไปแล้ว เขาอาจจะเครื่องพังและช้ำในตาย การอยู่ที่นี่ด้วยกันคงไม่ต่างจากการถูกจับมาขังที่กระท่อมกลางป่าแล้วโดนชำเรามาราธอน ถึงแม้ว่าเขาจะสมยอมและตอบสนองเป็นอย่างดีทุกครั้งก็เถอะ


    นึกถึงบทรักอันร้อนแรงที่อีกคนปรนเปรอให้ ลู่หานก็นึกเขินขึ้นมา แก้วไวน์ในมือจึงถูกกระดกให้ไหลลงคอรวดเดียวหมด เมื่อหมดก็ยื่นแก้วไปให้อีกคนเติมใหม่ให้

    “หมดแล้ว ขอต่ออีกแก้ว”

    “ไม่สบายแล้วยังจะขี้เมา” อีกคนว่าและหันไปทำหน้าดุเข้าใส่ แต่แทนจะสลด ลู่หานกับยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีให้

    “อ้าว คุณไม่เคยได้ยินเหรอว่าแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคได้ ผมก็กำลังฆ่าเชื้อโรคในตัวอยู่ไง ขี้เมาที่ไหนกัน” พูดไปก็หัวเราะไป แต่พอเห็นว่าอีกคนไม่ขำด้วย หนำซ้ำยังทำหน้าบึ้งยิ่งกว่าเก่า ลู่หานก็กระเถิบตัวเข้าไปใกล้แล้วใช้ข้างแก้มถูเข้ากับหัวไหล่อีกคนไปสองที

    “น่านะ ผมก็แค่อยากดื่มฉลองปีใหม่” พูดจบก็แจกยิ้มหวานตาฉ่ำระยิบระยับวับวาวที่คิดว่าแจกทีไรคนได้รับเป็นอันต้องจนมุม นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้ทำตัวหว่านเสน่ห์ใส่ใครแบบนี้ ไม่รู้ว่ารอยยิ้มแบบนี้จะยังได้ผลอยู่หรือเปล่า ที่สำคัญ เขาไม่เคยใช้มันกับผู้ชายเสียด้วยสิ

    แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะได้ผลอยู่อยู่ไม่น้อย เพราะถึงแม้คนที่โดนจู่โจมจะยังคงปั้นหน้าดุ หากแต่สายตานั้นอ่อนโยนลงมาก หนำซ้ำลู่หานยังเห็นริ้วสีชมพูจางๆ ปรากฏขึ้นที่แก้มคร้านอีกด้วย

    คริสรินไวน์แดงใส่แก้วให้คนเป็นนายใหม่ ทั้งที่อีกคนนั้นดูท่าแล้วระดับแอลกอฮอล์ในเลือดน่าจะใช้ได้อยู่เหมือนกัน เพราะถึงขนาดอ้อนเขาได้แบบนี้โดยไม่มีเคอะเขิน แต่เนื่องด้วยมันเป็นคืนส่งท้ายปีเก่า คริสจึงไม่อยากจะขัดใจ

    แต่ก็ยังไม่วาย อดไม่ได้ที่จะพูดประโยคนี้

    รู้ตัวหรือเปล่าว่าเมาแล้วชอบทำตัวแปลกๆ หมดมาดผู้บริหาร

    “ห้ามไปเมาแบบนี้ให้ใครเห็นเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

    แปลกที่ว่านี่ไม่ใช่น่าเกลียดหรือน่าสมเพชแต่ประการใด แต่จะให้บอกกันตรงๆ ว่าเจ้านายหนุ่มนั้นเมาแล้วน่ารัก น่าแกล้ง น่ารังแก และน่าย่ำยีก็ใช่ที่ ที่ผ่านมา ขนาดลู่หานไม่ได้เมา เขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้จนมันเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

    และก็เป็นเช่นเคย ลู่หานไม่มีท่าทีสลดแต่อย่างใด แถมยังคิดประโยคมาต่อล้อต่อเถียงได้อย่างทันควัน

    “คุณก็ตามผมไปทุกงานเลี้ยงอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

    “ถ้าเห็นผมเมาหนักๆ ก็ลากขึ้นรถซะสิ ไม่เห็นยาก” เอียงคอเถียงตาใส ไหวไหล่ใส่อย่างไม่แคร์ แถมตบท้ายด้วยการซดไวน์ไปทีเดียวครึ่งแก้วแบบนี้ อาการแบบนี้มันทำให้คริสอดใจไม่ไหว ต้องรีบคว้าเอาร่างผอมบางมากอดไว้ วงแขนแกร่งยิ่งกระชับแน่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของอีกคน

    “ใช่ ลากขึ้นรถแล้วก็จับตีให้ก้นลาย”

    “ทำไมดุจัง” ยังคงพูดด้วยเสียเจือหัวเราะ

    “อี้ชิงสั่งมา”

    “จริงเหรอ?” คราวนี้ลู่หานหันหน้าไปถามแล้วทำตาโตใส่ จริงอยู่ที่เมื่อก่อนเขาซนจนอี้ชิงตามกำราบไม่หวาดไม่ไหว นึกไม่ถึงว่าเขาโตจนป่านนี้แต่อี้ชิงจะยังคงเป็นแบบนี้อยู่

    “ไม่จริงหรอก”

    “อ้าว”

    “แค่หวงน่ะ”

    “หวงได้ใช่ไหม?”


    แค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำเอาคนเริ่มเมานิ่งเงียบสงบปากสงบคำทันที แก้มที่แดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นฉีดสีขึ้นเข้มกว่าเก่า ไม่ชินเลยจริงๆ กับอาการเอาอกเอาใจแบบถึงเนื้อถึงตัวและคำพูดหวานๆ ที่อีกฝ่ายมีให้

     “พูดเยอะเกินไปแล้วนะ...”


    “กลับไปเป็นคนใบ้เหมือนเดิมเลยไป...”


    หน้าร้อนขึ้นกว่าเก่าเมื่อถูกจุมพิตเบาๆ ที่ข้างแก้ม ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างไร

    หัวใจของลู่หานเต้นทั้งเร็วและแรงราวกับสาวน้อยแรกรุ่นเพิ่งมีรักครั้งแรก ยอมให้อีกคนกอดหอมอย่างง่ายดาย ยอมทอดกายอยู่ในวงแขนอีกฝ่ายทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกัน

    และทั้งที่เพิ่งเริ่มใกล้ชิดกันได้ไม่เท่าไหร่ แต่ลู่หานกับรู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ทั้งอ้อมแขนอบอุ่น ฝ่ามือใหญ่และสากที่สัมผัสบนร่างกาย เสียงทุ้มต่ำยามที่กระซิบแก่กัน จมูกโด่งที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้ม กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กรุ่นออกมา ลมหายใจ รอยยิ้มอ่อนโยนที่ผลิออกมาจากดวงตา ริมฝีปากหนาที่ทำหน้าที่ร้อนแรงและอ่อนโยนได้ในคู่เดียวกัน

    มันคุ้นมาก มากเสียจนลู่หานหานต้องเอ่ยปาก

    “คุณรู้ใช่ไหมว่าความทรงจำบางส่วนของผมหายไป?”

    เมื่อรู้สึกว่าคางเรียวที่เกยไหล่อยู่ขยับขึ้นลงก็พูดต่อ

    “ถามจริงๆ เถอะ”

    “เรา...เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?”

    “คุณใช่หนึ่งในบรรดาหลายๆ คนที่หายไปพร้อมกับความทรงจำของผมไหม?”

    ถ้าไม่นับเสียงเพลงคลอเบาๆ และเสียงฟืนที่ถูกเพลิงเผาไหม้ในเตาผิง ก็คงจะมีแค่เพียงเสียงลมหายใจเข้าออกแผ่วเบาของอีกฝ่ายที่ลู่หานได้ยิน คริสยังคงไม่พูดอะไร สิ่งที่เจ้าตัวทำคือโอบร่างบางเอาไว้และเกยคางไว้กับบ่า

    “ทำไมถึงถามแบบนี้?” หลังจากที่ต่างคนต่างนิ่งเงียบไปพักใหญ่ คริสก็พูดขึ้น

    “ก็...มันคุ้นๆ” ลู่หานตอบ

    “ผมเป็นเพื่อนกับอี้ชิงมาตั้งแต่เด็ก คุณคงเคยเห็นหน้า”

    ลู่หานลองคิดตามที่อีกคนบอก เป็นไปได้ว่าเขานั้นเคยเห็นหน้าคริสมาก่อน แต่ทว่าความคุ้นเคยที่เขารู้สึกมันไม่ใช่แค่เพียงคุ้นหน้า มันมีอะไรที่มากกว่านั้น

    “ไม่ ผมหมายถึงเวลาที่...แบบ...เวลาที่โดนคุณกอดน่ะ...มันคุ้น...” ลู่หานอ้อมแอ้มอธิบาย หวังว่าคริสจะไม่คิดว่าเขานั้นประหลาดเกินไป ก็คนมันคุ้นจริงๆ และความรู้สึกที่มีมันชัดเจนอย่างมากด้วย

    “ถ้าคุณคิดว่ามันคุ้น แบบนี้ก็แปลว่าเราเคยกอดเคยจูบกันมาก่อนงั้นเหรอ?” คริสไม่ตอบแต่เป็นฝ่ายถามกลับไป เมื่อลู่หานหันหน้ามาหรี่ตาใส่ มุมปากของชายหนุ่มก็ยกขึ้น

    “...แล้วเคยไหมล่ะ?” จ้องตาอีกคนแล้วถามไปอีกครั้ง แต่แล้วใบหน้าก็มีอันได้ร้อนขึ้นอีกครั้งเมื่อสายตาที่ประสานกันเริ่มอ่อนโยนและหวานเยิ้มขึ้นเรื่อยๆ

    “คุณชอบหรือเปล่า?” จู่ๆ คริสก็ถามขึ้น

    “เห?” ลู่หานทำหน้าเหรอหราเพราะไม่เข้าใจ ก่อนจะรีบหลับตาเพราะอีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาหาแล้วบดเบียดริมฝีปากลง คริสแตะจูบลงแค่เบาๆ แล้วละออกมา ก่อนจะแตะใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำๆ หลายทีจนลู่หานต้องหลุดยิ้ม พอเบือนหน้าหนีก็ถูกฉวยคางแล้วบังคับให้หันมาเผชิญหน้ากันใหม่

    “ชอบไหม?” คนตาคมที่ตอนนี้กลายเป็นคนตาหวานทวงถามขึ้นอีกครั้ง จ้องมองใบหน้าอีกคนอย่างไม่วางตา ยิ้มอย่างชอบใจเมื่อเห็นแก้มของลู่หานนั้นแดงขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าหัวใจนั้นพองโตจนแทบระเบิดออกมา

    หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะมีโอกาสได้มาอยู่เคียงข้างกันแบบนี้เป็นครั้งที่สอง เขาควรจะขอบคุณใครดีกับของขวัญล้ำค่าจากสวรรค์ที่หล่นลงมาหาเขาถึงสองครั้งสองครา

    ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นเมื่อวงหน้าที่เล็กเสียยิ่งกว่าฝ่ามือของเขาขยับขึ้นลง ค่อยประทับจูบนุ่มนวลลงไปที่ริมฝีปากคู่นั้นอีกครั้งพร้อมพึมพำออกมาเบาๆ

    “ผมก็ชอบ...”

    ลู่หานเคลิบเคลิ้มและดื่มด่ำไปกับจูบหวานฉ่ำเจือแอลกอฮอล์ที่คริสมอบให้ ลืมไปหมดว่าคำถามที่ถามไปเมื่อครู่ถูกอีกคนปล่อยไว้ให้ค้างคา


    เพราะความที่เป็นผู้ชายจึงอยากลองเป็นฝ่ายควบคุมเกมดูบ้าง ซึ่งคริสก็ดูเหมือนจะเข้าใจจึงยอมหยุดในส่วนของตัวเองและยอมเปิดปากให้เกลียวลิ้นเล็กได้สอดแทรกเข้าไป แต่แล้วก็ทนให้ลู่หานดูดกลืนและกระหวัดเกี่ยวอยู่ได้เพียงไม่นาน สุดท้ายก็กลายเป็นลู่หานที่โดนลิ้มชิมจนลิ้นชาและปากช้ำอีกครั้ง

     “เต้นรำกันไหม?” คริสกระซิบแผ่วที่ข้างหูหลังจากที่ถอนปากออกมา หนึ่งในเพลงโปรดของลู่หานที่เขาจำได้ขึ้นใจกำลังถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้ง

    I can only give you love that lasts forever,

    And a promise to be near each time you call.

    And the only heart I own

    For you and you alone

    That's all,

    That's all...

    ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วยื่นมือไปหาอีกคนที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นพรม ดวงตาหวานช้อนขึ้นมามองเขาช้าๆ ก่อนจะวางมือตัวเองลงไปบนมือหนานั้น

    เพียงครู่เดียวลู่หานก็เข้าไปอยู่ในวงแขนของคริสอีกครั้ง แขนเรียวทั้งสองถูกอีกคนยกให้ขึ้นไปโอบรอบลำคอไว้ ลู่หานคิดว่าไม่เคยเต้นรำกับใครโดยถูกกำหนดให้อยู่ในท่าทางแบบนี้มาก่อน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคบผู้ชาย แต่นั่นแหล่ะ เขารู้สึกคุ้นกับมันมากไม่ต่างจากอะไรหลายอย่างที่เกิดกับเขาในระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา


    ช่วงสองปีที่ปราศจากความทรงจำ เขาต้องเคยเต้นรำแบบนี้แน่ๆ และคงจะเป็นกับใครไม่ได้นอกเสียจากคริส


    เราต้องเคยรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ

    There are those I am sure who have told you,

    They would give you the world for a toy.

    All I have are these arms to enfold you,

    And a love time can never destroy.

     

    If you're wondering what I'm asking in return, dear,

    (หากคุณกำลังสงสัยว่าฉันต้องการอะไรเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนจากคุณ ที่รัก)

    ตากลมเบิกขึ้นน้อยๆ เมื่ออยู่ดีๆ คริสก็ส่งเสียงร้องคลอไปกับเพลงขึ้นมา ใบหน้าหล่อเลื่อนเข้ามาใกล้จนจมูกของทั้งคู่นั้นชนกัน เนื้อเพลงท่อนที่คริสร้องประกอบกับสายตาหวานซึ้งและเว้าวอนของอีกคนที่ส่งมาให้ ทำให้ลู่หานมีอาการหน้าร้อนผ่าวอีกครั้ง แต่กระนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน

    You'll be glad to know that my demands are small.

    (คุณจะต้องยินดีมากเมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการนั้นมันช่างเล็กน้อย)

    Say it's me that you'll adore,

    (แค่เอ่ยออกมาว่าฉันคือคนที่คุณจะรักและเอ็นดู)

    For now and ever more

    (ทั้งในตอนนี้และตลอดไป)

    That's all,

    (แค่เพียงเท่านี้)

    That's all.

    (แค่เพียงเท่านี้ก็พอ)

     

    I adore you,ผมเอ็นดูคุณ

    ลู่หานกระซิบบอกทันทีที่เพลงจบ เปลี่ยนแขนจากที่คล้องคออีกคนมาเป็นสอดเข้าไปกอดร่างหนาไว้แทน บางสิ่งบางอย่างอุ่นๆ ล้นปรี่ออกมาจากหัวใจ

    อยากรู้เหลือเกินว่าคนทั่วไปใช้เวลานานไหมกับการตกหลุมรักใครสักคน


    แล้วตัวเขานี่ยังปกติดีอยู่หรือเปล่า?


    เพราะสิ่งที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ มันช่างใกล้เคียงกับการมีความรัก


    ใช่แน่ๆ

    ลู่หานกำลังมีความรัก...

    ปัง!

    ปัง!


     “เที่ยงคืนแล้ว” คริสพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพลุจำนวนหลายนัดที่คาดว่าน่าจะมาจากงานฉลองปีใหม่ที่โรงเรียนมัธยมประจำเมือง ชายหนุ่มก้มลงไปมองลู่หานที่กำลังทำตาโตด้วยเพราะตกใจกับเสียงปึงปังที่ดังมาแบบติดๆ กัน


    วี้ด ปัง!

    “สวัสดีปีใหม่” คริสบอกแล้วโน้มลงไปจุมพิตยังริมฝีปากเล็กของอีกฝ่ายตามธรรมเนียมของชาวตะวันตกที่ต้องจูบกับใครสักคนที่อยู่ตรงนั้นเมื่อก้าวผ่านปีเก่าไปสู่ปีใหม่

    ลู่หานที่ดูมึนงงเล็กน้อยจูบตอบและเอ่ยออกมาเช่นกัน

    “สวัสดีปีใหม่”

    ปัง! ปัง!

    คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ ตั้งแต่อุบัติเหตุคราวนั้น เขาก็กลายเป็นคนขวัญอ่อนและตกใจง่าย หูของเขาอ่อนไหวเป็นพิเศษเวลาที่ได้ยินเสียงปึงปัง ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ลู่หานต้องข่มใจ ควบคุมสติและเพียรบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร

    อี้ชิงเคยพาเขาไปหาหมอ ซึ่งหมอวินิจฉัยออกมาว่ามันเป็นผลข้างเคียงมาจากอุบัติเหตุ เขาคงฝังใจมากตอนที่รถไปอัดเข้ากับเสาข้างทางโครมใหญ่ เสียงสนั่นหวั่นไหวยังคงติอยู่ในจิตใต้สำนึกและทำให้เขากลัวมาจนถึงทุกวันนี้ กลัวมากกระทั่งเก็บเอามันไปฝันบ้างในบางคืน โดยได้ยินเสียงดังปังก้องอยู่ในฝันนั่นแหล่ะ


    ดีมากแค่ไหนที่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในงาน ที่นั่นเสียงพลุคงจะดังมาก และเขาเองก็คงจะร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยความตระหนกไปตั้งแต่เมื่อพลุนัดแรกถูกจุดขึ้น

    “จากตรงนี้มองเห็นพลุด้วย” รู้ตัวอีกที ลู่หานก็โดนคริสเดินพามายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ตรงนี้มองเห็นพลุปีใหม่หลากสีได้ชัดเจนอย่างที่อีกคนว่าไว้จริงๆ พลุแต่ละนัดที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้าต่างสวยงามและบางลูกก็ดูแปลกตา แต่เสียงดังสนั่นของมันก็ทำให้ลู่หานอกสั่นขวัญแขวนอยู่ดี

    ปัง!

    มือน้อยๆ เริ่มสั่นและชื้นเหงื่อ อาการปวดจี๊ดที่ศีรษะแวะมาเยือนลู่หานอีกครั้ง

    “ปวดหัวเหรอ?” คริสถามขึ้นเมื่อหันไปเห็นขมับที่ชื้นเหงื่อและใบหน้าซีดเผือดของลู่หาน เพราะกำลังอยู่ในอารมณ์สุนทรีอย่างที่สุด เขาจึงลืมไปเสียสนิทว่าอี้ชิงเคยบอกเอาไว้ว่าลู่หานไม่เหมือนเก่า ร่างเล็กตกใจง่ายเวลาที่ได้ยินเสียงปึงปัง

    “อืม นิดหน่อย” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นสุดแสนเนือย ถึงแม้จะยิ้มหวานเยิ้มให้กันยังไง แต่คริสก็ดูออกว่ามันเป็นการฝืนตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

    ปัง!

    “เข้าไปนอนข้างในไหม?” ถามขึ้นอีกครั้งเพราะคราวนี้ลู่หานตกใจเสียจนสะดุ้งตัวโยน

    ปัง! ปัง!

    “ไม่ๆ ผมจะดูพลุ” ปากบอกปฏิเสธแต่คริสรู้สึกได้ว่าลู่หานกำลังตัวสั่น ยิ่งเมื่อเขารวบร่างเข้ามากอดอีกครั้งอีกฝ่ายก็รีบโผตัวเข้าหาแล้วซบหน้าลงกับแผ่นอกของเขา ไม่ได้ใส่ใจมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูพลุอย่างที่บอกไว้เลยด้วยซ้ำ

    ปัง!

    ปัง!

    สารภาพมาว่าคุณเป็นใคร


    ลู่หานเบิกตากว้าง


    นั่นเสียงของเขาหรือเปล่า? ทำไมอยู่ดีๆ ลู่หานก็ได้ยินเสียงตัวเองดังขึ้นมาในหัวได้

    ปัง!

    ปัง!

    ฟังพี่ก่อนเสี่ยวลู่


    แล้วนี่...


    เสียงคริส...ใช่ไหม????

    ปัง! ปัง!

    ปัง!

    “ไปนอนเถอะ คุณไม่ไหวแล้ว” พูดจบก็รีบช้อนลู่หานที่ตัวอ่อนปวกเปียกคล้ายจะเป็นลมอยู่รอมร่อเข้าสู่วงแขนแล้วรีบพาเข้าห้องนอนไป

    วางร่างเล็กลงบนเตียงได้คริสก็รีบพุ่งไปที่ตู้ยาเพื่อหายาดมและยาแก้ปวดหัวมาให้ ร่างสูงทำทุกอย่างเร่งรีบเพราะไม่กล้าทิ้งอีกคนไว้นานเกินไป เสียงพลุสงบลงไปแล้วก็จริงแต่อาการสั่นไปทั้งตัวและใบหน้าที่แทบจะไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่ของลู่หานมันทำให้เขาไม่สามารถวางใจได้

    และก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เมื่อหย่อนกายนั่งลงตรงขอบเตียงได้ มือเล็กก็รีบมาคว้าชายเสื้อเขาเอาไว้

    ลู่หานรับยาแก้ปวดจากมือคริส ใส่มันเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามอย่างว่าง่าย แต่เบ้หน้าออกมาเมื่อมือใหญ่จรดยาดมเข้าให้ที่ใต้จมูก บ่นกระปอดกระแปดว่ามันเหม็นและตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้ยาดม ตบท้ายด้วยการออดอ้อนอย่างแนบเนียนว่าจริงๆ แล้วยังตกใจอยู่ ถ้าได้คริสคอยนอนกอด อาการสั่นน้อยๆ ที่ยังคงปรากฏอยู่ก็อาจจะหายได้เร็วขึ้น ซึ่งคริสก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่าง ยอมสอดกายเข้าใต้ผ้าห่มและกระชับเอาลู่หานเข้ามากอดไว้ใกล้ตัวตามที่เจ้าตัวต้องการทันที

     “คริส” หลังจากที่เห็นว่านิ่งเงียบไปและไม่มีอาการสั่นหลงเหลืออยู่ คริสที่นึกว่าลู่หานนั้นหลับไปแล้วก็ผละตัวออกมา จุดประสงค์คือเพื่อไปจัดการเก็บกวาดอาหาร แก้ว จานชามและขวดไวน์ที่ทิ้งไว้หน้าเตาผิง อาบน้ำชำระร่างกาย จากนั้นก็เข้านอน

    แต่ปรากฏว่าลู่หานยังไม่หลับ ร่างเล็กยึดมือเขาไว้แน่นพลางจ้องมองมาด้วยดวงตากลมแป๋วคู่นั้น

    “จะไปไหน?” ลู่หานถาม

    “คืนนี้แยกกันนอนเถอะ ผมอยากให้คุณพักผ่อน” คริสหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ล่วงเลยจวบจนเกือบบ่ายโมง ลู่หานนั้นรองรับอารมณ์ร้อนแรงของเขาและได้แต่หลับๆ ตื่นๆ มาตลอด หลับไปได้ไม่นานลู่หานก็สะดุ้งตื่น และพอตื่นขึ้นมาก็จะโดนเขากวนทุกครั้ง

    มานึกคิดถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป คริสก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นแสนสารเลวที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ลู่หานป่วยและต้องการการพักผ่อน แต่เขาก็ยังมาทำตัวเอาแต่ใจ เอารัดเอาเปรียบและหาประโยชน์จากร่างกายของอีกคนอย่างไม่รู้จักพอ

    “ไม่อนุญาต” ลู่หานว่าพลางยันกายลุกขึ้นมาเป็นนั่ง เมื่อคริสนั้นเอื้อมมือมาเพื่อที่จะกดกายให้ลงไปนอนต่อแล้วถอยห่างออกมา ร่างเล็กก็พูดขึ้นอีกครั้ง

    “ผมเป็นเจ้านายคุณนะ” ตีหน้าเคร่งขรึมเสียจนลู่หานตัวน้อยแสนขี้อ้อนของเขากลับกลายเป็นท่านประธานลู่ นายใหญ่ของลู่พร็อพเพอร์ทีได้ในเวลาไม่ถึงนาที ถึงจะไม่ได้มีรังสีที่น่าเกรงขามแผ่ออกมามากเท่าเมื่อก่อน แต่ลู่หานก็กำลังก้าวย่างเข้าไปสู่จุดนั้น

    ลู่หานปรับตัวได้ดีเสมอ คริสมั่นใจว่าในไม่ช้า คุณลู่หานคนเดิมจะต้องกลับมา ถึงแม้ว่าความทรงจำจะยังคงตกหล่นเรี่ยราดอยู่ที่ใดสักแห่งอยู่ก็ตาม

    ดวงตาวาวที่จ้องเขาอยู่ช่างเหมือนกับลู่หานคนเก่า จะมีก็แต่ความน่ารักจิ้มลิ้มที่ยังซ่อนเอาไว้ไม่ได้นี่แหล่ะที่ทำให้เขานึกเอ็นดูร่างเล็กอยู่ค่อนข้างมาก

     “อย่าทำแบบนี้สิ”

    “คุณนั่นแหล่ะ อย่าทำแบบนี้สิ”

    ลู่หานในตอนนี้นั้นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่เขาอยากเอาใจ เห็นกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายแล้วก็หมั่นเขี้ยว อยากยื่นมือไปหยิกปากเล็กที่เชิดขึ้นด้วยถูกขัดใจเสียให้ช้ำ

     “มานี่”

    “ผมสั่งให้มา” ยกมือขึ้นมากอดอกแล้วออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาด

    คริสถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อพอล้มตัวลงนอนเคียงข้างแล้วถูกอีกคนคว้าตัวมากอดรัดอย่างทันควัน มือเล็กเลื่อนไถลเข้าไปในเสื้อเพื่อลูบไล้แผ่นหลังเขาอย่างไม่รอช้า


    ชายหนุ่มคิดว่าเขาเป็นคนที่ความสามารถในการต้านทานสิ่งเร้าอยู่ในระดับที่ดี ค่อนข้างใจเย็นและมีเหตุผล แต่พอสิ่งเร้าตัวนั้นคือลู่หาน ใจของเขาก็อ่อนลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


    เกือบหนึ่งปีมานี้ เขาใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่บนความสับสน เขาต้องต่อสู้กับความโหยหาและความคิดถึงที่มันกัดกินอยู่ในหัวใจ อยากพบ อยากเจอ อยากอยู่ใกล้ๆ แต่ความจำเป็นมันก็ล่ามโซ่ให้เขานั้นคอยหลบอยู่ในมุมมืด

    ครั้นเมื่ออี้ชิงเปิดโอกาสให้ได้มาเจอกันใหม่ด้วยเหตุผลที่ว่ายังไงเสียลู่หานก็จำเขาไม่ได้ เขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น แทบรอวันที่จะได้พบเจอกันอีกครั้งไม่ไหว


    แต่พอได้มาเจอกันจริงๆ สายตาว่างเปล่าที่มองมาเพราะเห็นเขาเป็นคนแปลกหน้า กิริยาไว้ตัวอย่างที่ใช้กับลูกน้องและคนในปกครองทั่วไป หัวใจของเขามันก็เจ็บร้าว


    ได้แต่พร่ำบอกตัวเองว่าดีแล้วที่ลู่หานจำเขาไม่ได้ เพราะสำหรับลู่หานความทรงจำที่มีเขาอยู่ในนั้นคงไม่ต่างจากฝันร้าย



    ร่างสูงถูกดึงให้กลับออกมาจากห้วงความคิดของตัวเองเมื่อมือเล็กซุกซนถึงขนาดกล้ามาวอแวกับหน้าท้องของเขา และดูเหมือนกำลังจะไถลลงไปข้างล่าง

    ทำแบบนี้ อาจจะไม่ได้นอนนะ ชายหนุ่มเตือนด้วยเสียงต่ำพร่า ความอดทนของเขาใกล้จะหมดลงเต็มที

    “แล้วไง?” ลอยหน้าลอยตาบอกอย่างไม่ใส่ใจอะไร


    ค่อยๆ กลับมาแล้วทีละนิดสินะ เจ้าตัวแสบสุดแสนร้ายที่อี้ชิงบ่นให้ฟังบ่อยๆ ตั้งแต่สมัยเมื่อก่อน โตขึ้นมาแล้วความร้ายกาจแบบเด็กๆ ลดทอนลงไปด้วยวุฒิภาวะที่เพิ่มมากขึ้น แต่ความเอาแต่ใจและดื้อแพ่งนั้นยังคงอยู่เช่นเดิม

    “ดื้อ” ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนขยับกายให้มาเป็นขึ้นคร่อม กักขังลู่หานที่ยิ้มหวานเพราะชอบใจเอาไว้ด้วยท่อนแขนใหญ่ที่ทาบทับลงบนที่นอน

    ไม่อยากนอนก็ไม่ต้องนอน พรุ่งนี้เช้าอย่ามางอแงโอดครวญให้เขาได้ยินก็แล้วกัน

    .

    .

    .

    “คริ...คริส...อือ...” ลู่หานรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังขาดอากาศหายใจ เนื้อตัวและร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อทั้งของตัวเองและของอีกคนที่กำลังขยับเขยื้อนบดเบียดอย่างแนบแน่น หน้าท้องแกร่งเสียดสีกลางกายจนเขาแทบลุกเป็นไฟ

    “เจ็บเหรอ?...” อีกคนละหน้าออกมาจากลำคอขาวเพื่อถาม เมื่อเห็นว่าอีกคนปรือเปลือกตาขึ้นมามองและส่งยิ้มให้อย่างยั่วเย้าก็ฝังหน้าลงไปที่เดิมใหม่ โดยเจ้าตัวก็แหงนหงายให้เขาแต่โดยดี

    “ไม่...รู้สึกดีต่างหาก...”

    เสียงครางต่ำแผ่วเบาสลับกับเรียกชื่อเขาออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คริสเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนั่งพร้อมดึงอีกคนให้ลุกตามขึ้นมานั่งทับตักโดยที่ยังไม่แยกจากกัน

    ถึงแม้อยากจะปล่อยให้คืนนี้มันยาวนาน แต่เขาก็ควรทำให้มันจบเสียที
    ผิวกายของลู่หานกำลังร้อนผ่าว แดงซ่านไปทั้งหน้าและตัว


     “...เรียกพี่คริสได้ไหม?” ชายหนุ่มกระซิบเว้าวอน อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเก่า เหมือนเมื่อครั้งที่ลู่หานเรียกเขาอย่างสนิทสนมว่าพี่


    “ได้ไหมเสี่ยวลู่...เรียกพี่คริสที”


    “พี่คริส...” ลู่หานปรือตาขึ้นมาสบและเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างว่าง่ายพลางกระชับวงแขนของตัวเองให้แน่นเข้าไปอีก ถึงจะรู้สึกเหมือนโดนทรมานจนแทบทนไม่ได้ แต่ความรู้สึกเต็มตื้นที่หัวใจกลับทำให้เขาต้องยอม


    เขารักผู้ชายคนนี้ อะไรก็ตามที่พอจะทำได้เพื่อให้คริสได้พอใจ ลู่หานยอมทั้งนั้น


    “ดีมาก...เด็กดี..เรียกอีกสิ...เรียกพี่คริส” เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้าหวานและเร่งจังหวะให้แรงเร็วขึ้นเพื่อเป็นของรางวัลให้แก่คนน่ารัก ก่อนจะประคองลู่หานให้ลงไปนอนใหม่ และบดเบียดอีกครั้งจนร่างบางครวญออกมาไม่เป็นภาษา

    ลู่หานรู้สึกหน้ามืดตาลาย มึนไปหมดทั้งจากพิษไข้และพิษรักที่คริสกำลังมอบให้ รับรู้ได้ว่าตัวเองนั้นบินขึ้นสูงจนใกล้จะแตะสวรรค์แล้วเต็มที แต่อยู่ดีๆ เสียงปังก็ดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง


    และตามติดมาด้วยบทสนทนาอันยาวเหยียดที่เขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน

    พี่คริส ทำไมจู่ๆ ก็มีรอยสักเพิ่ม ไม่เห็นบอกกันเลย


    ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ ชอบหรือเปล่า?

    สวยดี แต่ทำไมต้องเป็นรูปกวางล่ะ?


    ก็มีแฟนเป็นกวาง อยากมีกวางอยู่ใกล้ๆ หัวใจ


    น้ำเน่า...


    ก็พี่รักเรา พี่รักเสี่ยวลู่นะรู้ไหม?


    รู้แล้วน่า



    จะไม่บอกรักพี่ตอบบ้างเหรอ?


    ก็บอกไปทั้งคืนแล้วไง...


    อยากได้ยินอีกหน บอกหน่อยสิ ได้ไหม?


    พี่ไม่ต้องมายิ้มแบบนี้เลยนะ..


    ก็ได้ๆ


    ผมก็รักพี่เหมือนกัน


    เสี่ยวลู่รักพี่คริส...พอใจหรือยัง?


    “พี่คริส” ลู่หานครางออกมา


    เขานึกออกแล้ว ความคุ้นเคยที่เขารับรู้ได้มันไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการที่เขาคิดขึ้นมาเอง หากแต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง มันคือตัวช่วยที่ทำให้เขานึกอะไรออกได้เร็วขึ้น




    ความทรงจำถึงสองปีที่หายไป ในนั้นมีคริสอยู่ด้วย


    เราสองคนรู้จักกัน สนิทกัน มองข้ามความเป็นจริงที่ต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ และตกหลุมรักกันภายในระยะเวลาเพียงสั้นๆ


    และหลังจากนั้นไม่นาน ความเกลียดชังก็เข้ามาแทนที่


    และคริสก็จากเขาไป ลู่หานสูญเสียผู้ชายที่ตนรักไปตลอดกาล


    กระทั่งความทรงจำที่มีแต่ผู้ชายคนนี้อยู่เต็มไปหมด เขาก็ทำหล่นหาย


    “พี่คริส...” ลู่หานกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ได้แต่ปล่อยให้มันไหลพรากออกมาทั้งที่วงแขนยังกอดกระชับรอบกายอีกคนไว้แน่น ความคับแน่นและความเจ็บปวดปนเสียวซ่านจากเบื้องล่างเป็นเครื่องย้ำเตือนได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่ได้กำลังฝันไป


    และคนที่กำลังร้อนแรงอยู่บนร่างกายของเขานี้ก็คือคริส



    ลู่หานหยุดมันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ความทรงจำต่างๆ ไหลเทมาราวกับคลื่นสึนามิลูกใหญ่ที่พัดมาแล้วทำลายทุกอย่างจนราบเป็นหน้ากลอง

    ดีใจที่คริสยังอยู่ แต่เสียใจที่ตัวเองกลับมาจำแทบจะทุกสิ่งทุกอย่างได้ หัวใจของเขามันเหมือนถูกเฉือนให้หลุดออกจากขั้วทีละเล็กละน้อย

    จูบดูดดื่มที่ได้รับยังคงรสชาติความหวาน แต่มันก็ไม่ต่างจากน้ำหวานผสมยาพิษ


    ลู่หานเจ็บ เจ็บจนเจียนจะขาดใจตายอยู่แล้ว

    .

    .

    .

    1 มกราคม 2015

    “ทำไมคุณยังไม่ตาย” น้ำเสียงเข้มขึงและสายตาเย็นชาของลู่หานไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจ หากแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในมือของลู่หานต่างหากที่ทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น โดยเฉพาะตอนนี้ เวลาที่ลู่หานชี้มันมาทางเขา

    “ผมสั่งอี้ชิงให้ยิงคุณทิ้งไปแล้ว แต่ทำไมคุณยังอยู่?”

    “ถ้ารู้ว่าเรื่องบ้าๆ แบบนี้จะเกิดขึ้น ผมลงมือเป่าหัวคุณด้วยตัวเองไปตั้งแต่ตอนนั้นเสียก็ดี” พูดออกมาด้วยเสียงรอดไรฟัน ความโมโหที่สั่งสมมาทำให้ลู่หานกัดฟันกรอดจนเห็นสันกรามขึ้นนูน

    “เสี่ยวลู่ ฟังพี่ก่อนได้ไหม?” คริสพูดเสียงอ่อนใส่ด้วยเพราะอยากเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ไม่คาดฝันมาก่อนว่าอยู่ดีๆ ลู่หานจะเกิดจำได้


    ปืนพกของเขาเองที่ลู่หานกำลังเล็งปากกระบอกมาไม่ได้ทำให้เขากลัวตาย แต่สิ่งที่เขากลัวกลับเป็นความรู้สึกของลู่หานต่างหาก


    เขาดูออกว่าความทรงจำที่กลับคืนมานั้นกำลังกัดกินลู่หานให้ทรมาน ดวงตาที่บวมช้ำและแดงก่ำ ใต้ตาดำคล้ำเพราะอดนอน เขารู้ว่าเมื่อคืนนี้ลู่หานร้องไห้ แต่พอซักถามลู่หานก็ไม่ได้บอกอะไรนอกจากพูดแล้วพูดอีกว่าน้ำตาที่เขาเห็นนั้นมันคือน้ำตาแห่งความชื่นใจ


    เขาไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิดว่าลู่หานโกหก ถ้ามีความสุขแล้วลู่หานจะมายืนทำหน้าเจ็บปวดเหมือนคนใกล้ขาดใจตายแบบนี้ได้อย่างไร...

    เขาเองก็ไม่ต่างกัน เขาอยากร้องไห้ เขาต้องทำยังไงรอยยิ้มแสนหวานของลู่หานจึงจะกลับมาอีกครั้ง?

    “ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่ อย่ามาเรียกแทนตัวเองว่าพี่แถวนี้”

    “เสี่ยวลู่...”

    “อย่ามาเรียกว่าผมว่าเสี่ยวลู่ ชื่อนี้มีเอาไว้ให้คนในครอบครัวเรียกเท่านั้น คนอย่างคุณไม่มีสิทธิ์”


    วาจาเชือดเฉือนประหารน้ำใจประกอบกับการขู่ฟ่อดูไม่เข้ากับกายที่กำลังสั่นเทิ้มแม้แต่น้อย


    ขายาวก้าวออกไปหาโดยไม่ใส่ใจอาวุธสีดำที่อยู่ในมือของอีกคนอีกต่อไป อุณหภูมิติดลบที่บริเวณตลิ่งบึงหลังบ้านนี้นั้นหนาวเหน็บ
    ลู่หานของเขากำลังหนาว และเขาก็อยากจะเสียสละเสื้อโค้ทที่กำลังสวมใส่อยู่ให้

    “เสี่ยว...”

    “บอกว่าอย่าเรียก!

    ปัง!

    เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งครั้ง ลู่หานเหนี่ยวไกและยิงมันลงไปที่พื้น ห่างจากปลายเท้าของคริสไปเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น


    ชายหนุ่มตกตะลึงกับความกราดเกรี้ยวของร่างเล็กที่เขาไม่ได้สัมผัสกับมันมาพักใหญ่ เห็นตัวเล็กและหน้าตาไร้เดียงสาเช่นนี้ แต่บทจะอาละวาดขึ้นมาเจ้าตัวก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น

    “แล้วก็อย่าเดินเข้ามา! ผมยิงปืนแม่นแค่ไหน คุณสอนผมเองมากับมือ คุณน่าจะรู้”

    คริสได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าอีกคนเพราะความเจ็บปวดที่ลู่หานแสดงออกมามันกำลังทำให้เขารวดร้าวอยู่เช่นกัน

    “จะตอบได้หรือยังว่าทำไมคุณถึงยังไม่ตาย?” ลู่หานทวงถามขึ้นอีกครั้ง

    “เพราะอี้ชิงไม่ได้ฆ่าพี่” คริสตอบ ดูเหมือนว่าลู่หานจะไม่พอใจกับคำตอบของเขาเท่าไหร่ เจ้าตัวจึงออกคำสั่ง

     “พูดใหม่”

    จากนั้นก็ลั่นไกปืนอีกครั้งโดยเล็งไปยังที่จุดเดิมใกล้ปลายเท้าของเขา

    ปัง!

    กระสุนปืนนัดที่สองส่งผลให้ร่างสูงต้องทรุดตัวลงมานั่งคุกเข่าลงกับพื้น แม้จะไม่ได้ถูกลูกปืนต้องกายแต่คริสกลับรู้สึกไม่ต่างจากการถูกยิงเข้าเต็มๆ ที่อกข้างซ้าย

    ลู่หานทั้งโกรธและแค้น และเจ้าตัวคงจะอยากให้เขาตาย อาการต่างๆ ที่แสดงออกมาไม่ต่างจากวันนั้นแม้แต่นิดเดียว


    คงหมดรักในตัวเขาไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

    “เพราะอี้ชิงไม่ได้ฆ่าผม...เขาแค่ยิงปืนไปส่งๆ แล้วให้ลูกน้องอีกคนของคุณลากผมไปจากตรงนั้น” เขาตอบโดยเปลี่ยนคำเรียกแทนตัวเสียใหม่ตามความต้องการของอีกคน

    “ทำไม?” ร่างเล็กเอ่ยออกมาอย่างไม่เข้าใจ


    เขาจำวันนั้นได้ดี สิ้นเสียงปืนนัดนั้นน้ำตาของเขาก็ไหลพราก ได้แต่นั่งคุดคู้อยู่ในห้องโดยสารของรถยนต์และร้องไห้ปริ่มขาดใจ พออี้ชิงมายืนยันว่าได้จัดการตามที่เขาต้องการไปไห้แล้วเรียบร้อย เสียงร้องไห้ของเขาก็ดังยิ่งขึ้น

    เพราะเขามั่นใจว่าคริสตาย และคริสก็ตายไปเพราะเขาเป็นคนสั่งให้ฆ่า



    แต่ฉับพลันดวงตากลมโตก็หรี่ลงเพราะคิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา

    “อย่าบอกนะว่าอี้ชิงก็เป็นพวกเดียวกับคุณ เหอะ ชีวิตผมนี่พอจะมีใครที่ไว้ใจได้บ้างไหม”


    “อย่าคิดสงสัยอี้ชิง ลู่หาน อี้ชิงไม่เคยคิดร้ายกับคุณ” ชายหนุ่มรีบบอกพลางส่ายหัวไปมา

    “แล้วทำไมเขาถึงขัดคำสั่ง ทำไมถึงไว้ชีวิตคุณ ทำไม?”

    “เพราะผมช่วยชีวิตเขาไงล่ะ ผมหักหลังพ่อตัวเอง บอกแผนทุกอย่างให้แก่อี้ชิงเพื่อที่คุณและเขาจะได้ปลอดภัย” คริสอธิบาย

    “คนสารเลว พ่อของตัวเองก็ยังหักหลังได้”

    “ผมรู้ว่าผมเลว แต่ที่ผมเป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าผมรักคุณ”

    คำรักที่เขาพูดออกไปคงไม่ได้หวานหูลู่หานสักเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวนั้นลดปืนลงแล้วเดินดุ่มเข้ามาหา ก่อนใช้มือข้างที่ถือปืนนั้นฟาดเข้าไปที่หน้าของเขาจนได้รสชาติเค็มปะแล่มของเลือดในปาก

    “แต่ผมเกลียดคุณ! ลู่หานตวาดเสียงดังใส่หน้า เมื่ออีกคนหันหน้ากลับคืนมา มือเล็กก็จรดปลายกระบอกปืนลงที่หน้าผากมนนั้นอย่างไม่ลังเล

    “พ่อของคุณแทรกเข้ามาเพื่อทำลายครอบครัวผม เสแสร้งทำดีให้ทุกคนเชื่อใจ จากนั้นก็ค่อยฆ่าพวกเราให้ตายไปทีละคน”


    “เขาฆ่าพ่อแม่ผม สั่งให้คนเก็บอี้ชิง แล้วส่งคุณให้มาปั่นหัวผม มาทำให้อ่อนแอ มาทำให้ไว้ใจ เพื่อที่เขาจะได้กำจัดได้ง่ายๆ”


    “พวกคุณมันสมควรตาย อยู่ไปก็รกโลก อย่าหวังนะว่าวันนี้คุณจะรอดไปเป็นครั้งที่สอง ที่นี่ไม่มีอี้ชิง ไม่มีหยางชวน ไม่มีใครคอยช่วยคุณทั้งนั้น”

    “ที่นี่มีแค่คุณกับผม และผมนี่แหล่ะที่จะเป็นคนส่งคุณไปหาพ่อคุณในนรกเอง”

    สิ้นประโยคที่ทั้งด่าทอและประหัตประหารน้ำใจกัน คริสก็น้ำตาร่วงเผาะลงมา รู้ดีว่าลู่หานเกลียดเขามากแค่ไหนเพราะเจ้าตัวเองก็เคยสั่งฆ่าเขาไปแล้วรอบหนึ่ง แต่พอมาได้ยินคำพูดตอกย้ำจากอีกคน มันก็เจ็บเสียจนไม่รู้จะบรรยายออกมาได้ยังไง

    ชายหนุ่มเหลือบสายตาขึ้นไปหา ตั้งแต่พ้นวัยเด็กมา ไม่ว่าจะเจ็บปวดหรือท้อแท้กับชีวิตแค่ไหน เขาไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น อย่างมากที่สุดก็แค่นั่งซึมไป แต่ลู่หานกลับทำให้เขาร้องไห้ออกมาถึงสองครั้งสองครา


    ครั้งแรกคือเมื่อตอนที่ได้รู้ข่าวว่าร่างเล็กประสบอุบัติเหตุและอยู่ในอาการโคม่า


    และครั้งที่สองซึ่งก็คือตอนนี้ คริสไม่ได้ร้องไห้เพราะกลัวว่าตัวเองจะตาย


    แต่เขาร้องไห้เพราะอีกคนไม่รัก
    ไม่แคร์ ไม่แม้แต่อยากจะอยู่ร่วมโลกเดียวกัน

    อยากให้ผมตายมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” คริสถามด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรง ลู่หานไม่ตอบแต่เบนสายตาหนีไปทางอื่นเสีย


    แม้แต่หน้าของเขาลู่หานก็คงจะไม่อยากมองให้เสียสายตา

    “ก็ดีเหมือนกัน ที่ผ่านมา ชีวิตของผมก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็นหรอกลู่หาน”

    “ได้แต่มองคุณจากที่ไกลๆ อยากเข้าไปหา อยากบอกรัก อยากบอกว่าคิดถึง แต่ก็ทำไม่ได้”

    “ยิ่งตอนที่คุณประสบอุบัติเหตุ...” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


    เรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้นมันทำให้เขาเกือบเป็นบ้า เขาขออี้ชิงไปหาลู่หานบ้างเป็นครั้งคราว และสิ่งที่เขาเห็นก็คือภาพของลู่หานที่สะบักสะบอมและมีสายอะไรต่อมิอะไรเจาะติดตามตัวอยู่เต็มไปหมด พอเจ้าตัวฟื้นตื่นขึ้นมา เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้โผล่หน้าไปที่โรงพยาบาลอีก

    “ไหนๆ ผมก็จะตายแล้ว ขอให้ผมได้บอกอะไรบางสิ่งบางอย่างกับคุณได้ไหม?”

    ลู่หานไม่พูดอะไรออกมาอีกเช่นเคย ริมฝีปากบางน่ารักนั้นเม้มเข้าหากันสนิทเป็นเส้นตรง ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจอะไร หากแต่แววตานั้นสะท้อนความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้


    เห็นดังนั้นคริสจึงเปิดปากพูดความในใจของเขาที่ได้แต่กักเก็บเอาไว้มานาน ความในใจที่ก่อนจะสิ้นชีวิตไป เขาอยากบอกให้ลู่หานได้รับรู้

     “ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมหลังเลิกเรียนในบางวัน แทนที่เราจะได้ไปเที่ยวเล่นกันตามประสาเด็กผู้ชาย แต่อี้ชิงกลับต้องไปนั่งเฝ้าอยู่ข้างสนามฟุตบอลของโรงเรียนประถม”


    “คุณในตอนนั้น น่ารักมากเลยรู้ไหม? สดใส ร่าเริง วิ่งเล่นอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย อี้ชิงบอกว่าคุณไม่ใช่น้องแต่เป็นลูกเจ้านาย เพราะฉะนั้นเวลาที่อยู่ด้วยกันกับคุณ เขาจึงไม่เคยแทนตัวเองว่าพี่เลยสักครั้ง”


    “แต่คุณก็ยังเรียกเขาว่าพี่ และเวลาที่เราเจอกัน คุณก็เรียกผมว่าพี่เหมือนกัน คุณเรียกผมพี่คริส”


    “จำไม่ได้ใช่ไหมว่าคุณเคยขอขี่คอผม? คุณบอกว่าอี้ชิงตัวเตี้ยไป ขี่คอผมแล้วเห็นอะไรได้เยอะกว่า ทั้งที่คุณเป็นเด็กกลัวความสูง แต่คุณไม่เคยกลัวเลยเวลาที่ได้นั่งอยู่บนคอของผม”


    “คุณบอกว่าคุณมั่นใจว่าพี่คริสจะไม่มีวันทำคุณตก คุณไว้ใจพี่คริสได้”

    ผมมีคุณเข้ามาอยู่ในหัวใจตั้งแต่ตอนที่คุณยังไม่จบชั้นประถมเลยด้วยซ้ำ

    “หลังจากนั้นไม่ถึงปี พ่อก็ทิ้งแม่เพื่อไปแต่งงานกับอาผู้หญิงของคุณ พ่อบอกว่าที่พ่อทำลงไปนั้นมีเหตุผล ขอให้เราอดทนแล้วครอบครัวของเราจะสบาย”

    “หลังจากจบม.ต้น เขาก็ส่งผมและแม่ไปแคนาดาเพราะอาของคุณคิดว่าพวกเรานั้นขวางหูขวางตาเธอ”


    “อยู่ที่โน่น เราสองคนแม่ลูกลำบากกันมาก และพ่อก็แค่เอาเราไปทิ้งไว้ที่นั่นเฉยๆ เขาส่งเงินให้เราบ้างเป็นครั้งคราว แต่มันก็ไม่ได้มากมายอะไร"


    "ผมเกลียดเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเกลียดอาผู้หญิงของคุณ ผู้หญิงคนนั้นทำให้แม่ผมเจ็บ ทำให้แม่ต้องลำบาก ทำให้เราต้องย้ายไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย แม่ต้องรับจ้างทำงานสารพัดเพื่อแลกเงิน ทั้งที่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่นี่ แม่เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดา หน้าที่ของแม่มีแค่ดูแลบ้าน ดูแลผมและพ่อเท่านั้น”



    “ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะพ่อสั่งให้กลับมา แต่แม่ไม่ยอมมาด้วย ชีวิตที่โน่นของแม่เริ่มลงตัว แม่ไม่อยากกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผมเลยกลับมาคนเดียว ผมสอบตำรวจและก็ได้เป็นตำรวจสมใจ”


    “แต่อย่างที่คุณบอก ผมมันเป็นคนเลว พอพ่อเล่าให้ฟังว่าอยากทำอะไรกับคุณและอี้ชิงบ้าง ทั้งที่ผมเป็นตำรวจ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะขัดขวางหรือห้าม เขาบอกผมว่าจัดการพ่อและแม่คุณไปแล้ว และระหว่างที่คุณเรียนอยู่เมืองนอก เขาเป็นคนดูแลบริษัทให้ทุกอย่าง เขาอยากผูกขาดอำนาจ แต่อี้ชิงก็ยังคอยอยู่ขัดขาเขา และอี้ชิงก็จงรักภักดีต่อพ่อแม่ของคุณและตัวคุณมาก จากที่เคยอยากหว่านล้อมให้มาเป็นพวก ก็กลายเป็นต้องกำจัดทิ้งเสีย”


    “เขาวางแผนฆ่าอี้ชิงก่อน ส่วนผม ถูกสั่งให้มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของอี้ชิงในวันที่อี้ชิงไม่อยู่แล้ว”

    “เขาสั่งให้ผมเข้ามาใกล้ชิดกับคุณด้วยการให้มาเป็นครูสอนยิงปืนก่อน เขารู้ว่าคุณขี้เหงาและอยากมีพี่ มีเพื่อนเอาไว้คอยให้คำปรึกษาและคอยเที่ยวเล่นด้วย ซึ่งอี้ชิงเป็นให้คุณไม่ได้ เพราะเขาก็มีภรรยา มีครอบครัวของตัวเองที่ต้องดูแล”

    “เขาไม่ได้สั่งให้ผมมาจีบคุณ หรือมาทำให้คุณตกหลุมรัก”


    “ตอนแรกผมคิดแค่ว่าก็ดีแล้ว ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมก็คงจะสะใจดี เพราะคุณคือหลานชายคนเดียวของผู้หญิงที่ทำร้ายแม่"


    "แต่พอได้เจอกัน ภาพเก่าๆ มันก็กลับคืนมา อี้ชิงเป็นเพื่อนที่ดี เราสนิทกันเมื่อตอนยังเด็ก"


    "ส่วนคุณก็ยังน่ารักและสว่างเจิดจ้าไม่มีเปลี่ยน รู้ตัวอีกทีผมก็ทำตัวนอกแผน"


    "ผมทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณรัก นั่นเพราะว่าเป็นตัวผมเองที่รักคุณ และผมอยากได้คุณ อยากครอบครองคุณ”



    “ผมอาจจะเข้ามาหาคุณด้วยเจตนาที่ไม่ดีในตอนแรก อาจจะปิดบังและโกหกคุณในหลายๆ เรื่อง”


    “แต่ความรู้สึกของผม เรื่องที่ผมรักคุณ ลู่หาน มันเป็นเรื่องจริง ทุกครั้งที่พูดว่าผมรักคุณ คิดถึงคุณ ผมไม่เคยโกหก”


    “เพราะฉะนั้นผมจึงทนไม่ได้ถ้าอี้ชิงจะต้องมาตาย เพราะผมรู้ว่าอี้ชิงสำคัญกับคุณ ผมจึงเตือนเขาไปและเล่าแผนการทุกอย่างให้เขาฟัง”


    “ผมไม่โกรธที่คุณสั่งเก็บพ่อผม เพราะสิ่งที่เขาทำลงไปมันก็สาสมแล้ว ถ้าผมเป็นคุณผมก็คงต้องกำจัดเขาทิ้งเหมือนกัน”

    “และวันนี้ ถึงแม้ว่าผมจะต้องตาย ผมก็ไม่เสียดายชีวิตเลย เพราะอย่างน้อยๆ แค่เวลาไม่กี่วันที่เราได้กลับมารักกันอีกครั้ง”

    “ผม...มีความสุขมาก”


    ยิ้มบางเบาประดับขึ้นบนริมฝีปากเมื่อได้นึกถึงช่วงที่เขาและลู่หานได้ใช้เวลาด้วยกัน รอยยิ้มน่ารักที่ได้เห็นทีไรหัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำ เสียงหัวเราะคิกคักที่ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ เขามีความสุขกับมันมากราวกับเดินเล่นพักผ่อนอยู่บนปุยเมฆ

    “พล่ามจบหรือยัง?”น้ำเสียงออกจะติดรำคาญของอีกคนทำให้หัวใจพลันห่อเหี่ยวลงอีกครั้ง คงเป็นเขาแค่เพียงฝ่ายเดียวที่ยังเพ้อฝันถึงมัน

    ปากกระบอกปืนที่จ่ออยู่กลางหน้าผากบดบังทัศนวิสัยให้เขามองลู่หานได้ไม่เต็มตา แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กรุ่นออกมาจากมือและร่างกายที่อยู่ห่างกันไม่กี่ฟุตกลับทำให้เขาผ่อนคลายลงได้

    “...ใกล้จบแล้ว แต่ขอพูดอีกนิดได้ไหม” คริสเอ่ยออกมาอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มน้อยๆ ให้ เมื่อลู่หานเลิกคิ้วเรียวใส่ เขาก็เริ่มพูอีกครั้ง


    ครั้งสุดท้ายของชีวิตแล้วจริงๆ ถ้าเขาไม่พูดมันออกไปก่อนตาย เขาคงจะนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่

    “พอพี่ตายไปแล้ว เสี่ยวลู่....ต้องมีชีวิตที่ดีและต้องพยายามมีความสุขนะ เข้าใจไหม?”

    “อย่าจมอยู่กับความแค้น ไม่มีใครกลับมาทำอะไรเราได้อีกแล้ว ทุกคนตายหมดแล้ว”

    “ดูแลบริษัทที่พ่อสร้างมา ดูแลลูกน้อง ดูแลอาผู้หญิงและน้องชาย เขาเป็นน้องชายของเราทั้งสองคน ช่วยดูแลเขาให้ดี”

    “และที่สำคัญ ดูแลตัวเองให้ดีๆ ด้วย”

    “แต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคน แล้วมีลูกที่น่ารัก ลูกที่หน้าตาเหมือนเสี่ยวลู่นั่นแหล่ะ มีครอบครัวที่อบอุ่น”

    “ส่วนศพพี่ ก็ให้ลากลงบึงไปก่อนแล้วค่อยโทรบอกให้อี้ชิงมาจัดการ”


    “เรื่องแม่ของพี่ อี้ชิงคงเป็นธุระให้ได้ พี่ไม่ขอรบกวนเรา”

    “มีอะไรจะพูดอีกไหม?” คงด้วยเพราะไม่อยากจะฟังต่อลู่หานจึงพูดตัดบทขึ้นมา

    ตลอดเวลาที่เขาพูด คริสเห็นว่าลู่หานมีอาการกระสับกระส่ายและแสดงหน้าตาเบื่อหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวของเบื่อที่จะฟังเขาพูดแล้ว คงอยากจะระเบิดสมองเขาให้กระจุยจะแย่


    เมื่อครู่ลู่หานถามเขา ว่ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า

    มีสิ และเขาขอใช้โอกาสสุดท้ายของชีวิตพูดมันออกไป

    “...พี่ยังเหมือนเดิมนะลู่หาน ตั้งแต่วันที่รู้ใจตัวเองจนกระทั่งมาถึงวันนี้ พี่รัก...รักมามาตลอด”

    เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็หลับตาลงเพื่อรอรับความตาย เขาได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วของลู่หาน รับรู้ได้ว่าอีกคนคงเจ็บปวดอยู่ไม่ต่างกัน

     

    ปัง!

    จากนั้นหูของเขาก็ดับ ไม่ได้ยินซุ่มเสียงใดๆ อีกต่อไป

    ปัง!

    ปัง!

    ปัง!













    ลู่หานไม่แน่ใจว่าปืนของคริสนั้นบรรจุกระสุนไว้กี่นัด แต่สิ่งที่เขามั่นใจอยู่ตอนนี้ก็คือ เขาได้ใช้ลูกกระสุนของมันไปจนหมดแล้ว...


    มือเรียวปล่อยกระบอกปืนสีดำสนิทให้ร่วงหล่นลงบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวอย่างไม่ใส่ใจ ค่อยกลับหลังหันแล้วก้าวเดินออกจาตรงนั้นไปช้าๆ พยายามแล้วที่จะเข้มแข็งและไม่สะอื้นไห้ออกมา แต่ลู่หานก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่อารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง


    มือบางถูกยกขึ้นมาปิดหน้าขณะที่กำลังร้องไห้โฮ สองขาก้าวไปข้า'หน้าอย่างเชื่องช้าด้วยเพราะไม่หลงเหลือแรงกำลัง อาการปวดศีรษะรุนแรงบวกกับพิษไข้ที่กำลังรุมเร้านั้นเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับอาการเจ็บปวดปางตายที่เกิดขึ้นตรงตำแหน่งของหัวใจ



    ทำไมคนที่เขารักต้องเป็นคริส? ทำไมต้องเป็นคนที่เข้ามาหาเขาด้วยเจตนาร้าย?


    ทำไมสวรรค์ถึงต้องกลั่นแกล้งให้เขาได้มีความรักกับลูกชายของคนที่เป็นฆาตกรฆ่าพ่อแม่ของเขาตาย


    ทำไมต้องทำให้เขาตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ถึงสองครั้งสองครา


    ทำไม?


     

    เดินไปได้ยังไม่ถึงไหน ในหัวของลู่หานก็หมุนติ้ว แข้งขานั้นก็อ่อนจนไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป โยกเยกโงนเงนจนในที่สุดก็ต้องหยุดฝืนและทิ้งร่างของตัวเองในร่วงไปตามแรงโน้มถ่วง





    แต่แทนที่ร่างจะล้มลงไปกระทบกับผืนหิมะอันเย็นเฉียบ ลู่หานกลับพบว่ามีวงแขนที่แสนอบอุ่นกำลังโอบกอดเขาเอาไว้





    และเมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าของคริสที่กำลังก้มมองเขาด้วยความห่วงใยปนตื่นตระหนก น้ำตายังคงไหลพรากออกจากดวงตาคมอยู่เช่นเดิม

     

    “เสี่ยวลู่ อย่าเป็นอะไรนะ...ได้โปรด อย่าเพิ่งทิ้งพี่ไป” ลู่หานได้ยินคริสละล่ำละลักบอกขณะที่เจ้าตัวกำลังช้อนเขาเข้าสู่วงแขนและอุ้มขึ้นมาให้ชิดอก จากนั้นร่างสูงก็ยืนขึ้นแล้วเริ่มออกเดิน

    “พี่ต่างหาก....อย่าไปจากผมอีก” ลู่หานเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ร้อนไปหมดทั้งร่างกายรวมไปถึงช่องคอ อุณหภูมิในร่างกายของเขาคงกำลังร้อนเป็นไฟ และคริสคงกำลังจะพาเขาไปโรงพยาบาล วงแขนเล็กยกขึ้นมาโอบกระชับรอบคอของอีกคนไว้ จากนั้นก็เริ่มพูดอีกครั้ง

    “อย่าหายไป...”

    “เพราะถ้าพี่หายไปอีกครั้ง ผมจะสั่งให้ลูกน้องไปตามล่าพี่มา”


    “พอผมหาพี่เจอ ที่นี้ผมจะฆ่าพี่ทิ้งจริงๆ จะไม่มีทางปล่อยพี่ไปอีกเป็นครั้งที่สาม”


    “ผมไม่อยากทำตัวซังกะตาย วันๆ เอาแต่นั่งร้องไห้เพราะคิดถึงพี่ เหม่อหาพี่จนขับรถไปชนเสาข้างถนนอีก เข้าใจไหม?”

    คริสเปิดประตูรถแล้ววางร่างบางลงยังเบาะข้างคนขับ จัดแจงคาดเข็มขัดนิรภัยให้แล้วใช้สองมือประคองใบหน้าหวานไว้ ก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากที่แดงมากกว่าปกติเพราะพิษไข้อยู่เนิ่นน่าน รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ตัวเองยังไม่ตาย เพราะถ้าเขาตายไปแล้วใครกันเล่าจะพาลู่หานไปโรงพยาบาล ลู่หานคงจะเป็นลมอยู่ตรงนั้นแล้วนอนหนาวตายตามเขาไปแน่ๆ


    “พี่เข้าใจ เสี่ยวลู่จะล่ามโซ่แล้วขังพี่เอาไว้ที่บ้านก็ได้ พี่ยอมทุกอย่าง พี่จะไม่ไปไหนอีกแล้ว แต่อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะคนดี พี่กำลังจะพาเราไปหาหมอ อดทนก่อนนะ” พูดไปก็พรมจูบทั่วใบหน้านั้นไป อยากจูบลู่หานให้มากกว่านี้แต่เขาก็ต้องหยุดความต้องการของตัวเองเอาไว้ก่อน มีสิ่งอื่นที่สำคัญยิ่งกว่านั่นที่เขาต้องทำ


    คิดได้ดังนั้นคริสก็รีบเดินสาวเท้าไปยังฝั่งคนขับ สอดตัวเข้าไปนั่งแล้วออกรถอย่างทันควัน สิ่งสำคัญที่ว่านั้นคือการพาลู่หานไปโรงพยาบาล ร่างเล็กไข้ขึ้นสูงมากจนเขาไม่ไว้ใจว่าตัวเองจะสามารถดูแลลู่หานแต่เพียงลำพังได้ไหว


    หูของเขาที่มีเลือดไหลออกมาเพราะแก้วหูทะลุจากการได้ยินเสียงปืนหลายนัดติดต่อกันก็ต้องได้รับการดูแลเช่นกัน เขาไม่อยากกลายเป็นคนหูหนวก แค่คิดว่าอาจจะไม่ได้ยินเสียงหวานๆ ของลู่หานอีกต่อไป ร่างทั้งร่างก็สั่นสะท้านขึ้นมา



    “พี่คริส” จู่ๆ ลู่หานก็เอ่ยขึ้น


    “ครับ?” คริสตอบรับ


    “รอยสักรูปกวางที่หน้าอกข้างซ้ายนี่มันหมายความว่ายังไง”

    ตาคมเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาจ้องยังถนนต่อ ลู่หานไม่ได้ลืมตา หากแต่มีรอยยิ้มบางเบาประดับอยู่บนใบหน้า


    “ก็พี่มีแฟนเป็นกวาง เลยอยากมีกวางอยู่ใกล้ๆ หัวใจ


    เลือกตอบออกไปแบบเดิมอย่างเมื่อครั้งที่ลู่หานถามตอนได้เห็นรอยสักนี้เป็นครั้งแรก


    ริมฝีปากหนาผลิยิ้มกว้างออกมาเมื่อลู่หานตอบกลับมาด้วยประโยคที่เหมือนเดิมเป๊ะเช่นกัน

    “น้ำเน่า...


    “ก็พี่รักเรา พี่รักเสี่ยวลู่นะรู้ไหม?


    “รู้แล้วน่า


    “จะไม่บอกรักพี่ตอบบ้างเหรอ?


    “ก็บอกไปแล้วทั้งคืนไง..."


    "ที่ทำไปทั้งหมด ที่ยอมทุกอย่าง มันยังไม่พอหรือไง” ถึงแม้จะไม่ได้พูด แต่
    ลู่หานมั่นใจว่าตัวเองแสดงออกให้อีกคนได้รับรู้อย่างชัดเจนถึงความรู้สึกที่มีให้ด้วยภาษากาย


    “พี่อยากได้ยินอีกหน บอกหน่อยสิ ได้ไหม?” อีกคนเอ่ยขออย่างเว้าวอน มือข้างที่ไม่ได้จับพวงมาลัยเลื่อนมากุมมือเล็กข้างหนึ่งไว้


    “ก็ได้ๆ”


    “ผมก็รักพี่เหมือนกัน

    “เสี่ยวลู่รักพี่คริส”


    “...พอใจหรือยัง?”


    คริสไม่พูดตอบอะไร รู้สึกอิ่มเอิบหัวใจที่ในที่สุดเรื่องวุ่นวายต่างๆ ก็จบลงเสียที และต่อไปนี้มันจะเป็นการเริ่มต้นใหม่


    มือหนากุมเอามือเล็กมาใกล้หน้าจากนั้นก็จุมพิตแผ่วลงบนหลังมือนั้น นึกขอบคุณลู่หานที่ยังคงให้โอกาสกัน และเขาก็สัญญาว่าจากนี้จะพยามยามทำทุกวันให้ดีที่สุด เพื่อให้ลู่หานได้ลืมเรื่องราวอันเลวร้ายและกลับมามีความสุขอีกครั้ง


     

     

    END


     

     

                                                                                 




    สวัสดีค่ะ

    ในที่สุดก็จบ ฮืออออออออออออออ มันเป็น SF ที่ยาวมาก ใช้พลังในการเขียนไปเยอะเหมือนกัน หวังว่าคุณคนอ่านคงจะชอบไมามากก็น้อยนะคะ


    ก็อย่างที่ไรเตอร์ท่านอื่นเกริ่นไว้นะคะว่านี่คือการรวมตัวกันเฉพาะกิจ  สารภาพว่ามาจากอารมณ์ชั่ววูบและความคึกคะนองกันล้วนๆ แต่พอเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้วก็ดีใจค่ะ ดูท่าแล้วน่าจะรอด ฮ่าๆ

    ยังไงก็ขอฝาก KRISHAN Winter Project ไว้ในอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ ช่วยกันคอมเมนท์ กดแชร์ และติดแท็กในทวิเตอร์กันเยอะๆ พวกเราจะได้มีกำลังใจในการมโนกันต่อไปค่ะ


    กรีดร้องได้ที่           >>>        #ficลบ  #007fic

    คิดเสียว่านี่เป็นของขวัญจากพวกเราให้คุณคนอ่านทุกๆคนก็แล้วกันค่ะ

    สัญญาว่าจะไม่ทำให้ร้องห้ายยยย


    รักคนอ่านเสมอ มากมาย สุดปลายสายรุ้ง

    แพ๊นนูน่า

     

    @Pan_Noona




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×